[SF] ----- แอบชอบ ----- [WonKyu] - [SF] ----- แอบชอบ ----- [WonKyu] นิยาย [SF] ----- แอบชอบ ----- [WonKyu] : Dek-D.com - Writer

    [SF] ----- แอบชอบ ----- [WonKyu]

    ความรักมักจะทำให้ใครบางคนสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ

    ผู้เข้าชมรวม

    3,690

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    3.69K

    ความคิดเห็น


    28

    คนติดตาม


    12
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 พ.ย. 54 / 20:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น



    ขอขอบคุณหนังสือทั้งสองเรื่องด้วยนะคะ





    Image Hosted by ImageShack.us

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

      Title : แอบชอบ

      Paring : Siwon x Kyuhyun

       

                  ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ...

       

                ลองคิดดูสิครับ ตัวหนังสือที่ถูกวางเรียงติดๆ กันอยู่ในหน้ากระดาษสีขาวมันชวนง่วงมากแค่ไหน เราต้องเพ่งไปที่ตัวหนังสือขนาดเล็ก ไล่สายตาอ่านจากด้านซ้ายไปยังด้านขวา เมื่อหมดบรรทัด ก็ต้องขึ้นบรรทัดใหม่

       

                อ่านจากซ้ายไปขวาอยู่อย่างนี้

       

                หมดหน้า แล้วก็เริ่มอ่านหน้าใหม่อีกครั้ง...และอีกครั้ง

       

                นอกจากจะต้องมองตัวหนังสือเหล่านั้นแล้ว เรายังต้องจินตนาการหรือวาดภาพอยู่ในสมองตามที่หนังสือบรรยายมาด้วย

       

                คิดดูสิ...การดูโทรทัศน์และเห็นภาพโดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ มันง่ายเสียยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากอีกไม่ใช่เหรอ

       

                แต่...มีใครบางคนเคยบอก!

       

                ความรักมักจะทำให้ใครบางคนสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ

       

                  “คยูฮยอน ไปเถอะน่า ถ้าสารวัตรนักเรียนมาเจอเราอยู่ที่นี่ มีหวังโดนตัดคะแนนความประพฤติจนติดลบแน่เลย” อี ฮยอกแจเอ่ยขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินเข้าไปในห้องสมุด แม้เขาจะกระซิบกระซาบเสียงบางเบาเสียจนผมแทบจะจับใจความไม่ได้ แต่แน่นอนว่าห้องสมุดที่เงียบเชียบแบบนั้น มันจะต้องส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นแน่ๆ

       

                  “เงียบๆ หน่อยครับนักเรียน” เสียงเยือกเย็นที่ชวนเสียวสันหลังวาบราวกับวินาทีที่กำลังถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองหวดไม้เรียวมาที่ขาทำให้ผมค่อยๆ หันไปมอง

       

                  ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้ช่างเหมือนรูปปั้นเดวิดของไมเคิล แองเจโลที่กำลังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าผม

       

                  แม้ว่าเขาจะมองผมกับฮยอกแจด้วยสายตาตำหนิกับการกระทำของพวกเราเมื่อครู่ แต่ผมกลับไม่โกรธเขาเลยสักนิด

       

                  “โธ่เอ๊ย! คงจะเป็นบรรณารักษ์มาใหม่ไฟแรงสินะ จะบอกอะไรให้ว่านายน่ะหาเรื่องผิดคนแล้ว พวกเราน่ะ...”

       

                  “ขอโทษนะครับ”

       

                  “เห้ย! ไอ้คยูฮยอน” ฮยอกแจหันมาอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าผมโค้งศีรษะขอโทษเดวิดตรงหน้า แต่ก่อนที่ไอ้หน้าไก่ในร่างปลามันจะอึ้งไปมากกว่านี้ ผมก็ฉุดมันเข้าไปในห้องสมุดเสียแล้ว

       

                  ทว่าก็ยังได้ยินบรรณารักษ์คนเดิมเอ่ยทักทายรูปปั้นมีชีวิตคนนั้น

       

                  “ว่าไงซีวอน ที่นี่ไม่มีหนังสือเหลือให้นายอ่านแล้วนะ”

       

                  “พี่จองซูก็...”

       

                  ผมหันกลับไปแอบมองอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าร่างสูงสง่ากำลังยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ ผมจึงพาฮยอกแจเดินเข้าไปด้านในสุดของห้องสมุด ก่อนจะนั่งลงแล้วเอ่ยถามขึ้น

       

                  “ฮยอกแจ...แกเคยแอบชอบใครเปล่าวะ?”

       

                  “ไอ้นี่! เล่นพูดโต้งๆ ขนาดนี้ ไม่ให้คนอื่นต้องเสียเวลาเดาเรื่องเลย” ฮยอกแจพูดเสียงเบา ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกด้วยท่าทางสบายๆ แล้วเอ่ยถาม “ชอบไอ้หน้าม้าในร่างยีราฟเมื่อกี้อ่ะดิ”

       

                  “ก...ก็...” ผมอึกอักพลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอย ผมแค่เขินนะ ไม่ได้อยากจะทำตามท่าทางของเขาเสียหน่อย

       

                  “แบบนี้แปลว่าชอบชัวร์”

       

                  “อย่าเพิ่งรีบสรุปขนาดนั้นดิวะ”

       

                  “โหย! สังเกตดูจากหน้าแดงๆ ไปจนถึงหูของแกแล้วเนี่ย ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว”

       

                  “เมื่อไรแกจะตอบคำถามฉันเนี่ย?” ผมวกกลับไปที่เรื่องเดิม

       

                  “ว่า...”

       

                  “ก็ฉันอยากรู้ว่าแกเคยแอบชอบใครหรือเปล่า?”

       

                  “ไม่เคยอ่ะ ตอนฉันชอบทงเฮ ฉันก็เดินเข้าไปหามันโต้งๆ แล้วก็ขอมันเป็นแฟนเลย มันบอกว่าชอบฉันเหมือนกัน เราก็เลยคบกันมาจนถึงตอนนี้ ไม่ต้องเสียเวลา” ฮยอกแจยักไหล่เหมือนว่าเรื่องความรักที่ซับซ้อน(สำหรับผม) เป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายสำหรับมันอย่างนั้นแหละ

       

                  แต่...

       

                  “ฉันไม่ได้หน้าด้านแบบแก ฉันคงไม่กล้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วไปขอเขาเป็นแฟนหรอก” ผมพูดแล้วฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ

       

                  ทำยังไงดีนะ รักแรกของผม ผู้ชายที่ถอดแบบออกมาราวกับประติมากรรมชิ้นเอกของโลก

       

                  ประติมากรรมที่มีชีวิต

       

                  ผมอยากได้เขามาเป็นแฟนอ่ะ นี่จริงจังมากๆ เลยนะครับ

       

                  เสียงโทรศัพท์ที่สั่นครืดๆ ออกมาจากกระเป๋าของใครสักคน ซึ่งไม่ใช่ของผม ผมเลยก้มหน้าอยู่กับโต๊ะตามเดิม แล้วเสียงของฮยอกแจก็ดังขึ้น

       

                  “อะไร...เค้าอยู่ในห้องสมุด...เค้าไม่ได้โดดเรียน ไอ้คยูฮยอนมันลากมาต่างหาก...ก็รัก...ถ้าเค้าไปตอนนี้แล้วคยูฮยอนมันจะอยู่กับใครล่ะ...เค้าไม่ไป...เค้าไปไม่ได้จริงๆ ทงเฮเข้าใจเค้าหน่อยดิ”

       

                  ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองฮยอกแจที่เอาแต่คุยโทรศัพท์อย่างไม่เกรงใจสถานที่ที่ควรจะมีแต่ความเงียบ ผมจ้องหน้ามันที่ปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย สงสัยทงเฮจะเรียกให้ออกไปหาล่ะสิ แต่มันบอกว่าจะอยู่กับผม มันคงไม่ไปไหนหรอก

       

                  หลังจากฮยอกแจวางโทรศัพท์ลง

       

                  “คยูฮยอน ฉันต้องไปหาทงเฮแล้วว่ะ เย็นนี้ตัวใครตัวมันนะเว้ย แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

       

                  “อ้าว อะ...ไอ้...” ผมกำลังจะยกมือเรียกเพื่อนรักที่อยู่ดีๆ ก็ชิ่งหนีผมไปเสียอย่างนั้น แต่เมื่อพบว่าใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางผม ผมก็รีบลดมือลงแทบไม่ทัน

       

                  เมื่อกี้เขาถูกบรรณารักษ์เรียกว่าอะไรนะ

       

                  ซี...ซีวอน

       

                  ผมมองตามเขาราวกับตกอยู่ในภวังค์ ร่างสูงโปร่งที่ดูเหมือนจะมีความสามารถสะกดสายตาของทุกๆ คนในที่นี้กำลังเลี้ยวเข้าไปยังชั้นหนังสือ แล้วคำพูดของบรรณารักษ์ก็ดังขึ้น

       

                  ว่าไงซีวอน ที่นี่ไม่มีหนังสือเหลือให้นายอ่านแล้วนะ

       

                  ผมสงสัย เขาอ่านหนังสือที่นี่เกือบทั้งหมดเลยหรือไงนะ บ้าน่า ไม่มีใครทำแบบนั้นได้หรอก หนังสือที่นี่มีเป็นหมื่นๆ เล่ม เขาจะไปอ่านครบทั้งหมดได้ยังไงกัน

       

                  ร่างสูงโปร่งหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือ เขาเดินผ่านผมไปอีกครั้ง และด้วยอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมเผลอมองหน้าของเขาอย่างโจ่งแจ้ง และเหมือนเขาจะรู้ตัว ไม่สิ เขารู้ตัว รู้ตัวแน่ๆ เพราะเขายิ้มตอบผมกลับมาด้วย

       

                  ยิ้มเหรอ?

       

                  ผมแทบจะอ้าปากค้างกับรอยยิ้มนั้น มันไม่ใช่ยิ้มที่กว้างจนเห็นฟันเกือบทั้งหมด ไม่ใช่รอยยิ้มแบบสนิทสนม แต่ทว่าเป็นรอยยิ้มที่คล้ายกับทักทายตามประสาคนไม่รู้จักกัน

       

                  รอยยิ้มในวันแรกพบ

       

                  ในขณะที่เขาเดินผ่านไปนั้น ผมก็แอบมองมือหนาที่ถือหนังสืออยู่ มองแวบเดียวผมก็เห็นตัวอักษรเกาหลีที่เด่นหราอยู่ที่หน้าปก มันถูกเขียนไว้ว่า...

       

                  ไหม

       

                  การจะติดตามว่าเขาเคยอ่านหนังสือเรื่องไหนมาก่อนเป็นเรื่องที่ยากมาก และผมคงไม่สามารถจะค้นดูหนังสือที่เขาเคยอ่านทุกๆ เรื่องในอดีต

       

                  สิ่งที่ผมทำได้ต้องเริ่มต้นจากวันพรุ่งนี้

       

       

                  วันต่อมา ผมโดดเรียนในเวลาเดิม คิดว่าเขาจะต้องมาแน่ ผมนั่งอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อวานนี้ โต๊ะตัวเดิม เก้าอี้ตำแหน่งเดิม และในเวลาเดียวกับเมื่อวานนี้ เขาก็มา

       

                  ร่างสูงเดินตรงมาทางผมเรื่อยๆ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังชั้นหนังสือ หายไปครู่หนึ่งแล้วหยิบหนังสือออกมาหนึ่งเล่ม บนหน้าปกนั้น ชื่อหนังสือถูกเขียนเอาไว้ด้วยตัวหนังสือยุ่งเหยิง แต่ทว่าผมอ่านมันไม่ทัน ก็แน่ล่ะสิ ประโยคที่ยาวๆ แบบนั้น

       

                  อีกอย่าง...ผมเอาแต่จ้องมองหน้าของเขา

       

                  ผมนั่งรออีกพักหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปหาบรรณารักษ์ หนังสือที่เพิ่งมีคนนำมาคืนถูกวางไว้บนสุดของรถเข็นหนังสือ ผมยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไม้ยาวสีน้ำตาลเข้ม วางมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

       

                  “ผม...ผมขอยืมหนังสือเล่มนั้นหน่อยครับ” ผมชี้ไปยังหนังสือสีน้ำตาลที่มีชื่อเรื่องว่า ไหมหนังสือที่เดวิดของผมยืมไปเมื่อวานนี้ บรรณารักษ์หนุ่มหลิ่วตามองผม ก่อนจะเอ่ยบอก

       

                  “ไหมน่ะเหรอ?”

       

                  “ค...ครับ”

       

                  “จะไหวหรือเปล่าเรา หนังสือเล่มนั้นมันใช้สำนวนยากนะ เพราะมันแปลมาจากภาษาต่างประเทศอีกที” ผมย่นคิ้วยุ่งๆ อย่างไม่พอใจนักเมื่อเขาดูถูกความสามารถในการอ่านของผม

       

                  แต่จะไปโทษคุณบรรณารักษ์ปาร์คก็ไม่ถูกนักหรอก เขาเห็นผมมาตั้งแต่ชั้นปีหนึ่ง ผมผู้ซึ่งโดดเรียนมานั่งนอนในห้องสมุดแทบทุกวัน แต่ไม่เคยยืมหนังสือมาทำรายงานเลยแม้แต่ครั้งเดียว

       

                  นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบสองปีของผม

       

                  “ผมจะขอยืมหนังสือเล่มนั้นครับ” ผมยืนยันอีกครั้ง และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ได้หนังสือเล่มสีตุ่นๆ มาครอบครอง ห้องสมุดที่นี่อนุญาตให้ยืมได้ครั้งละหนึ่งวันเท่านั้น ดังนั้นผมจึงต้องรีบอ่านให้จบโดยเร็วที่สุด

       

                  ผมเก็บหนังสือไว้ในกระเป๋านักเรียนสีดำแบบโบราณของตัวเอง และในเย็นวันนั้น ผมได้เริ่มที่จะอ่านมัน อ่านหนังสือ...สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในโลก

       

                  ไหม

       

                  ปกติคนเรามักจะอ่านหนังสือจากปกหลังก่อน ดูเรื่องย่อของเรื่องที่โปรยไว้อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเปิดดูหน้าปก และเริ่มอ่านทีละหน้า...ทีละหน้า

       

                  คนส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น...ใช่ไหม?

       

                  แต่สำหรับผม ผมเลือกที่จะเปิดหนังสือหน้าสุดท้าย กระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกติดไว้กับปกหลังด้านใน มีรายชื่อผู้ยืมหนังสือคนล่าสุด

       

                  ชเว ซีวอน

       

                  เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ผมได้รู้จักชื่อและนามสกุลของเขา

       

                  ผมเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่าน แต่ทว่ามันจริงอย่างที่บรรณารักษ์บอก ภาษามันยากเกินไป ผมนึกสงสัย เขาอ่านหนังสือเล่มนี้ไปได้ยังไงนะ ทั้งๆ ที่มันยากที่จะเข้าใจขนาดนี้ ผมอ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ถอดใจ แต่แล้วก็แข็งใจหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่ ทว่ากัดฟันอ่านได้ไม่กี่หน้าก็พานจะคล้อยตาหลับเสียให้ได้

       

                  สุดท้ายการอ่านหนังสือครั้งแรกของผมก็ล้มเหลว

       

                  ผมหลับคาหนังสือเล่มนั้นจนกระทั่งตอนเช้า ทว่าก่อนจะไปโรงเรียน ในขณะที่กำลังจัดตารางเรียนและเก็บหนังสือที่ยืมมาใส่กระเป๋า ผมเปิดมันผ่านๆ แล้วพบประโยคหนึ่งที่มีความหมายซ่อนเร้นมากเหลือเกิน

       

                  “เป็นความเจ็บปวดที่ประหลาดนัก”

       

                “ที่จะตายด้วยความอาลัยสิ่งซึ่งมิเคยได้สัมผัส”

       

                  ใช่สิ! ประโยคนี้ในหนังสือมันมีความหมายว่าอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังจะตายในสิ่งที่ผมยังไม่ได้สัมผัสเลยด้วยซ้ำ ผมไม่เข้าใจกับความลึกซึ้ง ความนุ่มนวล หรือความหมายแอบแฝงของหนังสือเล่มนี้ และมันทำให้ผมไม่เข้าใจในความรู้สึกของคนอ่านเลยแม้แต่นิดเดียว

       

       

                  วันนี้ ผมกลับมาที่ห้องสมุดอีกครั้ง ผมนั่งอยู่ที่เดิม รอเขานำหนังสือมาคืน เขาเดินผ่านหน้าผมไป เดินเข้าไประหว่างชั้นวางหนังสือ ออกมา และยิ้มบางๆ ให้กับผมผู้ซึ่งคุ้นเคยกัน

       

      ถึงจะไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่ผมว่าเราก็คุ้นเคยกันขึ้นมานิดนึงล่ะน่า

       

      พอเขาเดินผ่านไป ผมก็แอบสังเกตหน้าปกหนังสืออีกครั้ง และหลังจากที่เขาออกจากห้องสมุดไปแล้ว ผมก็จะเดินไปคืนหนังสือที่ยืมมาเมื่อวาน และบอกกับบรรณารักษ์ว่า...

       

      “ขอยืมหนังสือเล่มนั้นหน่อยครับ”

       

      เขาไม่ได้พูดอะไรมากมายเหมือนเมื่อวาน หนังสือที่วางอยู่ด้านบนสุดเป็นหนังสือแนวสืบสวน และในคืนนั้นผมก็เริ่มอ่านมัน

       

      ในทีแรกผมคิดว่าตัวเองคงจะต้องหลับคาหนังสือเหมือนเมื่อคืนแน่ๆ แต่สุดท้ายก็พบว่าหนังสือมันสนุกกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ผมอ่านจนติด วางหนังสือไม่ลงจนกระทั่งตีหนึ่งถึงอ่านจบ ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองอ่านหนังสือเร็วขึ้น หรือเพราะมีความสุขกับการอ่านหนังสือกันแน่

       

                  หนังสือที่ได้เป็นผู้อ่านต่อจากเขา

       

                  และชื่อผู้ยืมหนังสือของเรา...ก็จะอยู่ติดกัน

       

       

                  หลังจากวันนั้น ผมยังคงยืมหนังสือตามเขาเหมือนเช่นทุกวัน เราไม่ได้คุยกันสักประโยค แต่เรายิ้มให้กัน และบรรณารักษ์ปาร์คก็เริ่มจะรู้ว่าผมต้องการอะไร เมื่อผมเดินไปที่เคาน์เตอร์และคืนหนังสือที่ยืมไป เขาก็จะหยิบหนังสือที่ซีวอนเคยยืมมาให้

       

                  บางครั้ง...

       

                  เขาไม่ได้นำหนังสือของซีวอนไปวางไว้บนรถเข็น แต่วางไว้ข้างๆ กายเพื่อที่จะยื่นให้ผมได้ในทันทีที่ผมมาขอยืม

       

                  “ขอบคุณนะครับ” ผมบอกในความหมายที่ผมและบรรณารักษ์รู้กันดี ไม่มีการพูดแซวให้อับอาย มีเพียงรอยยิ้มแห่งความเมตตาเท่านั้น

       

                  คืนนี้ผมกำลังจะอ่านหนังสือเล่มใหม่

       

                  มันใหม่สำหรับผม เพราะผมเพิ่งเคยอ่านเป็นครั้งแรก แต่สำหรับเขา สำหรับคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ มันอาจจะเป็นหนังสือที่เก่าคร่ำคร่ามากเหลือเกิน

       

                  หนังสือ เจ้าชายน้อย

       

                  มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมประทับใจจากหนังสือเล่มนี้ ตอนที่เจ้าชายน้อยพบกับหมาป่า และหมาป่าได้สอนเจ้าชายน้อยว่า...

       

                  “สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา เราจะมองเห็นแจ่มชัดได้ด้วยดวงใจเท่านั้น”

       

                  ผมรู้สึกอิ่มเอมหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ และอีกหลายๆ เล่มก่อนหน้านี้มันทำให้ผมลืมเปิดโทรทัศน์ไป ทว่าในหนังสือเจ้าชายน้อยหน้าสุดท้าย มีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งแนบเอาไว้ มันเป็นลายมือยุ่งๆ ของใครบางคน แต่กลับเป็นลายมือที่อ่านง่ายในคราวเดียวมัน มันถูกเขียนไว้ว่า...

       

                  “สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา เราจะมองเห็นแจ่มชัดได้ด้วยดวงใจเท่านั้น”

       

                  ผมคงไม่คิดอะไร ถ้าหากผู้ที่เขียนประโยคนี้ไม่ได้ลงชื่อเอาไว้ว่า... ชเว ซีวอน

       

                  มันไม่สำคัญหรอกว่าเขารู้ได้อย่างไร สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขารู้แล้วว่าผมแอบชอบเขา การที่คนที่ถูกแอบชอบรู้ตัว

       

                  ตอนนี้...ผมยังอยู่ในสถานะที่แอบชอบเขาอยู่หรือเปล่านะ

       

       

                  จากวันนั้นเป็นต้นมา ผมยังคงได้รับกระดาษโน้ตในหน้าสุดท้ายของหนังสือ ผมไม่เคยขี้โกงแต่อย่างใด ผมชอบที่จะอ่านหนังสือให้จบ ก่อนที่จะพบว่าตอนจบของเรื่องมีใครบางคนฝากข้อความเอาไว้ให้กับผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้

       

                  วันนี้ก็เช่นกัน

       

                  แต่มันไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือเหมือนเช่นเคย...

       

                  ความรู้สึกที่ได้อ่านหนังสือต่อจากคนอื่น มันเป็นแบบไหนกันนะ ...ชเว ซีวอน

       

                  ผมไม่ได้ตอบเขาหรอก ทั้งที่ความจริงแล้วผมมีคำตอบมากมายที่จะบอกกับเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะบอกเขาด้วยวิธีไหนดี เพราะนอกจากรอยยิ้มที่เราส่งให้กัน หนังสือที่ผมอ่านต่อจากเขา และข้อความที่เขาส่งให้ผม มันก็มากเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการแล้ว

       

                  วันนี้ผมเปิดอ่านข้อความในหน้าสุดท้ายหลังจากที่ผมอ่านหนังสือจบ ความประหลาดใจมันเพิ่มขึ้นมากกว่าครั้งที่แล้วเป็นร้อยเท่า

       

                  วันนี้คุณแต่งตัวน่ารักดีนะ ...ชเว ซีวอน

       

                  ผมยิ้มแล้วเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกล่องอย่างทะนุถนอม แต่เมื่อกำลังจะนอน ก็อดที่จะหยิบกระดาษใบเดิมขึ้นมาอ่านอีกครั้งไม่ได้

       

                  ผมอ่านมันอีกครั้ง...และอีกครั้งจนนอนไม่หลับเลย

       

                  เช้าวันต่อมา ผมไปห้องสมุดด้วยสภาพที่ดูอนาถมากๆ ขอบตาดำคล้ำ ดวงตาเหม่อลอย หาวแล้วหาวอีกในรอบสิบนาที วันนี้เดวิดของผมมาช้ากว่าปกติ เขามีธุระเลยมาช้า หรือเขาจะไม่มาแล้วนะ

       

                  เขาอาจจะไม่มาอีกแล้ว...

       

                  ผมรอคอยที่จะเจอเขาด้วยความง่วงงุนอยู่นาน จนกระทั่งเผลอฟุบหลับไปกับโต๊ะอ่านหนังสือนั่นแหละ ผมตื่นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามีใครนั่งอยู่ตรงหน้าผม เมื่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่า...

       

                  นั่น...ข...เขา

       

                  เดวิด!

       

                  ไม่สิ...ตอนนี้เขาคือซีวอน คือชเว ซีวอนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผม นั่งจ้องมองผมจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขามาตั้งแต่เมื่อไร และจ้องผมนานแค่ไหนกันนะ

       

                  “เอ่อ...” ผมรู้สึกว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไป แต่ก็นึกคำไม่ออกเลย

       

                  “ขอโทษที่มาช้า...นะครับ” ปลายสายเขาลงท้ายด้วยคำพูดที่สุภาพ รอยยิ้มที่กว้าง...กว้างมากกว่าที่วันที่เรายิ้มให้กัน

       

                  “ผม...ผมไม่ได้รอคุณนี่ครับ” ผมบอก แล้วกุมหน้างุดหลบสายตาที่ทรงเสน่ห์ของเขา ให้ตายเถอะ อย่าจ้องกันแบบนี้สิ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอศกรีมที่กำลังละลายเพราะแววตาของเขา ทีละนิด...ทีละนิด

       

                  “ที่ผมเคยถามไป คุณชอบอ่านหนังสือแนวไหนเหรอครับ?” เขาถาม ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยบอก

       

                  “สืบสวนก็ชอบ รักโรแมนติกก็อ่านได้ วรรณกรรมเยาวชน...” ผมไม่ได้พูดกับเขา แต่รำพึงรำพันกับตัวเองเสียมากกว่า เขายื่นหน้าเข้ามาจนผมผงะ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

       

                  “แนะนำให้ผมสักเล่มสิ!

       

                  ความเงียบทำลายบรรยากาศแปลกๆ ออกไปจนหมด เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าความเงียบของห้องสมุดช่างมีความหมาย เรายืนอยู่ด้วยกันระหว่างชั้นหนังสือแคบๆ ผมเลือกหนังสือที่ตัวเองคิดว่ามันน่าสนใจ แต่มีหลายเล่มที่เขาเคยอ่านมาแล้ว ผมจึงใช้เวลาอยู่นาน

       

                  เขาไม่พูด ไม่ถาม ร่างสูงโปร่งเพียงแค่ยืนเงียบๆ อยู่เคียงข้างผม จนผมหยิบหนังสือออกมาได้เล่มหนึ่ง มันเป็นหนังสือออกใหม่ ซึ่งไม่มีใครเคยยืมมันมาก่อนเลย แม้แต่เขาก็เช่นกัน

       

                  “เล่มนี้น่าจะสนุก...นะครับ” ท้ายประโยค ผมเว้นวรรคเหมือนกับเขาในตอนแรก เขายิ้มบางๆ แล้วรับหนังสือไปจากมือผม ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งหนังสือคืนมา

       

                  ผมเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยถาม...

       

                  “ไม่ชอบเหรอครับ?”

       

                  “เปล่าครับ...แค่อยากให้คุณเขียนอะไรบางอย่างเหมือนที่ผมเคยทำบ้าง” เขาบอกคล้ายออกคำสั่ง ผมยู่หน้านิดๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด เราเดินออกมาจากห้องสมุดท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของบรรณารักษ์ เมื่อหยุดอยู่ด้านหน้า ผมกำลังจะเลี้ยวซ้าย ส่วนเขากำลังจะเลี้ยวขวา

       

                  เขาจับมือผมไว้อย่างถือวิสาสะ

       

                  วันนี้...เราคุยกันครั้งแรก

       

                  และจับมือกันครั้งแรก

       

                  เขาไม่ได้บอกอะไรนอกจากยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้กับผม เขายิ้มบางๆ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้ผมยืนนิ่งกับหนังสือที่ตัวเองเลือกมาอ่าน และหนังสือที่เขามอบให้

       

                  เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมเลือกที่จะอ่านหนังสือของเขาก่อน หน้าปกมันคล้ายหนังสือ แต่ด้านในมันคือ...ไดอารี่...

       

                  ผมอยากจะบอกคุณเหลือเกินว่าในนั้นมันมีข้อความที่ลึกซึ้งมากมายแค่ไหน แน่นอนว่าลายมือที่เขียนข้อความเหล่านั้นเป็นของเขา ผมจำมันได้ดี ผมอยากจะบอกคุณ...

       

                  แต่มันควรจะเป็นความลับใช่ไหม?

       

                  ผมจะบอกเฉพาะข้อความที่ผมชอบก็แล้วกัน

       

                  ดวงตาที่สดใสของคุณ กับหัวใจที่อบอุ่นของคุณ...กำลังดึงดูดผมให้เข้าหาและ...เข้าหา...

       

                  มันคล้ายดั่งบทกลอน ผมคิดว่าเขาคงอ่านหนังสือมากเกินไปเลยเขียนอะไรเว่อร์แบบนั้น ในขณะข้อความที่เขียนใส่กระดาษโน้ตในหน้าสุดท้าย มันมีใจความว่า...

       

                  เรามาเป็นแฟนกันนะครับ?

       

                  ประโยคที่ดูคล้ายอยากจะบอกเล่า ประโยคที่มีเครื่องหมายคำถาม แต่ทว่าเมื่ออ่านจบกลับรู้สึกว่าคนเขียนกำลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องและอ้อนวอนมากเพียงใด

       

                  เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถตอบคำถามของเขาได้

       

                  ผมอ่านหนังสือที่ตัวเองเลือกมาจนจบ เมื่อถึงหน้าสุดท้าย ผมหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กของตัวเองขึ้นมา คิดอยู่นานกว่าจะจรดปากกาเขียน

       

                  ผมแค่อยากจะบอกเขาเบาๆ ว่า...

       

                  ตกลงครับ ...โจ คยูฮยอน

       

       

                  เวลาผ่านไปหลายเดือน จากวันแรกที่ผมเริ่มอ่านหนังสือที่ยากที่สุด และผมไม่เข้าใจมันเลย วันนี้...ผมกลับไปอ่านหนังสือเล่มเดิมอีกครั้ง

       

                  ไหม

       

                  ผมมองดูในปกหลังที่มีชื่อคนยืม มันเป็นชื่อของเขา ต่อจากนั้นเป็นชื่อของผม และมีคนอีกมากมายที่ยืมหนังสือเล่มนี้

       

                  ผมค่อยๆ เปิดอ่าน และซึมซับกับความรู้สึกในหนังสือให้มากที่สุด ครั้งนี้ผมเข้าใจมัน

       

                  ยิ่งไปกว่านั้น...ผมเข้าใจซีวอน

       

                  เราไม่จำเป็นต้องค้นหาอดีตหรอกว่าเขาเคยอ่านหนังสือมาเยอะแค่ไหน เขาเคยพบเจอใครมาก่อนหรือเปล่า

       

                  สิ่งสำคัญไม่นั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาไม่ใช่เหรอ?

       

                  ตอนนี้...

       

                  ณ วินาทีนี้ ผมกำลังรับรู้มันได้ด้วยใจ

       

                  เขาเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงโลกของผม เปลี่ยนแปลงหัวใจที่เคยเกลียดชังหนังสือของผม

       

                  ชเว เดวิด...รูปปั้นที่มีชีวิตและมีจิตใจที่งดงามมากเหลือเกิน

       

       

      Talk with Lee Seen

                  เป็นอะไรที่อึมครึมมากค่ะ

      แต่...อยากแต่ง

      สุขสันต์วันเกิดให้พี่สาวคนหนึ่งนะค้า...

      สุขสันต์วันเกิดพี่บุ๋มค่ะ(111107)

       

      (ตรวจคำผิดเรียบร้อยแล้ว)

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×