ท่ามกลางบรรยากาศแห่งงานมงคลอันชื่นมื่น
ผู้คนต่างยิ้มแย้มกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจักเป็นบ่าวไพร่ในเรือนหรือแขกที่มางาน
แม้กระทั่งชายหนุ่มหน้าตาคมคร้ามดุดันผู้หนึ่งก็ดูมีท่าทีอ่อนลงกว่าปกติ
หลวงสรศักดิ์ผินมองไปรอบๆกาย
พ่อเรืองกำลังประคองแม่จันทร์วาดที่เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นานนัก
ส่วนพ่อเดชก็กำลังจะแต่งกับแม่การะเกด
เห็นแล้วก็พาลให้รู้สึกใจหายเสียมิได้
บุรุษรอบตัวที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาล้วนตบแต่งเมียเอกออกหน้าออกตากันไปเสียหมดแล้ว
เหลือเพียงตนที่มีเพียงเมียบ่าวเล็กๆเต็มเรือน แต่จักให้ทำเยี่ยงไรได้
เขายังไม่พบสตรีใดในกรุงศรีที่จักเหมาะสมกับตำแหน่งเมียเอกของออกหลวงสรศักดิ์ผู้นี้เลย
บุตรีของขุนน้ำขุนนางหลายคนงดงาม เพรียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาทและบรรดาศักดิ์
ทว่านางเหล่านั้นบอบบาง หัวอ่อนเกินไป
เปรียบดั่งบุปผาที่ต้องลมหรือสัมผัสหนักมือไปสักหน่อยก็คงจักชอกช้ำจนร่วงโรย หากนางเหล่านั้นมาปะกับเหล่าเมียบ่าวของเขาคงจักทนอยู่ไม่ได้เป็นแน่ ชายหนุ่มต้องการแม่หญิงที่เข้มแข็ง ฉลาดเฉลียว และเด็ดขาดพอๆกันกับเขามาร่วมกันปกครองเรือน
ขณะที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อย ขาทั้งสองก็นำเขาเดินมายังบริเวณสวนอันร่มรื่นหน้าเรือนท่านออกญา เขานึกแปลกใจนักว่าเหตุใดตนจึงได้เดินมาที่นี่โดยไม่รู้ตัวทั้งที่ไม่ได้นิยมชมชอบการชมพฤกษานานาพันธุ์พวกนี้เลย ขณะที่เขากำลังเดินเหม่อนั้น ก็มีสิ่งหนึ่งพุ่งมาชนกลางลำตัวเข้าเต็มรัก เนื่องด้วยสิ่งที่ชนเขานั้นไม่อาจสู้เรือนกายแกร่งของบุรุษ ร่างนั้นจึงล้มไปข้างหลังจนก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
เด็ก?
ดวงตากลมโตคู่หนึ่งจ้องเขาจากพื้นเบื้องล่าง แววตากรุ่นโกรธอย่างปิดไม่มิดพร้อมกับเรียวปากที่เบะคว่ำ เด็กหญิงวัยไม่เกิน 11-12 ขวบปี ห่มสไบสีนวล เรือนผมรวบเป็นมวยกลม หน้าตาจัดว่างามน่ารัก หากแต่ดวงตาดำขลับคู่นั้นกลับร้อนราวกับไฟ
"เดินอย่างไรของท่าน ไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างฤา?" เสียงใสกล่าวขึ้นพร้อมกับที่ร่างเล็กๆนั้นปัดฝุ่นตามเนื้อตัว ความรู้สึกเอ็นดูในคราแรกหายวับไปทันที หลวงสรศักดิ์ขมวดคิ้ว ใบหน้าดุดันแบบที่คงจักทำให้เด็กร้องไห้จ้า
ทว่าไม่ใช่กับเด็กหญิงผู้นี้
"ออเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดกิริยาเลวนัก ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่!!" พูดพร้อมกับกระทุ้งไม้ตะพดลงกับพื้นหนึ่งครา เด็กหญิงเมื่อเห็นท่าทางขู่ขวัญเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังจ้องกลับด้วยนัยน์ตาเจิดจ้าอย่างไม่ยอมแพ้
"ผิดก็จงยอมรับว่าผิด ข้าก็มิได้ตัวเล็กเป็นมดปลวก ข้าวิ่งมาปานฉะนี้ คนมีหัวคิดเห็นก็ควรจักรู้ว่ารีบเร่ง ต้องหลีกทางให้ คงจักมีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่แบบท่านกระมังที่ยืนตาลอยดั่งคนตาบอด"
วาจาสามหาวยอกย้อนนั้นทำเอาชายหนุ่มเลือดขึ้นหน้า หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กคงได้ลิ้มรสไม้ตะพดของออกหลวงสรศักดิ์ผู้นี้ดูสักครา แต่ถึงแม้จะโมโหเพียงใด ส่วนหนึ่งในใจเขาก็รู้ว่าตัวเองผิดจริง และอดชื่นชมความกล้าบ้าบิ่นของเด็กหญิงผู้นี้อย่างเสียไม่ได้
เขาถอนหายใจออกมาหนักๆ จะมาเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเด็ก ใครมาเห็นเข้าคงจักเป็นที่ครหาเป็นแน่ว่าออกหลวงรังแกลูกเล็กเด็กแดง ทว่าหากไม่สั่งสอนก็คงไม่ใช่ตัวเขา ชายหนุ่มชี้ไม้ตะพดเข้าที่ดวงหน้าบึ้งตึง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน ซึ่งรังสีคุกคามที่แผ่ออกมาในครานี้ทำให้เด็กหญิงผงะไปข้างหลัง
"อย่าได้ไปปากกล้าเช่นนี้กับผู้อื่น มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน ใช่ว่าทุกผู้จะให้อภัยต่อวาจาไม่เห็นหัวใครของออเจ้าง่ายๆแบบข้า นังหนูสามหาว"
ดวงตาคมกริบปรายมองริมฝีปากเล็กๆที่ขบกันแน่นและมือทั้งสองซึ่งกำไว้ข้างกายเพื่อปิดบังความสั่นกลัวของเจ้าของ ช่างพิกลนัก ที่เขารู้สึกว่าท่าทีเช่นนั้นทำให้นังหนูนี่ดูน่ารังแกมากขึ้นไปอีก คนอื่นๆหากเจอไม้ตะพดคู่ใจของเขาชี้หน้าเข้าเยี่ยงนี้คงเข่าอ่อน หรือหากเป็นเด็กกับผู้หญิงก็คงน้ำตาไหลเป็นเผาเต่า แต่เด็กตรงหน้ากลับยืนนิ่ง ดวงตาที่หลุบลงต่ำนั้นไม่มีแววอ้อนวอนหรือรู้สึกผิด หลวงสรศักดิ์รู้จักท่าทีเช่นนั้นดี มันคือท่าทีของคนที่ยอมลง หาใช่เพราะยอมจำนน แต่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าตนอย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่ง เขาก็เคยเป็นเช่นเด็กนี่
ต้องยอม ทั้งที่เชื่อมั่นในความคิดของตน ทว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นเหนือกว่าอย่างไม่อาจเอื้อม
ราวกับเห็นตัวเองในวันวานก็ไม่ปาน.....
รอยยิ้มบางๆและแววพึงใจปรากฏบนใบหน้าคมคร้าน เขาขยับไม้ตะพดในมือไปวางปุลงบนศีรษะทุยนั้นสองสามที แอบอมยิ้มเมื่อเห็นเด็กหญิงย่นคอหลบอย่างเกรงๆ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่ได้เจตนาจะทำร้าย ดวงตากลมโตดุจเนื้อทรายก็เหลือบมองมา ยามสายตาทั้งสองสบกันเป็นครั้งแรก ดุจดั่งมีศรแล่นปักเข้ากลางอก ออกหลวงสรศักดิ์ขมวดคิ้วอย่างสับสน
ความรู้สึกหวิววูบนี่มันสิ่งใดกัน? หรือเขาจักจับไข้เอาเสียแล้ว
โดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากของเขาก็ขยับไปก่อนใจนึก
"เจ้าชื่อกระไร นังหนู?" นัยน์ตาคมกริบที่ยามนี้อ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัดแม้เจ้าตัวจักไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ใจดวงน้อยของเด็กหญิงเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง ทว่าดวงตาคู่งามก็ยังประสานกับดวงตาดุๆนั้นราวต้องมนต์
"ข้าชื่อ.....เกศริน....จ-เจ้าค่ะ" คำลงท้ายนั้นแผ่วเบาจนแทบหายไปกับสายลม ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างนึกขัน ดูท่าคงไม่ชินกับการทำตัวสุภาพกับเขาเท่าไรกระมัง?
"แล้วท่านเป็นใครฤา....เจ้าคะ?" ถึงแม้เกศรินจะรู้ว่าเป็นการเสียกิริยาที่ถามไปเช่นนั้น แต่นางกลับหยุดตัวเองไม่ได้ บางอย่างในใจทำให้เด็กน้อยอยากรู้เกี่ยวกับชายหน้าดุผู้นี้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่รู้สึกไม่ชอบหน้าแท้ๆแต่กลับห้ามตนเองไม่ได้
"ข้าคือออกหลวงสรศักดิ์...."
ความเงียบที่เกิดขึ้นในชั่วขณะนั้นราวกับจะผ่านไปชั่วกัลป์ ท่ามกลางสวนสวยที่มีสายลมพัดผะแผ่วในเรือนออกญาโหราธิบดี ชายหนุ่มและเด็กหญิงจ้องตากันอย่างเงียบงัน พร้อมกับสายใยบางๆที่ถักทอขึ้นอย่างช้าๆ.....
"พ่อเดื่อ!"
เสียงตะโกนเรียกจากเบื้องหลังทำให้ทั้งคู่หลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มหันไปมองหลวงเรืองณรงค์เดชาที่ยืนอยู่หน้าเรือน
"ได้เวลาแล้วหนา ออเจ้ารีบมาเถิด!"
เมื่อเขาหันหลังกลับมาอีกที ร่างของเด็กหญิงก็หายไปเสียแล้ว
เขากำลังอยู่ในขบวนขันหมากของเจ้าบ่าว ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออก แต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับพะวงไปถึงเด็กหญิงที่เพิ่งปะหน้ากัน พิกลนัก แม้หญิงงามที่เคยประสบมาก็ไม่มีผู้ใดทำให้เขาว้าวุ่นถึงเพียงนี้ หาใช่ความพิศวาส แต่ก็หาใช่ความชังน้ำหน้า.....
ขบวนขันหมากที่นำโดยขุนศรีวิสารวาจาเดินมาถึงประตูเงินประตูทองที่กั้นโดยเด็กชายหญิงหลายคน หลวงสรศักดิ์หยิบเบี้ยอัฐถุงเล็กๆแจกจ่ายให้แต่ละคนอย่างเท่าเทียม จนมาถึงประตูสุดท้าย....
ที่ๆร่างอันคุ้นตายืนอยู่
ดวงหน้ามนมองเขาอย่างตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาอยากจะเอ่ยสิ่งใดสักอย่างกับนาง ทว่าเวลาไม่คอยท่า เขาไม่อาจรั้งรอได้นานนัก นั่นอาจเป็นเหตุผล.....ให้ทำในสิ่งที่ตนก็ไม่คิดว่าจะทำ
"แบมือ"
ชายหนุ่มถอดแหวนประจำตัวออกจากนิ้ว และวางมันลงบนมือเล็กนั่นพร้อมกับห่อผ้าบรรจุเบี้ยอัฐ เด็กหญิงมองมันอย่างสับสน ทว่าก่อนที่ร่างเล็กจะได้ทักท้วงสิ่งใด เขาก็ฉวยโอกาสที่คนกำลังชุลมุนโน้มตัวไปข้างใบหูของอีกฝ่าย ก่อนจะกระซิบเบาๆ
"แหวนนั่นเป็นประกันว่าเจ้าจักต้องมาพบข้าอีก แม่เกศริน นำมันมาคืนข้า เมื่อเราพบกันอีกครา"
แล้วเขาก็เดินขึ้นไปบนเรือน เนื่องจากร่างสูงใหญ่นั้นหันหลัง เขาจึงไม่เห็นว่าพวงแก้มนวลนั้นแดงปลั่งดั่งลูกตำลึงเพียงใด และเกศรินก็ไม่เห็นว่าวงหน้าดุดันนั้นประดับด้วยรอยยิ้มกว้างเพียงใดเฉกเช่นกัน
หลังจากพิธีการต่างๆเสร็จสิ้นลง คู่บ่าวสาวจึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับแขกเหรื่อในงานอย่างจริงๆจังๆ ขณะที่หลวงสรศักดิ์กำลังแสดงความยินดีกับคู่ข้าวใหม่ปลามัน หางตาก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งแอบด้อมๆมองๆอยู่ข้างเสา
"อ้าว! เกศ ไปทำอะไรอยู่หลังเสาฮะ มาๆมานี่มา" การะเกดเดินไปดึงร่างน้อยๆที่ก้มหน้าไปสบตาผู้ใดมาอยู่ข้างตัว ก่อนหญิงสาวจะแนะนำตัวเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามแบบฉบับ
"หลวงสรศักดิ์คะ นี่เกศริน ญาติของข้าจากเมืองสองแควค่ะ เกศ นี่ออกหลวงสรศักดิ์ ไหว้ท่านออกหลวงสิจ๊ะ" เด็กหญิงแอบสบตาเขาชั่วครู่ ก่อนจะโน้มตัวลงไหว้แบบงกๆเงิ่นๆเล็กน้อย ทำเอาเขาหลุดขำออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะจากชายผู้ดุดันทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวมองหน้ากันอย่างฉงน ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเขาหัวเราะอะไรง่ายๆ เห็นทีพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกกระมัง?
"หัวเราะกระไร!!......เจ้าคะ" เกศรินแหวใส่อย่างลืมตัว ก่อนจะแผ่วเสียงลงเมื่อเห็นสายตาดุๆจากออกขุนท่าน
"ว่าแต่...ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้ามีน้องด้วย แม่การะเกด?"
ทำเป็นเมินข้างั้นรึ?! ดวงตากลมโตแอบมองชายหนุ่มอย่างคาดโทษ
"นางเป็นญาติห่างๆของข้า พ่อแม่ของนางเพิ่งสิ้นไป ข้ารับนางมาอยู่ด้วยได้หลายเดือนแล้วค่ะ"
"แม่การะเกดเอ็นดูนางมาก หากผู้ใดมาเห็นคงจักคิดว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาเป็นแน่" ขุนศรีวิสารวาจาเสริมพลางมองภรรยาด้วยสายตาอ่อนอกอ่อนใจ เพียงพบหน้ากันครั้งแรก แม่การะเกดก็เอ็นดูเด็กหญิงผู้นี้ราวกับผูกพันกันมานาน ถึงแม้เกศรินจะมีนิสัยก้าวร้าว ดื้อดึงจนทำให้เขานึกถึงแม่การะเกดคนเก่าก็ตาม รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกันปานฉะนี้ ในบรรดาคนทั้งเรือน เด็กหญิงจากเมืองสองแคว ยอมให้การะเกดมากที่สุด จนเขานึกสงสัยไม่ได้ว่าทั้งสองอาจเคยเจอกันมาก่อน
"งั้นฤา..." ชายหนุ่มเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิด มองไปยังร่างเล็กที่ยืนเยื้องหลบหลังแม่การะเกด แต่ก่อนที่คู่บ่าวสาวจะผิดสังเกต ก็มีแขกคนอื่นเรียกพวกเขาไปเจรจาด้วยเสียก่อน เมื่อเหลือกันเพียงสองคน เด็กหญิงก็มองซ้ายมองขวา ก่อนจะหยิบเอาแหวนวงโตออกมาส่งคืนให้
"ของๆท่าน เอาคืนไป ตามสัญญา"
ชายหนุ่มก้มลงมองแหวนประจำตัวของตนในอุ้งมือเล็กอยู่ชั่วครู่ ก่อนเขาจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง
"ข้ายังไม่อยากได้คืน"
ดวงตากลมโตมองมาที่เขาอย่างสับสนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หรือออกหลวงผู้นี้จะวิปลาสไปเสียแล้ว? เที่ยวเอาทรัพย์สมบัติมาแจกจ่ายผู้อื่นตามอำเภอใจเช่นนี้
"หมายความว่ากระไรเจ้าคะ" เธอถามด้วยน้ำเสียงลังเลใจ
"หมายความว่าข้ายังไม่อยากได้คืนตอนนี้ เจ้าจงเก็บเอาไว้ก่อน แล้วนำมาคืนข้า...เมื่อเราพบกันอีกครา"
หากเป็นหญิงอื่น ฟังเท่านี้ก็คงจักรู้ว่าเขาปรารถนาจักได้พบอีกครั้งแลคงดีใจจนเนื้อเต้น ทว่าแน่นอนว่าสิ่งนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นกับเด็กหญิงนามเกศริน
"แล้วเราจะพบกันอีกได้อย่างไรเล่า! ท่านนี้พูดจาพิกลนัก" พูดเสียงเข้มพลางชักสีหน้าใส่ นั่นปะไร ทำตัวดีได้ไม่กี่บาท กลับมาเป็นเด็กปากร้ายก้าวร้าวอีกแล้ว
"อย่าลืมที่ข้าบอกเรื่องกิริยา นังหนู" ชายหนุ่มยกไม้ตะพดขึ้นชี้ดวงหน้ามน เกศรินจ้องไม้ตะพดนั้นอย่างหงุดหงิด อย่าให้สบโอกาสเชียว จักหักให้เป็นสองเสี่ยงแล้วเอาไปให้หมามันแทะเล่นเสียให้พอใจ!! คนที่ข้ายอมให้สั่งให้สอนได้มีเพียงพี่การะเกดเท่านั้นแล!!
"ท่านคิดว่าเราจักได้พบกันอีกเนื่องในโอกาสใดเล่าเจ้าคะ ออกหลวงท่าน?" เสียงที่แกล้งดัดให้อ่อนหวานปานน้ำผึ้งกล่าวขึ้นพร้อมกับยกยิ้มหวานชวนขนลุก
"โอกาสนั้นเป็นเจ้าที่ต้องคิดเอาเอง เจ้าคงไม่อยากเป็นขโมยหรอกกระมัง?" เห็นท่าทีแบบนั้นเขาก็อดจะยวนอีกฝ่ายไม่ได้
"เอ๊ะ! ท่านฝากไว้ให้ข้า แล้วข้าจักไปเป็นขโมยได้อย่างไร"
"เอาของเขาไปแล้วไม่ได้คืน ไม่ใช่ขโมยแล้วเรียกว่ากระไร นังหนู"
"ข้าไม่ใช่ขโมย ไม่ใช่นังหนูด้วย!!"
"อย่าขึ้นเสียงกับผู้หลักผู้ใหญ่" หลวงสรศักดิ์กล่าวเสียงเข้ม เอาไม้ตะพดเคาะหัวทุยไปเสียหนึ่งที ดื้อด้านเช่นนี้ ต้องสั่งสอนเสียบ้าง เกศรินมีท่าทีเหมือนจะอาละวาดอีกครา ก่อนที่เด็กหญิงจะผุดรอยยิ้มร้ายกาจบนริมฝีปากที่ทำเอาชายหนุ่มเกรง
"ดี....ดี...ถ้าเช่นนั้น.....แบมือเจ้าค่ะ ท่านออกหลวง" เขาขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมแบมือแต่โดยดี
นังหนูนี่จะมาไม้ไหนได้อีก?
ร่างเล็กถอดกำไลทองวงหนึ่งจากข้อมือของตนก่อนจะวางแปะลงกลางฝ่ามือใหญ่ด้วยสีหน้าของผู้ชนะ
"เจ้าให้ข้าด้วยเหตุใด?"
"กำไลทองนั่นเป็นประกันว่าท่านจักต้องมาพบข้าอีก ออกหลวงสรศักดิ์ นำมันมาคืนข้า เมื่อเราพบกันอีกครา"
ยอกย้อนข้างั้นฤา!!
"นังหนูนี่..."
"อย่าลืมนำมาคืนข้านะเจ้าคะ ท่านออกหลวง ท่านคงไม่อยากเป็นขโมยหรอกกระมัง?"
"เจ้า!!" ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทำอันใด ร่างเล็กนั่นก็วิ่งฉิวหายไปเสียแล้ว
"ฝากไว้ก่อนเถิด นังหนูตัวแสบ!"
เมื่อเสร็จสิ้นงานมงคลและส่งบ่าวสาวเข้าหอแล้ว แขกเหรื่อทั้งหลายก็เริ่มเดินทางกลับเรือน เช่นเดียวกับออกหลวงสรศักดิ์และออกพระเพทราชาที่กำลังนั่งเรือกลับเรือนของตน ทว่าเมื่อเห็นลูกชายเอาแต่นั่งมองกำไลทองที่ดูไม่คุ้นตา เขาจึงอดถามสิ่งที่สงสัยอยู่ออกไปไม่ได้
"ต่อปากต่อคำกับเด็กสนุกไหมเล่า พ่อเดื่อ"
"ท่านพ่อเห็นด้วยหรือขอรับ?" ดวงตาคมละจากกำไลทองในมือชั่วครู่
"นังหนูนั่นเป็นใครมาจากไหนเล่า ถึงทำให้ออกหลวงสรศักดิ์ลดตัวลงไปต่อล้อต่อเถียงด้วยเสียนานสองนาน"
"นางชื่อเกศรินขอรับ เป็นญาติของแม่การะเกดมาจากเมืองสองแคว"
"เป็นอย่างไรบ้างเล่า?" ออกพระถามด้วยรอยยิ้มมุมปาก ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนเช่นเขาย่อมดูออก ว่าระหว่างบุตรชายและเด็กหญิงผู้นั้นมีอะไรบางอย่าง
"ต้องปราบพยศอีกนานโขขอรับ ท่านพ่อ" กล่าวพลางหันไปมองดวงจันทร์สุกสว่างบนท้องนภายามราตรี แสงจันทร์อาบไล้ใบหน้าคมดุจนดูอ่อนลง เฉกเช่นกับประกายในดวงตาคู่นั้น
ป่านนี้เจ้าจักทำกระไรอยู่หนอ นังหนู
แหวนทองวงงามถูกคลึงระหว่างปลายนิ้วเรียวขาว เด็กหญิงตัวน้อยเหม่อมองพระจันทร์จากหน้าหอนอน ขณะที่ความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล
ออกหลวงผู้นั้นจักกลับถึงเรือนหรือยังหนอ
"ยังไม่นอนอีกฤาเจ้าคะ คุณเกศ?" เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลัง เด็กหญิงจึงรีบซ่อนแหวนในมือให้พ้นจากสายตา
"ข้ายังไม่ง่วง ผิน" พี่การะเกดสอนไม่ให้เธอพูดจาก้าวร้าวหยาบคายกับบ่าวไพร่จนเกินไปนัก เด็กหญิงจึงไม่เรียกอีกฝ่ายว่า 'นังผิน' แต่ก็ยังไม่อาจทำใจให้ชินกับการเรียกบ่าวว่า 'พี่ๆ' เหมือนที่การะเกดทำได้
"หรือวันนี้เจอผู้ใดในงานรึเจ้าคะ" ดวงหน้าขาวแดงเรื่อทันที ร่างเล็กหันมาตวาดแหวใส่ผู้เป็นบ่าว
"สู่รู้!!"
"แล้วจริงมั้ยเล่าเจ้าคะ?" ถามพลางยกยิ้มอวดฟันดำ เกศรินแยกเขี้ยวใส่บ่าวผู้รู้มากเกินเหตุ ก่อนจะเดินปึงปังกลับเข้าหอนอน
"เด็กหนอเด็ก....."
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด คงมีเพียงจันทร์เท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าคนทั้งสองกำลังคะนึงถึงกันอยู่........
บุพเพสันนิวาสของเรานั้น
บางคนอาจอยู่คนละภพ
บางคนอาจอยู่คนละเวลา
บางคน.....ต้องใช้เวลาถึงสองชาติจึงจะตระหนัก
ว่าบุพเพนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ขอเพียงเปิดตา เปิดใจมองให้จงดี
บุพเพสันนิวาสของหล่อนอาจไม่ใช่คุณพี่เดช ทว่าฟ้าดินก็มิได้ใจร้ายกับสตรีผู้ร้ายกาจไปเสียทั้งหมดดอกหนา
*******************************************
Talk
มีเวอร์ชั่นยาวแล้วค่าาาา จิ้ม
https://writer.dek-d.com/lchojungl/writer/view.php?id=1801026
กลังมาต่อเถอะนร้าาาา
😖😖😖😖😖😖😖
. *กลับ