INFINITE #LeadNam : Melodies of Life (1ส่วน3) -End
คำที่นายบอกว่ารักฉัน ... ทำไมถึงได้ฟังดูเศร้าขนาดนั้นล่ะ?
ผู้เข้าชมรวม
1,789
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
leadnam leadnum gyuwoo ซองฮยอน sunghyun กยูอู ลีดนัม อูฮยอน ซองกยู ฟิคอินฟินิท fic infiniteleadnam fic infinite ฟิคลีดนัม ฟิคleadnam ฟิคleadnum .....
Melodies of Life : 3분의 (1 ส่วน 3 ของความรัก)
Sunggyu x Woohyun
คำเตือน : ฟิคยาวมาก แถมบรรยากาศหม่นๆตลอดทั้งเรื่องเลยจ้า
◊
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
{sf-pj} melodies of life ♥ 3분의1 {GyuWoo}
1 ส่วน 3 ของความรัก
“ ผมรักฮยองมากนะ ”
날 사랑한다는 니 말이
คำที่นายบอกว่ารักฉัน
왜 그토록 슬펐었는지
ทำไมถึงได้ฟังดูเศร้าขนาดนั้นล่ะ?
.
.
.
.
เวลา 2 ใน 3 สำหรับผมและอูฮยอนหมดเปลืองไปกับการทะเลาะกัน คำถามร้ายกาจที่สุดในชีวิตคู่หลุดออกมาจากปากของเขาอย่างง่ายดายยามเมื่อมีอารมณ์โกรธเข้าแทรก
“ ฮยองอยากเลิกกับผมไหม ”
แรกๆที่ได้ยินก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนทำร้ายจิตใจ แต่บ่อยเข้าก็ชาชิน และกลับกลายเป็นความว่างเปล่าในที่สุด
“ ก็เอาสิ ”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตากวาดมองข้าวของที่ถูกขว้างปาจนกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้องด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายอย่างเลื่อนลอย
두 눈은 초점을 잃고
ดวงตาทั้งคู่สูญเสียโฟกัสไป
가슴엔 감각이 없고
หัวใจเองก็ไร้ความรู้สึก
추억은 파편이 되어 흩어져
แล้วความทรงจำระหว่างเราสองพลันแตกกระจาย
“ ฮยองมีคนอื่นใช่ไหม ถึงได้กล้าตอบแบบนี้ ”
ประเด็นไร้สาระเดิมๆถูกนำออกมาปัดฝุ่นใหม่แล้วใช้กล่าวหากันได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นเพียงเรื่องบ้าบอที่ไม่มีที่มาที่ไป
“ ถ้าไม่พูดอะไรเลย ผมจะถือว่าฮยองยอมรับ ” อูฮยอนบอกผมด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต่อล้อต่อเถียงกับเขา … หมดคำพูด ... หมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะประคับประคองความรักลุ่มๆ ดอนๆของเราให้ดำเนินต่อไปทางไหนดี
야 이 바보야
นี่ เจ้าบ้าเอ๊ย
끝난 일이야
มันจบแล้วล่ะ
“ ก็ได้ ถ้างั้นจากนี้ไป ฮยองก็อยู่ส่วนฮยอง ผมก็อยู่ส่วนผม ” ร่างเล็กของเมนโวคอลลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ ฮยองจะได้ใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ ไม่ต้องมาจมปลักอยู่กับคนอย่างผมอีกต่อไป ”
그앤 없어
แล้วนายก็ไป
내게 남은건
สิ่งที่เหลือไว้ให้
그리움 뿐야
ก็มีแค่ความโหยหา
“ แต่ถ้าไม่เคยรู้เลย ... ก็จะบอกให้ก็ได้ ” เขาเว้นวรรคชั่วอึดใจ
“ ... ว่าผมรักฮยองมากนะ ”
살아가라고 내게 한 말 기억해
จำได้ว่านายบอกให้ฉันไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองซะ
사랑한다던 마지막 말 잊을게
จะลืมคำพูดสุดท้ายที่นายบอกว่ารักฉันให้ได้
……………………………………….
อูฮยอนไม่คุยกับผมเลยนับตั้งแต่ที่เราเลิกกัน หรือถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นต้องบอกว่าเราต่างไม่คุยกัน เขาไม่คุยกับผม ส่วนผมเองก็ไม่ได้พยายามที่จะคุยกับเขาด้วยเช่นกัน
ประจวบเหมาะที่ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อของการย้ายออกจากหอเก่ามาสู่หอใหม่ ทำให้อูฮยอนเลือกที่จะอยู่คนเดียวโดยไม่เกี่ยงว่าห้องเดี่ยวที่ได้นั้นจะคับแคบเพียงไหน ผมจึงจำต้องย้ายตัวเองมาอยู่ห้องเดียวกับซองยอลและมยองซูอย่างไม่มีทางเลือก
เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายผมจะไม่คัดค้าน
ถึงจะต้องรู้สึกเสียใจทุกครั้งเวลาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบอีกคนนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน แต่อย่างไรเสีย ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปในวันข้างหน้า จะมามัวยึดติดอยู่กับอดีตไม่ได้
ผมลุกขึ้นจากเตียงซึ่งตอนนี้กลายสภาพมาเป็นเตียงเดี่ยวไม่ใช่เตียงสองชั้นอีกต่อไปแล้ว หลังตื่นนอน สายตาของผมก็มักจะไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงโดยอัตโนมัติทุกครั้ง
หลายวันมาแล้วที่ๆตรงนั้นไม่มี ‘ชุดของวันนี้’ เตรียมเอาไว้ให้ รู้สึกผิดหวังแต่ก็ได้แค่ทำใจและบังคับตัวเองให้รู้สึกชินกับการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยตัวเอง
ก็แค่เปิดตู้เสื้อผ้า คว้าชุดที่ต้องการออกมา ชุดไหนๆมันก็เหมือนกันทั้งนั้น แค่เลือกแบบลวกๆพอให้สวมออกมาแล้วไม่ขัดตาก็คงได้
‘ ใส่อะไรของฮยอง สีเสื้อกับกางเกงมันตัดกันมั่วไปหมด น่าเกลียดชะมัด ’
อูฮยอนเคยหัวเราะเยาะเซ้นท์ทางด้านแฟชั่นของผมดังลั่นราวกับมันเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา ขนาดมั่นใจเต็มที่ว่าตัวเองเป็นประเภทไม่แคร์สังคมแล้วก็ยังอดรู้สึกเสียเซลฟ์ไม่ได้
‘ ต่อไปนี้ผมจะเป็นคนเตรียมเอาไว้ให้ฮยองทุกเช้าละกัน ’
ผมแทบไม่ต้องเปิดตู้เสื้อผ้าอีกเลย เพราะอูฮยอนเสนอตัวเป็นคนดูแลแฟชั่นของผมนับแต่นั้นเป็นต้นมา จวบจนกระทั่งเมื่อกลางสัปดาห์ก่อนที่เราเลิกกัน
ผ่านมาจวนจะครบอาทิตย์แล้วก็ยังขจัดความรู้สึกโหวงๆนี้ให้ออกจากใจไม่ได้สักที
사방엔 니가 떠 있고
ภาพนายยังตามหลอกหลอนไปทุกที่
니가 날 찾는 것 같고
แถมดูเหมือนนายกำลังมองมาที่ฉันอีก
부르면 돌아올 것만 같은데
ดูเหมือนนายอาจจะกลับมาก็ได้หากฉันตะโกนออกไป
แต่จะมีประโยชน์อะไร ...
……………………………………….
ผมได้แต่ยืนอมยิ้มอย่างภูมิใจอยู่ตรงหน้ากระจก มันไม่ได้เลวร้ายเลยกับแฟชั่นที่ผมเป็นผู้รังสรรค์ด้วยตัวเอง ขนาดว่าจับเสื้อกับกางเกงมาเข้าคู่กันแบบมั่วๆ ก็ยังดูไม่แย่ไปเสียทีเดียว
ชีวิตคนโสดก็ไม่บัดซบอะไรนัก ก่อนจะมีนัมอูฮยอนเข้ามา ผมก็เคยอยู่ด้วยตัวคนเดียวมาก่อน
ทุกวันนี้ผมยังคงทานอาหารได้อร่อย นอนหลับได้สนิท ร้องเพลงได้ถูกโน้ต เต้นได้เข้าจังหวะ และยังคงมีความสุขกับชีวิตเหมือนเดิม
หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ต้องเห็นสายตาขุ่นเคือง ไม่ต้องฟังเสียงประชดประชัน ไม่ต้องรองรับอารมณ์ ไม่ต้องทนอีกต่อไป แล้วมันไม่ดีตรงไหน?
ผมว่าอีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างกัน
……………………………………….
สิ่งที่แย่เมื่อต้องเลิกรากับใครสักคน คือฝ่ายบอกเลิกมักถูกสังคมรอบข้างตราหน้าว่าเป็นคนใจร้าย ใจดำ
แต่อาจจะเป็นเพราะอูฮยอนดูน่าสงสารกว่าผม แววตาหงอยๆและอาการซึมเศร้าในหลายวันที่ผ่านมา เรียกร้องให้ผู้คนสนใจเข้ามาไถ่ถาม ประกอบกับที่เจ้าตัวเป็นประเภทหาพวก หาเหตุผลเก่ง
จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนัมอูฮยอนที่จะทำให้คดีพลิก
สายตาตำหนิหลายคู่จ้องมองมายังผมซึ่งออกจากห้องนอนเป็นคนสุดท้ายในขณะที่ทุกคนนั่งพร้อมกันที่โต๊ะอาหารเรียบร้อย บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมกำลังโดนสังคมประณาม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่
“ ซองกยูฮยอง ทานข้าวฮะ ”
ใจจริงผมไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับคู่กรณีหมาดๆ ไม่ชอบบรรยากาศกระอักกระอ่วนใจ แต่ติดที่ซองจงส่งเสียงเรียกเอาไว้ ผมถึงได้ชะงักฝีเท้าลง
“ พวกนายกินกันไปนะ พอดีฉันอิ่มมาจากในครัวแล้ว ขอไปเตรียมตัวเลยแล้วกัน ”
อูฮยอนยืนขึ้นด้วยความรวดเร็วสลับกับผมที่กำลังจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตัวราวกับต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นเพราะผม ที่ทำให้เขาไม่สามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ได้
หงุดหงิดจริงๆสิพับผ่า ผมไม่ปลื้มนิสัยขี้ประชดของนัมอูฮยอน ... เข้าขั้นเกลียด ... เกลียดแบบเข้าไส้
“ วันนี้เจ๋งแฮะ ” ผมสลัดความรู้สึกขุ่นมัวในใจทิ้งก่อนพุ่งความสนใจไปที่เมนูอาหารบนโต๊ะแทน เพราะไม่อยากอารมณ์เสียตั้งแต่หัววัน
ปกติแล้วผมเป็นคนทานง่าย แต่ซี่โครงหมูตุ๋นเป็นอาหารที่ผมโปรดปรานเป็นพิเศษ แถมข้างกันยังมีถ้วยซุปเต้าเจี้ยวร้อนๆเอาไว้สำหรับตักซดให้คล่องคออีก อย่างนี้มันสวรรค์ชัดๆ
ผมไม่สนแล้ว ใครจะประชดอะไรก็ประชดไป ถึงแม้เก้าอี้ด้านข้างมันจะถูกเว้นว่างไป แต่ผมก็จะทานอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนเดิม
ผมจะไม่แคร์อีกต่อไปแล้ว
……………………………………….
อูฮยอนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกมีคนคอยล้อมหน้าล้อมหลังประคบประหงมเต็มไปหมด โอเค ผมไม่เถียงหรอกว่าอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะอาการไม่ดีจริงๆ
แต่มันใช่เรื่องไหมที่คนโดนบอกเลิกอย่างผมต้องมาทนรับสายตาประณามหยามเหยียดจากสมาชิกในวง แทนที่จะได้รับความเห็นใจ
“ นายควรจะพัก จริงๆนะ อูฮยอน ฉันขอเลย ” ดงอูบอก มือหนึ่งพยุงร่างที่ซวนเซจวนจะล้มลงกับอีกมือที่ช่วยโบกลมเข้าหาคนป่วยที่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยการเมืองกันแน่
อย่าหาว่าผมพาลเลย ใช่ว่าอูฮยอนจะไม่เคยมีประวัติแบบนั้น เพราะในจำนวน 3 ครั้งที่เจ้าตัวรู้สึกป่วยจริงๆจนต้องหยุดซ้อม จะมีอย่างน้อยสัก 1 ครั้ง ที่เขาเพียงแค่ใช้อาการป่วยเป็นข้ออ้างบังหน้าเพื่อลาหยุด
“ เบรค 10 นาทีแล้วกัน ” ผมสั่งพักเบรกตัดรำคาญ ไม่อยากใจร้ายนักหรอก เพราะแค่นี้ภาพลักษณ์ก็ติดลบในสายตาใครๆจนไม่รู้จะหันไปเอาดีทางไหนแล้ว
ผมคว้าขวดน้ำที่แช่อยู่ในถังน้ำแข็งเล็กๆก่อนเดินฉิวไปทอดตัวลงนั่งที่มุมห้องด้านตรงข้ามกับโซฟาที่มีอีกคนจับจองอยู่กับพรรคพวกเต็มพื้นที่
“ ฮยองได้นอนบ้างหรือเปล่า ” ซองยอลถาม
อูฮยอนส่ายหน้าช้าๆให้เป็นคำตอบ ก่อนพูดพึมพำอะไรออกมาอีกสองสามคำ ไม่แคล้วว่าคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเลิกราของเราสองคน สังเกตจากหางตาหลายคู่ที่เหลือบมาทางผมอย่างไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
การที่เราต้องเลิกกัน มีแค่เขาที่เจ็บ ผมมันไม่ใช่คน ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นหรือ ถึงได้ไม่มีใครอยู่เคียงข้างคอยเป็นกำลังใจให้
ทำไมผมต้องถูกมองว่าผิดอยู่เสมอ
……………………………………….
ผมกับอูฮยอนเราเป็นคู่รัก ไม่ใช่สิ เราแค่ ‘ เคย ’ เป็นคู่รักที่ทะเลาะกันบ่อยๆ
หลายครั้งที่ผมโดนเขากล่าวหาแบบเลื่อนลอย ไร้ต้นสายปลายเหตุ เหมือนจู่ๆก็มโนเรื่องงี่เง่าขึ้นมาในหัวด้วยตัวเอง เป็นต้นว่าผมไม่รักเขา ต่อจากนั้นก็จะเริ่มจุดประเด็นต่อว่าผมมีคนอื่น
ไม่แน่ใจว่าคู่อื่นๆเขารักกันแบบไหน ส่วนตัวผมให้ใจเขาไปเต็มร้อย เพียงแต่เป็นประเภทพูดจาหวานๆไม่ค่อยเก่ง
เพราะเคยเชื่อว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด ตลอดมาจึงพยายามแสดงออกผ่านการกระทำให้อูฮยอนได้รับรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน หากอีกฝ่ายชอบอะไร แม้ยากเย็นก็จะพยายามสรรหามามอบให้อย่างสุดความสามารถ ให้การสนับสนุน ดูแลและปกป้องด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม
แต่สิ่งที่ได้รับคืนมากลับมีเพียงความไม่เชื่อใจ ผมจึงหมดศรัทธากับความเชื่อนั้นในที่สุด
สารพัดความกังวลของอูฮยอนคอยบั่นทอนกำลังใจผมให้ลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายผมก็ทำได้แค่ปล่อยมือจากเขาไป
야 이 바보야
นี่ เจ้าบ้าเอ๊ย
끝난 일이야
มันจบแล้วล่ะ
그앤 없어
แล้วนายก็ไป
내게 남은건
สิ่งที่เหลือไว้ให้
그리움뿐야
ก็มีแค่ความโหยหา
그앤 없어
แล้วนายก็ไป
และผมจะไม่รั้งเขาไว้อีก
……………………………………….
ครบสัปดาห์แล้วที่ผมกับอูฮยอนตัดสินใจจบสถานะคนรักลง อันที่จริงความห่างเหินระหว่างเราก็ไม่ได้ส่งผลทางด้านอารมณ์ของผมเท่าไหร่นักในหลายวันที่ผ่านมา
แค่เช้านี้ผมแอบปั่นป่วนใจนิดหน่อยตอนที่ได้เห็นสารรูปตัวเองผ่านบานกระจกชัดๆ
ไรหนวดเขียวครึ้มที่ขึ้นอยู่เหนือริมฝีปากทำเอาผมต้องยีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ซึ่งเป็นความหงุดหงิดที่มีผลต่อยอดมาจากชุดที่สวมอยู่ ณ ปัจจุบันอีกทอด
สีเสื้อกับกางเกงไม่ได้ดูเข้ากันอย่างวันก่อนๆ ผมหาตัวที่แมทช์กันมากกว่านี้ไม่เจอ พอๆกับที่หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมชุดที่เลือกเองในวันนี้ถึงได้ดูแย่กว่าทุกๆวัน
“ ซี๊ดดด ” ด้วยความใจร้อนทำให้ใบมีดแฉลบเข้าเนื้อตรงบริเวณเหนือริมฝีปากจนได้เลือด
ผมเปิดน้ำจากก๊อกไล่เจ้าของเหลวสีแดงให้ลงท่อเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องน่าขายหน้าเมื่อครู่ จัดการวางมีดโกนเข้าที่อย่างรวดเร็วเพราะรู้สึกขยาดจนไม่อยากแตะมันอีกต่อไป
“ ค่อยแวะไปโกนที่ร้านก็แล้วกัน ” ตัดสินใจแบบนั้น ก่อนเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดสีดำของ chrome hearts เข้าคู่กับกางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่งแทน
ผมคงต้องรู้สึกปั่นป่วนใจมากกว่าเดิมแน่ๆ ถ้าหากยังพยายามคิดหาสาเหตุที่ทำให้แฟชั่นกับสารรูปของผมดูไม่เข้าท่าแบบนี้
ดังนั้นผมจะมองข้ามมันไป
……………………………………….
มื้อเช้าในวันนี้แตกต่างออกไป ไม่มีกับข้าว ไม่มีเครื่องเคียง ไม่มีแม้กระทั่งข้าวสวยร้อนๆวางรออยู่บนโต๊ะดังเช่นทุกวัน
“ มีแต่ไก่ทอดนะฮยอง วันนี้อูฮยอนฮยองไม่ได้ทำอะไรไว้ให้กิน เราเลยโทรสั่งเอา ” มยองซูชี้แจง ขณะเร่งสวาปามมื้อเช้าเพื่อให้ทันเวลาตารางงานของพวกเรา
“ ทำไม ”
“ ถามถึงเรื่องไหนล่ะ ไก่ หรือ อูฮยอนฮยอง ” ซองยอลย้อนถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ ถือว่าไม่ได้ถามก็แล้วกัน ” ผมบอกอย่างรู้สึกไม่ชอบใจน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ก่อนทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว
“ อูฮยอนฮยองเหมือนจะไม่สบายน่ะฮะ ” ซองจงแทรกขึ้น ทำเอาคนมีอาวุโสกว่าหันมาค้อนตาคว่ำ
“ ไปบอกเขาทำไมซองจง บอกไปก็ใช่ว่าเขาจะสนใจ มันไร้ประโยชน์ที่จะพูด ” เผินๆดูเหมือนซองยอลกำลังดุเจ้ามักเน่ แต่ให้แน่ใจได้เลยว่าจุดประสงค์ของประโยคนั้นมีไว้เพื่อแดกดันผมโดยเฉพาะ
“ อาการเขาเป็นไงบ้างล่ะ ” ผมส่งคำถามแสดงน้ำใจแฝงการหักหน้าซองยอลไปในตัว
“ เห็นบอกว่าไม่มีแรง เลยขอนอนพัก ถึงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป ผมก็อยากให้ฮยองเข้าไปดูน้องสักหน่อยเหมือนกัน ” เพราะโดนดุเข้าไปทำให้ซองจงไม่กล้าพูดกับผมอีก ดงอูจึงอาสาตอบแทนด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ ไปทำอะไรมาถึงไม่มีแรง ” ผมถามอย่างสงสัย
“ คนที่ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ฮยองคิดว่าเขาจะเอาแรงมาจากไหนกันล่ะ ” โฮย่าย้อนด้วยสีหน้ามึนตึง
“ นั่นแปลว่าเขาทำตัวเขาเอง ” พูดสรุปก่อนจัดการมื้อเช้าของตัวเอง ผมยังมีเรื่องให้จัดการอีกตั้งมาก ไม่มีเวลามานั่งทำตัวเฮิร์ทให้คนอื่นคอยเอาอกเอาใจเหมือนคนบางคน
“ ฮยองอย่าพูดแบบนั้นนะฮะ!! ” ในที่สุดซองจงก็เปิดปากพูดกับผมอีกครั้งด้วยแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นจากเดิม “ ฮยองรู้ไหม ทุกวันนี้ผมเห็นอูฮยอนฮยองต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เข้าตลาดสดไปเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำกับข้าวที่ฮยองชอบ ”
“ ฉันไม่ได้ขอให้เขาทำสักหน่อย ” ผมรู้สึกหงุดหงิด จากคำพูดของอีกฝ่ายที่ราวกับจะโยนบาปให้ผมนั่นคือสาเหตุแรก ส่วนสาเหตุที่สองมาจากรสชาติของอาหารในเช้าวันนี้
ไก่ทอดจากเฟรนไชน์ชื่อดังที่ถูกปรุงรสมาอย่างพิถีพิถันจากสูตรที่คัดสรรมาแล้วว่ากลมกล่อมและถูกปากประชากรเกาหลีเป็นที่สุด แต่ผมทานแล้วไม่รู้สึกถึงความอร่อย
“ เขาอยากเอาใจฮยอง เขากำลังง้ออยู่นะ ฮยองไม่รู้เหรอ ” โฮย่าถามอย่างหัวเสีย
“ ฉันไม่สนใจหรอก ”
“ ทำไมฮยองพูดแบบนี้ เสียแรงที่อูฮยอนฮยองอุตส่าห์เป็นห่วงฮยองซะมากมาย เขาคิดว่าฮยองจะอึดอัดถ้าต้องร่วมโต๊ะกับเขา เขาถึงได้ปลีกตัวออกไปเวลาที่ฮยองมา ก่อนจะไปก็ยังกำชับให้ผมเรียกฮยองกินข้าวด้วยทุกครั้ง ทั้งที่ตัวเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องด้วยซ้ำ ” น้องเล็กระบายความอัดอั้นออกมาทั้งหมดในคราวเดียวด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
แล้วจะให้ผมพูดอะไรได้ ...
……………………………………….
“ ฮยองโกนหนวดเองเหรอฮะ ” อูฮยอนที่นอนตะแคงข้างมองผมที่นั่งอยู่บนพื้นข้างเตียงด้วยรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก เขาเอ่ยถาม ก่อนจะเลื่อนนิ้วโป้งมาแตะตรงรอยแผลเหนือริมฝีปากแล้วเกลี่ยมันเบาๆ
“ อือ ” ผมตอบรับอย่างเย็นชา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสัมผัสอุ่นร้อนจากปลายนิ้วของเขาเรียกความรู้สึกดีๆระหว่างเราให้คืนกลับมา
.
.
.
.
หาก 2 ใน 3 เป็นช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งในชีวิตคู่ เวลา 1 ใน 3 ของผมกับอูฮยอนก็คงหมายถึงช่วงเวลาที่เรามีกันและกัน
“ ว่างยัง มาโกนหนวดให้ฮยองหน่อยซิ ”
“ อะไร นี่แฟนนะ ไม่ใช่ทาส เรื่องแค่นี้ทำเองไม่เป็นเหรอ ” ถึงจะทำเป็นพูดนู่นนี่ แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามใจผมทุกครั้ง
อูฮยอนก้าวขึ้นเตียงแล้วโผทับลงกลางลำตัวของผมอย่างเคยชิน ก่อนจะยันข้อศอกไว้กับอก พลางยื่นมือข้างที่ว่างจับปลายคางของผมพลิกซ้ายขวาอย่างพิจารณา มืออีกข้างถือด้ามจับมีดโกนหนวดไว้มั่น แล้วค่อยลงมือกำจัดเจ้าเส้นแข็งๆรอบริมฝีปากของผมออกให้ด้วยความระมัดระวัง
ยังจำได้ดีถึงกลิ่นกายอ่อนๆ ความนุ่มนวลและอุณหภูมิจากฝ่ามือของคนตัวเล็ก ไม่เคยลืมสีหน้าเวลาตั้งอกตั้งใจทำอะไรสักอย่างของเขา สัมผัสเบามือของเจ้าตัวบ่งบอกว่าอูฮยอนให้ความสำคัญกับผมมากแค่ไหน
จะแปลกไหมที่ผมกลายเป็นผู้ชายที่ไม่เคยโกนหนวดด้วยตัวเองอีกเลยนับแต่นั้นเป็นต้นมา
นัมอูฮยอนรักการทำอาหาร แต่ที่มากกว่านั้นคือเขารักที่จะสังเกตปฏิกิริยาของคนรับประทาน โดยเฉพาะผม
“ อืม มันไม่โอเคเลยอะ ” ผมให้ความเห็นหลังจากตักกิมจิจิเกที่อูฮยอนเป็นคนลงมือทำให้ทานเป็นครั้งแรกๆในหอของพวกเรา
“ มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ” อูฮยอนใจเสีย แววตาวูบไหวบ่งบอกว่าคนมั่นใจตัวเองกำลังเสียเซลฟ์อย่างหนัก
“ เปล่า มันไม่โอเคเลยอะที่ฮยองจะอ้วนไปมากกว่านี้เพราะเวทมนตร์ของนายเนี่ย ”
ยังจำได้ดีถึงรอยยิ้มที่ค่อยๆคลี่ออกอย่างยินดี คำว่าเวทมนตร์อาจจะดูโอเว่อร์ไปนิดสำหรับกิมจิจิเกหม้อเล็กๆ แต่หลังจากนั้นใครจะเชื่อ
ไอดอลขายดีที่มีคิวรัดตัวไม่เว้นแต่ละวัน กลับมีเวลาฝึกฝีมือการทำอาหารด้วยตำราอาหารเล่มน้อยที่เปิดกางอยู่หน้าเตาเพียงแค่เล่มเดียว จนตอนนี้คงเชี่ยวชาญพอจะเปิดร้านอาหารหรูๆสักร้านไว้เป็นของตัวเองได้แล้ว
หากแต่ผมรู้ดีเวทย์มนตร์ของนัมอูฮยอนไม่ใช่เพื่อใคร แต่มีไว้สำหรับผมคนเดียวเท่านั้น
ครั้งหนึ่งที่ริมฟุตบาทแถวย่านที่มีการจราจรคับคั่ง อูฮยอนเคยงอแงจะเอาขนมจากรถเข็นฝั่งตรงข้ามเสียให้ได้
“ อยู่นี่แหละ เดี๋ยวฮยองข้ามไปซื้อมาให้ ” ผมบอกพร้อมกับคลายมือของตัวเองออกจากฝ่ามือนุ่มๆของอีกฝ่าย
“ ไม่เอา รถเยอะจะตาย ” อูฮยอนค้านพลางรีบสอดมือตัวเองกลับเข้ามาประกบไว้กับฝ่ามือของผมเหมือนเดิม
“ ก็ใช่ดิ ถึงให้ยืนรออยู่ฝั่งนี้ไง ”
“ ก็ไปด้วยกันนี่แหละ ” คราวนี้ไม่ใช่แค่มือ แต่อีกฝ่ายยังประสานนิ้วให้แน่นเข้าไปอีก
“ ไม่ต้อง!! เดี๋ยวรถชน ” ผมเอ็ดอูฮยอนเสียงดังพร้อมกับแกะมือเขาทิ้ง ยอมสวมบทคนใจร้าย ดีกว่าให้อีกฝ่ายต้องเป็นอันตราย
“ ก็ใช่สิ เดี๋ยวรถชน เลยต้องไปด้วยกันไง ฮยองไม่อยากเห็นผมเป็นอะไร พอๆกับที่ผมไม่อยากเห็นฮยองเป็นอะไรเหมือนกันนั่นแหละ ” อูฮยอนพูดหน้าตาเฉย แต่ทำเอาผมหมดคำคัดค้าน
ในชีวิตนี้จะมีใครที่พร้อมจะไปกับเราในทุกๆที่ โดยไม่เกี่ยงว่าสถานที่สุดท้ายจะเป็นนรกหรือสวรรค์ คนที่ให้คุณค่ากับเราเทียบเท่าหรือเผลอๆจะมากกว่าชีวิตของตัวเองนอกจากพ่อแม่จะมีใคร
สำหรับผม นัมอูฮยอนคือคนที่ว่า
ไม่ ... ไม่ใช่ นัมอูฮยอน เขาแค่เคยเป็นคนที่ว่า
“ เราไม่ได้คุยกันเลยเนอะ ” อูฮยอนบอกด้วยน้ำเสียงสดใสขัดกับสีหน้าอิดโรยของเจ้าตัวอย่างเห็นได้ชัด
“ อือ ” ผมตอบรับห้วนๆเพราะต้องการเร่งจังหวะบทสนทนาของพวกเรา
“ ถ้าผมจะขอถอนคำพูด ... ฮยองจะว่าผมสับปลับไหม ” ราวกับล่วงรู้ความคิดในใจผม อีกฝ่ายถึงได้รีบเข้าประเด็นทันที
살아가라고 내게 한 말 기억해
จำได้ว่านายบอกให้ฉันไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองซะ
“ แน่นอน ถ้าหมายถึงเรื่องที่นายขอเลิกกับฉันล่ะก็นะ ” ผมตอบคำถามของเขาอย่างเย็นชา
“ เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วจริงๆใช่ไหมครับ ” เมื่อถึงประโยคนี้เสียงของอูฮยอนก็ไม่ได้ฟังดูสดใสอีกต่อไป
“ ใช่!! “ ผมสวนกลับทันควัน ” เวลาของเรามันหมดลงแล้ว ”
“ ช่วยทบทวนอีกครั้งไม่ได้เหรอครับ ” อีกฝ่ายส่งสายตาอ้อนวอน และพยายามจะยันตัวลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อขอร้อง แต่แรงมีไม่พอจนต้องฟุบลงไปกับหมอนอีกรอบ “ ... แค่ก แค่ก .. ”
“ กรุณาอย่าใช้ความอ่อนแอของตัวเองมาบีบบังคับคนอื่นได้ไหม ” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนกอดอก จ้องมองคนบนเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความอ่อนโยนหยิบยื่นให้อีกฝ่ายอย่างเช่นทุกครั้ง
“ ผม... ฮึก...เปล่า ” อูฮยอนหลุดสะอื้น พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นโอบกอดร่างที่กำลังสั่นเทาของตัวเองไว้แน่น
“ ฉันเชื่อ!! หึ ” ผมมองการแสดงออกที่ตรงข้ามกับคำพูดของเขาพลางกลั้วหัวเราะ
“ ผมจะยอมเป็นคนสับปลับ ”
“ หยุดดึงดันสักทีเถอะอูฮยอน ถ้าเราเลิกกันตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังพอจะเหลือความทรงจำดีๆเอาไว้ให้นึกถึงอยู่บ้าง ” ผมได้แต่เบือนหน้าหนี เพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของเขา
“ ที่ผมหมายถึงไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ ” อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างช้าๆ
“ แต่ผมจะขอถอนคำพูดที่ว่าผมรักฮยอง ”
ชั่วอึดใจที่รู้สึกว่าสมองของตัวเองชาวาบ
“ ความรักที่ผมให้ฮยองไป ...ผมขอคืนทั้งหมดนะครับ ”
사랑한다던 마지막 말 잊을게
จะลืมคำพูดสุดท้ายที่นายบอกว่ารักฉันให้ได้
……………………………………….
อูฮยอนได้ในสิ่งที่เขาต้องการกลับคืนไปแล้ว
ความรักของเขา หัวใจของเขา มีอิสระ หลุดพ้นจากการจองจำ เขากินได้นอนหลับ หน้าตาแช่มชื่น มีสมาธิกับการซ้อมมากขึ้น ดูเหมือนว่าหัวใจของเขากำลังได้รับการเยียวยาและกำลังจะหายดีในไม่ช้า
อยากจะรู้สึกดีใจไปกับเขาจริงๆ
ถ้านั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการผมอีกต่อไปแล้ว
“ ฮยองทานข้าวครับ ”
อูฮยอนส่งเสียงเรียกขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านโต๊ะอาหารไป หัวใจของผมพองโต อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะเลิกติดใจเรื่องระหว่างเราแล้วก็ได้ … บางทีพวกเราอาจจะได้กลับมาเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันเหมือนเดิม
“ อ่าว ซองจง อย่าอู้ๆ ตักข้าวให้ซองกยูฮยองสิ ” อูฮยอนแกล้งดุน้องเล็กอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะหันไปหัวเราะมุขตลกร่างกายของแรพเปอร์ประจำวงต่ออย่างอารมณ์ดีจนแก้มขาวขึ้นเลือดฝาด แววตาที่ดูสดใสแตกต่างกับอูฮยอนที่นอนซมอยู่ในห้องนอนของตัวเองเมื่อวันก่อนราวกับเป็นคนละคนกัน
ผมจดจ้องใบหน้าด้านข้างของอูฮยอนนิ่งนานเหมือนโดนมนต์สะกด นานมาแล้วในความรู้สึกที่ไม่ได้มองอีกฝ่ายชัดๆแบบนี้
“ เคร้ง!! รีบกินกันเถอะ เดี๋ยวจะได้ไปซ้อมกัน ” เสียงช้อนกระทบกับขอบจานของโฮย่า ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แต่มันก็ช่วยดึงสติของผมให้กลับคืนมา และทำหน้าที่จดจ่ออยู่กับเมนูอาหารได้อย่างที่ควรจะเป็น
ผมได้แต่จ้องกับข้าวสองสามอย่างบนโต๊ะด้วยสายตานิ่งงัน เมื่อกวาดตาดูจนทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะมีเมนูโปรดของผมอยู่ในจำนวนนั้นเลยสักจาน
ผมตระหนักได้ในทันทีว่าจากนี้ เวทย์มนตร์ของเขา คงไม่ใช่เพื่อผมอีกต่อไปแล้ว
เท่านี้ก็ชวนให้รู้สึกกระดากใจเกินกว่าจะจับช้อนส้อมขึ้นมาไว้ในมือ อาจเพราะตลอดมาเคยแต่เป็นคนรับ ได้แต่รับจนเคยตัว รับมาจนอิ่มหนำ คำนึงเพียงความพึงพอใจของตัวเอง จนไม่ได้คิดถึงจิตใจของคนให้
ที่ผ่านมาอูฮยอนต้องปลุกตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่ เพียงเพื่อจะขึ้นมาเตรียมมื้อเช้าที่เจ้าตัวรู้ว่ามันจะช่วยให้ผมอารมณ์ดีไปทั้งวัน ทั้งที่เวลานอนก็แทบจะมีไม่พอ ทั้งที่ควรจะไม่พอใจแต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยปริปากบ่น ได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบๆอย่างถือเป็นกิจวัตร
ผมควรจะตอบแทนความยากลำบากของเขา แต่ตลอดมาสิ่งที่ทำกลับมีแค่ก้มหน้าก้มตาจัดการมื้อเช้าด้วยความรีบเร่งโดยใช้ตารางงานเป็นข้ออ้างบังหน้าอย่างไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยสักนิด
คนเรามักไม่รู้ค่าของสิ่งที่มีอยู่ จนกว่าจะถึงวันที่ต้องเสียมันไป
“ ฮยอง ช่วงนี้ใส่สีดำบ่อยจัง โดนแอลมันเป่าหูเอาเหรอ ” ซองยอลเงยหน้าจากถ้วยซุปส่วนตัวก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“ อืม ก็นะ ” ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายรู้ดีมากกว่าตัวผมเองเสียอีก
เดิมทีผมเข้าใจว่าแม่บ้านที่ทางเราจ้างไว้ทำความสะอาดเป็นคนเข้ามาจัดตู้เสื้อผ้าให้เพราะเสื้อผ้าที่อยู่ในนั้นมันดูเรียบร้อยพร้อมใช้งานในทุกครั้งที่เปิด
แต่ผิดถนัด!!!!
ลีซองยอลเป็นคนเปิดโปงความลับให้ผมฟังด้วยตัวเองว่าช่วงที่ผมกับอูฮยอนเลิกกันใหม่ๆ คนตัวเล็กยังคงแวะเวียนย่องมาจัดตู้เสื้อผ้าให้ผมทุกคืน
“ ผู้ชายมักง่ายอย่างฮยองน่ะ ชอบหยิบตัวที่อยู่หน้าๆใช่มั้ยล่ะ นั่นแหละตำแหน่งที่เขาจะแขวนเอาไว้ให้ฮยองหยิบไง ผมเป็นพวกตื่นง่ายอยู่แล้ว เลยได้เห็นทุกคืนอะ ”
พอขาดคนมิกซ์แอนด์แมทช์ไป เสื้อผ้าสีสันสดใสที่มีอยู่ล้นตู้ก็กลายเป็นหม้ายไปเสียฉิบ ตอนนี้ก็มีแต่ต้องพึ่งพาแฟชั่นเสื้อผ้าสีดำไปตามยถากรรม เพราะมันเป็นสีที่ไม่ต้องใช้หัวคิดและทักษะทางด้านศิลปะมาก แค่หยิบติดมือมาก็สวมใส่ได้ในทันที
“ แล้วหนวดฮยองนี่ทิ่มตาผมมากอะบอกตรงๆ คิดจะเลี้ยงเอาไว้จนถึงเมื่อไหร่เหรอครับ ” โฮย่าบ่นด้วยท่าทางหัวเสียเพราะไม่ต้องการเห็นผมอยู่ในสารรูปนี้อย่างจริงจัง
“ ขอเป็นผู้ชายเซอร์ๆสักพักก็แล้วกัน ”
เพราะตลอดมาโดนนัมอูฮยอนสปอยล์จนเคยตัว พอเลิกกัน ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่า พอเขาหมดเยื่อใยแล้ว ผมก็เหมือนพวกง่อยเปลี้ยเสียขา หยิบจับอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง แค่เรื่องง่ายๆอย่างการกำจัดหนวดที่อยู่บนใบหน้าตัวเองทิ้งไป ยังไม่รู้จะจัดการอย่างไรเลย
ผมมันโง่ที่ไม่รู้ว่าอูฮยอนรัก ไม่สิ!! เคยรักผมมากแค่ไหน
เคยคิดว่าตัวเองหมดรักเขา แต่ความจริงผมแค่โดนความเขลาบังตา ทั้งที่ตลอดมาเอาแต่คิดว่าตัวเองรักอีกฝ่ายได้ดีที่สุดแล้ว แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม
I felt that L.O.V.E but that was trick
คิดว่าเป็นความรัก แต่ที่จริงกลับเป็นเรื่องหลอกตา
“ เฮ่ เจ้าเด็กเปรตนั่น ไลน์มาหาฮยองอีกแล้วเหรอ ” โดยไม่รู้ตัว ลีซองยอลก็เริ่มหัวข้อสนทนาใหม่บนโต๊ะอาหารยามเช้าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ซึ่งนั่นก็เรียกความสนใจจากผมได้ไม่ยาก เพราะ ’ฮยอง’ ที่อีกฝ่ายว่าหมายถึงคนตัวเล็กที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึงของผมในเวลานี้พอดี
“ เขาก็สูงไล่ๆกับนาย ยังไปเรียกเขาเปรต เขาก็มีชื่อเหอะ ” อูฮยอนว่า ก่อนชักมือถือหลบเพราะไม่อยากให้ซองยอลแอบอ่านข้อความสนทนาในนั้น
“ ก็ชื่อแม่งเรียกยากอะ อะไรโล่ๆนะ ”
“ เจลโล่ ”
“ เออ นั่นแหละ ผมว่าเจ้านั่นมันชอบฮยองแน่เลยอะ เห็นไลน์เช้าไลน์เย็น ”
“ บ้าดิ ยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ” อูฮยอนส่ายศีรษะพลางส่งเสียงหัวเราะอย่างเก้อเขิน จนผมอดคิดไม่ได้ว่านั่นอาจจะเป็นอาการของคนที่กำลังตกหลุมรัก
ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์อะไร แต่ผมก็ยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
부러진 날개로도 날아 널 잡아
จะโบยบินด้วยปีกหัก ๆ ของตัวเองแล้วไล่ตามนาย
달라 붙어 죽더라도 가도 넌 없었지
จะยึดนายไว้ข้าง ๆ ถึงแม้จะตายไปก็ตาม แต่นายก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“ เฮ่ มีนัดสถานที่กันด้วย ค่ำนี้ โหย อะไรอะ เด็กนี่แก่แดดเว่อร์ อย่าบอกนะว่าฮยองจะไปตามนัดจริงๆอะ ”
“ ถ้าไม่ติดอะไรก็ว่าจะไป ”
อูฮยอนได้หัวใจของเขากลับคืนไปจากผมแล้ว
ในขณะที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหัวใจของผมยังคงอยู่ที่เขา
……………………………………….
I felt that L.O.V.E but that was trick
คิดว่าเป็นความรัก แต่ที่จริงกลับเป็นเรื่องหลอกตา
ผมไม่เคยบอกรักอูฮยอนเพราะเอาแต่คิดว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด
ผมไม่เอ่ยชมฝีมือการทำอาหารของเขาซ้ำอีกเพียงเพราะเห็นว่าคนรอบข้างต่างก็ออกปากชมเขามากพออยู่แล้ว
ผมเอาแต่หลอกตัวเองว่าได้ให้ความรักแก่อูฮยอนอย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริง เขายังคงคาดหวังว่าจะได้ยินคำชมจากปากของผม ยังคงโหยหาความรักจากผม ยังคงไขว่คว้าสิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“ ฮยองอยากเลิกกับผมไหม ”
“ ฮยองมีคนอื่นใช่ไหม ถึงได้กล้าตอบแบบนี้ ”
เพียงแค่ลองมองมุมกลับ คำพูดร้ายๆของเขาอาจจะเป็นแค่อุบายล่อหลอกให้ผมคายคำว่ารักออกมาก็ได้ แต่ผมกลับไม่เคยพูดมันออกไปเลยสักครั้ง
“ ฮยองมีคนอื่นหรือเปล่า “
“ อย่างี่เง่าน่า ฉันจะไปมีคนอื่นได้ไง ”
“ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ”
“ นี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าเพราะอะไร ”
“ ก็ฮยองไม่เคยยืนยันให้ผมมั่นใจเลยนี่ ”
อูฮยอนรู้ดีว่าผมจะหมดความอดทนหากโดนคาดคั้นด้วยประโยคตัดพ้อซ้ำๆซากๆ เวลาผมโมโห น่ากลัวแค่ไหนทำไมเขาจะไม่รู้ แต่อีกฝ่ายกลับเดิมพันความกล้าหาญทั้งหมดที่ตัวเองมีเพื่อแลกกับหนึ่งพยางค์จากผม
แม้ว่ามันจะไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้งก็ตาม
แทนที่จะเอื้อนเอ่ยคำ ‘รัก’ ผมก็กลับชักนำให้มันกลายเป็นความต้องการในรูปแบบอื่นอย่างมีเจตนาที่จะเบี่ยงเบนความสนใจ
ผมใช้ริมฝีปากของตัวเองลิดรอนเอาถ้อยคำ หรือแม้กระทั่งลมหายใจของอูฮยอนไปจนหมดสิ้น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความผิดหวังและความเสียใจที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาของเขา
อูฮยอนโอนอ่อนผ่อนตามในที่สุด แน่นอนว่าไม่ได้เต็มใจ แต่ตกอยู่ในสภาพจำยอม
ผมทำมันลงไป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
훔쳐진 입으로 뱉던 숨 같은 말이
ใครเล่าจะรู้ว่าลมหายใจผ่านริมฝีปากของนายที่ถูกขโมยไปนั้น
목을 조르는 목걸이일 줄이야
จะกลายมาเป็นปลอกคอรัดแน่นจนหายใจไม่ออก
หากตำรวจมีไว้จับคนโง่ที่เอาแต่เข้าใจผิดและคิดไปเอง แถมยังลงมือกระทำผิดต่อคนรักซ้ำๆซากๆ ผมก็คิดว่าตัวเองคงเหมาะสมที่จะเข้าไปอยู่ในคุกมากกว่าใคร
แต่หากมีโอกาสให้เริ่มต้นใหม่ ผมก็จะรักเขาให้ดีที่สุด
……………………………………….
ปกติแล้วเราตารางการซ้อมเต้นจะจบลงในช่วงหัวค่ำ โดยหัวหน้าวงเป็นผู้ได้สิทธิ์ขาดในการพิจารณาเวลาเลิกซ้อมอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม หลังจากนั้นจะเป็นเวลาอิสระ ใครจะไปที่ไหนหรือจะทำอะไรก็สุดแท้แต่เจ้าตัวจะตัดสินใจ
“ ถ้าไม่ติดอะไรก็ว่าจะไป ”
คำพูดของอูฮยอนเมื่อตอนเช้ายังคงสะท้อนกลับไปมาอยู่ในแก้วหูของผม เขามีนัดกับเด็กที่ชื่อเจลโล่หลังซ้อม และอันที่จริงการซ้อมของเราก็ควรจะเสร็จสิ้นตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว
แต่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของผม
ผมจงใจถ่วงเวลาของการซ้อมให้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าที่สุดโดยการทักคนนู้นคนนี้ว่าเต้นผิดจังหวะ โชคดีที่มยองซูกับซองจงยังไม่แม่นท่าเท่าไหร่ พวกเขาจึงตกเป็นเหยื่อของผมอย่างช่วยไม่ได้
แต่จนแล้วจนรอด หลังจากดันทุรังเต้นซ่อมชนิดลืมตายกันไปนับสิบรอบ แต่ละคนก็แสดงอาการเหนื่อยหอบจนตัวโยน โดยเฉพาะคนเพิ่งฟื้นไข้อย่างอูฮยอนที่ถึงกับทรุดตัวลงนอนแบกับพื้นห้องอย่างหมดสภาพในทันทีที่เพลงจบลงไปเป็นรอบที่สิบเอ็ด
ซึ่งนั่นทำให้ผมใจอ่อน
ผมเห็นอูฮยอนนอนหอบอยู่พักใหญ่ พอลมหายใจเริ่มเป็นปกติ อีกฝ่ายก็ผงกศีรษะขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังด้านตรงข้าม ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกเดินมาล้วงหยิบมือถือจากในเป้ของตัวเอง
“ เอ่อ.. อูฮยอน ฉันมีอะไรพูดด้วย ออกไปคุยกันข้างนอกหน่อยได้ไหม ” ผมบอกพลางฉวยข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ข้างหนึ่ง
“ เฮ่ๆ มีอะไรก็พูดกันตรงนี้ดิฮยอง พวกเราอยู่วงเดียวกัน ต้องไม่มีความลับต่อกัน ” ซองยอลพูดพลางรั้งข้อมือข้างที่เหลือของอูฮยอนเอาไว้ก่อนจะยักคิ้วให้ผมด้วยสีหน้ายียวน
“ RRRRRRRRRRR ” เสียงริงโทนดังขึ้น อูฮยอนก้มลงมองหน้าจอมือถือของตัวเองสลับกับมองผมและซองยอลด้วยสายตาเลิกลั่กเพราะดูเหมือนจะไม่มีใครยอมปล่อยมือจากตัวเองเลยสักคน
“ อย่ารับนะ ... ได้ไหม ” ผมบอกด้วยสายตาเว้าวอน
“ ไม่ได้หรอก เสียมารยาทแย่ รับเลยๆ ” ซองยอลรีบปล่อยมือของอูฮยอนอย่างมีนัยยะสำคัญ เป็นต้นว่าต้องการที่จะกวนโอ๊ยผม เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กใช้มือข้างนั้นกดรับสายก่อนที่จะสัญญาณจะถูกตัดไป
“ ฮยองเลิกดึกน่ะ... เข้าใจแล้ว... ถ้านายยืนยันว่าจะรอ ฮยองก็รีบไปให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน ” อูฮยอนวางสาย ก่อนหันมาพูดกับผม “ เราออกไปคุยกันข้างนอกกันก็ได้ฮะ ผมยังพอมีเวลาอยู่บ้าง ”
……………………………………….
อูฮยอนสะพายเป้เดินล่วงหน้าออกไปหยุดยืนอยู่ที่ริมฟุตบาท ในขณะที่ผมเร่งสาวเท้าเดินตามเขาไปติดๆ
“ อย่าไปได้ไหม ” ผมร้องบอกขณะที่ฝ่ามือยังรวบข้อมือเล็กเอาไว้แน่น
“ เพราะอะไรถึงไม่อยากให้ไปหรือครับ ” อูฮยอนตั้งคำถามด้วยสายตาคาดคั้นอย่างติดเป็นนิสัย
“ พ...เพราะ...เพราะฉันกับนายเพิ่งเลิกกัน ถ้านายไปกับเด็กนั่น คนอื่นเขาอาจจะมองนายไม่ดีก็ได้ ” ผมเค้นสมองหาเหตุผลที่ฟังดูกลางๆและไม่น่าเกลียดจนเกินไปนักมาอธิบาย สำหรับคนที่มีสถานะเป็นเพียงพี่ชายร่วมวง เท่านี้คงเหมาะสมแล้ว
“ แต่เรานัดกันไว้แล้ว ผมไม่อยากผิดคำพูดกับรุ่นน้อง อีกอย่างผมบอกเขาไปแล้วว่าเลิกดึก แต่น้องก็ยังยืนยันว่าจะรอ แล้วนี่ก็ให้เขารอมาเป็นชั่วโมงแล้วด้วย ” อูฮยอนสะบัดปลายเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์
“ แล้วถ้า… ”
“ ถ้าอะไรหรือครับ ” อูฮยอนแทรกขึ้น ความคาดหวังปรากฏในดวงตาคู่กลมของเจ้าตัวชัดเจนเสียจนยากจะมองผ่าน
“ ถ้า .... ถ้ามันเป็นคำสั่งของหัวหน้าวง นายจะกล้าขัดไหม ” ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงในลำคอ รู้สึกอึดอัดกับบางอย่างที่ทำได้แค่คิด แต่พูดออกไปไม่ได้
“ ฮยองเป็นห่วงภาพลักษณ์ของวงเราถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ”
“ คงงั้น ก็ฉันเป็นหัวหน้าวงนี่ ” ประกายแห่งความคาดหวังในดวงตาที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ตัดพ้อ ทำเอาผมต้องรีบเบือนหน้าหนีจากใบหน้าของอีกฝ่าย
“ ฮยองกำลังรู้สึกยังไง แค่พูดมันออกมาตรงๆไม่ได้เหรอครับ ” อูฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความผิดหวังในตัวผมอย่างเห็นได้ชัด
“ ฉ...ฉัน ”
“ อา แย่จัง ... ผมเอาสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้กับฮยอง ก็เราเลิกกันแล้วนี่นะ ” เขาพูดพึมพำเหมือนบ่นกับตัวเอง แต่ผมกลับได้ยินมันชัดเจนทุกถ้อยคำ
“ ……………… ”
“ ผมขอโทษด้วยที่ตลอดมาเอาแต่ทำให้ฮยองลำบากใจ แต่ต่อไปนี้เลิกกังวลได้เลย…. ผมจะไม่มาคอยวนเวียนอยู่รอบๆตัวให้ฮยองต้องรำคาญแล้วล่ะ ผมจะเลิกแล้ว…เลิกแล้วจริงๆ ”
야 이 바보야
นี่เจ้าบ้าเอ๊ย
어떻게 살아
แล้วฉันจะอยู่
니가 없이
โดยไม่มีนายได้ยังไง
아무 일 없듯
จะให้ทำเหมือน
어떻게 그래
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
니가 없이
โดยไม่มีนายได้ยังไง
“ เอาล่ะ ผมต้องไปแล้ว เจลโล่รอผมนานแล้ว ฮยองกลับหอไปพร้อมกับเด็กๆ แล้วเข้านอนให้สบายใจเถอะครับ รับรองว่าผมจะไม่ทำให้วงเราเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่นอน ”
왜 그랬니
ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ
넌 모질게 날 떠나지
ทิ้งกันไปอย่างโหดร้ายแบบนี้
“ เดี๋ยว อูฮยอน ” ผมรวบข้อมือของอีกฝ่ายแน่นเข้าไปอีก
“ เรา… พอที่จะ… เริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม? ”
“ ขอผมคิดหาคำตอบระหว่างทางแล้วกัน ตอนนี้ผมสายแล้วครับฮยอง ” อูฮยอนดูไม่ตื่นเต้นตกใจอะไรเลยสักนิด แต่กลับตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆพลางก้มลงมองฝ่ามือของผมที่กำรอบข้อมือของเขาเอาไว้แน่นหนาเป็นเชิงขอให้ปล่อยอย่างสุภาพ
“ งั้นขอเปลี่ยนคำถาม นายยังรักฉันอยู่ไหม ”
“ ผมรักนะ…. ” อูฮยอนบอกพลางแค่นยิ้มกับตัวเองอย่างอ่อนล้า “ แต่ผมเหนื่อย ”
“ อย่างนั้นหรอกเหรอ ” หัวใจพองโตของผมฟีบลงถนัดตาหลังจากได้ยินประโยคหลังของเขา
“ ไม่ถูกเสียทีเดียว จริงๆถ้าเรียงรูปประโยคเป็น ‘ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ยังรัก’ ก็น่าจะตรงกว่าล่ะมั้ง ” จู่ๆอีกฝ่ายก็แก้ประโยคใหม่แล้วหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
“ งั้นเราก็ควรเริ่มต้นกันใหม่ ถูกไหม ”
“ แต่มันเหนื่อยจริงๆนะครับ การที่ต้องเริ่มต้นใหม่เพื่อกลับมาพบกับตอนจบที่ไม่เคยต่างไปจากเดิม ”
사랑한다니
แล้วมาบอกว่ารักกัน
끝까지 날 놀리니
นี่คิดจะปั่นหั่วฉันไปจนจบเลยหรือไง
“ ............................. ”
“ เราเลิกกันมากี่ครั้งแล้วนะ ฮยองได้นับเอาไว้ไหม ” อีกฝ่ายถามผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย
ผมส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่มีคำตอบดีๆสำหรับคำถามของเขา
“ เยอะจนจำไม่ได้ แต่ผมจำได้ดีว่าเกือบทุกครั้งที่เราเลิกกัน... ฝ่ายที่เริ่มง้อก่อนมักจะเป็นผม เหมือนจะมีแค่ผมที่ต้องการฮยองเลยนะ ว่าไหม? ” อูฮยอนส่งคำถามมาให้ผมอีกครั้ง
“ ฉันก็ต้องการนายเหมือนกัน ”
“ ความต้องการของเราต่างกันเกินไปน่ะครับ ” เขาบอกก่อนพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของผม
“ งั้นก็จูนเข้าหากันสิ ฟังนะ!! 1/3 ของเวลาทั้งหมด คือช่วงเวลาที่ฉันทำตัวแย่ๆกับนาย อีก 1/3 คือช่วงเวลาที่นายทำตัวแย่ๆกับฉัน ทำให้เราเหลือช่วงเวลาดีๆแค่ 1/3 ” ผมแชร์แนวคิดของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วยการพูดรัวๆ พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถึงแรงขืนน้อยๆที่เกิดขึ้นตรงฝ่ามือ
“ ....................... ” อูฮยอนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่สายตาที่กำลังจดจ้องมาบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังรับฟังคำพูดของผมอย่างตั้งใจ
“ แต่ถ้าต่างคนต่างลดทิฐิลงสักคนละครึ่งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ฉันทำตัวแย่ๆกับนายก็จะเหลือแค่ 1/6 และช่วงเวลาที่นายทำตัวแย่ๆกับฉันจะเหลือ 1/6 รวมกันจะเท่ากับ 1/3 นั่นมากพอที่จะพลิกให้ช่วงเวลาดีๆของเรากลายเป็น 2/3 เลยนะ ”
“ แล้วไม่เหนื่อยเหรอครับ ... ต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น ”
“ ม...ไม่เหนื่อยสิ ไม่ว่าอะไรฉันก็จะทำ เพื่อให้ได้นายกลับคืนมา ” ผมพูดด้วยแววตามุ่งมั่นเพราะต้องการให้อีกฝ่ายเชื่อในความตั้งใจจริงของผม
“ ถึงฮยองจะไม่เหนื่อย แต่ตอนนี้... ผมก็เหนื่อยแล้วจริงๆนะ ” อูฮยอนพูดพึมพำด้วยแววตาเลื่อนลอยเหมือนคนเพ้อไข้
“ ……………. ”
“ เมื่อไหร่ที่ผมจะมั่นใจได้ว่าฮยองรักผมแล้วจริงๆ... ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้คิดไปเองว่าฮยองรักผม... ผมไม่รู้เลยว่าตลอดมา ผมแค่คิดไปเองหรือเปล่าว่าฮยองรักผม... ผมต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนี้มาโดยตลอด เพราะผมไม่เคยได้ยินกับหูตัวเองเลยสักครั้ง...ว่าฮยองรักผม ”
“ ฉันจำเป็นต้องพูดมันออกไปด้วยเหรอ ในเมื่อการกระทำของฉันมันก็บอกนายหมดทุกอย่างแล้ว ” ผมถามด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ด้วยนิสัยไม่ชอบโดนคาดคั้น เพราะมันทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนกับตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานะนักโทษ
“ งั้นก็ไม่ต้องพูดก็ได้ฮะ ไม่มีใครบังคับ ” อูฮยอนจุดยิ้มที่ริมฝีปาก แต่ดวงตาของเขาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลยแม้แต่น้อย
“ บ…บางที ฉันอาจจะขี้ขลาดไปหน่อย นายให้โอกาสฉันได้ไหม ครั้งนี้ฉันสัญญาว่าจะบอกคำนั้นกับนายให้ได้ ” ผมยอมอ่อนลง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีคล้อยตามเลยสักนิด
“ ฮยองไม่ใช่คนขี้ขลาดหรอกครับ ”
“ ……………… ”
“ ฮยองน่ะ เป็นคนเห็นแก่ตัวต่างหาก….. การที่ฮยองไม่บอกรักผม ก็แค่เพราะกลัวว่าตัวเองจะสูญเสียอำนาจในมือไปใช่ไหมล่ะครับ ”
“ อำนาจอะไรกัน? ”
“ อำนาจของคนที่ถูกรักไงครับ... คนที่ถูกบอกรัก ก็มีสิทธิ์ปฏิเสธรักได้ เวลาทะเลาะกันก็มีสิทธิ์ที่จะนิ่งเฉย เวลาเจอใครที่ดีกว่า ก็มีสิทธิ์ที่จะบอกลาได้ง่ายๆ …ไม่ต้องบอกรัก จะได้ไม่มีพันธะ ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองมีสัญญาให้ต้องรักษา มันก็สบายตัวดี… ขอโทษนะครับที่ต้องพูดจาก้าวร้าวกับฮยองแบบนี้… แต่ที่ผมพูดมาก็ไม่ผิดใช่ไหมล่ะครับ ”
“ ม… ” ผมพยายามจะปฏิเสธ แต่กลับพูดไม่ออก เพราะโดนประโยคของอีกฝ่ายจี้ใจดำเข้าอย่างจัง
ใช่อย่างที่อูฮยอนว่า ในขณะที่อีกฝ่ายไม่มั่นใจในตัวผม ผมก็ไม่มั่นใจในตัวเองพอกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่าเวลาแห่งความรักของเรานั้นจะยืดออกไปได้ยาวนานแค่ไหน และเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความรู้สึกที่เราสองคนมีให้กันจะเปลี่ยนไป
ผมไม่ใช่คนศรัทธาในความรัก ในขณะที่อูฮยอนเป็นคนยึดมั่นในความรัก เขาเทให้หมดหน้าตัก ในขณะที่ผมแทบไม่เคยลงทุน เพียงเพราะกลัวความเสี่ยงที่จะตามมา
“ เกินเวลามามากแล้วสิ คงต้องไปจริงๆสักที ”
“ ไม่!!! ฉันไม่อยากให้นายไปกับเขา ฉันหวงนาย ฉันหึงนาย เพราะฉ…ฉันรักนาย ...ฉันรักนายน่ะ เข้าใจไหมอูฮยอน ” ผมตะโกนบอกเขาดังๆด้วยความจริงใจทั้งหมดที่มี ถึงเวลาแล้วที่ผมจะเป็นฝ่ายทุ่มเทความรักให้เขาจนหมดหน้าตักบ้าง
“ ผมก็รักฮยอง ”
날 사랑한다는 니 말이
คำที่นายบอกว่ารักฉัน
“ แต่ฮยองควรปล่อยผมไปได้แล้วล่ะครับ ”
왜 그토록 슬펐었는지
ทำไมถึงได้ฟังดูเศร้าขนาดนั้นนะ?
ขณะที่พูดประโยคนั้นออกมา อูฮยอนก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางเหมือนไม่ต้องการที่จะเห็นผม หากเพียงครู่เดียว ใบหน้าหวานก็ต้องหันกลับมามองข้อมือของตัวเองที่เป็นอิสระจากผมอย่างง่ายดายด้วยแววตาประหลาดใจ
ฝ่ามือที่หมดเรี่ยวแรงจะเหนี่ยวรั้งตั้งแต่ได้ยินประโยคสุดท้ายของอีกฝ่าย จนต้องปล่อยทิ้งไว้ข้างลำตัวอย่างไร้หน้าที่ หมดกระทั่งคำพูดจะต่อความ ขอบตาของผมร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดกับการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง
หมดโอกาสสำหรับการแก้ตัว ถึงจะรู้สึกผิดแค่ไหน ก็คงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
.
.
.
.
“ ฮ...เฮ่ๆ ฮยองร้องไห้ทำไม!! ” อูฮยอนเงยมองหน้าผม ก่อนจะร้องทักเสียงหลงด้วยความตกใจ
“ รีบไปเถอะ ฉันจะอดทน... ไม่รั้งนายไว้อีก ” ผมผลักไหล่อีกคนไปข้างหน้าเบาๆ ไม่ยอมสบตา ได้แต่ก้มหน้า แล้วประสานมือทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันอย่างยับยั้งชั่งใจพร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาเงียบๆ
“ ฮยองไม่อยากให้ผมไปขนาดนั้นเลยเหรอครับ ” อีกฝ่ายถามอย่างร้อนรน
“ แน่นอนสิ ” ผมตอบเสียงหนักแน่น
“ แต่เกรงใจคุณลุงเขานะครับ อุตส่าห์โทรเรียกมาแล้ว ยังไงก็ขึ้นไปก่อนแล้วกัน ”
“ เฮ้ย!! มีแท็กซี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ” เมื่อเห็นว่ามีบุคคลที่สามกำลังจ้องมองพวกเราผ่านฟิล์มสีทึบมาจากภายในตัวรถ ผมก็รีบปาดน้ำตาทิ้งทันทีอย่างรู้สึกอับอาย
“ ก็มาตั้งแต่ตอนที่ผมบอกให้ฮยองปล่อยผมไง ” อูฮยอนตอบพร้อมกับขยับก้าวขึ้นไปนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถแท็กซี่ที่ตัวเองเป็นผู้เรียกมาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้ที่บอกให้ปล่อยนี่ เพราะแท็กซี่มาแล้วน่ะ ”
“ ก็ใช่น่ะสิฮะ ฮยองรีบขึ้นมาเถอะ คุณลุงเขาจะได้ออกรถ ” อูฮยอนกวักมือเรียกเป็นเชิงเร่ง ส่งผลให้ผมต้องรีบเดินผ่านบานประตูรถที่เปิดค้างไว้อย่างช่วยไม่ได้
หลังจากพาตัวเองขึ้นมาอยู่บนเบาะหลังเรียบร้อยก็ได้แต่นั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าควรจะสานบทสนทนาต่อจากเดิมไหม เพราะดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เราจะยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่คนด้านข้างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมาเลยสักนิดเดียว
“ เลอะหมดเลย ” อูฮยอนหันมามองหน้าผมแล้วย่นคิ้ว ก่อนก้มลงควานหาของบางอย่างในกระเป๋า “ เช็ดสักหน่อยดีกว่านะฮะ ” ว่าแล้วก็ใช้กระดาษทิชชู่ในมือค่อยๆซับน้ำตาออกให้ผมอย่างอ่อนโยน
อูฮยอนดูแลผมดีเสมอ ทั้งที่ตลอดมาผมไม่เคยตอบแทนให้เขาอย่างสมน้ำสมเนื้อเลยสักครั้ง การที่ผมจะตัดใจจากคนที่แสนดีขนาดนี้ไม่ได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ นายไม่ไปกับเขาได้ไหม ถือว่าฉันขอร้อง ” จะหาว่าผมหน้าไม่อายก็ได้ ผมไม่อยากเสียอูฮยอนไป เพราะไม่รู้ว่าการนัดเจอของพวกเขาในครั้งนี้ จะส่งผลต่ออนาคตในรูปแบบไหน
“ คงไม่ได้จริงๆครับ เพราะน้องเขาขอให้ผมไปช่วยเลือกของขวัญให้แฟนเขา ถ้าไม่ใช่พี่ๆในวงแล้ว เขาก็ไม่ค่อยรู้จักใคร ...ก็วงยังเพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นานเองนี่นา เขาก็เลยมาขอร้องให้ผมช่วย... เห็นน้องบอกว่าหลังจากคัมแบ็ค จะหาเวลาว่างได้น้อยแล้ว เลยต้องแอบๆมาซื้อเก็บเอาไว้ล่วงหน้าก่อนจะถึงวันเกิด ”
อูฮยอนส่งเสียงเจื้อยแจ้วอธิบายเหตุผลยาวเป็นหางว่าว แต่คำที่สะดุดใจผมสุดๆกลับมีเพียงคำเดียวในประโยค
“ เด็กนั่นมีแฟนแล้วเหรอ ” ผมถามด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก กลัวว่าสุดท้ายจะกลายเป็นแผนชวนไปช่วยเลือกของขวัญบังหน้า แต่ที่จริงกลับกลายเป็นยกของขวัญให้คนเลือกพร้อมกับขอเป็นแฟนอะไรแบบนั้น
“ ใช่ มีแฟนแล้ว แถมเป็นหัวหน้าวง ‘เหมือนกัน’ เลยด้วย ” อูฮยอนบอกด้วยน้ำเสียงเริงร่า ก่อนหันมายักคิ้วให้อย่างน่ารัก
“ เหมือนกัน? เจลโล่มีแฟนแล้วเป็นหัวหน้าวงเหมือนกันกับอูฮยอน นั่นก็แปลว่าอูฮยอนต้องมีแฟนเป็นหัวหน้าวงเหมือนกัน ...หัวหน้าวงของอูฮยอนคือซองกยู ซึ่งก็คือฉัน... นี่แปลว่านายยอมกลับมาคบกับฉันแล้วใช่ไหม ” ผมขยายความคำพูดของอีกฝ่ายอย่างซื่อๆเหมือนเด็กประถมเพิ่งหัดแต่งเรียงความด้วยหัวใจที่พองโตจนแน่นคับอกไปหมด
“ ปัดโธ่!! ฮยองงี่เง่า!! จะเรียกชื่อทำไมเล่า ถ้าเกิดคุณลุงโชเฟอร์เขาคิดจะขายข่าวนี่ เราสองวงเตรียมกอดคอกันโดดลงเหวได้เลยนะ ” อูฮยอนถลึงตากระซิบด่า แต่ทั่วทั้งหน้ากลับแดงแปร๊ด
“ ฉันรักนายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ” ผมดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้แนบอกด้วยความคิดถึง พลางตะโกนบอกรักเสียงดังลั่นคันรถอย่างไม่คิดสนใจอะไรทั้งนั้น
“ ฮยองเป็นบ้าอะไร ” อูฮยอนส่งเสียงแหวดังลั่น พร้อมกับพยายามดันตัวออกจากอกของผม
“ ต่อไปนี้ฉันจะเลิกเห็นแก่ตัว แล้วก็จะใช้เวลา 1 ใน 3 ของเราให้มีค่าที่สุด ด้วยการบอกรักนาย ” ไม่ถือเป็นคำสัญญา แค่เป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำมัน เพราะแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้รับ
“ ผมดีใจจริงๆนะที่ได้ยินคำนี้ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าฮยองจะพูด ” อูฮยอนเลิกยื้อ ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้สองแขนโอบรอบเอวผมเอาไว้อย่างหวงแหนในสัมผัสที่เจ้าตัวคุ้นเคย
“ ดีใจแต่บอกให้ปล่อยมือเนี่ยนะ ฉันตกใจแทบแย่แน่ะรู้ไหม ”
“ ก็แท็กซี่มาพอดีนี่นา แล้วผมก็กำลังสับสนอยู่ด้วย ก็เลยว่าจะกลับมาเคลียร์กับฮยองหลังจากเสร็จธุระ ” อีกฝ่ายให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงน่ารัก จนผมต้องรีบยกโทษให้แทบไม่ทัน
“ ว่าแต่ ฉันขอไปด้วยคนสิ ” ผมส่งสายตาอ้อน
“ ถ้ามีฮยองไปด้วย ผมกลัวน้องจะเกร็ง ฮยองกลับหอไปก่อนดีกว่า ซ้อมเต้นมาเหนื่อยๆจะได้พักผ่อนไง เดี๋ยวเดียวผมก็กลับไปหาแล้ว ” อีกฝ่ายหว่านล้อม
“ เดินตามห่างๆก็ได้เอ้า ” ผมเสนอ
“ นี่ฮยองกำลังไม่ไว้ใจผมหรือเปล่าฮะ ” เพิ่งดีกันได้ไม่เท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ส่งเสียงเขียวมาอีกแล้ว
ช่วงเวลา 2 ใน 3 นี่มันไม่เคยจะจากเราไปไหนจริงๆด้วยสิ พับผ่า!!
“ เปล่าจ้า ไม่ไปก็ได้จ้า ” พอเห็นแววดราม่าอยู่รำไร ผมก็รีบกลับลำทันที เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ตอนนี้ก็ยอมให้ก่อนไม่เป็นไร พอถึงเตียงเมื่อไหร่ เขาก็ต้องเป็นฝ่ายยอมผมอยู่ดี ผมเชื่อ!!!!!
“ ฮยองยิ้มทำไม ”
“ ยิ้มเพราะอารมณ์ดี มีแฟนน่ารัก ”
“ บ้า ”
รัก / เลิก / งอน / ง้อ / ไม่เข้าใจ / สงสัย / ข้องใจ / โกรธ / ทะเลาะ / วิวาท / ทิฐิ / อดทน / กล้ำกลืน / ฝืนใจ / น้อยใจ / ดีใจ / เสียใจ / ผิดหวัง / คิดถึง / หึง / หวง / ห่วงใย / ฯลฯ
ทุกอารมณ์เกิดขึ้นได้ทุกขณะของความรัก ผมว่าถ้าริจะรัก ก็ต้องรักที่จะเรียนรู้กันและกันไปจนกว่าจะตายกันไปข้างนั่นแหละ
ดูเหมือนว่าความรักลุ่มๆดอนๆของผมจะยังคงเป็นความรักที่ลุ่มๆดอนๆต่อไปอีกนานแสนนาน... แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าผมขาดเขาไม่ได้... ไม่สิ... เราขาดกันไม่ได้ต่างหาก
.
.
.
.
“ ถามจริงๆนะ ตอนที่ฮยองคิดจะไปจากผม ฮยองมีคนอื่นหรือเปล่า ” รอบที่ร้อยล้านได้แล้วล่ะมั้ง ที่ผมได้ยินคำถามแบบนี้จากปากของนัมอูฮยอน
“ รักขนาดนี้แล้วจะให้ไปมีใครได้อีกล่ะ ” ผมพูดพร้อมกับยื่นมือไปหยิกแก้มป่องๆของอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว
“ ก็นี่แหละ!! ที่อยากฟังมานาน ”
END
ขอขอบคุณ คุณ ValLaKU สำหรับเนื้อเพลง + คำแปลเพลง 3분의1 ที่ปรากฏอยู่โดยตลอดทั้งเรื่อง
Credit
KOREAN Lyric : Daum Music
English trans : hyejin@infiniteupdates
THAI lyric&THAI trans : ValLaKU@exteen
http://vallaku.exteen.com/20110730/lyric-trans-3-48516-51032-1-1-3-infinite-51064-54588-45768-5-1
ผลงานอื่นๆ ของ leadnamdaebak ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ leadnamdaebak
ความคิดเห็น