1. ทำไมหมาเห่าใบตองแห้ง
หมาเห่าใบตองแห้ง เป็นสำนวน มีความหมายว่า พูดเอะอะแสดงวาจาว่าเป็นคนเก่งกล้าไม่กลัวใคร แต่จริง ๆ แล้วขี้ขลาดและไม่กล้าจริง
หมาเห่าใบตองแห้ง เป็นสำนวนที่เปรียบเทียบกับสุนัขที่ชอบเห่าใบตองแห้ง คือเห่าใบกล้วยที่แห้งติดอยู่กับต้น เวลาลมพัดใบกล้วยแห้งจะแกว่งหรือเสียดสีกัน มีเสียงแกรกกราก สุนัขเห็นอะไรไหว ๆ หรือได้ยินเสียงแกรกกรากก็จะเห่าขึ้น แต่ก็เห่าไปอย่างนั้นเอง ไม่กล้าไปกัดใบตองแห้ง
กิริยาของสุนัขนี้จึงนำมาเปรียบกับคนที่ชอบพูดจาเอะอะในลักษณะที่อวดตัวว่าเก่งกล้า แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้กล้าสมกับคำพูด เช่น พวกนี้หมาเห่าใบตองแห้งทั้งนั้น ได้แต่ตะโกนด่าเขาลับหลัง ถ้าเขาเอาจริงก็ขี้คร้านจะวิ่งหนีไม่ทัน
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย"
2. ทำไมเรียกอเมริกาว่า เมืองลุงแซม
ที่มา:wikipedia
3. ทำไมเรียกเงาะโรงเรียน
ก็เพราะเงาะพันธ์นี้ไม่ได้ปลูกในวิทยาลัยอาชีวะหรือในมหาวิทยาลัยนะสิ
เงาะโรงเรียนหรือเงาะพันธุ์โรงเรียน เป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน เงาะในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตลอดทั้งเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ก็ไม่มีประเทศใดที่มีเงาะคุณภาพดีเท่ากับเงาะพันธุ์โรงเรียน แม้แต่ในมาเลเซียซึ่งเราได้เมล็ดเงาะพันธุ์นี้มา จึงกล่าวได้ว่าเงาะพันธุ์โรงเรียนเป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้
คำว่า "โรงเรียน" หมายถึง โรงเรียนนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เงาะต้นแม่พันธุ์มีเพียงต้นเดียว ปลูกด้วยเมล็ดเมื่อปี พ.ศ.2469 โดยชาวจีนผู้หนึ่งมีสัญชาติมาเลเซีย ชื่อ Mr. K. Wong มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองปีนัง บุคคลผู้นี้ได้เข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุกที่หมู่บ้านเหมืองแกะ ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร ตรงกันข้ามกับโรงเรียนนาสาร เมื่อ Mr. K. Wong มาทำเหมืองแร่ก็ซื้อที่ดินริมทางรถไฟด้านทิศตะวันตก ใกล้กับสถานีรถไฟนาสารเป็นเนื้อที่ 18 ไร่ แล้วสร้างบ้านพักบนที่ดินดังกล่าว เมื่อสร้างบ้านเสร็จ Mr. K. Wong ก็นำพันธุ์(เมล็ด)เงาะมาจากเมืองปีนัง(ขณะนี้เงาะพันธุ์นี้ที่เมืองปีนึงไม่มีแล้ว) มาปลูกข้างบ้านพักจำนวน 4ต้น ต่อมาปรากฏว่าเงาะมีลูกเป็นสีเหลืองบ้าง แดงบ้าง รสเปรี้ยวบ้าง หวานบ้าง เฉพาะต้นที่ 2 นับจากทิศตะวันออกมีลักษณะพิเศษกว่าต้นอื่น คือ เนื้อสุกแล้วเปลือกผลเป็นสีแดง แต่แม้สุกจัดเท่าไหร่ก็ตาม ขนที่ผลยังมีสีเขียวอยู่ รูปผลค่อนข้างกลม เนื้อกรอบ หวาน หอม เปลือกบาง เงาะต้นนี้คือ "เงาะพันธุ์โรงเรียน"
สาเหตุที่เรียกว่าเงาะพันธุ์โรงเรียน เพราะในปี พ.ศ.2479 Mr. K. Wong ต้องเลิกล้มกิจการเหมืองแร่และเดินทางกลับไปอยู่ที่เมืองปีนังภูมิลำเนาเดิม จึงขายที่ดินดังกล่าวพร้อมด้วยบ้านพักให้แก่กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) แผนกธรรมการ อำเภอบ้านนา (อำเภอบ้านนาสาร) ทางราชการจึงปรับปรุงบ้านพักใช้เป็นอาคารเรียน และย้ายโรงเรียนนาสารซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่วัดนาสารมาอยู่อาคารดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิการยน พ.ศ.2479 แต่เงาะพันธุ์โรงเรียนในขณะนั้นยังมิได้แพร่หลายแต่ประการใด เนื่องจากการส่งเสริมทางการเกษตรยังไม่ดีพอ ในปี พ.ศ.2489-2498 มีบุคคลตอนกิ่งไปขายพันธุ์เพียง 3-4 รายเท่านั้น
ครั้นถึงปี พ.ศ.2500-2501 ได้มีกรรมวิธีแพร่พันธุ์เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือการทาบกิ่ง มีการทาบกิ่งเงาะต้นนี้ไปเป็นจำนวนมาก ในระยะเดียวกันนั้น เงาะที่มาจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส คือเงาะพันธุ์ยาวี เจ๊ะโมง เปเราะ ก็เข้ามาแพร่หลายพอสมควร ประชาชนเห็นว่าเงาะต้นนี้ยังไม่มีชื่อ จึงชักชวนกันเรียกเงาะต้นนี้ว่า "เงาะพันธุ์โรงเรียน" เพราะต้นแม่พันธุ์อยู่ที่โรงเรียนนาสาร
ปี พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯมาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้นำชาวสวนเงาะผู้หนึ่งได้ทูลเกล้าฯถวายเงาะพันธุ์โรงเรียน และขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อพันธุ์เงาะนี้เสียใหม่ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ชื่อเงาะพันธุ์โรงเรียนดีอยู่แล้ว" นับแต่นั้นมา ไม่มีใครกล้าที่จะเปลี่ยนชื่อเงาะพันธุ์นี้อีกต่อไป
ที่มา:108 ซองคำถาม
4. ทำไมเรียกลอดช่องสิงคโปร์
เพราะหากย้อนไปเมื่อประมาณ 60 ปีก่อน ร้านนี้บังเอิญไปตั้งอยู่บริเวณ หน้าโรงภาพยนต์สิงคโปร์ (เดิม) หรือโรงหนังเฉลิมบุรี บนถนนเยาวราช และเมื่อลูกค้าจะไปทาน ก็มักจะเรียกว่า “ไปทานลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์” สุดท้ายก็เรียกให้สั้นลงว่า “ลอดช่องสิงคโปร์” แทน
ร้านลอดช่องสิงคโปร์ โภชนานั้น ปัจจุบันได้กลายเป็นตำนานบนถนนเยาวราช เพราะไม่เพียงแต่ความเก่าแก่ที่ครองใจผู้บริโภคมานานกว่า 60 ปีแล้ว ร้านนี้ยังถูกทางสำนักงานเขตสัมพันธ์วงศ์ ได้ขอให้คงอยู่ไว้ เพราะถือว่าร้านนี้กลายเป็นตำนานและเป็นส่วนหนึ่งของเยาวราชที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว
ที่มา:dmc.tv
5. ทำไมถึงเรียก วินมอเตอร์ไซค์
เป็นที่เข้าใจกันว่า วิน หมายถึง "สถานที่ซึ่งผู้ขี่จักรยานยนต์รับจ้างหรือรถตู้โดยสารนำรถมาจอดคอยรับผู้โดยสาร" การจอดนั้นก็ต้องจอดกันอย่างมีระเบียบ กล่าวคือ ใครมาถึงก่อนก็ได้จอดอยู่ในลำดับต้น ใครมาทีหลังก็ได้จอดต่อ ๆ กันไป ผู้ใช้บริการที่รู้ธรรมเนียมก็จะไปใช้บริการที่คันแรกสุดก่อน
รถที่เข้ามาร่วมในกระบวนการนี้จึงเรียกว่า "รถวิน" ผู้ขับขี่รถดังกล่าวจึงเรียกว่า "ผู้เข้าวิน" หรือ "ผู้ขับรถวิน" สถานที่จอดรถก็เรียกว่า "วิน" ซึ่งอาจจะเป็นที่สาธารณะหรือที่ส่วนบุคคลก็ได้ผู้ดูแลหรือผู้เก็บค่าธรรมเนียมก็เรียกว่า "เจ้าของวิน" "ผู้คุมวิน" "เจ้าพ่อวิน" "เจ้าแม่วิน" ฯลฯ
คำนี้มาจากภาษาอังกฤษว่า "win" แปลว่า ชัยชนะ ซึ่งได้มาจากการแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกีฬา ที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือการแข่งม้าตัวที่ชนะที่หนึ่งก็เรียกกันว่า "เข้าวิน" ตัวที่ชนะเป็นที่ 2 ถ้าคิดแบบอเมริกันก็เรียกว่า "เข้าเพลซ" (place) ถ้าคิดแบบอังกฤษตัวที่ชนะเป็นที่สองหรือสามก็เรียกกันว่า "เข้าเพลซ" ได้เหมือนกัน
ในภาษาไทย ความหมายของคำว่า วิน ได้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็น "สถานที่จอดรถ"
ลักษณะการนำรถเข้ามาจอดแบบมาถึงก่อนได้ก่อน ก็เป็นการแข่งขันกลาย ๆ เมื่อนำรถมาจอดที่ "วิน" ได้ ก็เรียกว่า "เข้าวิน" ทุกคน ไม่มีใคร "เข้าเพลซ"
ที่มา:108 ซองคำถาม
6. ทำไม มีจุดแดงบนหน้าผากสตรีชาวอินเดีย
สตรีในศาสนาพราหมณ์ฮินดูแต่โบราณนานมา เมื่อแต่งงานแล้วจะแต้มจุดแดงที่กลางหน้าผาก เป็นสัญลักษณ์ของการมีพันธะด้านการครองเรือน ในฐานะผู้เป็นภรรยา ผู้เป็นแม่
สตรีอินเดียถือสามีเสมือนเทพ จะให้ความรักความเคารพอย่างสูงการเจิมหน้าผากจะทำในวันแต่งงาน เมื่อคู่บ่าวสาวเดินรอบกองไฟแล้วพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีวิวาห์ หรือผู้เป็นเจ้าบ่าวจะเจิมหน้าผากให้เจ้าสาวเป็นการประกาศว่าหญิงผู้นั้นเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณีสตรีชาวอินเดียจะต้องมีจุดนี้อยู่ตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ และจะต้องลบออกเมื่อสามีเสียชีวิต
ในกรณีที่เลิกร้างกัน สตรีผู้นั้นจะลบจุดออกได้ต่อเมื่อเป็นการเลิกร้างโดยคำสั่งของศาล
หากสตรีผู้นั้นลบจุดติกะออกโดยที่สามียังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ได้เลิกกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จะถือว่าเป็นการกระทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ
โดยทั่วไปจุดสีแดงนี้จะทำจากมูลวัวที่นำมาเผาและบดจนละเอียดแล้วผสมกับสีแดงชาดที่ได้จากรากไม้ มูลวัวไม่ถือว่าเป็นของสกปรกเพราะวัวเป็นพาหนะของพระเจ้า และกินพืชเป็นอาหารผงสีนี้เรียกว่า "ผงวิภูติ" มีจำหน่ายตามร้านค้า ผงนี้อาจมีการนำไปทำพิธีก่อนนำมาใช้ก็ได้
ลักษณะของจุดติกะมีหลายแบบ เดิมนิยมจุดกลม คนที่ยังสาวจะนิยมจุดเล็กเพราะสวยงามกว่าแต่พออายุมากขึ้นอาจแต้มจุดให้ใหญ่ขึ้น ปัจจุบันมีรูปแบบจุดอื่น ๆ เช่น รูปคล้ายหยดน้ำ หรือเป็นวงกลมและมีรัศมีโดยรอบเหมือนดวงอาทิตย์ ปัจจุบันติกะพัฒนารูปแบบไปมากทั้งรูปทรงและสีสัน บางทีก็ทำเป็นสติกเกอร์เพื่อสะดวกใช้
มีข้อสังเกตว่า ในบางครั้งจุดติกะอาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานเพียงอย่างเดียว
ติกะถือว่าเป็นสิ่งมงคล ชาวอินเดียบางกลุ่มจะใช้ในโอกาสอื่น ๆ เช่นเวลาไหว้พระ พราหมณ์จะให้ผงวิภูติ ผู้รับจะนำมาเจิมเพื่อเป็นสิริมงคล แต่ก็เป็นการเจิมเพียงชั่วคราวเท่านั้น
คนที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมอินเดียมักเข้าใจว่าจุดแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาวอินเดีย จึงมักแต้มจุดแดงเวลาที่แต่งกายเป็นชาวอินเดีย เช่นนางเอกในละครแม้ยังเป็นสาวเป็นแส้ ก็แต้มจุดแดงกับเขาด้วยนี่เป็นเรื่องของการนำมาใช้โดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุดแดงจะเป็นวัฒนธรรมของพวกพราหมณ์ฮินดูแต่สตรีชาวอินเดียที่แต่งงานแล้ว และไม่ใช่ชาวฮินดูแท้ ๆ อาจรับวัฒนธรรมนี้ไปใช้
ในชาวอินเดียบางกลุ่ม สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานแล้วอาจเป็นการห้อยสายสร้อยสังวาลมงคล ซึ่งสามีมอบให้
ที่มา:wikipedia
7. ทำไม จึงเรียกว่าสบู่
แม้เรื่องคำเพี้ยน ๆ เนี่ยคนไทยถนัดกันนัก โดยเฉพาะคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ อย่างเช่น สบู่ ที่ยกตัวอย่างไปนั้น และนี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมจึงเรียกว่า สบู่
ที่มา: ภาษาคาใจ
8. ทำไมเจ้าตูบตัวผู้ต้องยกขาฉี่
ที่มา: นิตยสาร Lisa
9. ทำไมนกเพนกวินถึงบินไม่ได้
นกเพนกวินเป็นนกที่บินไม่ได้ เพราะมีการดัดแปลงอวัยวะสำหรับใช้ในการบินเป็นใช้เพื่อการว่ายน้ำ และยังสามารถเดิน วิ่ง กระโดดและปีนป่ายได้เป็นอย่างดีบนก้อนน้ำแข็ง
อันเนื่องมาจากเพนกวิมีนิ้วเท้าที่มีพังพืดและมีเล็บที่แข็งแรงใช้สำหรับว่ายน้ำมีหางไว้ใช้เป็นหางเสือ และใช้ทำให้ก้อนน้ำแข็งแตกได้ง่าย
นกเพนกวินมีขนสั้น ๆ ปกคลุมตัว ปลายขนจะคลุมทับกันแน่นคล้ายกระเบื้องมุงหลังคา
ทำให้ป้องกันน้ำเข้าถึงผิวหนังและทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งเราสามารถพบเจอนกเพนกวินตามธรรมชาติได้ที่ทะเล มหาสมุทร เฉพาะทางซีกโลกใต้เท่านั้น
นกเพนกวินเป็นสัตว์สังคม พบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นฝูง ส่งเสียงดังเพื่อช่วยในการติดต่อสื่อสาร และมีความสามารถในการว่ายน้ำได้เร็วถึง 8-16 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทีเดียว 0.0
อาหารของนกเพนกวิน ได้แก่ ปลา ปลาหมึกขนาดเล็ก หอยและกุ้ง นั้นเอง
คงหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมหละ? ถึงเพนกวินจะบินไม่ได้แต่ก็สามารถทำอย่างอื่นได้อีกมาก
ที่มา: student
10. ทำไมร้านขายยาถึงได้มีเครื่องหมาย Rx
ตัว "R" มาจากภาษาลาตินว่า รีซิเป (Recipe) แปลว่า จงเอา(to take)
เวลาแพทย์เขียนใบสั่งยาขึ้นต้นด้วย Rx ตามด้วยส่วนผสมต่าง ๆ แล้วมอบให้เภสัชกร ก็แปลว่า จงนำเอาส่วนผสมต่าง ๆ ที่บอก ไปปรุงเป็นยานั่นเอง
ส่วนเครื่องหมาย "/" ที่หางตัว R เชื่อกันว่าเป็นเครื่องหมายแสดงถึงดวงตาของเทพเจ้าโฮรัส (Horus) หรือ จูปีเตอร์ (Jupiter) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการบำบัดรักษาโรคของโรมัน
ที่มา:wikipedia
11. ทำไมฝนจึงตกเป็นเม็ด
ฝน (rain) เป็นรูปแบบหนึ่งของการตกลงมาจากฟ้าของน้ำ นอกจากฝนแล้วยังมีการตกลงมาในรูป หิมะ เกล็ดน้ำแข็ง ลูกเห็บ น้ำค้าง. ฝนนั้นอยู่ในรูปหยดน้ำซึ่งตกลงมายังพื้นผิวโลกจากเมฆ. ฝนบางส่วนนั้นระเหยกลายเป็นไอก่อนตกลงมาถึงผิวโลก ฝนชนิดนี้เรียกว่า "virga"
ฝนที่ตกลงมานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวัฏจักรของอุทกวิทยา ซึ่งน้ำจากผิวน้ำในมหาสมุทรระเหยกลายเป็นไอ ควบแน่นเป็นละอองน้ำในอากาศ ซึ่งรวมตัวกันเป็นเมฆ และในที่สุดตกลงมาเป็นฝน ไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง ไปสู่ทะเล มหาสมุทร และวนเวียนเช่นนี้เป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด
ปริมาณน้ำฝนนั้นวัดโดยใช้ มาตรวัดน้ำฝน โดยเป็นการวัดความลึกของน้ำที่ตกลงมาสะสมบนพื้นผิวเรียบ สามารถวัดได้ละเอียดถึง 0.25 มิลลิเมตร หรือ 0.01 นิ้ว บางครั้งใช้หน่วย ลิตรต่อตารางเมตร (1 L/m² = 1 mm)
หยาดน้ำฝนนั้น ในการ์ตูนมักจะถูกวาดเป็นรูปหยาดน้ำตา คือ ก้นกลมและปลายบนแหลม ซึ่งไม่ถูกต้องในความเป็นจริง หยาดฝนเม็ดเล็กนั้นจะมีรูปเกือบเป็นทรงกลม ส่วนเม็ดฝนที่ใหญ่ขึ้นก็จะมีรูปร่างที่ค่อนข้างแบนคล้ายขนมปังแฮมเบอเกอร์ ส่วนเม็ดที่ใหญ่มากๆนั้นจะมีรูปร่างคล้ายร่มชูชีพ โดยเฉลี่ยแล้วเม็ดฝนนั้นจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ถึง 2 มิลลิเมตร เม็ดฝนที่ใหญ๋ที่สุดที่ตกลงถึงผิวโลกนั้น ตกที่ ประเทศบราซิล และ เกาะมาร์แชล ในปี ค.ศ. 2004 โดยมีขนาดใหญ่ถึง 10 มิลลิเมตร ขนาดใหญ่ของเม็ดฝนนี้เนื่องมาจากละอองน้ำในอากาศที่มีขนาดใหญ่ หรือ จากการรวมตัวกันของเม็ดฝนหลายเม็ด เนื่องมาจากความหนาแน่นฝนที่ตกลงมา
โดยปกติแล้ว ฝนจะมีค่า pH ต่ำกว่า 6 เล็กน้อย เนื่องมาจากการรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเข้ามาซึ่งทำให้ส่งผลเป็นกรดคาร์บอนิก ในพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายนั้นฝุ่นในอากาศจะมีปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนตสูง ซึ่งส่งผลต่อต้านความเป็นกรด ทำให้ฝนนั้นมีค่าเป็นกลาง หรือ แม้กระทั่งเป็นเบส ฝนที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.6 นั้นถึอว่าเป็น ฝนกรด (acid rain)
ที่มา: wikipedia
12. ทำไมจึงเห็นน้ำทะเลเป็นสีฟ้า
1. น้ำทะเลสะท้อนแสงจากท้องฟ้า ซึ่งมีสีฟ้า และจะเห็นว่า ถ้าวันไหนเมฆเยอะ ทะเลจะสีไม่ฟ้ามากนัก
2. น้ำทะเลเองก็กระเจิงแสงในทำนองเดียวกับท้องฟ้า ซึ่งเมื่อแสงกระเจิงจากอนุภาคที่ขนาดเล็กกว่าความยาวคลื่น แสงสีน้ำเงินซึ่งความยาวคลื่นต่ำจะกระเจิงได้ดีที่สุด ในขณะที่แสงสีแดงซึ่งความยาวคลื่นมากจะกระเจิงได้น้อย ทำให้เมื่อลงไปอยู่ในน้ำทะเล ก็ยังคงเห็นน้ำเป็นสีฟ้า เพราะแสงสีน้ำเงินกระเจิงเข้าตามากที่สุดนั่นเอง
โดย ดร.ไซมอน บ็อกซอลล์ แห่งสถาบัน National Oceanography Centre ในเซาธ์แฮมตัน อธิบายว่า คลอโรฟิลล์จะดูดซับสีน้ำเงินและสีแดงจากคลื่นแสง และสะท้อนสีเขียวออกมาซึ่งก็คือสิ่งที่เราเห็นนั่นเอง ฉะนั้น ในที่ซึ่งน้ำทะเลอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไฟโตแพลงก์ตอน และแสงสีน้ำเงินถูกดูดซึมไปเป็นส่วนใหญ่ เราจึงจะเห็นน้ำทะเลเป็นสีเขียว แต่ในที่ซึ่งมีไฟโตแพลงก์ตอนน้อยกว่า และแสงสีน้ำเงินไม่ได้ถูกดูดซับไปจนหมด ทะเลจึงดูเป็นสีน้ำเงินอย่างที่เราเห็นนั่นแหละ
ขอบคุณเนื้อเรื่องทั้งหมดที่รวมไว้ให้อ่านจาก teenee.com
ความคิดเห็น
ต่อไปนี้เวลาใครถามก็จะได้ตอบเค้าได้