ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง..ซึ่งเคยผิดหวังครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิต! - ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง..ซึ่งเคยผิดหวังครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิต! นิยาย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง..ซึ่งเคยผิดหวังครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิต! : Dek-D.com - Writer

    ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง..ซึ่งเคยผิดหวังครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิต!

    เคยมีคนกล่าวไว้ว่า.. มีตาทั้งสองข้างแต่หากไม่รู้จักมองหาสิ่งดี ๆ คุณก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าคนที่ตาบอดมาแต่กำเนิด

    ผู้เข้าชมรวม

    1,244

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.24K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  จิตวิทยา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 มี.ค. 54 / 08:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เคยมีคนกล่าวไว้ว่า..

      มีตาทั้งสองข้างแต่หากไม่รู้จักมองหาสิ่งดี ๆ คุณก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าคนที่ตาบอดมาแต่กำเนิด

      วินาทีแรกที่ฉันเห็นประโยคนี้ ยอมรับว่าเห็นด้วยจริงๆ

      แต่เมื่อย้อนนึกถึงคนตาบอดสองคนที่ฉันเคยรู้จักแล้ว ก็อาจจะต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า..เรื่องนี้มีกรณียกเว้น

       

      ไม่ใช่ยกเว้นว่าคนมีตาทั้งสองข้าง จะมีอะไรดีไปกว่าคนตาบอดมาแต่กำเนิด

       

      แต่ยกเว้นว่า..คนตาบอดมาแต่กำเนิดบางคน ก็มีสิทธิ์ดีได้มากกว่าคนตาดีหลายเท่านัก!

       

      คนตาดีบางคน เพียงแค่ผิดหวังในความรักครั้งเดียว เขาก็ยอมสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไปจนหมด นอนงอมืองอเท้าประกาศตนเป็นบุคคลไร้ค่า ไม่เป็นอันทำอะไร ไม่มีแก่ใจทำสิ่งดีๆให้ใครอีก

       

      คนตาดีบางคน เพียงแค่ผิดหวังในหน้าที่การงานครั้งเดียว เขาก็หมดแรงดิ้นรน ต่อสู้กับอุปสรรคทุกสิ่งอัน ไม่มีกำลังใจจะทำชีวิตพรุ่งนี้ให้ดีขึ้นด้วยการใคร่ครวญหาจุดบกพร่อง เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น

       

      คนตาดีบางคนสูญเสีย พลัดพรากจากบุคคล หรือสิ่งของอันเป็นที่รัก ก็ถึงกับหมดอาลัยตายอยาก นับถอยหลังนอนรอวันตายตามไปท่าเดียว ชีวิตที่เหลืออยู่แทบจะเรียกได้ว่าสูญเปล่า ไม่รู้จะอยู่อย่างมีพลัง และเป็นประโยชน์ไปเพื่อใครอีก

       

      คนตาดีบางคนหมดเวลาวันหนึ่งๆไปกับเรื่องสูญเปล่า เพียงเพื่อนสนองความต้องการ ความสุข ความสะใจ ที่อยู่บนความทุกข์ของผู้อื่นท่าเดียว และก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เขาคนนั้นจะกลายเป็นบุคคลน่ารังเกียจในสังคมไปในที่สุด

       

      คนตาดีหลายๆคน ไม่ค่อยมีแก่ใจทำเพื่อความสุขของคนอื่น นอกจากปรนเปรอความพอใจของตัวเองมาเกือบทั้งชีวิต..

      นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันมหัศจรรย์ใจ และทึ่งในความเป็นไปของคนตาบอดที่นับเป็นคนพิการ และดูเสมือนจะเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เห็นใจมากกว่าคนตาดีดังกล่าวข้างต้นหลายเท่าตัว

       

      ฉันมีโอกาสได้รู้จักเขาทั้งสองเมื่อครั้งที่คนตาบอดผู้หญิงคนหนึ่งมานอนโรงพยาบาลในคืนที่ฉันอยู่เวร

      เธอมาด้วยเรื่องชักเกร็งกระตุกทั้งตัว จากการขาดยากันชักมาเป็นเวลาหลายปี ประวัติเดิมเคยผ่าตัดเนื้องอกในสมองมาเป็นสิบปีและหลังจากนั้นก็ไม่สามารถมองเห็นความเป็นไปบนโลกนี้ได้อีกเลยตลอดชีวิตที่เหลือ

       

      ระหว่างซักประวัติ เธอก็คอยบอกกับฉันอยู่เรื่อยๆว่า ตอนนี้หายแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว จะกลับบ้านได้หรือยัง

      เธอดูกระตือรือร้นและเรียกร้องจะกลับบ้านมากเป็นพิเศษ เธอบอกฉันว่าอยากรีบกลับไปทำงาน

      เธอเปิดร้านนวดแผนโบราณไว้ และทุกวันนี้ก็มีลูกค้ามารอคิวกันเต็มเกือบทุกวัน

       

      สาเหตุของการชักประการหนึ่งก็มาจากที่เธอรีบตื่นมาทำงาน กินข้าวเช้ามื้อเดียว กับกาแฟอีกหนึ่งแก้ว

      แล้วก็ทำงานยาวเลยทั้งวัน จนกระทั่งรู้สึกหายใจติดขัดเดินออกมานอกร้าน หลังจากนั้นสามีของเธอที่มาด้วย

      ซึ่งตาบอดทั้งสองข้างเหมือนกันกับเธอก็ให้ประวัติว่า

       

      ลูกค้าเห็นเธอลงไปชักเกร็งกระตุก และทรุดลงกับม้าหินอ่อนหน้าร้าน

      จนคนตาดีต้องหามมาโรงพยาบาลกันในที่สุด

       

      สิ่งที่ฉันรู้สึกทึ่งมากคืออะไร?

       

      ประกายตาของเธอขณะที่พูดว่าตื่นเช้ามา แล้วรู้ว่ามีลูกค้ารออยู่เต็ม บอกได้ชัดเจนว่าเธอรู้สึกดีใจ

      และมีกำลังใจในการใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม รู้สึกอยากทำงานให้เต็มที่

      รู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่

       

       

      และอยากจะบอกว่าตั้งแต่วินาทีแรกที่ฉันเห็นเธอ เข้าไปถามอาการเธอ

      กว่าจะรู้ว่าเธอเป็นคนตาบอดก็ปาไปหลายสิบนาทีแล้ว

      เพราะแววตาเธอสดใส มีชีวิตชีวายิ่งกว่าคนตาดีหลายคนมาก

       

      ที่สำคัญคือทักษะการฟังเสียง การโต้ตอบ และปฏิกิริยาต่างๆที่แสดงออกมา

      บ่งบอกว่ามีความเชี่ยวชาญในการช่วยเหลือตัวเองอย่างยิ่งยวด ไม่แพ้คนตาดีเลยแม้แต่น้อย

      จนเธอนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายบอกกับฉันเองว่าเธอตาบอด ต้องหยิบสมุดประจำตัวคนพิการ

      ขึ้นมาให้ฉันดูฉันถึงได้เชื่อ..

       

       

      ประการต่อมาที่น่ามหัศจรรยไม่แพ้กัน คือสามีที่นั่งบนรถเข็นอยู่ข้างเตียงเธอ

      ก็เป็นคนตาบอดทั้งสองข้างเหมือนกัน แต่ทั้งสองคนก็ให้ประวัติได้อย่างดีเยี่ยม

      พูดจาฉะฉาน ชัดเจน และน้ำเสียงมีพลังแห่งการขับเคลื่อนของชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม

       

      ฉันได้รู้เพิ่มอีกว่า สามีของเธอตาบอดแต่กำเนิดหนึ่งข้างด้วยโรคบางอย่างตอนแรกเกิด

      และเพิ่งมาประสบอุบัติเหตุขณะทำงานตอนเป็นวัยรุ่น จนต้องตาบอดอีกหนึ่งข้าง

      แต่ขณะที่เล่าเรื่องราวที่ดูเหมือนน่ารันทดใจขนาดนั้นให้ฉันฟัง

       

      น้ำเสียงของเขากับไม่มีกระแสแห่งความผิดหวัง ล้มเหลวอย่างใหญ่ในชีวิตเคลือบแฝงอยู่เลย

      เสียงของเขาเหมือนบอกให้รู้ว่าเรื่องที่เขาประสบมามันแสนจะธรรมดาเหลือเกิน

       

      สองสามีภรรยาตาบอดคู่นั้นยังไม่ได้จบความทึ่งให้ฉันไว้แค่นั้น

      ฉันเพิ่งมารู้เพิ่มอีกว่า..สองคนนี้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาหลังไปเจอกันที่

      สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย

       

      นั่นก็หมายความว่า เขาทั้งสองพบกัน และรักกัน หลังจากทั้งคู่ตาบอดทั้งสองข้างไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

       

      เรื่องราวนี้บอกอะไรกับฉัน..

      มันบอกว่าความรักที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

      ไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอก หรือรูปลักษณ์ภายนอกแต่อย่างใด

       

      การที่เขาจะรักและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขขนาดนี้ได้

      ต้องใช้ใจสัมผัสใจ ใช้เวลาพิสูจน์การร่วมทุกข์ร่วมสุขกันล้วนๆเลยทีเดียว

       

      ฉันได้รับรู้เพิ่มมาอีก ในเรื่องของหน้าที่การงานที่เธอได้ทำจนถึงวันนี้

      นั่นก็คือมีร้านนวดแผนไทยเป็นของตัวเอง ซึ่งเปิดกิจการร่วมกับสามี

      โดยมีคนตาดีไม่กี่คนช่วยงานเขาทั้งสอง

       

      และมูลเหตุแห่งการได้มาซึ่งอาชีพนี้ ก็เกิดจากการไปร่วมสมาคมคนตาบอด

      ที่เจ้าของสมาคม เป็นคนตาบอดทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน!

       

      ในสมาคมนั้นจะมีการจัดสอนกลุ่มอาชีพหลากหลาย

      ให้คนตาบอดได้ฝึกฝนเพื่อนำไปทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพให้ตัวเอง

      มีทั้งกลุ่มคนตาบอดที่ไปเล่นดนตรี ร้องเพลง ซึ่งจะมีคนตาดีช่วยเรื่องการแบกหามเครื่องดนตรี

      จัดเวที จัดสถานที่ให้ในงานต่างๆ

       

      มีทั้งกลุ่มทำอาหาร กลุ่มนวดแผนโบราณ

      และอีกมากมาย

       

      สอนให้คนตาบอดช่วยเหลือตัวเอง ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองได้ไม่แพ้คนตาดี

       

      ฉันสะดุดอย่างยิ่งอีกครั้งก็ตรงที่ประธาน ผู้ก่อตั้งสมาคมเป็นคนตาบอดด้วยกัน

      ฉันรีบถามสองสามีภรรยาเลยว่า เขาเป็นใครกัน คิดอย่างไร และทำได้อย่างไร

      เพราะสมาคมนี้ มีประโยชน์อย่างใหญ่ทีเดียวแก่สังคมคนพิการทางสายตา

       

      ที่จะทำให้ทั้งชีวิตที่เหลือของพวกเขาอยู่ได้อย่างมีความหวัง และความภาคภูมิใจไปอีกตลอดชีวิต

       

      ผลงานบ่งบอกได้อย่างดีเยี่ยม จากแววตาของสองสามีภรรยาที่เปล่งประกายความสุข ความหวังทั้งมวล และความภาคภูมิใจในชีวิตตน ซึ่งหาได้ยากจากคนตาดีที่สมประกอบหลายคนที่ฉันเคยเจอมา

       

      ฝ่ายภรรยาที่ตาบอดเล่าให้ฉันฟังว่า เจ้าของชมรมเคยเป็นคนตาดีมาก่อน

      และมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน เขาได้รู้ล่วงหน้าว่าคนเป็นโรคเบาหวานอย่างเขา

      มีโอกาสที่จะตาบอดจากโรคเบาหวานขึ้นตา หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี

      หรือโรคเบาหวานของเขานั้นเป็นมานาน ควบคุมได้ยากจริงๆ ระดับน้ำตาลที่ควบคุมได้ยาก

      มีสิทธิ์ทำให้จอประสาทตาเสียหาย ถึงขั้นตาบอดได้

       

      เจ้าของสมาคมท่านนั้นจึงได้มีการเดินทางไปดูงานในหลายๆประเทศ

      ที่มีการจัดตั้งสมาคมคนตาบอด เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่พิการทางสายตาด้วยกัน

      และได้เข้าไปเรียนรู้งาน การบริหาร การสรรหาอาชีพ การฝึกทักษะในการใช้ชิวิตที่เหลืออย่างคุ้มค่า

       

      จนกระทั่งวันหนึ่ง..วันที่เขาต้องกลายเป็นคนตาบอดทั้งสองข้าง

      เขาก็ได้จัดตั้งสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยขึ้นมา

      และจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่สังคมผู้พิการทางสายตา

       

      เขาทำให้ตัวเขาเอง และเพื่อนมนุษย์ที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน ได้มีงานทำ

      ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่เป็นภาระแก่สังคม

       

      ที่สำคัญที่สุดคือ..เขาทำให้สองสามีภรรยาคู่นี้ภาคภูมิใจ ในความมีคุณค่าของตน ที่สามารถช่วยเหลือได้ทั้งตนเอง และเพื่อนมนุษย์ผู้ตาดีอีกหลายคน

       

      สรุปคือที่เล่ามาทั้งหมด นอกจากจะประทับใจไม่หายในสองสามีภรรยาตาบอดคู่นี้แล้ว

      ฉันยังทึ่งในการมองการณ์ไกล และความมีแก่ใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของผู้จัดตั้งสมาคมคนตาบอดท่านนั้น

       

      นอกจากจะเตรียมการเพื่อตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทในวันข้างหน้าได้ดีแล้ว

      เขายังเตรียมการเพื่อคนอื่น มีความเมตตากรุณาอย่างหาได้ยากยิ่งในสังคมคนตาดี

       

      คนตาดีหลายคนอาจจะหมดหวังง่ายๆ กับความผิดพลาดครั้งเดียวในชีวิต

      คนตาดีหลายคนอาจจะท้อแท้หมดกำลังใจในการเดินต่อ เพียงแค่อกหักจากใครไม่กี่คน

      คนตาดีหลายคนอาจจะไม่เคยใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เพื่อตัวเองและคนอื่นเลยตั้งแต่เกิดมา

       

      ..แต่คนตาบอดคนนั้น..ที่ทำให้อีกหลายชีวิตซึ่งตาบอดเหมือนเขา เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม และประกายความหวังเจิดจ้าในแววตา กับการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างภาคภูมิใจ

       

      ฉันขอบอกได้เลยว่า

       “คุณเกิดมาอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว และประสบความสำเร็จในการเป็นแบบอย่างให้กับคนตาดีทุกคนบนโลกใบนี้

       

      ศิลาริน พุทธบุตรี

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×