ตอนที่ 49 : ✖ EP.46 ✖
หนึ่ง...อสรพิษ
สอง...มนุษย์
การอยู่เหนือลมมักจะได้เปรียบ และยิ่งสายตาที่มองเห็นชัดในความมืดด้วยแล้วต้องบอกว่ามากกว่าคำว่าได้เปรียบ...
กลางคืนกินกลางวันเข้าไปจนกลายเป็นความมืดที่แสนยาวนาน หมอกควันคลุมตัวหนาแน่นยิ่งขึ้นเพราะอากาศที่เย็นจะแทบจะกลายเป็นติดลบ
ผิดกับดวงตาสีเหลืองนวลที่เหมือนมีเปลวเพลิงใหลเวียนอยู่ในนัยตาของร่างที่สูงชะลูดแม้ว่ามันจะมองดูด้วยความเปล่าเหมือนอุโมงค์ที่หาปลายทางไม่เจอ ชานยอลกำลังมองสิ่งที่อยู่นอกกำแพงอย่างตั้งใจมากกว่าข้างในบ้านที่เหมือนกำลังเริ่มเปิดศึกสงครามขนาดใหญ่...ที่คงจะน้อยกว่าไอ้พวกที่กำลังกรูกันเข้ามาในเขตของเขาแบบไม่ได้ส่งการ์ดเชิญให้เป็นกิจลักษณะ
จงเว้นว่าง ละสายตา และหยุดความสนอกสนใจความอึกทึกครึกโครมที่รังสรรค์โดยมวยคู่ไหนซักคู่เอาไว้ข้างหลังก่อน
แม้ว่าไอ้ตัวใหญ่มันจะอยู่ข้างในเดินเล่นอยู่ในสุสานเตรียมหาพื้นที่ยัดตัวเองใส่ลงจำปาแล้วฝังลงดิน แต่ไอ้พวกที่กำลังตรงเข้ามามันก็ต้องคอยเฝ้าดูไว้อย่างอย่าให้คลาดสายตา
ที่นี่จะต้องพังพินาจ...ถ้าปล่อยให้มันเข้ามา...เย๊อะเกินไป
หรือว่ายังไงดีล่ะ?
“มันมีเย๊อะกว่าที่คิด” จุนมยอนกวาดสายตามองการเคลื่อนไหวของพวกสี่ขา ไม่สามารถระบุจำนวนได้ว่าเท่าไหร่ แต่จุนมยอนคาดว่ามันคงไม่ใช่หลักสิบ “มันเคลื่อนไหวเร็วเกินไป”
“ถือว่าฟื้นฟูกองทัพกับทำการบ้านมาดี” ผู้อายุน้อยกว่าทำหน้าตาไม่หือไม่อือเอ่ยชมฝ่ายตรงข้ามให้พอเป็นมารยาท
ต้องยอมรับว่าพวกนั้นเคลื่อนไหวเร็วอย่างแทบไม่เห็นฝุ่นแถม ยังนึกเล่น ๆ เลยด้วยซ้ำว่าแทคฮยอนไปซ่องสุมพวกลิ่วล้อออกอุบายยังไงถึงได้มีเด็ก ๆ เป็นฝูงใหญ่ขนาดนั้น ขนาดว่าตายไปเกือบหมดวงจรอุบาท แต่ถ้าให้เดาแบบมั่ว ๆ หรือโง่ ๆ ทั้งชานยอลและจุนมยอนก็คงคิดว่าไอ้พวกที่เหลืออยู่ก็คงรีบผลิตลูกหลานให้ทันใช้งาน และแน่นอนว่ามันเป็นไปแทบไม่ได้นอกเสียจากมันกัดเหยื่อให้เป็นแบบเดียวกับมันมากกว่าเอามาเป็นอาหาร “แต่ก็ยังไกลจากที่นี่มากโข”
“แต่ถ้ามันเคลื่อนไหวได้เร็วอย่างลืมเหนื่อยแบบนี้ก็ถือว่าประมาทไม่ได้”
ซูโฮจ้องมองไปยังการเคลื่อนไหวที่เคลื่อนตัวมาเรื่อย ๆ ปกติของพวกไรแคนท์เคลื่อนไหวรวดเร็วจนแทบไม่ทิ้งร่อยรอยของพวกมันอยู่แล้ว แต่ก็อย่างนั้นแหละ ซูโฮและชานยอลทำได้แค่มองดูการเคลื่อนไหวของพวกมันเฉย ๆ ทำเหมือนกับไม่รู้ไม่เห็นถึงการมาของแขกสำคัญ
และการที่อยู่เหนือลมและมีหมอกหนาทึบมาคอยช่วยนั่นยิ่งทำให้พวกมันไม่สามารถรับรู้กลิ่นของเจ้าของบ้านได้ดีนัก..แต่ก็นั่นแหละ ก็ยังชะล่าใจมากไม่ได้
“แทคฮยอนมันรอเวลานี้จริง ๆ” ซูโฮว่าพรางแหงนมองท้องฟ้าสีดำที่มีดวงจันทร์ลอยประดับฟ้าดวงใหญ่อย่างเต็มดวง “รอให้ถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง อ่า..ไม่สิต้องบอกว่าคืนพระจันทร์ทรงกรด”
“แต่เหมือนจะลืมไปว่าตัวที่แข็งแกร่งกว่าไม่ได้มีแค่มัน” ชานยอลแสยะยิ้มร้ายอย่างขบขัน ก่อนจะชูแขนขึ้นกลางอากาศเมื่อสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่แต่คงไม่เท่าแพมธ่อมบินโฉบกระพือปีกเปลวเพลิงมาหยุดตรงหน้า
“ถ้าอาซ้อไม่ลืมว่าตัวเองกลายร่างได้ไปแล้วน่ะนะ” ชานยอลพูดอย่างติดตลกก่อนจะยื่นมาไปหยิบจดหมายจากจงอยปากของสัตว์เลี้ยงแสนรัก ค่อย ๆ แกะครั่งที่ปิดประทับจดหมายออกอย่างไม่เร่งรีบ ไม่อยากทำลายความประณีตที่ญาติมิตรอุตส่าห์เขียนจดหมายและตีตราประทับมาให้พังเดี๋ยวจะกลายเป็นทำลายความตั้งใจคนส่ง
ก็แหม...จองแดฮยอนอุตส่าห์เขียนจดหมายมาให้เลยนะ
แต่พอได้เปิดอ่านเนื้อในของจดหมายอ่านไม่อย่างไม่ต้องจับใจความอะไร กระดาษที่เสียเวลาอ่านก็กลายลุกไปด้วยเปลวไฟเล็ก ๆ แล้วค่อยกลายเป็นขี้เถ้าไปโดยไม่มีข้อกังขา
ก็ถ้าในจดหมายที่อุตส่าห์เขียนมาจะบอกแค่ว่า “ฝากบอกแบคฮยอนด้วยว่าดายองงีคิดถึง”
“แบคฮยอนนี่มีเสน่ห์กับเด็กอายุห้าขวบจริง ๆ”
“ก็ถ้าดายองลองมาเห็นแบบที่ลอแรนซ์เจอก่อนแล้วอาจจะถอนคำพูด” ชานยอลทำเสียงเนือยตอบซูโฮที่เริ่มตีหน้านิ่วคิ้วขมวดพยักเพยิดหน้าให้เด็กตัวสูงมองตามตัวเอง
“มาพร้อมกับกลิ่นซากศพจริง ๆ ” ชานยอลส่ายหัวอย่างไม่ชอบใจนัก เคลื่อนตัวรวดเร็วมันก็เป็นเรื่องดีที่ชานยอลเอ่ยชมแต่ไอ้กลิ่นสาบหมาพวกนี้นี่บอกตามตรงว่าไม่ชอบเลยจริง ๆ
มันคงไม่ได้ไปกินซากศพจากที่ก่อนมาที่นี่หรอกนะ ไม่อย่างนั้นก็คงได้หวั่นใจกับคยองซูจริง ๆ ว่าจะผ่านการวัดสภาพจิตใจไปยังไง
แบคฮยอนไม่ชอบการทะเลาะวิวาท ซึ่งนั่นเป็นนิสัยของเจ้าตัวตั้งแต่ไหนแต่ไร หรือแม้แต่ตอนนี้ก็ตามที่คุณหมอที่เคยประจำการรักษามนุษย์และเหล่าฮันเตอร์กำลังประสบปัญหา
แบคฮยอนไม่ชอบการทะเลาะวิวาท และตอนนี้ก็ชักเริ่มจะไม่โปรดปรานกับอะไรที่ทำให้หงุดหงิดลูกตาและอารมณ์ที่เจ้าตัวเริ่มจะควบคุมเอาได้ไม่อยู่นัก
แค่เห็นผู้หญิงที่เขาเองก็ไม่ได้รู้จักมักจี่ที่กำลังฟาดงวงฟาดงาเอ็ดตะโรทำลายข้าวของจนไม่เหลือความเป็นกุลสตรีที่จ้องจิกตาใส่ตัวเองถึงแม้มันจะแค่เดี๋ยวเดียวแล้วเปลี่ยนมายิ้มฝืด ๆ ให้ แบคฮยอนก็แทบสติแตก
และก็เพราะแววตาคนเรามันไม่เคยโกหก และแบคฮยอนก็รู้ได้ว่าผู้หญิงอย่างจองซูยอนก็ไม่ได้คิดที่จะมาดีกับตัวเองนัก แบคฮยอนรู้สึกมันได้ตั้งแต่เห็นเธอครั้งแรก ไอ้วันที่เธอโผล่หัวเข้ามาให้เห็น ตอนที่แบคฮยอนเกือบที่จะกัดดายอง แถมกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เธอเข้ามาในห้องนอนของตนด้วยอย่างถือวิสาสะ
และแน่นอนว่าแบคฮยอนก็ไม่ต่างกับจองซูยอน เขาไม่ชอบเธอ ไม่รู้สิว่าทำไมถึงมีความรู้สึกโกรธเกลียดอย่างแรงกล้าออกมาจากดวงตาอย่างไม่มิดชิดในการปกปิด เฉกเช่นเดียวกันกับที่เจสสิก้าก็ใช่สายตาที่ไม่ต่างกันนักถึงแม้จะเปลี่ยนสีหน้าแล้วก็เถอะ
“ไปซะตอนที่ผมยังดี ๆ อยู่” นี่อาจจะเป็นคำเตือนครั้งแรกของแบคฮยอน และมันเป็นครั้งแรกที่ใช้กับผู้หญิงตรงหน้าที่ปรี่ตรงเข้ามาหา
“จะทำอะไรฉันหรอแบคฮยอน ? โถ่! ไม่เอาน่า อย่าพูดกับฉันแบบนี้สิ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอเลยนะ”
โกหก!!
แล้วมือที่คว้าหมับที่แขนแล้วบีบเขาแน่นแบบนี้ล่ะ มันคืออะไร ?
“เอามือของคุณ...ออก...ไป” แบคฮยอนเน้นย้ำที่ละคำพูด ดวงตาฉายแววอย่างไม่เป็นมิตรกับมือไม้ที่เริ่มสั่นและฝืนแรงบีบจากฝีมือหญิงสาวที่เหมือนคีมเหล็กและยิ้มหยันใส่
“ถ้าฉันไม่ปล่อย เด็กที่ถูกเปลี่ยนอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้ แบคฮยอน” ซูยอนไม่ได้สนใจอารมณ์ของเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอมาโขนัก เด็กแค่นี้จะสู้อะไรเธอได้กันล่ะ เธอรู้ว่าชานยอลไม่ปล่อยเธอไว้แน่ถ้าเธอทำอะไรให้เด็กนี่เป็นแผลแม้แต่เล็บข่วน แต่ที่นี่ไม่มีชานยอล ทำไมเธอต้องใส่ใจเพราะยังไงซะศักดิ์ของเธอก็คือคู่หมั้นของพี่ชายที่ชานยอลต้องเกรงใจอยู่บ้างนั่นแหละ
แต่ถ้าชานยอลเกรงใจ ก็คงไม่เล่นไม่เอาน้ำสีเลือดมากรอกปากให้เธอเข้าใจว่ามันเป็นเลือดคนตายหรอก
“แน่ใจใช่ไหมว่าจะไม่ปล่อย” น้ำเสียงข่มอารมณ์รอดผ่านไรฟันที่ขบกันแน่นถามให้แน่ใจอีกครั้ง แล้วแบคฮยอนก็แน่ใจโดยที่ไม่ต้องได้ยินเสียตอบจากหญิงสาวเมื่อเธอไม่ตอบแต่กลับจิกเล็บลงไปฝังเนื้อจนของเหลวสีเข้มไหลออกมาเปรอะแขนแล้วไหลหยดลงพื้น
โครม !!
มือของหญิงสาวถูกสะบัดให้หลุดออกจากคุณหมออย่างแรงก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกระชากหลังคอเสื้อของซูยอนแล้วเหวี่ยงร่างของเธอไปชนกับต้นเสาของแรงที่มี แบคฮยอนสะบัดข้อมือที่โชกเลือกอย่างหัวเสียพอ ๆ กับซูยองที่พอพยุงตัวลุกขึ้นปัดผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง
“ก็บอกแล้วว่าให้ปล่อย” แล้วแบคฮยอนบอกไว้ก่อนเลยว่าเขาแค่ป้องกันตัว ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าจองซูยอนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ดวงหน้าหวานก้มมองแขนทั้งสองทั้งสองข้างที่ลอยพรุนจากเล็บของหญิงสาวที่จิกฝังเข้าเนื้อค่อย ๆ ผสานเนื้อกันเข้าที่จนไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน นัยตาของดวงตาคมไร้แววเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวลเหมือนผู้ที่เปลี่ยนชีวิตให้อย่างไม่ได้ร้องขอ เหมือนตอกย้ำว่าตัวเองไม่ใช่แบคฮยอนคนเดิมอีกต่อไป
ไม่ใช่แบคฮยอนที่เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่พี่แบคฮยอนของพวกเด็ก ๆ หรือแม้กระทั้งคุณหมอแบคฮยอนของผู้คนธรรมดากับพวกฮันเตอร์อีกต่อไป
บยอนแบคฮยอนกลับกลายเป็นปิศาจที่ถูกบ่มเลี้ยงโดยปาร์คชานยอล
“..ฮึ!” เสียงสบทเล็ดรอดออกมากับรอยยิ้มที่ดูแคลน แบคฮยอนไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรอีกแล้ว มันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก และถึงต่อให้ย้อนกลับไปได้แบคฮยอนก็ไม่ได้ชีวิตเดิมกลับคืนมา และมันก็ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาคิดเรื่องนี้ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
ช้าไปหนึ่งก้าว
คุณหมอผู้ถูกเปลี่ยนเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องพบแต่ความว่างเปล่าเมื่อซูยอนไม่ได้อยู่ตรงที่ ๆ แบคฮยอนเหวี่ยงเธอกระเด็นไปกระแทกกับต้นเสาอีกต่อไป โถงกว้างกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเหลืออยู่ก็เพียงไอเย็นคละคลุ้งจะกลายเป็นหมอกควันอ่อน ๆ เต็มไปทั่ว แบคฮยอนนิ่งอยู่กลับที่แต่สายตาสอดส่องไปทั่ว สัญชาตญาณที่เพิ่มเข้ามาเองมันบอกให้ระวังและรับรู้ว่าซูยอนไม่ได้หายไปไหนไกล และเธอเองก็ใกล้จนแบคฮยอนไม่ทันได้ระวังตัว
แควก! ฉึก!
เล็บคมกรีดข่วนเข้าที่แผ่นหลังฝั่งซ้ายของแบคฮยอนอย่างจงใจ เแต่ทว่าไร้ร่างระหงของผู้กระทำเมื่อแบคฮยอนหันกลับไปด้านหลังเมื่อถูกโจมตี และแบคฮยอนพลาดมันอีกครั้งเมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองและซ้ำกับที่เดิม
แควก! ฉึก!
“อึก!”
แบคคฮยอนไม่ได้มองโลกในแง่ดีจนขนาดจะไม่รู้ว่าซูยอนตั้งใจโจมตีตัวเองซ้ำที่รอยและให้หนักกว่าเดิม แล้วร่างเล็กก็ปลิวกระเด็นอัดกับกำแพงอย่างจังเมื่อตัวเองยังไม่ทันตั้งตัวดีซูยอนก็โผล่ร่างขึ้นมาตรงหน้าเล่นงานอย่างจัง
“ฮึ!” เสียงหัวเราะฮือฮาค่อนคอดใส่มาจากเพียงอิ่มสวยของหญิงสาว มือเหมือนคีมเหล็กกุมบีบลำคอของคุณหมอติดชิดไว้ให้ลอยเหนือพื้นแล้วลากตัวของคุณหมอครูดลงมากับพื้นเหมือนกับที่ชานยอลได้ทำกับเธอเอาไว้
“สู้สิแบคฮยอน หมดแรงแล้วหรอ? ฮึ!”
แบคฮยอนคงจะฝืนแรงสู้ขึ้นมาได้อยู่หรอกเมื่อซูยอนไม่เปิดโอกาสหรือช่องทางทางกายภาพให้แบคฮยอนขยับตัวได้ พยามยามดิ้นขลุกขลักใช้มือทั้งสองข้างฝืนแรงน้ำหนักที่ฝ่ายตรงข้ามโถมทับเข้าใส่ พอขาสองข้างพยามยามยกเตะยันร่างบางของหญิงสาวที่แรงมหาศาลกว่าผู้หญิงทั่วไปนั่งคร่อมล็อคตัวบีบคออยู่ก็ยกตัวของเขาขึ้นแล้วอัดย้ำลงไปกับพื้นปูนอย่างแรงจนมันเกิดรอยแตกเป็นทางยาวไปตามพื้นโถง ไม่พอเปล่ายังฟาดฝ่ามือเข้าที่ผิวแก้มจนหน้าหัน
“แกรู้ไหมว่าชานยอลก็ทำกับฉันแบบนี้แหละ” ซูยอนกล่าวเสียงเหี้ยม กดย้ำให้ร่างของแบคฮยอนติดกับพื้นไม่ให้ขยับกายไปไหนได้ ดวงหน้าหวานบิดเบ้เหยเกด้วยความเจ็บจุกที่ถูกท่านหญิงแห่งตระกูลจองเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว
“เขากดย้ำฉันแบบที่ฉันทำกับแก แบบนี้” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอื้อนเอ่ยอย่างช้า ๆ กับนิ้วเรียวยาวที่ลูบไล้ตรงลำคอของคุณหมอเหมือนเล่นอยู่กับลูกหมาตัวเล็กที่นอนขดเกรงหมดแรงหายใจหอบเหนื่อย
“ไหนท่านลุงบอกไงว่าเด็กตัวน้อย ๆ อย่างอะไรนะ อ้อ! คุณหมอแบคฮยอนใช่ไหม? ฮึ ๆ แบคฮยอนไม่ใช่ใครที่จะทำอะไรได้” ซูยอนพูดพร้อมแจกรอยยิ้มหวานแต่ลำตัวยังคงคร่อมร่างของดวงหน้าหวานไว้ มือเรียวอีกข้างกดหน้าอกให้หลังติดพื้นขยับตัวไม่ได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้ ก็ทำอยู่นี่ไง
“เราไม่ได้มีเรื่องราวต่อกันท่านหญิงซูยอน” แบคฮยอนกล่าวอย่างนิ่งเหนื่อย พยายามฝืนแรงให้ซูยอนกระเด็นไปไกล ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ แรงของซูยอนมีมากกว่า
“ฉันก็ไม่อยากจะมีเรื่องราวกับแกหรอกแบคฮยอน”
แบคฮยอนจ้องเจสสิก้าด้วยสายตาหยาบกระด้าง และไม่เชื่อแต่คำพูดของเธอสักคำที่ออกมาจากปากของหญิงสาว
“อย่ามองฉันด้วยสายตาอย่างนั้นสิ....ชานยอลไม่สอนหรอว่าไม่ควรจองหองกับผู้ใหญ่ ตอนยังเป็นมนุษย์อยู่ฉันยังเห็นแกยังเป็นเด็กซื่อ ๆ โง่ ๆ ให้น้องชายของคู่หมั้นของฉันปั่นหัวหลอกอยู่เลย”
“แล้วชานยอลไม่เคยบอกหรอว่าอย่ายุ่งกับผม”
ถึงจะฉุกใจคิดเรื่องที่หล่อนพูดเหมือนเคยเห็นเคยเจอร่างโปร่งมาก่อนแต่ก็ไม่ใส่ใจถ้าหญิงสาวเจ้าไม่ต่อประโยคหลังจนให้แบคฮยอนสวนตอบ และแม้จะเพาะบ่มความกรุ่นโกรธเอาไว้เพื่อรอให้ผละออกจากสภาพกึ่งล่อแหลมให้ได้ก่อนแบคฮยอนก็ไม่เคยเปลี่ยนสรรพนามระหว่างเสวนากับเธอ
“เขาฆ่าคุณแน่ถ้าผมเป็นอะไรไป”
“ไปกอบโกยความมั่นใจเหล่านั้นมาจากไหนกันล่ะพ่อหนุ่ม?”
แม้จะวิตกกับประโยคโต้ตอบของแบคฮยอนแต่เธอก็ยังไม่แพ้ใช้ประโยคเย้ยหยันที่เหนือกว่าเข้าข่ม โดยความคิดที่ว่ายังไงเสียเธอก็ยังมีตำแหน่งคู่หมั้นของคริสพ่วงถ้าย แม้ว่าตอนนี้มันจะลิบหรี่ไปแล้วก็เถอะ
ใครใช้ให้พูดถึงชานยอลให้แบคฮยอนได้ยินตอนนี้กันล่ะ แล้วยิ่งเป็นซูยอนที่บุ่มบ่ามเข้าไปในห้องตอนเขากำลังเคลียร์ปัญหาชีวิตกันอยู่ จากที่จะรู้เรื่องแล้วแท้ ๆ กลายเพิ่มความหงุดหงิดให้กับคุณหมอแบคฮยอนที่อามรมณ์แปรปรวณเข้าไปใหญ่
“ก็ขนาดคู่หมั้นของตัวเองเขายังฆ่าได้..กับคนอื่นจะเหลือให้อยู่บนโลกหรอครับ” แบคฮยอนพูดต่ออย่างตั้งใจยั่วโมโหและมันยิ่งได้ผลเข้าไปใหญ่ที่ไม่ได้พูดเปล่าแต่กลับจิกหน้าจิกตาแสยะยิ้มจนเห็นเขี้ยวแหลมทั้งสี่ซี่
แบบนี้เรียกว่าเป็นการกอบโกยความมั่นใจหรือเปล่าล่ะ?
“หุบปากซะไอ้เด็กบ้า!”
ฝ่ามือเรียวง้างขึ้นกลางอากาศฟาดลงที่แก้มของแบคฮยอนอีกครั้งจนได้กลิ่นคาวเลือดที่คงจะมาจากปากอิ่มของเด็กจองหอง
“ฉันไม่อยากจะฆ่าแกหรอกนะแบคฮยอน ถ้าเพื่อนของฉันไม่ตายเพราะโดนคู่หมั้นจับย่างสดเพราะแกคือต้นเหตุ มันไม่มีอะไรเลยนอกจากการแก้แค้นให้กับเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี!”
ทั้งเพื่อน.....และที่รัก
เธอจะไม่กลับมาที่นี่อีกครั้งแน่ถ้าแบคฮยอนตายไปตั้งแต่ตกหน้าผาไปครานั้น เพราะยังไงเธอก็คิดเสียว่าแทยอนตายก็ไปแล้ว ส่วนชานยอลก็เหมือนกับสร้างตาบาปให้ติดตัวเองเพราะความรักที่เกินจะเสียแบคฮยอนยอมทำลายเสียเองดีกว่าให้ใครมาทำร้าย ไม่ได้ตายตามความปรารถนา
คิดว่าจองซูยอนกลับมาทวงสิทธิของการเป็นของรักของอู๋อี้ฟานอย่างนั้นสิ?
คิดผิดถนัด!
เรื่องของจื่อเทามันก็แค่ผลพลอยได้ที่คุยตกลงกับแทคฮยอนเอาไว้ ยืมมือของคริสฆ่าเด็กนั่นเสียจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แต่คิดว่าแทคฮยอนมันน่าไว้ใจได้แค่ไหนล่ะ ? เธอรู้ตั้งแต่เห็นสายตาคริสมองจื่อเทาในคราวแรกที่เธอพาเข้ามาแล้วว่าเจ้าตัวรู้ตั้งแต่แรกว่าจื่อเทาไม่ใช่แค่เด็กมนุษย์ธรรมดา เธอสาบานได้เลยว่าได้ปริปากบอกอี้ฟานสักคำว่าจื่อเทาคือเลือดเนื้อศัตรูที่แฝงเข้ามาแค่เธอโกหกว่าจื่อเทาคือเด็กที่หลงเข้ามาในป่าถามอะไรก็บอกว่าจำไม่ได้ จะจับดูดเลือดกินก็เวทนาเกินจะฆ่าลง มันคือคำโกหกที่แสนจะย้อนแย้งและไม่มีความเป็นไปได้ที่คริสจะเชื่อ แต่เจ้าของปราสาทคนโตก็ทำเป็นเชื่อเสียสนิทใจ
แล้วทำไมจองซูยองจะไม่รู้ว่าสายตาของอู๋อี้ฟานมองฮวางจื่อเทาเป็นแบบไหน มันคือสายตาที่คู่หมั้นของเธอไม่ได้ใช้มองเหยื่ออาหาร ศัตรู หรือมองอะไรที่เป็นทั่วไป เธอจึงลองปล่อยให้อี้ฟานใกล้ชิดกับเด็กเลือดผสมที่โดนแทคฮยอนหลอกปั่นหัวเล่น ซูยอนปล่อยโอกาสให้ทั้งสองอยู่ใกล้กัน ให้เป็นไปตามกลไกของมันเป็นไปเรื่อย ๆ ให้ทั้งสองตกหลุมรักกันไปเอง ก่อนที่ละครฉากสุดท้ายที่เธอจัดฉากขึ้น เหมือนวัดใจกันไปว่าคริสจะทำยังไงกับคนที่ฆ่าของรักอย่างเธอ ถ้าคริสฆ่าจื่อเทาทันทีมันก็เท่ากับบรรลุความต้องการของแทคฮยอน แต่ถ้าไม่ก็แสดงว่าสิ่งที่เธอเห็นมันเป็นจริงว่าคู่หมั้นของเธอรักเด็กเลือดผสมนั่นจริง ๆ จนฆ่าไม่ลง และแน่นอนว่ามันคืออย่างหลัง
แต่ยังไงเสีย ซูยอนก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรอยู่แล้วในเมื่อเธอได้สิ่งที่เธอต้องการคือการจากไปจากที่แห่งนี้และจากสถานะคนรักที่ทั้งเธอและอู๋ฟานต่างจำใจเพราะคำว่าความเหมาะสมมันค้ำอยู่ในคอของพวกอาวุโส ตามจริงอู๋อี้ฟานควรจะขอบคุณเธอเสียด้วยซ้ำไปที่เธอทำแบบนี้ หลังจากนั้นมันก็เรื่องของคริสเองว่าจะสะสางให้เธอยังไง ส่วนแทคฮยอนจะถูกคริสตามฆ่ายังไงก็เรื่องของไอ้ไลแคนท์นั่นเถอะ เพราะถือเสียว่าหมดผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว
สัจจะมันไม่มีในหมู่โจร เช่นเดียวกับพันธมิตรชั่วคราวที่หวังผลประโยชน์
เล็บยาวแหลมกดไปที่ลำคอระหงอย่างค่อย ๆ ผ่านเส้นเลือดใหญ่ให้องเหลวในร่างกายไหลออกมาส่งกลิ่นไปทั่วจนร่างแบคฮยอนดิ้นอย่างทุลนทุลาย มันเจ็บยิ่งกว่าตอนที่โดนชานยอลกัดเสียยิ่งกว่าอะไรอีก!
“อื้อ!!!”
“เอาล่ะหมดเวลาพูดคุยกันแล้วบยอนแบคฮยอน ไปตายได้แล้ว!!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดแผดดังพร้อมง้างมือที่มีเล็บแหลมคมขึ้นกลางอากาศหมายจะใช้มักตัดคอขอคุณหมอให้ขาดกระเด็น แต่ในตอนนั้นเองที่ร่างของเธอถูกกระชากคอหลังเสื้อก่อนที่ร่างของเธอจะโดนเหวี่ยงไปชนกับกำแพงอีกครั้งด้วยฝีมือของ
ฮวางจื่อเทา
“จะนอนเล่นอีกนานไหมแบคฮยอน ลุกสิ!”
เด็กหน้าเหวี่ยงบอกสั่งคุณหมอที่นอนหมดสภาพคล้ายซากศพให้ลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด ก็ยืนมองดูอยู่นานแล้วแหละ แต่ก็น่าจะนานไม่เท่าผู้ฝึกปรือตามติดคุณหมอยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ยืนกอดอกมองดูอยู่จุดอับสายตา ไม่หือไม่อือ ยืนมองอย่างเฉย ๆ แล้วก็เฉยจริง ๆ
“แล้วทำไมต้องมาหงุดหงิดด้วยล่ะ!”
จะตายอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาขึ้นเสียงใส่อีก เดี๋ยวพ่อก็กัดให้คอขาด! นี่อย่าว่ามีไอ้ผีดิบหูกางเป็นแบล็คหนุนหลังก็ใช่ว่าจะกลัวนะ!
เพราะแบล็คของหวงจื่อเทาน่ะเหนือกว่าหลายขุม!
“ก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ขึ้นเสียง แต่พอดีว่าเห็นแล้วมันอดไม่ได้”
เคยเห็นจื่อเทาทำหน้าทำตากวนประสาทใส่ใครบ้างไหม ? ถ้าหากว่ายังก็คงจะได้เห็นตอนนี้กับแบคฮยอนนั่นแหละ ก็เล่นจะสู้ก็สู้ไม่สุดมายืนเป็นเป้านิ่งให้เขาทำเล่นทั้ง ๆ ที่ตอนแรกผลักเขาเสียกระเด็นหัวแทบโขกกับกำแพงให้คอเกือบหัก แล้วลำพังจะให้ยืนมองอย่างที่ไอ้สองพี่น้องฝีดิบพอดีได้มีหวังว่าท่านผู้หญิงจองซูยอนคงจะได้ส่งบยอนแบคฮยอนไปเกิดใหม่
ส่วนซูยอนที่บอกว่าเธอได้กระเด็นไปติดกับกำแพงอีกครั้งเพราะเผลอพลาดท่าให้กับเด็กเลือดผสม แรงปะทะนั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บมากถึงขั้นล้มลงไปนอนแล้วถ่มเลือดที่กบปากทิ้งเพียงแค่ยกมือขึ้นแนบอก
“หวงจื่อเทา!!!”
“วิ่งแบคฮยอน วิ่ง!!”
เป็นเพียงคำสั่งแรกในสมองเท่านั้นที่เด็กเลือดผสมจะนึกออกทันทีที่ซูยอนกรีดร้องอย่างเสียสติแล้วกระโจนตัวมาทางเด็กหนุ่มทั้งสอง แต่ก็อย่างนั้นแหละ แบคฮยอนถึงจะมีแรงมหาศาลแค่ไหนในตอนนี้ แต่ก็ขัดกับคำสั่งของหมาป่าอย่างคนสั่งจนต้องฉุดแขนคุณหมอให้วิ่งไปตามทางกับตน
อยากจะสบทใส่แบคฮยอนให้หายหงุดหงิดแต่ทำไปก็เสียน้ำลายเปล่า กำลังตัวเองก็มีแต่ไม่ยอมสู้หรือจะมาหมดแรงก็ชั่งหมดแรงสู้ได้ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าชานยอลบ่มเลี้ยงแบคฮยอนยังไง อารมณ์และพละกำลังถึงไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้
“หลบอยู่ในนี้ก่อน” จื่อเทาดันคุณหมอที่ตัวเองลากมาด้วยเข้าไปหลบในห้องอาบน้ำห้องสุดท้ายที่มีไว้ให้พวกทหารใช้ ปิดประตูทุกบานที่เปิดออกไม่ให้มีห้องว่างเหลือไว้ก่อนจะดันตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องเดียวที่ตัวเองดันแบคฮยอนให้เข้าไปซ่อนตัว
จื่อเทาไม่ค่อยชอบที่จะมาเล่นเกมวิ่งไล่จับหรือซ่อนแอบโดยที่ตนเองเหมือนตกอยู่ในสภาวะของผู้ถูกล่านัก
“ไม่ต้องถามนะว่าซูยอนจะตามมาไหม”
“ผลักซะ..”
“ชู่วว เงียบ!”
หัวทิ่มขนาดนั่น ประโยคที่คุณหมอพูดไม่จบเพราะจื่อเทาสั่งให้เงียบ เจ้าตัวเลยต้องฟุบปากอย่าง..เฉียบพลัน
อากาศโดยรอบช่างเย็นเฉียบ และเงียบเชียบ ได้ยินก็เพียงแต่เสียงหยดน้ำที่หล่นลงจากก๊อกน้ำที่ปิดไม่ค่อยสนิท เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของสองเด็กหนุ่ม และถ้าหัวใจพวกเขายังเต้น ก็คงจะยินเสียงตึกตักที่ออกข้างซ้ายไปด้วย
เงียบเกินไป...และนานเกินไป
และถ้าว่ากันด้วยเรื่องของการได้ยินตามสัญชาตญาณของนักล่า ....จื่อเทามักจะได้เปรียบเสมอ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบลงพื้นค่อย ๆ ลอดผ่านความเงียบเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนเสียงรองเท้ามาหยุดอยู่ในห้องเดียวกันที่เด็กหนุ่มทั้งสองใช้เป็นแหล่งซ่อนแอบพร้อมกับไอความเย็นที่กำลังแพร่กระจายทั่วทุกพื้นอณูห้อง
แบคฮยอนใช้สายตาลอดมองพื้นที่เปียกน้ำผ่านทางช่องพื้นระหว่างประตู กวาดมองดูอย่างช้า ๆ เพราะน้ำก็เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นของการมีอยู่ของอีกคน
“ไม่มี”
เสียงเบาเหมือนกระซิบใช้พูดกับตัวเอง เพราะเห็นแต่ความว่างเปล่าโดยไร้เงาของหญิงสาวที่ตามล่าเขาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
“มันจะมีได้ยังไงแบคฮยอน”
จื่อเทาตอบกลับอย่างชั่งใจมาสักพัก เพราะถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจะเคยได้ยินยงกุกฮยองเคยพูดให้ฟังว่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกไรแคนท์มีมากกว่าพวกแวมไพร์หรือผีห่าซาตานตนไหน ๆ อยู่อย่างหนึ่ง
‘เงา’
“แวมไพร์น่ะ....มันไม่มีเงาเป็นของตัวเองหรอกแบคฮยอน”
และจื่อเทาก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าตัวของหญิงสาวผู้เกรี้ยวกราดไม่ได้ยืนรอเชือดคุณหมอที่เลือดในกายไม่ปกติอยู่หน้าห้องน้ำแน่ ๆ แต่เธอต้องอยู่ที่ไหนซักที่...ภายในห้องนี้นี่แหละ
แปะ...
แปะ...
อะไรบางอย่างหยดลงมาจากที่สูง หยดลงสู่แก้มของแวมไพร์หมาด ๆ ไม่ใช่หยดน้ำแต่สัมผัสของมันเหนียวหนืดกว่านั้น กลิ่นคาวนี้ทั้งแวมไพร์และไรแคนท์เลือดผสมต่างคุ้นชินมันเป็นอย่างดีจนทำให้คุณหมอฉุกใจแหงนหน้าขึ้นมองบนเพดานสูง
หญิงสาวที่อยู่ในท่าห้อยหัวลงมาจากเพดานสูงแสยมยิ้มเยือกเย็นกับเลือดที่ไหลออกจากปากอิ่มตั้งใจให้มันหยดลงมาที่ใบหน้าของแบคฮยอน
หวี๊ดดดดดดดด
ปาร์ค...ชาน...ยอล..มึงจะทำอะไรกับน้องมึ๊งงง!!! เรากลับมาแล้วนะ หายไปกี่ปีนะ.. ยังไงก็อย่าลืมฝากการสกรีมที่-> #พคล
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ยอมรับว่าไม่ได้แสดงความคิดเห็นเลย ขอโทษนะไรท์
แต่สนุกมากอ่ะ บอกตรง ปกติไม่ค่อยอ่านแนวแบบนี้เท่าไหร่
แต่เรื่องนี้อ่านแล้วชอบมากอ่ะ อยากได้ไว้ในครอบครองเลย
สู้ ๆ นะไรท์ เป็นกำลังใจให้คร้าบบบบ
เหมือนท่านหญิงจะโดคสะใภ้ทั้งสองรุมนะคะ
ที่แน่ๆ อาซ้อร้ายกว่าหลายเท่าเลยล่ะ
ท่านหญิงไม่น่ารอดอ่าค่ะ
คความจริงหายไปแล้วก็ไม่น่ากลับมาอีกเลนะคะ รนหาที่ตายจริงๆ