[Fic attack on titan] รักที่บิดเบี้ยว { Erwin xLevi}
ผู้เข้าชมรวม
1,466
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องราวมันเริ่มจากตอนไหนกันนะ…
อาจจะเป็นวันนั้นที่ได้รู้จักกับนายเป็นครั้งแรก
เอลวิน สมิธ
“นายไม่คิดจะเข้ามาเป็นทหารบ้างเหรอ รีไว”
ไอ้บ้าตัวนึงที่ชอบเดินตามเขามาหลังจากที่บังเอิญมาเห็นการวิวาทของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“ไม่…”
ปฏิเสธไปทุกครั้ง แต่ดูเหมือนเจ้าคนตัวใหญ่ไม่คิดจะรับฟังแม้แต่น้อยแถมยังมีการยกยิ้มที่มุมปาก สายตาก็ทอดมองมาที่เขาอย่างอ่อนใจราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ
มันช่างน่าหงุดหงิดที่สุด
รีไวคิดเพียงเท่านั้น ก่อนเดินดุ่มๆเข้าไปใกล้ตัวคนช่างตื้อแล้วกระแทกไหล่เต็มแรงจนคนถูกชนเซไป คนตัวเล็กกว่ายิ้มเยาะสะใจก่อนรีบวิ่งไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองอีก เอลวินได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับสายตาพร้อมใบหน้าที่สงบนิ่งกว่าทุกครั้ง
“วันนี้น่าเบื่อชะมัด” รีไวบ่นกับตัวเองก่อนเดินทอดน่องไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย “กลับบ้านดีกว่า” ตัดสินใจเสร็จเจ้าตัวก็หันเลี้ยวไปยังเส้นทางที่จะไปถึงบ้าน ระหว่างทางเขาซื้อแอปเปิ้ลมาสองสามลูก หยิบลูกนึงมาเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่พกไว้ก่อนกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยจนถึงบ้าน
“อุ๊บ แค่ก!!” รีไวสำลักแอปเปิ้ลคำโต เมื่อสายตาไปปะทะกับบุคคลที่ไม่สมควรที่จะเจอมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านของเขา เอลวินเห็นคนตรงหน้าสำลักเหมือนจะขาดอากาศหายใจ จึงเดินเข้าไปลูบหลังเพื่อจะช่วยให้อาการดีขึ้น
“เป็นอะไรรึเปล่า” เอลวินถามได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดเมื่อคนตัวเล็กสะบัดหน้าขึ้นมามองพร้อมหยาดน้ำใสๆที่เอ่อคลอดวงตาจากการสำลัก พร้อมหน้าแดงๆที่ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือสำลักเมื่อกี้กันแน่
“แค่ก! แกหาบ้านฉันเจอได้ยังไง!!”
รีไวล์เริ่มหงุดหงิดขึ้นทุกทีเมื่อเจ้าคนแปลกหน้าที่ตามเขาแจเพียงแค่ยิ้มตอบอย่างผู้เหนือกว่า
“พรุ่งนี้ฉันต้องออกไปนอกกำแพง”
ใจของรีไวเหมือนหล่นวูบเพราะคำพูดของคนตรงหน้า นอกกำแพง ไม่ต่างอะไรกับการออกไปตายสักนิด
“ดังนั้นพรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้เจอนาย”
“หายหายไปก็ดีสิ… โดนตามทุกวันมันน่ารำคาญ” แม้จะรู้สึกใจหายแค่ไหน แต่ปากที่พูดมันช่างสวนทาง เอลวินมองคนตัวเล็กด้วยสายตาที่อ่อนลง มือใหญ่ค่อยๆยกขึ้นมาแล้ววางลงบนหัวของคนตรงหน้า
เอลวินรู้สึกได้ถึงร่างกายที่เกร็งตัวแข็งขึ้นเมื่อเขาสัมผัสมือลงบนหัวของอีกฝ่าย รีไวเงยหน้ามองด้วยความงุนงง ขณะที่คนลูบตัวได้แต่ยิ้มอ่อนๆโดยไม่พูดอะไร ก่อนผละมือออกแล้วเดินจากไปจนลับสายตา
นี่เป็นครั้งแรกที่รีไวเป็นฝ่ายมองแผ่นหลังใหญ่นั้นจนลับสายตา
มือข้างนึงยกขึ้นมาแตะหัวของตัวเองที่เคยมีมือของใครบางคนวางอยู่
อยากจะเตะคนตัวใหญ่ให้หลังหักข้อหามาแตะตัวกันง่ายๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกเมื่อถูกจ้อง
และที่สำคัญ…
“อุ่นจัง..”
.
…
……
………………
…………………………
…………………………………………
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ไม่มีคนมาคอยเดินตามเขา
ชีวิตประจำวันของเขายังคงเหมือนเดิม กิน นอน เดินรอบเมือง มีเรื่องกับพวกนักเลง แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมเพราะเวลาว่างเมื่อไหร่เขาก็มักจะนึกถึงหน้าของคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเพราะตอนนั้นเขาไม่คิดจะสนใจ
จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
เผลอเมื่อไหร่สายตาก็จะสอดส่องไปรอบๆเมื่อมองหาคนแต่ก็ต้องชะงักทุกครั้งเมื่อรู้สึกตัว และก็ได้แต่ด่าตัวเองว่าจะมองหาไปทำไม
เขาเริ่มเปิดใจรับคนที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จักมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่
“เฮ้ย เห็นเขาว่าพวกหน่วยสำรวจกลับมากันแล้วแน่ะ” เสียงชาวบ้านที่ดังขึ้นทำให้รีไวหยุดชะงัก ก่อนหันไปมองด้วยความสนใจ
“พึ่งสามวันเองไม่ใช่เหรอ คงล้มเหลวอีกล่ะสิ คงตายกันไปหมด เปลืองภาษีของพวกเราชะมัด”
ล้มเหลว… นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้รีไวรู้สึกแปลกๆที่ช่วงอก เขากัดฟันกรอดก่อนพุ่งตัวเข้าไปหาชาวบ้านคนนั้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนโดยรอบ
“เฮ้ย อะไรวะไอ้เด็กเวรนี่….อั่ก!!” ชายคนนั้นได้แต่ร้องโวยวายก่อนเงียบเสียงไปเมื่อเจอหมัดที่แรงผิดปกติเมื่อเทียบกับรูปร่างคนชก ร่างกายของชายร่างหญ่เกร็งตัวก่อนสำรอกออกมากองโตจนทำให้หลายคนต้องเบือนหน้าหนีแต่รีไวที่รักความสะอาดเยี่ยงชีวิตกลับมองข้ามไปแลวตะโกนสุดเสียงพร้อมกระชากคอชาวบ้านผู้โชคร้ายคนนั้นขึ้นมา
“ถอนคำพูดซะ!!!”
ตอนนี้อกของเขามันทั้งจุกและเจ็บจนเหมือนจะระเบิดออกมา
เพียงคิดว่าไอ้เจ้าบ้านั่นตายไปแล้ว…
“ถอนคำพูด!!!”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…ไม่เห็นเข้าใจเลย…
….
……….
………….
แฮ่ก แฮ่ก
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เขาวิ่ง รีไวรู้เพียงแค่ต้องไปถึงที่ขบวนของทีมสำรวจที่กำลังจะเข้าเมืองมาให้เร็วที่สุด
ขาที่วิ่งด้วยความเร็วเต็มกำลังค่อยๆลดความเร็วลงเมื่อเห็นเหล่าผู้คนมายืนชุมนุมกันเป็นทางยาวเพื่อมารอดูทหารทีมสำรวจที่พึ่งกลับหา รีไวพยายามชะเง้อมอง แต่ผู้คนมากมายก็บดบังจนเขาไม่อาจเห็นขบวนได้จนเขาต้องสบถกับตัวเองอย่างหัวเสียนึกสาปแช่งเจ้าพวกคนตัวสูงนี่ทั้งหมด
รีไวใช้ร่างเล็กๆของตัวเองค่อยๆมุดไปตามช่องว่างเพื่อไปถึงข้างหน้าสุด แม้จะมีเสียงบ่นไม่พอใจเขาตอนที่เขาไปชนรึว่าผลักก็ตาม
หัวใจของเขาเริ่มเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ สายตาลอกแลกมองหาคน และใจก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เมื่อมุดออกมาจนถึงแถวหน้าสุด ทุกอย่างก็ประจักแก่สายตาของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาดูขบวนทีมสำรวจ…
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น…
ไปพร้อมกับเสียงร้องไห้ระงมของเหล่าผู้คนที่ต้องสูญเสียคนที่รัก เสียงกรีดร้องเหล่าทหารที่บาดเจ็บ สีหน้าเจ็บปวดของผู้คน เสียงหัวเราะเยาะของพวกที่ไม่เคยทำอะไรแล้วดีแต่ด่าคนอื่นไปวันๆ…และ
เจ้าบ้านั่นอยู่ไหน…
รีไวมองตามขบวนที่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เขากวาดสายตาตั้งแต่ต้นขบวนจนถึงท้ายขบวนก็ไม่พบคนที่ตัวเองตามหา
อยู่ไหน…อยู่ไหน…
นี่มันนรกอะไร…
ภาพตรงหน้านี่มันอะไร…
เหมือนกับจมอยู่ในความคิด ตอนนี้รีไวรู้สึกเหมือนรอบตัวมีแต่ความเงียบกับความหนาวเย็นที่มาเกาะกุมหัวใจ
ถ้าเขาไปสู้ด้วย…คนเหล่านั้นจะไม่ต้องตายรึเปล่า
เขาจะช่วยได้รึเปล่า
แล้วเจ้านั่นก็จะมีชีวิตอยู่ แล้วมายืนทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวตรงหน้าเขารึเปล่า
มันคงเป็นอย่างนั้น…
เพราะเขาแข็งแกร่ง….
เหมือนพระเจ้ากำลังเล่นตลก ตัวเขาที่หนีออกมาจากสังคมไม่คิดจะทำอะไรเพื่อใครนอกจากตัวเอง กลับถูกใครก็ไม่รู้มาเจอตัวแล้วตามตื้อแม้จะรู้ว่าไม่มีทางสำเร็จก็ตาม แถมลูกตื้อแต่ล่ะครั้งก็ไม่เคยซ้ำแบบจนหลายครั้งเขาเกือบใจอ่อนไปกับความเจ้าเล่ห์หน้าตายของมัน
เขาจึงต้องกลบเกลื่อนด้วยอัดมันไปทีสองที แน่นอนอีกฝ่ายไม่เคยอยู่เฉยพยายามหลบหลีกหมัดและลูกเตะของเขา
แต่รีไวน่ะแข็งแกร่ง
ภาพที่เห็นจนติดตาผู้คนในแถบนั้นในช่วงหนึ่งสัปดาห์จึงเป็นภาพคนตัวใหญ่โดนคนตัวเล็กจับเหวี่ยงจนลอยเหนือพื้น แต่คนโดนจับเหวี่ยงกลับไม่มีสีหน้าโกรธแค้นแต่อย่างใดกลับกันใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
ราวกับได้เจออัญมณีที่มีค่า พร้อมรับการเจียระไน
นี่ก็แผนของแกสินะไอ้คนเจ้าเล่ห์…แกรู้ใช่ไหมว่าฉันต้องมาตามหาแก…
แกรู้ใช่ไหม…ว่าถ้าฉันเห็นภาพแบบนี้ฉันจะทำอะไรต่อไป…
ถ้าหากเขาแข็งแกร่งที่สุด เขาก็จะยกให้เจ้านั่นเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ที่สุด
ที่สามารถทำให้เขาเหมือนจะเป็นบ้าได้ในตอนนี้ เสียงของมันยังดังก้องในหัว เสียงที่มันใช้เพื่อชักชวนเขาให้เป็นทหาร
‘นายไม่สนใจจะเข้ามาเป็นทหารหน่วยสำรวจเหรอ’
ถ้าภาพที่เขาเห็นอยู่นี่คือความเป็นจริง… แสดงว่าที่ที่เขาอยู่ก็ไม่ต่างกับกรงขังที่สักวันจะกลายเป็นนรก
‘นายไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงที่นี่เลยหรือ? นายไม่คิดอยากจะได้อิสระที่แท้จริงหรือ?’
ถ้าหากที่นี่กำลังจะกลายเป็นนรก…ฉันก็จะหยุดมันเอง
‘นายน่ะแข็งแกร่ง พลังของนายเป็นสิ่งจำเป็น รีไว’
เจ้าบ้า…ชวนคนอื่นแต่ตัวเองกลับหายไปซะเองเนี่ยนะ รีไวคิด ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตาของตัวเองกำลังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
ไม่เอา… อย่าหายไป
“รีไว” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเรียกสติของคนที่จมอยู่ในความคิด “คิดอยู่แล้วว่านายต้องมา พอดีฉันเห็นนายยืนอยู่ตรงนี้เลยขอแยกขบวนออกมาหาน่ะ…” เอลวินพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาสบเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าใบหน้านั้นไม่ได้เปื้อนด้วยน้ำตา
“แกเอาอะไรมาให้ฉันดู…” เสียงนั้นแหบแห้งราวกับพยายามที่จะเปล่งออกมา รีไวสูดหายใจกอบกอยอากาศช้าๆ “นี่มันนรกอะไร…” มือเล็กๆนั้นค่อยๆยกสูงขึ้น เอลวินมองตามมือนั้นก่อนตัดสินใจหลับตาลงเพราะคิดว่าเรื่องคงจบโดยการโดนอัดแบบทุกครั้ง
รีไวคงรู้ตัวว่าถูกเขาหลอกล่อออกมาให้เห็นภาพทีมสำรวจที่เจ้าตัวไม่คิดจะดูด้วยคำพูดที่ว่าตัวเขาต้องออกไปนอกกำแพง ทั้งๆที่เขาไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องบอกคนตรงหน้าแท้ๆ หายตัวไปซะเฉยๆก็ยังได้
มันเป็นจิตวิทยาง่ายๆของมนุษย์ที่อยากรู้ว่าคนที่ตัวเองรู้จักแม้เพียงผิวเผินเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เอลวินอยากให้รีไวเห็นภาพเหล่านี้…เพราะเขารู้ดีจากการที่สังเกตมาหลายครั้ง
นอกจากแข็งแกร่งแล้ว รีไวน่ะใจดีแม้จะไม่ค่อยแสดงออกก็ตาม…
การมีเรื่องแต่ละครั้ง ไม่ใช่ทำเพราะความคึกคะนองของเด็กตามที่คนทั่วไปเห็น ทุกครั้งที่เขาสู้จนเรื่องราวใหญ่โต เขามักมีสิ่งที่จะปกป้องเสมอ…
บางครั้งสุนัข แมวจรจัดอาจจะเห็นเด็กคนนี้เป็นวีรบุรุษไปแล้วก็ได้
แปะ…
สัมผัสที่ได้ไม่ใช่ความเจ็บปวดอย่างที่คิด แต่กลับเป็นความอบอุ่นจากมือของคนตัวเล็กที่บัดนี้วางอยู่บนอกของเขา เอลวินลืมตาขึ้น มองคนตรงหน้าที่ทำอะไรเหนือความคาดหมายด้วยความประหลาดใจ หัวใจที่อกซ้ายยังคงเต้นสม่ำเสมอบ่งบอกถึงชีวิตทำให้รีไวเม้มริมฝีปากแน่นก่อนเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาจากลำคอ
“ยังมีชีวิต…”
“หืม” เอลวินเปล่งเสียงด้วยความฉงน
“ยังมีชีวิตอยู่…ฮึก” เสียงพูดเริ่มกลายเป็นสะอึกสะอื้น จนเอลวินเริ่มทำตัวไม่ถูก เขาเคยเจอปัญหามากมายก็จริง แต่เรื่องเด็กร้องไห้นี่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่เลยทีเดียว เอลวินถอนหายใจเบาๆก่อนคุกเข่าลงโอบร่างคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมกอดก่อนโยกตัวไปมาเบาๆราวกับจะปลอบให้เด็กที่ปกติเข้มแข็งหยุดร้องไห้สักที
บางครั้งความแข็งแกร่งและเข้มแข็งนี้ก็ทำให้เอลวินลืมนึกไป
ว่าคนตรงหน้านี้ยังเป็นแค่เด็ก…
“กลับบ้านนายกันนะรีไว” ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่เอลวินก็รู้สึกได้ว่าหน้าที่ซบอยู่ที่อกของเขาผงกลงเหมือนตอบรับคำถามของเขา
รีไวนั้นได้แต่ส่งเสียงสะอึกสะอื้น กอดคนตรงหน้าแน่นขึ้นเมื่อร่างทั้งร่างถูกอุ้มขึ้นราวไร้น้ำหนัก
มันอุ่น… นี่คือสิ่งที่เขารับรู้ได้ในตอนนี้…
…
……
ตอนนี้พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว พระจันทร์เต็มดวงจึงลอยเด่นเปล่งแสงสีขาวนวลไปทั่ว พร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่านไป
เสียงสะอึกสะอื้นหายไปแล้ว พร้อมกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนในอ้อมกอด ร่างเล็กๆนิ่มๆผิดกับพลังอันแข็งแกร่งที่มีทำให้เอลวินยิ้มอย่างอ่อนใจ ตอนนี้เขาเดินมาถึงบ้านของคนที่กำลังหลับแล้ว เขาขยับตัวหยิบกุญแจในกระเป๋าของรีไวอย่างเบามือเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กตื่นก่อนไขเข้าไปในบ้าน
บ้านที่ใหญ่เกินไปสำหรับหนึ่งชีวิตที่อยู่คนเดียว
เอลวินค่อยๆวางร่างเล็กลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา จัดท่านอนให้เข้าที่ ก่อนสำรวจห้องโดยรอบ
ห้องนี้สะอาดมากจนไม่อยากเชื่อว่า เด็กคนเดียวจะเป็นคนดูแล
เอลวินเดินกลับมาทีเตียงให้มือของตนเกลี่ยผมของคนที่หลับอย่างเบามือ แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อคนที่ควรจะหลับอยู่กลับยกมือขึ้นมาจับมือของเขา พร้อมลืมตาคู่สวยที่ติดแววดุขึ้น
“นายชื่ออะไร…”
คำถามนี่ทำให้เอลวินแทบหลุดขำ เมื่อคิดย้อนกลับไป เขาก็ไม่เคยบอกชื่อให้คนตรงหน้ารู้จริงๆ
“นายน่ะมันซื่อบื้อ คิดจะเกลี้ยกล่อมคนอื่น ชื่อตัวเองก็ไม่รู้จักบอก คะแนนติดลบตั้งแต่เริ่ม”
นั่นสินะ เขาพลาดไปจริงๆ
“เอลวิน สมิธ” เอลวินตอบ
รีไวนิ่งเงียบไป สีหน้าราวกับคนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะยกตัวขึ้นจากท่านอนมาเป็นท่านั่งคุกเข่า พร้อมกำมือขวามาทาบตรงตำแหน่งหัวใจของตัวเอง…
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านมาทางหน้าต่างกระทบผิวของร่างคนที่อยู่บนเตียง ภาพตรงหน้าเอลวินราวกับเป็นมนต์สะกด
“ฉัน รีไว จะทำตามความต้องการของ เอลวิน สมิธ”
เสียงที่ดังออกมาแม้ยังติดโทนแหลมของเด็กที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดี แต่กลับน่าฟังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ฉันจะหยุดนรกนั่น”
บรรยากาศโดยรอบทำให้เอลวินเผลอกลั้นหายใจ
“ฉันจะเข้าทีมสำรวจ”
พร้อมหัวใจที่เต้นระรัวขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ…
คำพูดนั้นเขายังจำมันได้
เพราะเขาพูดมันออกมาด้วยตนเอง
แต่เวลานั้นผ่านไปเท่าไรแล้วนะ
ทำไมนรกยังไม่หายไปเสียที
“นายร้องไห้อยู่เหรอ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น ทำให้รีไวต้องรีบปาดน้ำตาของตัวเองออก ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้วจากเด็กตัวเล็กๆคนนึงกลายเป็นชายหนุ่มและได้เดินเข้าสู่ตำแหน่งความหวังของมนุษยชาติ
น่าขัน ที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นความหวังกลับมานั่งแอบร้องไห้คนเดียว
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” คนตัวเล็กส่งสายตาไม่สบอารมณ์ไปให้ เอลวินทอดมองคนที่นั่งอยู่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนเช่นทุกครั้งก่อนทรุดนั่งลงที่ข้างตัวแล้วโอบกอดเด็กขี้แยมาแนบอก ก่อนเชยคางขึ้นมาจูบซับน้ำตา
ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…
รีไวก้มหน้าลงก่อนซุกไปยังแผ่นอกที่กว้างกว่าเมื่อก่อน นิ่งเงียบไป เอลวินเองก็ตัดสินใจที่จะเงียบและรอจนกว่าอีกฝ่ายจะพูดระบายออกมาเอง
“ตาย..” เสียงที่ดังออกมากทำลายความเงียบนั้นแผ่วเบาราวกระซิบ เอลวินกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น ก่อนก้มหน้าลงสูดกลิ่นจากเรือนผมคนในอ้อมกอดราวกับกำลังปลอบประโลม
“ฉันช่วยไว้ไม่ได้อีกแล้ว…”
หลายครั้งที่เขาพยายามเข้มแข็ง
และเขาก็ทำได้ดี
แต่เมื่อเขากลับตาลง
หลายครั้งเขาก็ฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมา
ภาพเหล่าลูกน้องที่ตายไป…
“นายทำได้ดีแล้วรีไว”
มีคนคนเดียวที่รู้ทุกอย่าง
คนที่คอยอยู่ข้างๆเขา
คนที่ตอนนี้เขารักจนหมดหัวใจ
“ผ่อนคลายซะ” ว่าเสร็จเอลวินก็เชยคางของคนในอ้อมกอดขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนก้มลงประทับจูบลงไปอย่างแนบแน่น สองมือเลื่องมาประคองใบหน้าของอีกคนไว้มั่นก่อนใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้า
“เอลวิน…” เสียงเรียกชื่อนั้นแผ่วเบาและอ่อนหวาน น้อยครั้งที่จะได้พบรีไวในสภาพเช่นนี้
คงถึงขีดสุดแล้วจริงๆ…
“ทำให้ฉันลืมที…”
มอบให้ทั้งตัวและหัวใจนี้
เดิมพันทุกอย่างไว้ที่นาย
แต่ว่า… ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ที่นายเปลี่ยนไป
หลังจากนั้นก็ผ่านมาอีกหลายปี
ทีมสำรวจประสบความสำเร็จมากขึ้น…
กำลังจะได้รับรู้เรื่องราวของไททันมากขึ้น
ได้รับเอเลน เยเกอร์มาอยู่ภายใต้การดูแลและได้ออกไปนอกกำแพงอีกครั้ง
ภารกิจล้มเหลว…
อยากหัวเราะสมเพชตัวเอง ภารกิจล้มเหลวพร้อมกับชีวิตลูกน้องของเขาที่ตายไป…เขาช่วยเอเลนออกมาได้ แต่กับคนอื่นนั้นไม่…
แถมตัวเองก็บาดเจ็บ เพราะช่วยทหารหญิงอัจริยะไว้จากไททันตัวเมียจนต้องมานั่งพักฟื้นอยู่กับที่บนเก้าอี้ในห้องของตัวเอง
แอ๊ด…
เสียงเปิดประตูดังขึ้น รีไวเหลือบไปมอง ก็เห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตากำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก
“ฮันซี่บอกว่านายบาดเจ็บ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความโกรธ กับให้รีไวเมินสายตาหนีไปอีกทาง
“ใช่…” เขาตอบรับ “แล้วไง”
ไม่มีเสียงตอบกลับจากเอลวิน แต่กลับเป็นแรงกระชากที่ทำให้ร่างทั้งร่างของรีไวล์ลอยขึ้นเหนืออากาศก่อนถูกเหวี่ยงไปที่เตียงอย่างรุนแรง
เจ็บจนจุกแต่ก็กลั้นเสียงไว้ รีไวเงยหน้าไปสบตากับเอลวินที่ขึ้นมาคร่อมร่างของตนอย่างดุดันไม่แพ้กัน
“ได้ยินว่านายบาดเจ็บเพราะช่วยมิคาสะ แอ็คเกอร์แมน”
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่นายมองข้ามชีวิตไป
มองข้ามชีวิตของคนอื่น
เพื่อเมืองที่เน่าเฟะนี้
“นายเป็นเด็กไม่ดี รีไว” เอลวินกระซิบที่ข้างหูรีไวล์ก่อนงับเข้าไปจนคนที่อยู่เบื้องล่างสะดุ้งจากความเจ็บที่เริ่มเกิดขึ้นก่อนกรีดร้องหนักขึ้นเมื่อมือใหญ่เลื่อนไปยังบริเวณหาของตนแล้วกดย้ำลงไปบนจุดที่บอบช้ำเต็มแรง
“อึก…อ๊า!!!!!!!!!!!”
ใช่ เพราะเขาช่วยคนอื่นตัวเองจึงต้องบาดเจ็บ แต่…
“เพราะนายนั่นแหละ…” ร่างสูงใหญ่ชะงักเมื่อรีไวพูดขึ้นมา “ไม่สิ…ทุกคนตาย…เพราะฉันเชื่อนาย”
ถ้าเขาอยู่ตรงนั้น ทุกคนจะรอดรึเปล่านะ
หลายต่อหลายครั้งที่เขาคิดแบบนี้ จนทำให้เขาเผลอคิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุด…
เอลวินสั่งให้เขาไปเติมแก๊สก่อน โดยระหว่างนั้นก็ให้ลูกน้องที่มีเอเลนอยู่ด้วยเป็นเหยื่อล่อไททันตัวเมีย และดูเหมือนเอลวินจะรู้อยู่แล้วว่าไททันตัวเมียนั้นต้องการจะจับเอเลนไม่ใช่ฆ่า แต่คนที่เหลือนั้นโอกาสรอดแทบเป็นศูนย์
“นายกำลังคิดอยู่สินะว่าถ้านายอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก ลูกน้องของนายคงรอด” เอลวินพูดขึ้นพลางสบตารีไวอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมนายไม่คิดกลับกันบ้าง” เอลวิลเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ถ้านายอยู่ตรงนั้นแล้วตายเพราะแก๊สหมดจะทำยังไง”
คำพูดนั้นทำให้รีไวได้แต่หัวเราะ
“มันจะไม่มีวันนั้น…”
ใช่…ไม่มีวันที่จะเป็นแบบนั้น
“เพราะว่าฉันแข็งแกร่งยังไงล่ะ”
เหมือนทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบ มีแต่เสียงลมหายใจของคนสองคนในห้องเท่านั้น
“นายเปลี่ยนไปรึเปล่าเอลวิน…” รีไวเอ่ยถามพลางทอดมองไปยังคนที่คร่อมเขาอยู่และเป็นคนเดียวที่เขาจะยอม คนตรงหน้าเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “ฉันน่ะแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้เลือดเย็นแบบนาย….ในตอนนี้”
“หึ” คำตอบกลับมีแต่เสียงหัวเราะในลำคอเท่านั้น เอลวินมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่แข็งกร้าวขึ้น “นั่นสินะ…”
แรงบีบที่ข้อมือกับต้นขาเริ่มมากขึ้นจนรีไวล์นิ่วหน้า “ก็ฉันมันเลือดเย็นนี่นา…” เสียงทุ้มดังคลอเคลียบริเวณหู รีไวรู้สึกเสียววูบจนเกร็งกาย “ตอนได้ยินว่านายบาดเจ็บฉันน่ะแทบบ้า”
“เป็นทหารจะบาดเจ็บมันก็เรื่องปกติไม่ใช่รึไง….อึ๊ก!!” แรงบีบที่มากขึ้น ทำให้รีไวล์รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าโกรธจริงๆ ร่างสูงใหญ่กดตัวลงทาบทับร่างของเขาจนสภาพเหมือนจะจมลงหายไปกับเตียงก่อนถูกประกบริมฝีปากลงแนบแน่นจนไม่มีช่องให้หายใจ ความรู้สึกเจ็บแล่นขึ้นมาเมื่อฝันคมขบกัดริมฝีปากจนเลือดไหล
“เดี๋ยว…เอลวิน…อื้อ!!”
เมื่อก่อนนั้นเอลวินใช้หัวสมองของตัวเองเพื่อกำจัดไททัน ไม่ว่าจะสูญเสียผู้คนไปมากแค่ไหนก็ตาม
มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ…
ที่เขาจะไม่ยอมให้ร่างเล็กในอ้อมกอดนี้เป็นอะไรไป จะไม่ยอมให้ใครมาพรากจากไป
“จ..เจ็บ!” เสียงร้องครวญครางนี้จะต้องเป็นของเขาคนเดียว
มันอาจจะเปลี่ยนตั้งแต่วันที่เด็กตัวเล็กๆคนนึง คิดจะเข้าทีมสำรวจ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา… โดยที่เจ้าเด็กคนนั้นไม่รู้เลยว่าทำให้หัวใจของคนเลือดเย็นเริ่มบิดเบี้ยว
“ฉันเลือดเย็นมานานแล้วล่ะ รีไว…” เอลวินพูดขึ้นพร้อมกับเสียงครางไม่ได้ศัพท์ของคนเบื้องล่าง “เพื่อมนุษยชาติ…ถ้ามีสิ่งใดต้องเสียสละ ฉันก็จะยอมเสีย แม้ว่าจะเป็นตัวฉันเอง” มือใหญ่ขยับไปกอบกุมใบหน้าเนียนนั้นมาแนบชิด รีไวหอบหายใจหนักจนเอลวินรับรู้ได้ “มีแต่นายเท่านั้น…”
ตาของพวกเขาสบกัน
“ที่ฉันจะไม่ยอมให้เป็นอะไร” เหมือนหัวใจมันอุ่นวาบและเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ รีไวมองหน้าของเอลวินอย่างไม่เข้าใจ เอลวินยิ้มให้ก่อนพูดต่อเสียงแผ่ว “รู้ไหม..ตอนที่นายบอกว่าจะเข้าทีมสำรวจ ตอนนั้นใจฉันแทนที่จะดีใจกลับกลัว…”
“ตลกใช่ไหม ตัวเองเป็นคนชวนเองแท้ๆ” เอลวินหัวเราะไม่ใช่เพราะตลกอย่างที่พูด แต่เพราะสมเพชตัวเองแต่การกระทำทุกอย่างก็หยุดลงเมื่อ ร่างเล็กในอ้อมแขนนั้นโอบร่างของตนกลับ
“พอแล้ว…” เสียงนั้นเหมือนปลอบประโลม “ไม่ต้องพูดแล้ว”
ต่อให้นายจะเลือดเย็นแค่ไหน จะเจ้าเล่ห์แค่ไหน
แต่ฉันก็ไม่มีวันเปลี่ยน
รัก…รักมากเหลือเกิน
“รีบรีบทำให้ฉันหายเศร้าเร็วๆสิ เอลวิน”
แม้ว่าเส้นทางข้างหน้ามันจะแสนขมขื่นก็ตาม
……………………………….
จบ
เขาโหวตกันว่าจะเอา SM อืม SM แต่พอไม่มีเรทแล้ว SM ไม่ถูกเลย (เลว)
เลยยำๆกัน มุ้งมิ้ง SM และมาม่า เอิ้กกกกก
สกิลแต่งเรทมันต่ำมาก เลยแต่งได้แค่นี้แหละค่ะ เขิน ไม่ไหว (แทบม่เรทเลย มีแต่จูบกับกัด(?)
อยากลองแต่งตอนพึ่งเจอกันครั้งแรกด้วย จิ้นล้วนๆ ค่ะกร๊ากกกกกกกกกก
ขอบคุณที่หลงมาอ่านค่า
ผลงานอื่นๆ ของ Mook_Kung ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Mook_Kung
ความคิดเห็น