ความย้อนแย้งหมายเลข 1 (?) - ความย้อนแย้งหมายเลข 1 (?) นิยาย ความย้อนแย้งหมายเลข 1 (?) : Dek-D.com - Writer

    ความย้อนแย้งหมายเลข 1 (?)

    ความไร้สาระในชีวิตของคนย้อนแย้ง หมายเลข 1

    ผู้เข้าชมรวม

    156

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    156

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ตลก-ขบขัน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ม.ค. 56 / 03:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

            การรับประทานอาหารเป็นกิจกรรมยอดเยี่ยมสำหรับผ่อนคลายในทุกยุคทุกสมัย สำหรับผมแล้ว การนั่งทานอาหารที่ชอบบนตึกสูง มองเห็นแสงไฟของกรุงเทพมหานครนับได้ว่าเป็นการผ่อนคลายที่สุดติ่งพอๆกับนอนคว่ำให้ใครที่ฝีนวดชั้นยอดประโคมความสบายใส่ร่างกาย วินาทีนั้นที่ตะเกียบคีบซาชิมิชิ้นบางมาจุ่มกับซอสโชยุเจือด้วยวาซาบิ ต่อมรับรสกำลังเตรียมพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ด้วยการสั่งของสมอง เอ รสชาติของซาชิมิชิ้นนี้อ่อนละมุนเหลือเกิน


                  แต่ เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ความผ่อนคลายของเรากำลังทำร้ายใครอยู่หรือเปล่าหว่า สมองของผมชวนคิดต่อหลังจากเติมเต็มความอิ่มเอมส่วนร่างกายแล้ว ก็ถึงเวลาบริหารสมองกลวงๆเพื่อหาทางเติมเต็มคุณค่าทางจิตใจ (ที่แส่หาเรื่องเอง) เอ เรากำลังทำร้ายใครอยู่หรือปล่าวหว่า

       

             ยังครับ ยังไม่ต้องคิดไปถึงขั้นคนงานประมงค่าแรงต่ำ ที่ต้องเสี่ยงอันตรายออกไปหาปลา แล้วได้แค่เศษเงินมาจุนเจือครอบครัว, คนขับรถบรรทุกขนส่งสินค้าที่ขับข้ามวันข้ามคืน ทำงานอยู่ภายใต้เสี่ยงอันตรายเพื่อส่งความมั่งคั่งให้เจ้านาย, คนงานประมงชายฝั่งที่ถูกคนทำประมงขนาดใหญ่เอาเรือลากอวนไล่ยึดทรัพยากรปลาจนเกลี้ยง หรือ คนงานทำซอสโชยุ หรือ พวกเราโดยรวมที่ต้องแบกรับการจัดการขยะเพิ่มขึ้นจากการใช้วัสดุแบบใช้แล้วทิ้ง หรือ หรือ หรือ หรือ


       

            ยังไม่ต้องคิดถึงถึงขั้นนั้นครับ เอาแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ณ ตอนนั้น.... ณ ตอนนั้นจริงๆ นั่นก็คือ “ปลา” ครับ “ปลา” มีครีบมีหาง ว่ายในน้ำนี่แหละครับ


       

            ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่า ปลาตัวเมื่อกี้ที่ผมเพิ่งกินไปเนี้ย เป็นปลาทู ปลาโอ หรือ ปลาแซลมอน แต่เอาเป็นว่า ปลาชนิดหนึ่งละกัน


       

             ผมนึกกลับไปถึงเรื่องราวการกินเนื้อสัตว์ที่เคยพานพบมา เคยเป็นกันไหมครับว่า ตอนเรากินเนื้อสัตว์ในมื้อปกติประจำวันเนี้ย เราไม่ได้คิดอะไรมากมาย เนื่องจากยังไงเราก็กินอยู่อย่างปกติสุข แต่พอเริ่มเข้าเทศกาลประจำปีอย่างการกินเจ หรือ การทำบุญตักบาตรซักครั้ง เราหันไปปล่อยนกปล่อยปลาหลังจากสะเดาะเคราะห์ล้างความโชคร้ายไป สำหรับผมแล้ววินาทีนั้นความรู้สึกบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในร่างกาย รู้สึกสดใหม่เหมือนได้ชีวิตใหม่มา หน้าตารู้สึกอิ่มเอมไปด้วยรสบุญเสมือนเทพบุตรหรือนางฟ้า โอ ณ ตอนนั้นเราอยากเมตตากับหมู หมา กา ไก่ ทุกสิ่งอย่างที่ผ่านเข้ามาเหลือเกิน อยากทำดีกับสัตว์ร่วมโลกมากกว่านี้ อยากจะทำบุญให้ญาติโกโหติกาไปจนถึงสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไปเพื่ออยู่รอดและพยายามตั้งมั่นกับตนเองว่า ถ้าหากเป็นไปได้จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ยิ่งถ้าหากมีใครชวนไปรับศีลรับพรไม่กินเนื้อสัตว์ ก็จะไม่กินมันซะตอนนั้นเลย จนกระทั่งเริ่มจืดจางไปเมื่อมีใครซักคนชวนกันไปกินข้าวในมื้อเย็นและได้รับความอิ่มอร่อยบานตะไทเหมือนเดิมจากบรรดาสัตว์ๆทั้งหลายที่เพิ่งทำบุญอุทิศส่วนกุศลหรือตั้งจิตไม่ทำร้ายกันแล้ว


       

            บนที่นั่ง อันมีถาดซาชิมิตั้งอยู่ตรงหน้า ผมก็คิดหาเหตุผลร้อยแปด หาความชอบธรรมในการกินเนื้อสัตว์โดยปราศจากความรู้สึกผิดบาป ในเมื่อเนื้อมันอร่อยขนาดนี้แล้ว เหตุใดเราถึงควรจะกิน/เลิกกินมันดีหละ จนผมได้มาพบกับคำอธิบายหนึ่ง ที่น่าจะรองรับความลงแดงเนื้อสัตว์ของเราๆได้อย่างดีคือ “สัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์” หรือ “มนุษย์ต้องรับประทานสัตว์เพื่ออยู่รอด” ใช่แล้ว เราต้องกินเนื้อสัตว์ เราขาดมันไม่ได้และทำไปทุกอย่างเพื่อความจำเป็น เราทุบหัวปลาด้วยจิตใจเมตตา เชือดคอไก่ด้วยความรู้สึกสงสาร กล่าวพึมพำน้ำตาตกใน “ขอโทษนะเจ้าไก่ ข้าต้องฆ่าเจ้าเพื่อความอยู่รอด”

       

         
            “แล้วหลวงจีนหรือชาวบ้านที่กินเจมาตลอดชีวิตละ เขาอยู่รอดได้ยังไง” อีกเสียงหนึ่งกระพือขึ้นมา


                นั่นสิ.....อืมๆๆๆ จะทำยังไงดีหว่าเพื่อให้เราหลุดรอดจากคำครหา และ ทำลายความรู้สึกผิดที่ยังตามมา แปลว่า เรากินเนื้อสัตว์เพื่อความบันเทิงเช่นนั้นฤา???

       

           “ไม่ใช่หรอกสหาย เจ้าอย่าลืมสิว่า การเวียนว่ายตายเกิดมันยังดำรงอยู่ ที่พวกเขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะติดกรรมแต่ชาติปางก่อน การกินพวกเขาก็เหมือนการส่งให้ไปเกิดใหม่เร็วขึ้น ชดใช้กรรมเร็วขึ้นและสุดท้ายก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์” ญาติผู้ใหญ่ของผมเคยบอกไว้

       
       
            ถ้าหากพุทธศาสนาของเราเชื่อการกลับชาติมาเกิดใหม่จริงๆ คำอธิบายนี้ก็เป็นไปได้ทีเดียว มิหนำซ้ำกลับเป็นการเมตตาพวกเขาในอีกทางหนึ่งอีกด้วย เพื่อให้พวกเขากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งรวดเร็วกว่าเดิมเหมือนติดเจ็ท ยอมโดนดักเบ็ดแล้วทุบหัวเสียหน่อย ดีกว่าทนเป็นปลาโง่ๆไปอีกนาน


               ผมนั่งดีดนิ้วกับวิธีคิดนี้อยู่นานสองนาน

       

            “แล้วถ้าหากมันเป็นแค่ข้ออ้างของคนในการกินเนื้อสัตว์ เพื่อไม่ให้รู้สึกผิดบาป โดยผสานเข้ากับความเชื่อทางศาสนาละ??”   

       

            นั่นก็เป็นไปได้ เป็นไปได้มากทีเดียวเลยละ เพราะยังไงก็ไม่มีใครกลับมาจากโลกโน้นเพื่อบอกเราอยู่แล้วนี่ ว่า ยู้ฮู ขอบคุณนะที่กินเรา มันทำให้เรารอเกิดเป็นคนเร็วขึ้นมาหลายคิวเลยละ หรือไม่ก็ เฮ้! ผมได้บุญจากการช่วยให้ปลาตัวนั้นกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์เร็วขึ้น ตอนนี้ได้อยู่สวรรค์สบายไปนานแล้ว รีบทำๆกันซิ


        

            ผมนั่งมองซาชิมิในจานที่เหลือ


              “คิดอะไรอยู่เหรอ” เสียงมาจากจานซาชิมิ มีปลาตัวขาวๆบางๆโผล่ขึ้นมาจากจาน หน้าตาน่ารักเหมือนในการ์ตูน มันลุกขึ้นมายืนสองขาด้วยครีบหลัง ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคือวิญญาณปลา ผมควรจะพูดยังไงกับมันก่อนน้า


       

           “เฮ้ย โทษทีนะ เราต้องกินเพื่อความอยู่รอดวะ อย่างน้อยนายก็ไม่เจ็บใช่มั้ยตอนเขาฆ่านายนะ เห็นในเชฟกระทะเหล็กเขาช็อกปลากันก่อนเยอะแยะ”



            “ช็อกอะไรละครับ เขาจับเราขึ้นมาแล้วรุมกันทุบหัว ในขณะที่ดิ้นแด่วๆอยู่ในตาข่าย ทุบตอนแรกผมดั้นดันไม่ตาย เขาก็ปล่อยผมนอนพะงาบอยู่นานสองนาน แล้วเพิ่งโดนซ้ำในวินาทีที่ 38 หงายกลิ้งเกลือกนี่หละ สุดท้ายก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆตั้งอยู่บนโต๊ะนั่นนะ”

       

           “แต่ว่า นายเองก็ได้ไปเกิดใหม่ใช่มั้ยละ ภพหน้านายคงจะได้เกิดเป็นมนุษย์เร็วขึ้นนะสิ”


       
           “ภพหน้าโหงอะไรละจ๊ะ นี่นายเชื่อสิ่งที่เขาพูดๆกันจริงๆเหรอ ปู่นายเคยตายแล้วกลับมาเข้าฝันใส่กางเกงว่ายน้ำ พูดยิปปี้แล้วกระโดดลงบนสระตอนช่วงหน้าร้อนหรือปล่าวละ ไม่มี ไม่มี้ ไม่มี แล้วนายรู้ได้ไงว่า เราจะไปไหน”

       

           ปลามันก็พูดดูมีเหตุผลดี

       

         “งั้นๆ อย่างน้อยเราก็จะทำสังฆทานไปให้นายละกันนะ”

       

         “ก็บอกแล้วไงว่า นายเชื่อสิ่งที่เขาพูดกันจริงๆหรือ  เรื่องภพหน้งภพหน้า ทำบุญสังฆทานส่งไปให้คนตาย ย่านายเคยกลับมาเข้าฝันแล้วบอกว่าให้ทำบุญโกเต๊กไปให้ป่ะละ?? แล้วถ้าหากมันได้ผลจริง ก็แสดงว่านายเองก็เป็นพวกตบหัวแล้วลูบหลังเหมือนตัวร้ายในละคนที่ฟาดหัวด้วยเงินก้อนโต นายก็ไม่ต่างกันนะแหละ”

       

       
          “..........” ผมไม่ได้พูดอะไรกับวิญญาณปลาหลอกๆตัวนั้นอีก บางทีอาจจะรำคาญด้วยละมั้ง พูดอะไรไปมันก็ตอบกลับมากวนๆเสียทุกราย


       

            “สุดท้ายนายก็แค่อยากกินเรา ไม่สิ สัตว์อื่นๆด้วย แล้วแค่บอกว่าทำไปเพื่ออย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งๆที่ยังมีทางเลือกอีกเยอะแยะ สมมุติว่านายไม่อยากกินเนื้อสัตว์ด้วยความสงสาร เพื่อสุขภาพ หรือ เพื่ออะไรก็ตามแต่ ก็กินมังสวิรัติสิ (ไม่พูดถึงการบุกรุกพื้นที่ป่าและยาฆ่าแมลงหรอกนะ) ไม่ต้องมาพูดนานสองนานเพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ถ้าอยากทำก็ทำเลย เบื่อวะ ทีหมาละสงสารสงสารเอา กลัวมันตายมีลูกเล็กๆ แ ล้วทีตัวเมียของเราอยากไปวางไข่ โอ๊ย จับกินเอาๆ มันดีละสิ ไข่ปลานะ” แล้วมันก็ผลุบหายไปในอากาศ


       

            ครับ เรื่องราวมันก็เป็นอย่างนี้นี่แหละ การตระหนักสั้นๆเอาฮาในชั่วหลังซาชิมิ มนุษย์เราชอบหาความชอบธรรมในบรรเทาความรู้สึกผิดในใจ เพื่อให้มันดู อืม..ผิดไม่มาก แถมพลิกไปมาอาจจะเป็นความดีขึ้นมาก็ได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะในใจของมนุษย์เราย่อมมีความอ่อนแอในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเป็นทุนเดิม เรื่องราวของคนอื่นที่ทำผิดเราย่อมหาจุดผิดพลาดของพวกเขาได้ง่ายเหมือนหาจุดดำบนผ้าขาว แต่ในขณะเดียวกันการกระทำผิดของตัวเราเอง กลับกลายเป็นการหาจุดดำที่ดำมากที่สุดบนผ้าสีดำสนิท.....

       

         
           ถ้าหากเราอยากจะทำอะไรซักอย่างที่เราคิดว่าดี  เราก็ต้องรีบทำเลยครับ ไม่ใช่ปล่อยให้ความรู้สึกผิดเข้ามาบงการให้ทำดีเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมให้อยากลดละเลิกบางประการขึ้นมาจริงๆ มันไม่ได้ยากเกินกว่าความพยายามหรอก มนุษย์เราถ้ามีใจอยากจะเปลี่ยนแล้วก็ย่อมทำได้ถ้ามีความแน่วแน่พอ


       

        หลังจากเขียนเรื่องนี้จบ ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกแล้วตลอดทั้งชีวิต เพื่อไม่ให้วิญญาณปลาตัวนั้นกลับมาหลอกหลอนสมองของผมอีก และ คงจะมาหลอกหลอนกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าซาชิมิที่เหลือผมทิ้งลงในถังขยะอย่างไม่ใยดี ด้วยเหตุผลที่ว่ามัน “ไม่อร่อย” (ถ้าหากได้ยินมันคงอกแตกตาย)


       

           จริงๆครับ คุณผู้อ่าน ถ้าหากจะเลิกกินเนื้อสัตว์ก็เลิกเลยครับ พร้อมผมนี่หละ ไม่ต้องรีรอหรอก เพื่อความเมตตาต่อสัตว์โลกน่ารักของเราไงครับ

       

          เอ๊ะ โทรศัพท์ดัง อ๋อ ไปบอมบ์เพื่อนผมครับ ขอรับโทรศัพท์ก่อนนะ

       


          “ฮัลโหล เออ ว่าไง อ๋อ ไปกินหมูกระทะเจ้านั้นเหรอ เออ ไปดิๆ แม่ง เบคอนกับเนื้อแดงมันโคตรอร่อยเลยวะ เออ เดี๋ยวลงไปๆ กูอยากกินพอดีเลย เออ ไม่ช้าหรอก จ้า จ้า เจอกัน....”

       

       

           เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วครับ??

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×