เอ่อ…เขามักจะ…
กินอยู่ตลอดเวลาเลยนะ?
“ฮยอง”
วันนี้อันที่จริงเราเพิ่งถ่ายรายการกันเสร็จ เราถ่ายรายการวาไรตี้กัน แล้วก็ได้ของรางวัลจากรายการเป็นไก่ ใช่ๆนั่นแหละของชอบเลย
ก็มันอร่อยนี่นาไก่ทอดน่ะ ถ้าถามว่าอยากจะกินอะไร แว้บแรกก็ต้องไก่ทอดนี่แหละมันอร่อยจริงๆเลยนะ
แต่พูดถึงเรื่องอร่อยแล้วเนี่ย คนที่กินมันได้ดูน่าอร่อยที่สุดคงจะเป็นเลโอฮยองนี่ล่ะ ไก่ที่เป็นของรางวัลคราวนี้มันคงจะอร่อยมากแน่ๆ
ฮยองดันไม่สนใจฟังที่ผมเรียกเลยด้วยซ้ำไป
“ฮยองงงงงง”
เพราะเขาไม่สนใจฟังเลยผมจึงเริ่มลากเสียงเรียกยาวๆให้เขาหันมาสนใจบ้าง
“โอ๊ะ”
ผมร้องเสียงตกใจออกมานิดหน่อย คราวนี้ได้ผล ฮยองหันมาจริงด้วย พร้อมกับปากที่เต็มไปด้วยของกินของเขา แม้ผมจะเรียกจนเขา
หันมา ฮยองก็ยังไม่หยุดเคี้ยวเลย
อร่อยสิน้า…
“อร่อยไหม?”
“อื้อ…”
คำตอบสั้นจัง แต่ก็สมเป็นฮยองนั่นล่ะ…ผมถามแค่นั้นแล้วก็พยักหน้ามองไปยิ้มๆ
แค่ดูเขากินผมก็รู้สึกอิ่มไปด้วยแล้ว
หลังจากที่ผมเรียกแค่นั้นเราก็ถามตอบแค่ประโยคสั้นๆ อีกฝ่ายมองผมนิ่งไปครู่นึง เขาดูหน้าตาเหมือนคนกำลังหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย
ไม่ก็ดูเหมือนจะโกรธใครมา อันที่จริงผมคิดว่าเขาคงจะสงสัยมากกว่าว่าผมจะพยายามเรียกทำไมทั้งที่ถามอยู่แค่นี้ แต่ผมเองก็ไม่ได้
ถามอะไรเขาต่ออีก ทั้งยังเนียนหันไปทำเป็นจับไก่ฉีกเนื้อกินทีละน้อย ฮยองก็ค่อยๆเริ่มหมดความสนใจ และมีความสุขกับการกินของ
เขาต่อ…
อา…นี่ผมอิ่มแล้วจริงๆนะเนี่ย
ปกติผมก็ชอบนะไก่ทอดน่ะ แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยอยู่ในอารมณ์อยากอาหารเท่าไหร่
เพราะมีเรื่องบางอย่าง
มีเรื่องบางอย่างให้ผมคิด…
ผมคิดเรื่องนี้ซ้ำไปมาหลายวันแล้ว จนโดนคนอื่นๆล้อว่าลาวาเหม่อลอยซะอย่างนั้น ผมไม่ได้เหม่อลอยนะ เพียงแค่กำลังคิดอะไรอยู่
บางอย่างเท่านั้นเอง
เขามักจะกินอยู่ตลอดเวลาเลยนะ…
ความคิดนี้มันชอบโผล่ขึ้นมาในหัวคอยกวนใจผมอยู่เสมอ แต่อันที่จริงแล้วคนที่มักจะกินอยู่ตลอดเวลาคือเคนฮยองต่างหากล่ะ ไม่ใช่
เขาหรอก
เพียงแต่ว่าผมรู้ตัวดี ว่าไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย นี่มันแย่แล้วนะ ผู้ชายเหมือนกันด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่ปกติเลย อันที่จริงถ้า
ผมคิดอะไรแบบนี้ออกมาผมควรจะขยะแขยงตัวเองได้แล้ว
แต่ผมกลับรู้สึกอาย… พอรู้ตัวแบบนี้แล้วผมทั้งเขินทั้งอายที่จะต้องมองหน้าฮยองตรงๆ บางครั้งผมก็หลบเลี่ยงการสบตาได้อย่าง
แนบเนียน บางทีเขาก็จับได้ แต่ฮยองเขาไม่ได้พูดอะไร ผมคิดว่าเขาคงไม่ได้เอะใจสงสัยอะไรมากมาย แต่ว่าการที่จะต้องมาคอยหลบ
สายตานี่มันไม่ใช่เรื่องเลย กลับกันมันดูจะอึดอัดซะอีกเวลาที่ผมต้องทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มหรือเป็นคู่ในการเล่นเกมอะไรแบบนั้นน่ะ
ผมควรแก้ปัญหานี้นะ…
“วอนชิค…วอนชิคอา!”
“หือ?”
“นายเหม่ออีกแล้วนะ
คราวหน้าฉันจะเรียกนายว่าลาวาถ้านายยังเหม่อแบบนี้”
ทีแรกก็นึกว่าใคร เล่นซะผมสะดุ้ง ตกใจหมดเลย ลีดเดอร์เอ็นนี่เอง
ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อคิดอะไรอีกแล้วก็ลูบหน้าเสยผมขึ้นไปเรียกสติตัวเองเล็กน้อย เอ็นฮยองเขามองผมอยู่ซักพักก็กลับไปนั่ง
เก้าอี้ของเขาเหมือนเดิม อาการเหม่อผมนี่มันน่าเป็นห่วงมากเกินไปหรือยังไงนะ ทุกๆคนเองก็ต่างหันมามองผมเป็นตาเดียวเลย แม้
แต่เลโอฮยองเองก็ด้วย
“การโปรโมทเพลงใหม่ผู้จัดการบอกว่าเหลืออีกแค่คิวเดียวเท่านั้นแล้วเราก็จะได้มีเวลาพักแล้ว คนที่ฉันอยากแนะนำให้พักมากที่สุด
คือนายนะราวี่”
ก็ว่าจะนั่งตั้งใจฟังแล้วเอ็นฮยองก็มาเข้าบทสนทนาเดิม มาเข้าเรื่องผมอีกแล้ว ก็ไม่ได้ป่วยซักหน่อย แต่ก็คงเป็นอะไรที่คล้ายๆกันอยู่
บ้าง
เพลงใหม่ที่ทำการโปรโมทเป็นเวลายาวนานหลายเดือนนี่ก็ถึงคิวสุดท้ายซักที ไม่อยากจะพูดปฏิเสธหรอกว่าไม่เหนื่อย พูดแบบนั้นก็ดู
จะเก๊กเกินไปหน่อย
ไม่ว่าเพลงใหม่ที่เราออกมาเพลงไหนมันก็มีช่วงเวลาที่เหนื่อยยากด้วยกันทั้งนั้น
เอ็นฮยองบอกคิวสุดท้ายก็จะได้พักแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ดี ดูสภาพแล้วผมควรจะพักไปทำความเข้าใจกับตัวเองหลายๆอย่าง และมันก็
ดีมากที่จะได้ห่างๆจากเลโอฮยอง นอกจากจะอึดอัดแบบแปลกๆแล้ว ไม่กล้าสบตาแล้ว อีกอย่างคือผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มันตื่น
เต้นจนเสียงหัวใจไม่คงที่…
ผมเอาความรู้สึกนี่ไปแต่งเพลงได้เลยนะเนี่ย…
“ยังไงวันนี้ก็พักผ่อนกันไปก่อนแล้วกัน แล้วก็ไก่อร่อยมากด้วยนะ!”
ปิดท้ายด้วยการปรบมือให้แก่กัน เรามักจะทำอย่างนี้กันเสมอเวลาแสดงความยินดีให้กันเองแบบเล็กๆน้อยๆ เป็นอันว่าจบวันนี้อย่าง
เต็มที่ไปอีกวัน
คนอื่นๆเริ่มลุกออกจากที่นั่งตัวเอง ก็คงแยกย้ายไปเก็บของเตรียมขึ้นรถตู้กันจะได้มุ่งหน้ากลับไปพักผ่อนที่หอพักต่อ ช่วงเวลานี้ก็
มืดค่ำพอสมควรแล้วด้วย
แต่ผมยังไม่ทันจะลุกดีฮงบินก็เดินมาหาผมแล้วจับแขนผมเบาๆ
“เป็นอะไรรึเปล่าวอนชิค?”
“เราอยู่ข้างนอกกันไม่เรียกว่าราวี่เหรอ”
“ไม่ได้ถ่ายรายการซักหน่อย ว่าแต่นายเป็นอะไรรึเปล่า”
“หมายถึงยังไงล่ะ?”
“…”
อย่ามองผมแบบนั้นสิ… ไม่ได้พูดหรือถามอะไรผิดซักหน่อย
ไอ้เป็นอะไรรึเปล่าน่ะผมไม่เข้าใจว่าเจาะจงเรื่องไหนน่ะสิ
แต่ฮงบินก็มองแรงใส่ผมซะแล้ว ผมไม่ได้แกล้งพูดเล่นนะ…
“ก็สบายดี”
“หน้าตานายดูไม่ใช่เลย”
“ฉันก็หน้าตาดีอยู่แล้วไง”
ผมพูดติดตลกเป็นคำตอบไปบ้างแล้วค่อยลุกออกจากที่
อา… แต่สายตาฮงบินยังมองผมอยู่เหมือนเดิม จริงจังและไม่ได้พูดเล่น ผมคิดว่าถ้าผมยังบอกว่าสบายดีหรือพูดเล่นต่อ ต้องโดนเขา
สับคอแน่ๆเลย
“จริงๆก็ปวดหัวนิดหน่อย…”
“นั่นไง”
มานั่นไงอะไรล่ะ จริงๆไม่ได้ปวดหัวอะไรหรอก แต่ท่าทางเขาดูคาดหวังให้ผมพูดอะไรแบบนี้น่ะสิ สีหน้าผมดูไม่สู้ดีขนาดนั้นเชียวจน
โดนเข้าใจว่าป่วยเป็นอะไรเนี่ย
“เดี๋ยวนี้นายนอนเช้าอยู่บ่อยๆอีกรึเปล่าเนี่ย”
“ของแบบนั้นมันแน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติของผมได้เลยนะ ถ้าถามว่านอนเช้าบ่อยแค่ไหนผมคงนับให้ไม่ถูก อีกฝ่ายได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ เขาดัน
หลังให้ผมเดินไปต่อ
“ฉันจะสั่งฮยอกให้บังคับให้นายนอนเร็วๆ”
“เรื่องนอนมันบังคับได้ที่ไหนล่ะ”
“ก็นายเอาเวลาไปทำแต่งานน่ะสิ”
เราสองคนเถียงกัน ทั้งถกคุยกันไปเถียงกันมาตลอดทางก่อนที่จะขึ้นรถตู้ ฮงบินน่ะเป็นคนดีนะ เขามักจะห่วงและคอยถามผมอยู่
เสมอ แต่คราวนี้ดูจะห่วงจริงจังมากไปหน่อยไหมนะ
“วันนี้ดูเป็นห่วงจังเลยนะ”
เพราะสงสัยเลยออกปากถาม ฮงบินก็มองผมแค่ยิ้มๆ
มือที่คอยดันหลังให้ผมเดินอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นกอดคอผมไว้แทน
“ไปซื้อโกโก้มากินอุ่นๆกันหน่อยดีกว่า”
เปลี่ยนเรื่องซะงั้นล่ะ… ฮงบินพูดแบบนั้นแล้วเขาก็ละออกจากผมเดินไปหาสต๊าฟใกล้ๆเพื่อขออนุญาตไปซื้อเครื่องดื่ม รถตู้คันของ
VIXX ก็ไม่ได้รีบมากมายอะไรอยู่แล้ว
คนที่อยู่ในรถก็ล้วนเป็นเมมเบอร์ทั้งนั้น เราเลยออกไปหาอะไรมากินได้ตามใจอยาก
“จริงๆนายก็ไม่ใช่คนอ้อมค้อมนะจู่ๆเปลี่ยนเรื่องมาหาอะไรดื่มกันเนี่ย”
“เปล่าซักหน่อยแค่อยากหาอะไรดื่มเท่านั้นเอง”
เขาว่างั้นผมก็เลยพยักหน้าเข้าใจไปยิ้มๆ ฮงบินเข้ามากอดคอผมเดินเหมือนเดิม พวกเราพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอเย็นๆด้วยกัน
ทั้งคู่ อากาศข้างนอกนั้นหนาวมากแม้จะไม่มีหิมะตก มันทำให้คนผิวขาวอย่างฮงบินจมูกและหูแดงไปด้วย
ผมยกมือไปจับใบหูส่วนที่แดงของฮงบินเล็กน้อยอีกฝ่ายก็สะดุ้ง นั่นคงเพราะมือผมเย็นมากแน่ๆ ผมไม่ได้ใส่ถุงมือด้วยสิ แต่ท่าทีสะดุ้ง
เมื่อกี้มันตลกจนผมหลุดขำออกมา ฮงบินเลยหันมาเอาคืน แต่เพราะเขาใส่ถุงมืออยู่มันเลยไม่ได้เย็นเท่าไหร่ ผมไม่สะดุ้งสะท้านอะไร
เลยนี่สิ
“นายพลาดแล้วล่ะไม่เห็นเย็นเลย”
ผมหัวเราะเขาแล้ววิ่งหนีเข้ามาในร้านกาแฟเล็กๆริมถนน…
แต่ตอนนั้นผมก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเขาหรอก
พอก้าวแรกที่ผมเข้ามาในร้าน ลมอุ่นๆก็ตีหน้าจนรู้สึกหายหนาวขึ้นมาบ้าง ประตูอัตโนมัตสึเปิดออกและผมก็ยืนประจันหน้ากับ
เลโอฮยอง
สองมือของเขาถือเครื่องดื่มอยู่ ผมเกือบจะชนมันแล้วถ้าเมื่อกี้วิ่งมาไม่ได้ดูทาง อีกฝ่ายเองก็คิดว่าผมคงจะมาซื้ออะไรดื่มเหมือนกัน
เขาเลยเดินเบี่ยงทางให้เดินเข้ามาก่อน
“พวกนายมาซื้อกาแฟเหรอ”
“อ้อ… อื้อ”
ผมพยักหน้าตอบกลับไป แทนที่จะออกไปนั่งสบายใจในรถตู้ได้แล้วฮยองเขาก็ไม่ได้เดินไปไหนกลับยืนอยู่ข้างประตูต่อ หรือว่าคิดจะ
รอผมซื้อเครื่องดื่มก่อนกันนะ?
“อ้าว ฮยองก็มาซื้ออะไรดื่มเหมือนกันเหรอ”
“อื้อ …อย่าให้วอนชิคเขาดื่มกาแฟนะ”
น้ำเสียงแผ่วๆของเขาพูดพลางยกแก้วเครื่องดื่มในมือแก้วนึงขึ้นมา เขาชี้นิ้วมาทางผม ผมเองก็เอียงคอมองนึกสงสัย ทำไมถึงดื่ม
กาแฟไม่ได้ล่ะ อันที่จริงแม้ฮงบินจะบอกว่าจะซื้อโกโก้ก็เถอะผมก็คิดว่าจะสั่งกาแฟอยู่ดีนั่นล่ะ ตอนนี้อยากกินกาแฟมากกว่านี่นา
“อ้อ ใช่ นายห้ามดื่มกาแฟนะเข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะ? ทีฮยองยังกินได้เลยนี่”
เกิดอาการไม่เข้าใจนิดหน่อย ผมชี้นิ้วไปที่ทั้งสองแก้วของฮยองเขา
ก่อนที่จะก้มๆไปดมกลิ่นดู
อื้ม กลิ่นกาแฟอุ่นๆจริงด้วย นี่เขากะจะดื่มเองทั้งสองแก้วแน่เลยเนี่ย!
“ฮยองไม่ลดกาแฟบ้างเลยนะ กาแฟกลิ่นเข้มๆทั้งสองแก้วเลยนี่นา”
“อีกแก้วเผื่อคุณลุงคนขับน่ะ…ฉันลดบ้างแล้ว
แต่ยังไงคืนนี้นายก็ดื่มไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ?”
โดนห้ามซะงั้น… คนอื่นดื่มได้แต่ทำไมคืนนี้ผมดื่มไม่ได้เล่า
“ยังจะถามอีก นายดูเหนื่อยนี่วันนี้ จะดื่มกาแฟให้ตาสว่างได้ไง”
ฮงบินตีไหล่ผมเบาๆ พอได้คำเฉลยก็ร้องอ๋อขึ้นมาแล้วส่ายหน้า
“ยังไงผมก็หลับอยู่ดีแหละฮยอง”
“ห้ามก็คือห้ามสิ…วอนชิคคนโง่นี่”
น้ำเสียงแผ่วๆนั่นกำลังดุผม…
เป็นคำดุที่อบอุ่นจัง รวมถึงการกระทำของเขาด้วย
เสียงตำหนิเพียงคำเดียวนั่น จู่ๆใจของผมก็กระตุกขึ้นมา แก้วกาแฟของเขาถูกเอามานาบกับแก้มของผม สัมผัสอุ่นๆของแก้วกระดาษ
ราวกับว่ามันกำลังเร่งให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นไปอีก
ตึกตัก
ตึกตัก
ตึกตัก
อา…
มันเต้นดังเกินไปแล้วนะ…
เพราะรู้สึกอันตรายต่อใจ
เลยเอียงใบหน้าหนีออกมาแล้วเดินนำหน้าฮงบินตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่มซะก่อนเลย
ถ้าตอนนี้ใบหน้าของผมแดงมันคงไม่ใช่แดงเพราะอากาศหนาวแล้วล่ะ…
.
.
.
.
.
แดงจัง…
ถึงสีผิวของวอนชิคเขาจะไม่ขาวก็ตาม แต่ผิวสีเข้มของเขา
ผมยังเห็นใบหน้าที่ดูแดงขึ้นมาอยู่
หรือเขาจะหนาวนะ…
“วันนี้เขาดูแปลกๆนิดหน่อยนะฮยอง”
“แปลกเหรอ…?”
“อื้อ แบบว่าเหม่อๆน่ะ แล้วก็ช่วงนี้ก็เป็นบ่อยด้วย”
“เหรอ…”
“บางทีก็เหมือนคนซึม…แปลกมากเลย หรือจะเรื่องน้องสาวเขานะ??”
ฮงบินเองคงจะสงสัย เรื่องหนักใจของวอนชิคไม่มีอะไรมากกว่าเรื่องน้องสาวเขาอีกแล้ว ที่เป็นแบบนี้หรือเพราะน้องสาวของเขามี
แฟนแล้วกันนะ?
เดาไปก็ไม่น่าจะถูก… แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สังเกตเขามาเหมือนกัน ช่วงนี้เขาแปลกไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่กินไก่ทอดกัน วอนชิคเองดู
ไม่มีทีท่าอยากจะกินมากมาย เขาฉีกไก่กินทีละนิด เหมือนแค่ให้เวลามันผ่านไปเท่านั้น พอพวกเราเริ่มจะกินเสร็จเขาก็ค่อยรีบกินให้
หมด
เพราะงั้นเขากินมันแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นเอง…ปกติเขาเป็นคนที่กินได้ดูน่าอร่อยออกนี่
ทำไมกันนะ อันนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน
“งั้นผมไปซื้อเครื่องดื่มก่อนนะฮยอง”
ฮงบินพูดจบเขาก็เดินไปเคาน์เตอร์รอคิวตามหลังวอนชิคต่อ ผมตอนนี้กำลังคิดอยู่นิดหน่อยว่าถ้ากลับไปหอพักแล้วจะลองถามเด็ก
นั่นดูซักหน่อยน่าจะดี
นอกจากจะเหม่อกับไม่อยากอาหารแล้วเขาดูไม่ค่อยพูดกับใครด้วยวันนี้
“……”
เดี๋ยวนะ …ไม่ใช่สิ…
มองจากมุมนี้กำลังคุยกับฮงบินสนุกเลยไม่ใช่รึไงน่ะ…
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วิหลังจากที่ฮงบินเดินไปต่อหลัง เด็กที่ผมคิดว่าวันนี้ไม่พูดไม่จากับใครกลับเริ่มที่จะเปิดบทสนทนาก่อน ดูคุย
สนุกดีด้วย ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ค่อยพูดเลยไม่ใช่รึไง
มีหยอกเล่นกันด้วยนี่นา…?
ไหนบอกว่าซึมไง?
“…”
ไม่เข้าใจเลย…ซึมน่ะมันอาจจะใช่อยู่ ก็คือก่อนหน้านี้แน่ๆ…
งั้นหมายความว่าตอนนี้หายแล้วเหรอ
หายเพราะฮงบินงั้นเหรอ…
“…”
หงุดหงิดจังเลย…
หงุดหงิด…จู่ๆความคิดนี้ก็โผล่ขึ้นมามันทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ทำไมผมต้องหงุดหงิดด้วยล่ะ มันก็น่าจะดีนี่ที่จะได้เป็นห่วงเจ้าเด็กซก
มกนั่นน้อยลงมาหน่อย
แต่กลับหงุดหงิดแทนงั้นเหรอ
นึกไปพลางระหว่างนั้นผมก็จิบกาแฟแก้วของตัวเองไปพลาง คงเพราะมันอร่อยมากด้วย ผมเลยจิบจนเหมือนซดเอาๆมันเลยหมดใน
ไม่กี่นาที
“…”
จะกินกาแฟอีกแก้วเพิ่มมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าอยากหาอะไรดื่มอีกเลยเดินเอาแก้วเปล่าในมือไปทิ้ง ก่อนจะเข้าไป
เข้าแถวต่อจากคิวฮงบินต่อเลย
“อ้าว ฮยองมาต่อแถวทำไมเหรอ?”
“กาแฟหมดแล้วน่ะ”
“ห้ามเบิ้ลแก้วที่สองนะฮยอง”
ถามตอบกับฮงบินได้ประโยคสองประโยค วอนชิคเขาก็เอียงหัวโผล่มาพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ ผมยิ้มออกมานิดหน่อย ก็คิดว่าท่าทาง
แบบนั้นน่ารักดี…
“นายก็ห้ามกินกาแฟเหมือนกัน”
“รู้แล้วไม่กินก็ได้น่า”
น้ำเสียงที่เหมือนจะงอนนั่นทำให้ผมเผลอใช้มือข้างที่ว่างไปจับหูเขาบีบเบาๆ เพียงแค่เบาๆเท่านั้นจู่ๆเด็กนั่นกลับสะดุ้งจนปัดมือของ
ผมออกทันทีเลย
ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ…
“อา สงสัยฮยองต้องมือเย็นมากแน่ๆเลย สะดุ้งมากไปแล้วนะ”
ฮงบินหัวเราะ คำพูดของน้องชายและท่าทางของคนที่ผมแตะต้องทำให้ผมต้องละมือที่ถูกปัดออกมาอยู่นิ่งๆไว้ข้างตัวแบบเดิม อีก
ฝ่ายดูยืนตัวแข็งไปเลย… ผมแค่เอามือจับหูบีบเฉยๆเท่านั้นเองนะ
มองแล้วก็งงนั่นล่ะ แต่ผมคงถามอะไรต่อไม่ได้ในตอนนี้ จึงเก็บอาการและความสงสัยไว้ในใจไปก่อน ทว่าต่อจากเมื่อกี้ ฮงบินเขาก็มา
จับหูราวี่ต่อ
“…”
ทำไมไม่ปัดมือแบบที่ปัดมือผมบ้างล่ะ
แทนที่ราวี่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบเดียวกับผมแบบเมื่อกี้
เขาทำแค่หัวเราะเฉยๆแล้วปล่อยให้ฮงบินเล่นหูไป
เอาตรงๆผมรู้สึกโกรธขึ้นมา…เขาจะทำตัวกับผมแบบนี้ไม่ได้นะ…
“ฮยอง?”
“หือ”
“เห็นมองเฉยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่สั่งเหรอ?”
ถึงคิวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้…ฮงบินก็เรียกผมแล้วเขาบอกว่าตัวเขาสั่งตัดหน้าวอนชิคไปก่อนเรียบร้อยแล้ว อีกคนพอไม่ได้กินกาแฟก็
เลือกไม่ได้ซักทีเพราะเจ้าตัวเขาก็ไม่อยากกินโกโก้ด้วยเหมือนกันเลยยืนซื่อบื้อมองเมนูแบบจดๆจ้องๆอยู่แบบนั้น
ฮงบินโบกมือให้เล็กน้อย น้องชายคนนี้บอกว่าจะไปรอตรงที่รับเครื่องดื่ม ฝากฝังให้ผมช่วยราวี่เลือกเครื่องดื่มให้ได้ซักทีด้วย ไม่งั้นก็
ปล่อยเจ้าตัวให้ซื่อบื้อแบบนั้นต่อไปนั่นแหละ
หรือจะปล่อยให้ยืนซื่อบื้อแบบที่ว่าดีนะ…
ผมลอบมองคนซื่อบื้อที่ว่า เขาดูตั้งใจมากเลย และก็ดูสับสนลังเลด้วย
ผมไม่คิดว่าการเลือกเครื่องดื่มมันจะยากเย็นขนาดนั้นนะ
“วอนชิคอา นายยังเลือกไม่ได้อีกเหรอ”
ก็คงจะปล่อยทิ้งแบบนี้ไม่ได้ จะได้รีบๆลากน้องชายทั้งสองคนนี้กลับรถตู้ไวๆด้วยผมเลยยื่นหน้าไปมองเมนูที่เคาน์เตอร์ใบเดียวกันกับ
เขา
“แค่อยากกินอะไรอุ่นๆแต่ไม่เอาโกโก้น่ะสิ”
นิ้วมือของเด็กโง่คนนี้กำลังลากนิ้วค่อยๆดูเมนูอยู่ในส่วนของชาร้อน ผมคิดว่าดื่มชากลางคืนแบบนี้ไม่น่าจะเข้ากันเท่าไหร่นะ เลยช่วย
กวาดสายตามองตามเมนูไปทีละรายการ
“วอนชิคซื่อบื้อจริงๆ”
“เปล่าซักหน่อย”
พอแกล้งว่าอีกคนไปเล่นๆน้ำเสียงที่ตอบรับมานั้นมันดูเง้างอนอีกแล้ว
ผมจึงหันหน้าไปมอง
วอนชิคเขาก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน…
ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอางของเด็กนี่ก็ดูดีไม่เลวเลย…
เมื่อยืนอยู่บนเวทีเดียวกันอีกฝ่ายก็จะเปลี่ยนไปราวกับคนละคนทันที เครื่องสำอางที่แต่งแต้มในตอนนั้นก็ถูกลบออกไปหมดแล้ว
ตอนนี้จึงมีแต่ผิวเนื้อจริงๆของคนข้างตัวผมเพียงเท่านั้น
ผิวเนียนจังนะ…
คิดแบบนั้นมันทำให้ผมเผลอยื่นมือไปจะลองสัมผัสดู แต่อีกคนกลับหลบ…
หลบทั้งที่ผมยังไม่ทันโดนตัวด้วยซ้ำ นี่เป็นอะไรเนี่ย ชักจะโกรธจริงๆแล้วนะ วอนชิคเองก็รู้ดีแน่ๆดังนั้นเขาจึงก้มหัวให้ผมเล็กน้อย
เหมือนกับจะขอโทษและยอมรับผิด
ก็ไม่ได้อยากจะทะเลาะในร้านกาแฟหรอกนะ…แล้วก็ผมพูดไม่ถูกเหมือนกันว่าอีกฝ่ายผิดเรื่องอะไร… แต่ผมหงุดหงิดในตอนนี้
“ถ้าไม่รู้จะสั่งอะไรก็สั่งนมอุ่นซะสิ เสร็จแล้วก็ขึ้นรถ”
ไม่มีอารมณ์หาอะไรอุ่นๆดื่มแล้วล่ะ… ตอนนี้ผมหงุดหงิด
เลยพูดแค่นั้นแล้วเดินออกมาจากแถว
ฮงบินดูเหมือนจะได้เครื่องดื่มของเขาแล้ว
ผมก็พูดทิ้งท้ายกับเขาว่าจะรอบนรถตู้ ให้รีบตามมา…
…
ทำไมผมต้องหงุดหงิดขนาดนี้ด้วย…
.
.
.
.
.
ดูเหมือนผมจะทำให้เขาโกรธ…
ตอนนี้ผมกับฮงบินเดินออกมาจากร้านกาแฟด้วยกัน ผมซื้อเครื่องดื่มมาเผื่อ เอ็นฮยอง เคนฮยอง แล้วก็ฮยอกด้วย ฝ่ายฮงบินเองก็
ชวนคุยกับผมอยู่ตลอดทางในขณะที่เรากำลังเดินไปหารถตู้ของตัวเอง
ก้าวแรกที่เข้าไปในรถตู้ผมก็ยกถุงเครื่องดื่มชูขึ้นมา ก็พากันวุ่นวายแจกจ่ายเครื่องดื่มอุ่นๆคลายหนาว และค่อยหย่อนตัวนั่งบนเบาะ
รถนิ่มๆได้ซักที
โดยที่ที่นั่งของผมอยู่ห่างจากเลโอฮยองพอสมควรเลย…
ท่าทางเขาจะขอไปนั่งในสุดเองล่ะมั้ง…
นี่ผมต้องง้อเขารึเปล่านะ ฮยองเขาอาจจะโกรธเรื่องที่ผมปัดมือเขาออกไปก็ได้
มันคงจะเสียมารยาทนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว
จู่ๆมือเย็นๆของฮยองก็มาแตะผมเองนี่…
แต่เพราะว่าเป็นมือของเลโอฮยองนั่นแหละ เลยตกใจถึงขนาดนั้นน่ะ…
คิดไปก็คงเหนื่อย รถแล่นออกจากจุดจอดไม่ถึงสิบนาทีผมก็ผล็อยหลับไป
มันคงจะเป็นอย่างที่ฮงบินว่า วันนี้ผมดูเหนื่อยๆจริงๆด้วย
แต่เหนื่อยที่ว่ามันคงจะเป็นความคิดนี่แหละ…คิดอะไรเยอะเต็มไปหมดเลย…
ผมไม่รู้ว่าตัวเองงีบไปนานเท่าไหร่เหมือนกัน
จนกระทั่งมันกลายเป็นการหลับลึก
ผมได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเรียกชื่อ
“นี่วอนชิค”
อา…ยังไม่อยากลุกเลย
“ลาวา!…ลาวาอาอาอาอาอา!!”
เสียงแบบนี้เคนฮยองแน่ๆ… แต่ขอโทษทีที่ตาผมมันลืมไม่ขึ้นเลย แม้แต่ส่งเสียงครางตอบรับผมก็ทำไม่ได้
อยากหลับต่ออยู่อย่างนี้ซักหน่อย วันนี้ผมคิดอะไรมาเยอะแล้วมันเหนื่อยนี่นา
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เสียงนั่นเลโอฮยองงั้นเหรอ
เสียงแผ่วๆนั่นยังเพราะเหมือนเคยเลยนะ…
เพราะมากเลย…
ชอบเสียงของฮยอง…
ชอบฉายาเสือยิ้มยากของฮยองด้วย…
ชอบ…
.
.
.
.
.
“วอนชิคอา…”
เสียงฮยองอีกแล้ว…
“วอนชิคอา…ต…”
อะไรนะไม่ได้ยินเลย…
นี่ฮยองคิดจะมาให้ผมคอยนึกถึงแม้แต่ในฝันเลยรึไงนะ…
ความรู้สึกตอนนี้คือนุ่มสบาย… และเสียงของเขาเรียกชื่อของผม น้ำเสียงของเลโอฮยองนี่มันช่างผ่อนคลาย แม้ช่วงนี้ผมจะรู้ตัวว่าคิด
ถึงเรื่องฮยองอยู่มาก
แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฮยองมาโผล่ถึงในฝัน
อา ผมคงจะคิดอะไรมากมายไปจริงๆ
น้ำเสียงของเลโอฮยองก็ยังคงดังไม่หยุด ดังเป็นชื่อของผม…
แต่เจ็บแฮะ…
จู่ๆเสียงฮยองก็หายไป แล้วรู้สึกเจ็บแปลกๆเหมือนโดนอะไรกัด
เพิ่งรู้ว่าความฝันมันรู้สึกเจ็บได้ด้วย
“……”
ไม่ใช่ความฝันซะแล้ว…ความรู้สึกเจ็บทำให้ผมลืมตาตื่น
ก็เจอเลโอฮยองนอนอยู่ข้างๆ แถมกำลังกัดไหล่ผมอยู่ด้วย…
“…เจ็…บ…”
ผมยังไม่ตื่นดี หน้าตาตอนนี้ก็เหมือนคนละเมอ มันทำให้ฮยองยิ่งลงแรงฟันกัดเข้าไปลึกอีก เจ็บจนร้องโอ๊ยและค่อยๆดิ้นยุกยิก แบบ
นั้นเลโอฮยองถึงจะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ
“เลโอฮยองเองเหรอ…”
“แทคอุนสิ ไม่ได้อยู่ข้างนอกหรือในรายการแล้วนะ…”
“มันไม่ชินปากนี่นา…แถมปกติผมเรียกแต่ฮยองอย่างเดียวด้วย”
ผมยังเบลออยู่เลย แต่รอยฟันมันชัดเจนจนผมต้องก้มมอง ก็ว่าทำไมรู้สึกเจ็บขนาดนี้ ที่แท้เสื้อหนาวกับเสื้อนอกอีกตัวถูกถอดไปแล้ว
เหลือแต่เสื้อยืดตัวข้างในของผมนี่แหละ… ฮยองเองก็เหลือแต่เสื้อยืดแขนยาวด้วยเหมือนกัน
“คนอะไรใส่เสื้อสามชั้น…”
ใกล้จังเลย… อีกฝ่ายเอ่ยแซวผม แต่ว่าผมก็ไม่ได้โต้ตอบนอกจากจะค่อยๆถอยตัวออกมาซะหน่อยก่อน
แต่ไม่รู้ทำไมพอทำแบบนั้นแล้วฮยองเขากลับขยับเข้ามาใกล้อีก
“นายจะหนีทำไม”
“…ก็คิดว่ามันใกล้ไปหน่อย”
“โดนเข้าใกล้แล้วเขินอายขึ้นมาเหรอ…
ปกติจะเป็นคนเข้าใกล้ฉันเองแท้ๆเลย”
“…นั่นก็จริงอยู่หรอก…”
ผมนี่เถียงเขาไม่ออกเลย แต่ตอนนั้นมันยังสับสนปนๆกับความไม่คิดอะไรน่ะสิ…
พอมารู้ตัวว่าตัวเองชอบเฝ้ามองฮยองอยู่บ่อยๆแล้วเนี่ยมันก็เกิดอายขึ้นมา
อายทั้งตัวเองอายทั้งสิ่งที่รู้สึกแปลกๆกับฮยองด้วย
“…ฉันโกรธนะ…”
“…เพราะที่ผมเผลอปัดมือฮยองออกเหรอ”
“ไม่ใช่ แต่มันก็ส่วนนึง…”
ฮยองในตอนโกรธน้ำเสียงของเขาจะมีอาการฮึดฮัดเหมือนคนขัดใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้เชาดูใจเย็นมากกว่านั้นหน่อยนึง… ผมคิดว่า
ตอนนี้เขาดูนิ่งมากจนน่ากลัว สายตาคมของเขามองราวกับว่าจะให้ผมสารภาพผิดออกมา แต่ผมคงทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้จะพูดอะไร
ด้วย ไม่รู้ว่าทำอะไรให้ฮยองไม่พอใจนี่
เรามองกันอยู่หลายนาที ไม่มีเสียงปริพูดอะไรกันซักคำ จนกระทั่งผมเป็นฝ่ายหลบสายตาเอง ใครมันจะไปนั่งจ้องนอนจ้อง
ฮยองได้ไหวเป็นนาทีๆเล่าโดนดาเมจตายพอดี
“ทำไมทำแบบนั้น”
“ห๊ะ”
จู่ๆคำถามนี้ก็โผล่ขึ้นมาดื้อๆ แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าทำอะไร ตอนนี้ฮยองไม่พอใจอะไรผมก็ยังไม่รู้เลย สีหน้าของผมเงยไปสบมอง
ฮยองเหมือนเดิมด้วยความไม่เข้าใจ แต่เขาเริ่มขมวดคิ้วแล้ว
โกรธมากเลยด้วย…
แต่ทำไมล่ะ?
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง จู่ๆจะโมโหผมแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ที่นายทำมันก็สมควรโมโหหรอก”
อะไรของเขา…
ผมชักจะโมโหตามแล้วนะ มาพูดแบบนี้มันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า สีหน้าของผมตอนนี้แสดงออกมาไม่ดีเลย ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังขมวด
คิ้ว
ตัวผมพยายามสงบอารมณ์ ไม่อยากมีเรื่องและไม่อยากทะเลาะด้วย…
ปกติเรามักจะใจเย็นกันทั้งคู่เสมอ
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมว้าวุ่นใจและหงุดหงิดได้ขนาดนี้…อยากจะทำอะไรซักอย่าง อยากจะพูดอะไรซักอย่าง แต่ไม่รู้ว่ามัน
คืออะไร
ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมต้องเฝ้ามองฮยองด้วย
ทำไมต้องรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ทำไมต้องรู้สึกอึดอัดเวลาเข้าใกล้
มันไม่ใช่ความรู้สึกที่รังเกียจ…
แต่ว่ามันอึดอัดในอกมากๆเลย…
ผมไม่เข้าใจ…
“อย่าทำหน้าแบบนั้น…”
ก็ทั้งที่กำลังไม่เข้าใจแท้ๆ ดูเหมือนว่า
กอดของฮยองจะทำให้มันยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม…
เขากอดผม และลูบหัว…
มันคงจะดูแปลกตามากที่ผู้ชายตัวสูงสองคนมาอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนมากอดกันอยู่บนเตียง
“ทำหน้าแบบนั้นได้ยังไง…ฉันกำลังโกรธอยู่แท้ๆเลยนะ”
ใครจะไปรู้เล่า… ว่าทำหน้ายังไงอยู่น่ะตอนนี้…
ผมรู้แต่ว่าผมกำลังขมวดคิ้ว… และริมฝีปากเหมือนกำลังสั่น…
ตอนนี้ผมทำหน้าตาแบบไหนอยู่กันนะ…
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ…”
ไม่มีเรื่องไหนที่เราต่างรู้ดีในตอนนี้…
ผมคิดว่าฮยองก็คิดแบบนั้นเหมือนกับผมด้วยเหมือนกัน…
“เรียกชื่อฉันหน่อยได้ไหม…”
“เลโอฮยอง…”
“ไม่ใช่ชื่อนั้น…ไม่ต้องมีฮยอง… แค่ชื่อฉัน…”
“…แทคอุน…”
“แทคอุน…แทคอุน…แทคอุน…”
อาจจะเพราะผมเรียกชื่อเขามากเกินไปก็ได้ ดังนั้นเสียงของผมจึงถูกทำให้เงียบด้วยจูบของเขา
และได้กลิ่นกาแฟ…กลิ่นคาปูชิโน่จากริมฝีปากของฮยอง มันอุ่น…เหมือนกับตอนนี้ผมกำลังดื่มมันอยู่
“…นายสั่งนมอุ่นจริงด้วย”
ฮยองก็คงได้รสนมจากผมเหมือนกัน…
“…ฮยองมักจะกินอยู่ตลอดเวลาเลยนะ…”
จู่ๆมีบางอย่างทำให้ผมนึกอยากพูดแบบนี้ขึ้นมา ฮยองเขาส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้กินอยู่ตลอด…”
“โกหก…ผมมองฮยองอยู่ตลอด ชอบเอาขนมมากินเองในบางทีด้วย…”
“…มองตลอดเลยเหรอ…ทำไมล่ะ…”
“ทำไมน่ะเหรอ…”
แล้วจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ…
“ไม่รู้งั้นเหรอ…”
“…ผม…ไม่รู้…”
น้ำเสียงของผมมันทุ้มมาก… พอพูดแผ่วลงในตอนนี้ผมก็คิดว่ามันดูตลกมากด้วยเหมือนกัน… เพราะมันตลก ฮยองตอนนี้เลยยิ้ม
ออกมารึเปล่านะ…
“ไม่เป็นไรถ้าไม่รู้…เดี๋ยวนายอาจจะรู้ในซักวันก็ได้…”
“ซักวันเหรอ…”
“อย่างน้อยตอนนี้นายก็รู้อยู่อย่างนึงนะ…”
“…?”
“ฉันมักจะกินอยู่ตลอดนั่นแหละ”
.
.
.
.
จากนี้สิ่งที่ฉันจะกินก็คือนาย…วอนชิค
เราชอบคู่เเปลกๆๆๆๆ
ขอบคุณที่แนะนะคะะะ พอจะบอกได้ไหมว่าควรจะต่อกันตรงไหนบ้าง;3;/