ตำนานของกล่องแพนโดรา (Pandora box) นั้นเป็นตำนานที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตำนานการสร้างโลกของกรีกโบราณ  โดยมีเรื่องเล่าว่า  ในสมัยที่โลกเพิ่งถือกำเนิดมาใหม่ๆ นั้น  สิ่งมีชีวิตทุกอย่างยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร  จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งเทพเอรอส (Eros)  เห็นว่าควรมอบสิ่งที่เรียกว่าสัญชาติญาณและลักษณะเฉพาะพิเศษให้แก่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเพื่อยังชีพและอยู่อย่างมีความสุข    จากนั้นเทพเอรอสก็เรียกตัว โพรมิเทียส (Prometheus) กับ เอพิเทียส (Epitheus) สองพี่น้องมาช่วยงานในโครงการมอบจิตสำนึกและคุณลักษณะเฉพาะให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  และวางแผนจะสร้างสิ่งมีชีวิตที่พิเศษที่สุดนั่นก็คือ “มนุษย์” ขึ้นมา  เพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
    โพรมิเทียสและเอพิเทียสได้เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างพร้อมสรรพ  แต่ด้วยความสะเพร่าทั้งสองพี่น้องเผลอมอบสิ่งดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้แก่สัตว์อื่นๆ จนหมด  โดยไม่หลงเหลือให้กับมนุษย์  ดังนั้นโพรมิเทียสและเอพิเทียสจึงปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากดินเหนียวเพื่อเป็นการแก้ปัญหา  โดยใช้ลักษณะของเทพเจ้าเป็นแบบ    จากนั้นเทพเอรอสก็ได้ประทานลมหายใจแห่งการมีชีวิตให้กับมนุษย์ไว้ที่จมูก  เทพมิเนอร์วา หรือ พัลลาส์ (Minerva -  Pallas หรืออีกชื่อที่รู้จักกันดีคือ เอเธน่า Athena) ได้ประทานสิ่งที่เรียกว่าดวงวิญญาณ  มนุษย์จึงสามารถเคลื่อนไหวและมีชีวิตได้   
    โพรมิเทียสรู้สึกภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก  เขาคอยเฝ้าติดตามดูผลงานชิ้นนี้จนกระทั่งเขาได้มอบพลังอันยิ่งใหญ่บางส่วนของเขาให้แก่มนุษย์โดยไม่สนใจสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลก  การกระทำนี้ทำให้มนุษย์มีอายุขัยมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
    เท่านั้นยังไม่พอโพรมิเทียสยังคิดที่จะมอบไฟให้แก่มนุษย์อีกด้วย  แต่ไฟเป็นสมบัติแห่งเทพ  มนุษย์ไม่มีสิทธ์ได้ไว้ในครอบครอง  และตัวโพรมีเทียสเองก็รู้ว่าเทพทั้งหลายก็คงจะไม่ยินยอมมอบไฟให้แก่มนุษย์เป็นแน่  เขาจึงตัดสินใจขโมยไฟลงจากสวรรค์เพื่อนำไปมอบให้กับมนุษย์    ซึ่งตัวโพรมิเทียสเองก็ใคร่ครวญแล้วว่าการกระทำเช่นนี้คงจะสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าทวยเทพอย่างแน่นอนและนั่นยังอาจหมายถึงชีวิตของเขาอีกด้วย  แต่เขาก็ยังดึงดันจะทำ  โดยในคืนหนึ่ง  โพรมีเทียสก็ได้เริ่มแผนการที่วางเอาไว้  เขาแอบขึ้นไปที่เขาโอลิมปัสแล้วลอบเข้าไปในที่พักอาศัยของเหล่าเทพ  จากนั้นก็ฉวยเอาคบเพลิงซ่อนเอาไว้ในอกเสื้อ  แล้วก็ลอบลงมาที่โลกมนุษย์แล้วก็มอบไฟที่ขโมยมาให้กับมนุษย์ที่เขาสร้างขึ้นเองกับมือ  ซึ่งไฟนั้นต่อมาก็สร้างคุณประโยชน์มากมายให้แก่มนุษย์
    ต่อมาเมื่อเทพซุส หรือ ซีอุส (Zeus)  ผู้เป็นประธานใหญ่ของเหล่าทวยเทพสังเกตเห็นแสงไฟที่ไม่ควรจะมีในโลกมนุษย์จากบัลลังก์บนยอดเขาโอลิมปัสก็ให้นึกสงสัย  จึงเร่งสืบให้รู้ถึงที่มาของแสงไฟนั้น  แล้วก็พบว่าเป็นไฟที่ถูกขโมยลงไปจากสวรรค์  ก็ทำให้พิโรธอย่างหนัก  แม้แต่เทพองค์อื่นๆ ก็พากันหวาดกลัวไปด้วย  เทพซุสตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องจับตัวโพรมิเทียสมาลงโทษให้สาสม  โดยโพรมิเทียสถูกเทพซุสจับตัวไปทรมานที่แถบเทือกเขาคอเคเซียน (Caucasian)  จากนั้นก็ล่ามตัวโพรมิเทียสที่โขดหินสูงแห่งหนึ่ง  แล้วให้อดข้าวอดน้ำ  แถมด้วยการใช้ให้นกแร้งมาคอยฉีกทึ้งตับของโพรมีเทียสให้ได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส  พอตกค่ำเมื่อนกแร้งหลับแล้ว  แผลของโพรมิเทียสก็จะบรรเทาจากอาการเจ็บปวด  และรุ่งเช้าของวันใหม่จึงเริ่มต้นการทรมานอันแสนทารุณไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้โดยไม่มีวันจบสิ้น    แม้มนุษย์จะตายไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังคงสรรเสริญคุณความดีของโพรมิเทียสตลอดมา  จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ  เฮอร์คิวลีส ผู้ซึ่งเป็นบุตรของเทพซุสก็ผ่านมาที่เกาะนี้และช่วยปลดปล่อยให้โพรมิเทียสเป็นอิสระในเวลาต่อมา
    ซึ่งถ้าใครเคยอ่านหนังสือตำนานกรีก-โรมัน ฉบับสมบูรณ์ของคุณมาลัยแล้วจะพบว่าตำนานที่ la plume นำมาเล่าสู่กันฟังนั้นจะมีความแตกต่างกันตรงที่สาเหตุที่ทำให้มหาเทพซุสโกรธนั้นก็เป็นเพราะว่ามนุษย์มีความเหิมเกริมและท้าทายต่ออำนาจของเทพมากขึ้น  ซึ่งทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเทพและมนุษย์ในเรื่องการเซ่นสังเวยต่อเทพเจ้า  โดยโพมิเทียสเลือกที่จะเข้าข้างมนุษย์โดยทำกลอุบายลวงตาของมหาเทพซะ    โดยแบ่งวัวเครื่องเส้นออกเป็น 2 ส่วน  เอาส่วนที่กินได้คือเนื้อและเครื่องในซ่อนไว้ในห่อหนังแล้วก็เอาพังผืดเส้นเอ็นคลุมทับเอาไว้  ส่วนอีกส่วนหนึ่งเอากระดูกมากองรวมกันแล้วก็คลุมทับด้วยส่วนที่คล้ายมันเพื่อให้สวยงาม  แล้วมหาเทพก็เลือกส่วนที่ดูสวยงาม  แต่พอทรงเปิดออกมาพบกองกระดูกก็พิโรธหนักจึงได้ริบเอาไฟของมนุษย์ไป  ซึ่งต่อมาภายหลังโพรมิเทียสก็ลักลอบนำไฟลงไปให้มนุษย์อีก  จึงทำให้มหาเทพยิ่งเดือดสุดๆ  และจับโพรมิเทียสมาทรมานอย่างที่กล่าวไปแล้ว
    ด้านเทพซุสแม้จะได้กระทำการลงโทษโพรมิเซียสแล้วก็ยังไม่พอใจ  ความโกรธแค้นที่มีต่อมนุษย์ยังครุกรุ่นอยู่  มหาเทพจึงเรียกประชุมสภาเทพเพื่อสร้างมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาหวังจะแก้เผ็ดพวกมนุษย์  มนุษย์สาวที่บรรดาเทพช่วยกันสร้างขึ้นนั้นมีลักษณะที่งดงามตรึงตาตรึงใจ  เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนของหญิงสาว  อีกทั้งยังมีเสียงที่หวานไพเราะจับใจ  และตั้งชื่อให้เธอว่า “แพนโดรา” (Pandora) ที่แปลว่าของขวัญจากทวยเทพ  จากนั้นก็ส่งให้เทพเมอร์คิวรี่นำเธอไปส่งให้โพรมิเทียสโดยบอกว่าเป็นของกำนัลจากเทพทั้งหลาย  ซึ่งโพรมิเทียสก็พอจะเดาอะไรๆ ได้  จึงปฏิเสธที่จะรับของขวัญพิเศษชิ้นนี้ไว้  และยังกำชับเตือนเอพิเทียสผู้น้องให้อย่ารับแพนโดราอีกด้วย  แต่ก็ไม่เป็นผล  เพราะเอพิเทียสเกิดรักแรกพบทันทีที่ได้เห็นแพนโดรา  และไม่เชื่อว่าสาวงามขนาดนี้จะนำความไม่ดีมาสู่ตนได้  จึงรับแพนโดราไว้เป็นภรรยาของตน
    ซึ่งในตอนที่แพนโดราลงมาจากสวรรค์นั้นมหาเทพก็ประทานกล่องที่สวยงามวิจิตรมาใบหนึ่งโดยทรงกำชับเธอว่าห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด  โดยเทพีเฮรา (Hera-เป็นมเหสีเอก หรือ ภรรยาหลวงของเทพซุสนั่นเอง) ก็ได้แอบแกล้งมากระซิบถามแพนโดราให้เธอนึกสงสัยซะอย่างนั้น  วันเวลาผ่านไปแพนโดราก็ยังไม่คลายจากความสงสัยในกล่องใบนั้นและพยายามรบเร้าให้เอพิเทียสเปิดกล่องซึ่งแน่นอนว่าเอพิเทียสไม่เห็นด้วย  จนกระทั่งวันหนึ่งเอมิเทียสไม่อยู่บ้านเธอจึงจ้องมองที่กล่องใบนั้นด้วยความกระสับกระส่าย  ในใจว้าวุ่นด้วยความลังเลว่าจะเปิดกล่องดีไม่เปิดกล่องดี  แต่แล้วความสงสัยก็เป็นฝ่ายชนะเมื่อมือของเธอเริ่มปลดสลักที่กล่องออก  แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความลังเล  จนกระทั่งสลักชิ้นสุดท้ายได้เลื่อนออกจากกล่อง  ฝาก็เปิดออกพร้อมลมและควันสีดำก็โพยพุ่งออกมาจากกล่อง  ด้วยความแรงของระเบิดทำให้เธอลงไปนอนกองอยู่บนพื้น  แล้วควันเหล่านั้นก็ทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้ม  อุณหภูมิเริ่มเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที  ซึ่งสิ่งที่หลุดออกมาจากกล่องนั้นก็คือความทุกข์  โรคภัยไข้เจ็บ  ความอดอยาก  ความผิดหวัง  ความชั่วร้ายและปีศาจต่างๆ นั่นเอง  เมื่อเอพิเทียสกลับมาถึงบ้านก็พบว่าแพนโดรากำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้ากล่องหายนะใบนั้นก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวทันที  แต่เขาก็เหลือบไปเห็นสิ่งสุดท้ายที่ถูกเก็บไว้ในกล่อง  มันมีลักษณะเหมือนภูตที่มีลักษณะสว่าง  ซึ่งเรียกว่า “ความหวัง” (Hope) ได้อ้อนวอนขอให้แพนโดราช่วยปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระ  แต่เธอก็ปฏิเสธเนื่องจากเธอไม่อยากจะทำผิดซ้ำสอง  แต่ “ความหวัง” ก็ยังอ้อนวอนขอให้ปล่อยเธอออกมาจนได้  ซึ่งเจ้าความหวังนี้ก็คือความเวทนาที่เทพมีต่อมนุษย์โดยเหลือทิ้งไว้ให้ก้นกล่องใบนั้นนั่นเอง
แต่บางตำนานก็เล่าว่ากล่องแห่งความหายนะนั่นแพนโดราไม่ใช่คนถือลงมา  แต่เป็นเทพแห่งการสื่อสาร  เมอร์คิวรี่แกล้งทำทีแบกกล่องใบใหญ่มาฝากไว้ที่บ้านของเอพิเทียส  โดยกำชับว่าห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด  ฝ่ายแพนโดราเมื่อเห็นกล่องก็อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในจึงอ้อนวอนให้เอพิเทียสช่วยเปิดกล่องออกดูของข้างใน  แต่เขาก็ปฏิเสธ  จนกระทั่งวันหนึ่งเอพิเทียสออกไปพบเพื่อนทิ้งให้แพนโดราอยู่บ้านคนเดียว    จึงเป็นโอกาสของแพนโดราที่จะได้ทำสิ่งที่อยากจะทำ  เธอเข้ามาใกล้กล่องใบนั้นและสังเกตว่าตัวกล่องทำจากไม้เนื้อสีดำ  ฝามีการแกะสลักอย่างประณีต  รอบๆ กล่องประดับด้วยขดด้ายสีทองที่ส่องประกายเรืองรอง    เมื่อความอยากรู้มันมีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ เธอจึงแอบเปิดกล่องออกดู  ซึ่งในระหว่างที่เธอกำลังทำการปลดล็อคเธอก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบอะไรบางอย่างออกมาจากกล่อง  เสียงนั้นเรียกร้องขอความเป็นอิสระ  ซึ่งทำให้เธอลังเลว่าเธอควรจะเปิดออกดูดีมั้ย  แต่สุดท้ายแพนโดราก็แพ้ใจตัวเอง  เมื่อฝากล่องถูกเปิดออก  โรคภัยไข้เจ็บ  ความทุกข์  ความเศร้า  สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ก็ตรงเข้าเล่นงานมนุษย์  มีฝูงแมลงที่มีปีกสีน้ำตาลคล้ายฝูงผีเสื้อราตรีตรงเข้าโจมตีแพนโดราและเอพิเทียสที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน  จากนั้นพวกแมลงก็บินหนีออกไปทางประตูและหน้าต่าง
    เอพิเทียสกับแพนโดราไม่เคยเจอกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน    ทั้งเจ็บปวด  โกรธเกรี้ยวและสิ้นหวัง  มันทำให้ทั้งเอพิเทียสและแพนโดราต่างคร่ำครวญร้องไห้เป็นครั้งแรกในชีวิต  เอพิเทียสรู้สึกโกรธเคืองในความโง่เขลาของภรรยาของตนมาก  แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดังออกมาจากกล่องเจ้ากรรม    เสียงนั้นขอให้ช่วยปลดปล่อยมันออกไปโดยมันสัญญาว่าจะรักษาแผลตามตัวคนทั้งสองให้โดยแลกกับความเป็นอิสระของมัน  แพนโดราจึงตัดสินใจเปิดกล่องนี้ออกมาอีกครั้งหนึ่งและก็ได้พบกับสิ่งที่เหลืออยู่ก้นกล่อง  นั่นก็คือ “ความหวัง”  จากนั้นความหวังก็รักษาแผลให้แพนโดราและเอพิเทียส  แล้วก็รีบบินออกไปเพื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายพร้อมทั้งช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000
เอกสารประกอบ (อ้างอิง)
- ตำนานกรีก-โรมัน ฉบับสมบูรณ์  ของคุณมาลัย
-www.uwm.edu/People/erm/myth/pages/story/html
-http://www.physics.hku.hk/~tboyce/ss/topics/prometheus.html
และต่างๆ อีกมากมายใน google
000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000
แก้คำผิดเมื่อวันที่ 3/1/49
000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000
อาจจะช้าไปหน่อยกับคำว่า Happy New Year นะคะ  ความจริง la plume ก็อยากจะลงเรื่องนี้เสร็จก่อนวันที่ 1 เหมือนกันเพื่อเป็นของขวัญให้กับผู้อ่าน  แต่อย่างว่าแหละ  ทำไม่ทัน  เหอๆๆๆ
ปกติแล้ว la plume ตั้งใจจะลงแต่พวกสัตว์วิเศษในตำนาน  แต่ครั้งนี้หยวนให้เพราะมีคนอยากจะอ่านเรื่องแพนโดรา  แล้ว la plume ก็เห็นว่ามันเหมาะกับเทศกาลปีใหม่ดี  แม้ว่าความหมายของกล่องใบนี้ก็จะนำความไม่ดีมาสู่มนุษยชาติก็ตาม  แต่อย่างน้อยก้นกล่องใบนี้ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า \"ความหวัง\" หลงเหลืออยู่นะ  หึหึ 
เอาเป็นว่า la plume ขอลัดเรื่องนี้ให้เป็นพิเศษก็แล้วกัน  แล้วจะพยายามทยอยอัพต่อไป    ซึ่งเรื่องที่ la plume กำลังหาข้อมูลและคาดว่าจะลงเร็วๆ นี้ก็คือ เพกาซัส  และตามมาด้วยเซนทอร์ 
ปล.หลายๆ ท่านคงสงสัยว่าทำไมไม่ลงเรื่องยาวไปเลย  ขอเฉลยว่าเป็นความงี่ + เง่า ของ la plume เอง  ก็ตอนแรกไม่คิดนิว่าจะเขียนมาได้เยอะขนาดนี้  เป็นเพราะกำลังใจที่ส่งมาให้ la plume น่ะแหละ ก็เลยมีสัตว์ประหลาด  เอ๊ย  สัตว์วิเศษมาเพ่นพ่านอยู่เต็มเว็บเด็กดีไปหมด
เอาเป็นว่าขอบคุณหลายๆ ค่ะ
สำหรับผลงานเรื่องอื่นๆ ของ la plume
หมวดความรู้
1. ว่ากันด้วยเรื่องของมังกร
2. ยูนิคอร์น Unicorn
3. ตำนานนกฟินิกซ์
4. ฮิปโปกริฟ-กริฟฟิน
5. แพนโดรา  Pandora Box
หมวดเรื่องสั้นอ่านเล่นๆ
1. ฟิคหัวขโมยบารามอส ตอน Dream
2. ฟิคหัวขโมยบารามอส ตอน ตำนานรักดอกทานตะวัน
หมวดเรื่องยาว
1. ฟิคหัวขโมยบารามอส ตอน เรื่องสนุกของเฟริน 
2. Amdis
แล้วเจอกันใหม่ค่ะ  Au revoire!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น