ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 8

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 459
      23
      13 เม.ย. 65

     

     
               "...ฉันคิดว่าพวกเขาไปกันหมดแล้ว"
     
               ฉันชะเง้อคอออกจากพุ่มไม้ มองออกไปที่ริมทางเท้าสว่างในยามค่ำคืน   เห็นปากทางเข้าสวนสัตว์ลอนดอนห่างไปไม่ไกล ร้านค้าสองข้างทางสว่าง คนเดินริมทางเท้า และความมืดมิดภายในสวนสาธารณะที่เราแอบกระโดดเข้ามา
     
               ชอว์นชะโงกหัวมองตาม "คุณแน่ใจนะ"
     
               "ค่ะ พวกเขาออกจากซอยไปแล้ว" ฉันว่าระหว่างค่อยๆลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ปัดเศษหญ้าที่เกาะติดตามเสื้อออกทีละนิด จากนั้นหันไปมองสวนด้านหลังที่มืดสนิท  อากาศรอบตัวชื้น อาจเพราะฝนพึ่งหยุดตกไปเมื่อเช้า และเราอยู่บริเวณพื้นดินมีต้นไม้ล้อมรอบ
     
               "แน่นะ" เขาถามอีกครั้ง
     
               "ปาปารัสซี่ไม่อยู่ที่เดิมนานเกินสิบนาทีมั้งคะ" ฉันกลอกตา
     
              หลังจากที่เราออกจากสถานีชานเซอรีเลน ปาปารัสซี่เป็นขโยงก็โผล่มาสาดแฟลชใส่หน้าชอว์น  อาจเพราะที่หัวมุมถนนใกล้กับสถานีรถไฟมีนางแบบจากอเมริกาแวะเวียนอยู่ที่นั่นพอดี  ช่างเป็นเหตุบังเอิญอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้  สุดท้ายฉันก็เลยโดนชอว์นลากไปตามทาง กระโดดข้ามรั้วเหล็กดัดเตี้ยๆและเข้ามาหลบอยู่ในพุ่มไม้ของสวนสาธารณะ
     
              "ฉันว่าเราควรรีบออกจากที่นี่ อาจมีตำรวจมาเมื่อไหร่ก็ได้"
     
              "ตำรวจจะมาทำไม"
     
              "ตำรวจออกลาดตระเวนป้องกันคนจรจัดไม่ให้มานอนอยู่ในสวนทุกคืนค่ะ และตอนนี้สวนปิด เราไม่ควรเข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก"
     
              "คุณกลัวตำรวจละสิ" ชอว์นลุกขึ้นพลางปัดเศษใบไม้ออกจากเส้นผม
     
              "ฉันไม่อยากมีชื่อในข่าวเรื่องการบุกรุกอะไรทำนองนั้น" ฉันบอก เดินลัดเลาะไปตามทางข้างหน้าเพื่อกลับไปหาขอบรั้วเหล็กดัด  จำได้ว่าเมื่อตอนปีนเข้ามาดูง่ายดาย หรืออาจเพราะตอนนั้นอะดรีนาลีนกำลังสูบฉีดไหลเวียนอยู่
     
             ฉันรีบเดินเข้าไปในดงไม้เมื่อพบชายคนหนึ่งเดินผ่านตรงริมทางเท้าด้านหน้า กล้องถ่ายรูปที่คล้องคอทำให้รู้ว่าเป็นหนึ่งในปาปารัสซี่  ตั้งใจจะไม่เสียงดัง แต่กลับอุทานดังลั่นเมื่อแมงป่องกระโดดและสยายปีกกลายร่างเป็นนก
     
             มือหนึ่งเอื้อมมาปิดปากจากด้านหลัง "โอ้ย! อะไร!" ชอว์นกระซิบข้างหูน้ำเสียงตกใจ ลมหายใจของเขาอุ่นรดต้นคอทำเสียววาบ
     
             "แมงป่อง..."
     
             "นั่นมันนกพิราบต่างหากล่ะ" คนข้างหลังย้อน
     
             ฉันจับมือหนาของชอว์นที่ปิดปากหลวมๆอยู่ออก หันไปมองเค้าลางใบหน้าของชอว์นที่แทบมองไม่เห็นเพราะความมืด จำไม่ได้ว่าตั้งใจจะพูดอะไร จึงหันหลังและออกเดินอย่างระมัดระวังต่ออีกครั้ง
     
             ไม่กี่นาทีเราก็ปีนข้ามออกจากรั้วเหล็กมาอยู่ริมทางเท้าต่อ  บริเวณที่อยู่คือแถวคัมเบอร์แลนด์ คฤหาสน์ใหญ่ตั้งอยู่รอบสวน เห็นวินฟิลด์เฮ้าส์ซึ่งเป็นที่พำนักของทูตอเมริกันตั้งอยู่  ด้านเหนือสวน ถัดจากสวนสัตว์และถนนอัลเบิร์ตเป็นที่ตั้งของเนินเขาพริมโรสฮิลล์และย่านเซนต์จอห์นสวู้ด
     
             "เอาล่ะ" ชอว์นพูดทำลายความเงียบ "เราควรเดินต่อหรือหาแท็กซี่"
     
             "ฉันไม่เห็นแท็กซี่ตั้งแต่มาอยู่ในถนนนี้" ฉันสอดมือเข้าในกระเป๋าเสื้อโค้ตและมองไปรอบๆอย่างคนหมดหนทาง  ยังไม่เคยคิดจริงจังว่าอยากไปส่วนไหนในลอนดอน เมื่อมีโอกาสได้เดินเที่ยวจึงคิดอะไรไม่ค่อยออก
     
             "คุณเลือดออก" ชอว์นโพล่งขึ้น น้ำเสียงดูตกอกตกใจระหว่างก้มลงมองขาของฉัน
     
             ความเจ็บไม่ได้แจ้งเตือนให้รู้ว่ามีแผลตั้งแต่ที่เข้าไปหลบอยู่ในพุ่มไม้ อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกเจ็บสักนิด จนกระทั่งมีคนชี้ให้เห็นเลือดที่ไหลเป็นทางบริเวณขาใกล้กับตาตุ่ม กางเกงยีนส์ที่สวมอยู่ปลายขาดลุ่ย เลือดสีแดงซึมบริเวณเนื้อผ้า
     
             "โอ้ - อาจเกิดตอนที่รีบปีนรั้ว" ฉันหันกลับไปมองรั้วเหล็กดัดสีดำด้านหลัง  ยอดเหล็กมีปลายแหลมเหมือนป้องกันคนปีนข้ามโดยเฉพาะ
     
             "คุณต้องทำแผล" คนข้างๆพูด เขาก้มลงมองแผลที่ขาข้างซ้ายฉันอีกรอบ
     
             "กลับถึงที่พักค่อยทำค่ะ"
     
             "มิส นั่นมันแผลทางยาวเชียวนะ คุณไม่กลัวเสียเลือดตายก่อนรึไง"
     
             "ฉันไม่เสียเลือดตายเพราะแผลแค่นี้มั้งคะ" ฉันย้อนกลับ ถกขากางเกงยีนส์เช็คสภาพรอยแผลอีกครั้ง   มันเป็นแผลใหญ่กว่าที่คาดไว้เล็กน้อย เลือดเริ่มซึมออกทีละนิด ความเจ็บแผ่ซ่านเมื่อขยับขาทรงตัว
     
             "ให้ตายสิ" ชอว์นถอนหายใจ  เขามองไปรอบตัวเหมือนไม่อยากจะรีบไปที่ไหนในเร็วๆนี้  สายตาหันไปมองบ้านริมทางสไตล์อังกฤษ จ้องมองมันครู่หนึ่งเหมือนคิดอะไรออก จากนั้นจึงหันมามองฉันอีกรอบ "มากับผม"
     
             "เราจะไปไหนคะ"
     
             "แค่ตามมา"
     
             ชอว์นเริ่มออกเดินนำข้ามถนนไปที่อีกฟาก บริเวณที่มีบ้านหลายหลังตั้งเรียงราย มันคล้ายบรู้คลินในแบบฉบับของอังกฤษ ประตูรั้วเป็นเหล็กดัดคล้ายสวนเมื่อครู่  บางหลังมืดสนิท ส่วนบางหลังยังเปิดไฟสว่าง  ที่นี่ชวนให้นึกถึงบ้านในหนังเรื่องแฮร์รี่ พ็อตเตอร์
     
             "เราจะไปไหนคะ" ฉันถามย้ำอีกรอบเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าคนตรงหน้าจะหยุดเดิน  เขาพามาจนเกือบสุดทาง รอบตัวเริ่มมืดลงทีละนิดเมื่อมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟริมถนน
     
             "ต้องทำแผลให้คุณ" ชอว์นเดินไปดึงประตูเหล็กดัดของบ้านตรงหน้าสุดแรง เขาดูหงุดหงิดเมื่อเปิดไม่ออก  แต่เพราะคนขายาวกระโดดข้ามไปได้จึงไม่ใช่ปัญหา "ตามมาเร็ว" เขาบอกเมื่อข้ามไปอยู่อีกฟากได้สำเร็จ
     
             "นี่คุณบุกบ้านหลังที่สองตั้งแต่ที่ฉันรู้จักคุณมาแล้วนะ"
     
             "ก็เหตุจำเป็นทั้งสองครั้งไม่ใช่รึไง" คนตรงหน้าเร่ง "เข้ามาเร็ว ทำแผลเสร็จแล้วเราจะรีบออกไป บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่"
     
             "คุณรู้ได้ยังไงคะว่าไม่มีคนอยู่"
     
             "ดูไปรษณีย์สิ" ชอว์นชี้ไปที่ไปรษณีย์หน้าบ้าน "มีจดหมายส่งมาเป็นปึก ไม่มีคนคอยเช็คมัน"
     
             "แต่ฉันไม่--"
     
             ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบ ร่างสูงตรงหน้าก็เริ่มถอนหายใจดังลั่นและปีนรั้วออกมาอีกครั้ง  เขาเดินเข้ามาใกล้ชนิดที่ว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว บวกกับขาที่เริ่มปวดตุบๆทำให้ถอยหนีไม่ทัน จนสุดท้ายร่างก็ถูกยกขึ้นเหมือนกระสอบทราย
     
             "What the hell are you doing?!" ฉันร้องลั่น เริ่มดิ้นไปมาอยู่บนไหล่ข้างขวาของชอว์น เมนเดส  ถ้าอีกฝ่ายตัวเล็กกว่านี้อาจดิ้นจนหลุด แต่เพราะชอว์นสูงกว่า นี่จึงเป็นเรื่องแย่ "ปล่อยฉันนะ ฉันจะไม่บุกรุกบ้านคนอื่น!"
     
             "อยากตายเพราะเสียเลือดรึไง แค่ตามๆมา รีบเข้าแล้วก็รีบออก ทำไมจะต้องคิดมากด้วย" ชอว์นบ่นพึมพำระหว่างปีนข้ามรั้วและขึ้นบันไดห้าขั้นไปหาประตูบ้าน  เขาสบถบางอย่างที่ฉันไม่ได้ตั้งใจฟัง จากนั้นจึงเดินลงบันไดและอ้อมไปหลังบ้านแทน
     
             "ฉันจะออก" ฉันพูดเมื่อเราเข้ามาภายในบ้านประมาณห้าวินาที  ประตูหลังบ้านถูกเปิดอ้าทิ้งไว้เมื่อชอว์นเดินเข้ามา  แต่เมื่อจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ปลายเสื้อโค้ตก็ถูกดึงไว้เต็มแรง
     
             "บอกให้นั่งอยู่เฉยๆได้ยินมั้ยสเตฟฟี่ อย่าทำตัวเป็นเด็ก"
     
             "ต้องให้บอกอีกรอบมั้ยคะว่าฉันอายุเยอะกว่าคุณ และตอนนี้คุณต่างหากที่กำลังทำตัวเป็นเด็ก" ฉันถอนหายใจเบาที่สุดเท่าที่จะบังคับตัวเองให้ทำได้ระหว่างโดนผลักให้นั่งลงบนเก้าอี้ในครัวอีกครั้ง
     
             "งั้นก็อยู่เฉยๆ รอผมทำแผลให้ แล้วเราจะออกจากที่นี่กัน" ชอว์นบอก  น้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้ฉันรู้ว่าต่อให้เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์  คนประเภทนี้ไม่ทางยอมหากตัดสินใจทำอะไรแล้ว ดังนั้นจึงเงียบปาก
     
             ชอว์นหายไปจากห้องครัวได้สักพักใหญ่ ฉันนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดของห้องครัวเล็กๆในบ้านใครสักคน พยายามเปิดไฟแต่ไม่เป็นผล  ไฟที่นี่อาจถูกตัด หรือเจ้าของบ้านก็เป็นคนรอบคอบถึงได้ปิดสวิตช์ไว้   เสียงมือถือสั่นดูดังลั่นท่ามกลางความเงียบ ฉันควักออกมาและเห็นข้อความจากบก.ที่ถามถึงเรื่องงาน  ตระหนักได้ว่านี่ชักจะเกินหน้าที่ที่ตัวเองกำลังทำ
     
             เดินเล่นกับชอว์น เมนเดสในลอนดอน บุกเข้าบ้านใครสักคนกับเขาที่ย่านคัมเบอร์แลนด์  ถ้าบก.รู้ อาชีพการงานอาจจบไม่สวยนัก
     
             "ดีใจที่ไม่เห็นคุณพยายามออกจากบ้านอีกรอบ" เสียงของชายคนเดิมดังทำลายความคิด  ชอว์นเดินกลับมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล เขาหยุดตรงหน้าฉันและนั่งลงกับพื้น
     
             ฉันไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่าการถอนหายใจ  ก้มมองชอว์นที่นั่งอยู่บนพื้นตรงหน้าด้วยความลังเลและสงสัย แบรดจะคิดยังไงหากรู้ว่าฉันใช้เวลากับชอว์นมากกว่าเขา จะคิดยังไงหากรู้ว่าเมื่อคืนฉันนอนค้างที่บ้านชอว์นในบรู้คลิน   แต่ตอนนี้เรื่องนั้นอาจไม่สำคัญ บางทีอาจไม่สำคัญอะไรอีก
     
             "ทำไมต้องจ้อง" ชอว์นถามทั้งที่ยังเปิดขวดแอลกอฮอล์ "เลิกจ้องแบบนั้นสักที ขนลุกจริง"
     
             "ขอโทษค่ะ"
     
             "ดึงปลายกางเกงขึ้นหน่อย" เขาขอก่อนจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์   ฉันทำตามที่เขาบอก เห็นเลือดเริ่มแห้งกรังในบางจุด ปลายกางเกงเป็นสีแดงเข้มปนกับสีน้ำเงินของผ้ายีนส์
     
             "คุณทำแผลเป็นด้วยเหรอคะ"
     
             "เป็นสิ ทีมงานของผมชอบเกิดอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆระหว่างจัดเวที บางคนตกขอบเวทีก็มี" ชอว์นพ่นลมออกจมูกเบาๆ เขาอาจกำลังหัวเราะ "ผมกับเพื่อนถ้ามีเวลาว่างก็ชอบไปปีนเขากัน ปีนเขากับเพื่อนเป็นอะไรที่ได้แผลเยอะกว่าที่คาด"
     
             "น่าสนุกนะคะ"
     
             ชอว์นเงยหน้าจากแผลฉัน "พูดเหมือนไม่เคยทำนะ"
     
             "ไม่ค่ะ" ฉันส่ายหัว "ฉันเคยปีนเขาเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว"
     
             "หกเจ็ดปีที่แล้ว" คนตรงหน้าทวนประโยคซ้ำด้วยน้ำเสียงออกแววประหลาดใจ "เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณ"
     
             "ฉันมีงานต้องทำค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลา"
     
             "แล้วคุณเอาเวลาออกกำลังกายจากที่ไหน"
     
             "ฉันเข้าฟิตเนสประมาณชั่วโมงครึ่ง"
     
             "คุณควรพักบ้าง หาเวลาผ่อนคลายเหมือนคนอื่นๆ"
     
             "ฉันก็พยายามอยู่ค่ะ"
     
             "งั้นก็ยังพยายามไม่มากพอ" ชอว์นเถียง "คุณเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ ไม่คิดอยากเที่ยวผ่อนคลายบ้างเหรอ ทำไมต้องทำงานตลอดเวลาด้วย"
     
             "ถ้าไม่ทำแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอาหารล่ะคะ" ฉันย้อน "ฉันอยากเก็บเงินไว้เผื่ออนาคต"
     
             "อนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคตสิ"
     
             "แต่ฉันคงไม่มีอนาคตถ้าไม่ทำงาน"
     
             "แล้วคุณคิดว่าแฟนคุณจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้เหรอ ถ้าคุณไม่มีเวลาให้เขา"
     
             "นี่มันไม่เกี่ยวกัน" ฉันเลิกคิ้วขึ้น ยกขาหนีเมื่อชอว์นแตะแผลแรงเกินไป
     
             "เกี่ยวสิ คุณจะมีความสุขได้ยังไงถ้าไม่มีเวลาให้คนรัก สุดท้ายคุณก็จะกลับมาโทษตัวเองสำหรับเรื่องทั้งหมด โทษที่ไม่มีเวลาให้เขา จนถึงตอนนั้นคุณก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว"
     
             "มันยากที่จะปล่อยงานไป เหมือนกับคุณไงคะ  ตอนนี้คุณกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ ค่าตัวคุณอาจแพงขึ้น  ก็เหมือนกับฉัน ถ้าฉันปล่อยโอกาสดีๆไปมันก็อาจจะไม่มีอีก"
     
             "ก็ใช่" ชอว์นถอนหายใจแรง เขาโยนสำลีก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะ "แต่ต้องรู้จักความพอดี รู้จักพักในระยะเวลาที่พอๆกับการทำงาน ไม่งั้นคุณจะตายก่อนได้ทำอะไรที่อยากทำจริงๆ"
     
             "ฉันคิดว่าอาจหยุดพักสักวันหนึ่งในอนาคต" ฉันพูด  เมื่อเห็นชอว์นทำหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อจึงพูดอีกครั้ง "จริงๆค่ะ อาจเป็นสองสามปีข้างหน้า"
     
             "แล้วไงต่อถ้าถึงตอนนั้น แต่งงานเหรอ"
     
             "ยังไม่รู้ค่ะ ก็คงใช่"
     
             "ทำไมต้องแต่งล่ะ คุณไม่คิดเหรอว่าชีวิตแต่งงานเป็นอะไรที่ยึดเราไว้ให้อยู่แต่ที่เดิม"
     
             "ถ้าเราแต่งงานกับคนที่รักมันก็คงไม่รู้สึกอย่างนั้นมั้งคะ"
     
             "มันก็ใช่ แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนคนนั้นคือคนที่เรารักจริงๆ  ถ้าหากวันหนึ่งคุณเจอคนที่คิดว่าใช่กว่าคนที่แต่งงานด้วยล่ะ" เขาถามน้ำเสียงจริงจัง เหยาะแอลกอฮอล์ใส่สำลีอีกก้อน "ทำไมไม่รอสักสามสิบปลายๆแล้วค่อยตัดสินใจเรื่องแต่งงาน"
     
             "ฉันคิดว่ามันนานไปหน่อย" ฉันขมวดคิ้ว "ผู้หญิงมีลูกตอนอายุมากไม่ได้"
     
             และเราก็เงียบไป   ชอว์นใช้สำลีเช็ดขาเปื้อนเลือดฉันแรงกว่าเก่า คราวนี้เหมือนหงุดหงิดที่ตัวเองเถียงอะไรไม่ออก  สุดท้ายก็ได้มานั่งเถียงกับเด็กอายุสิบแปดปี  เด็กหนุ่มที่หญิงสาวหลายคนยืนรอหน้าโรงแรมเพื่อจะส่งเสียงกรี้ดและถ่ายภาพเมื่อเห็นเขาออกมาจากประตูโรงแรม
     
             "บรรยายงานแต่งงานสุดเพอร์เฟ็คของคุณมาสิคะ" ฉันพูดต่อ
     
             ชอว์นจึงเงยหน้ามาสบตาอีกครั้ง "อะไรนะ"
     
             "งานแต่งงานที่คุณชอบไง คุณอยากให้ทุกอย่างในวันนั้นเป็นยังไง"
     
             "ผมไม่รู้" เขายักไหล่และเบ้หน้า
     
             "ของฉันต้องมีดอกไม้สีแดงเยอะๆ ต้องเป็นสถานที่เปิดโล่งลมพัดโกรก อากาศเย็นสบาย จัดงานในช่วงเช้า ชุดเจ้าสาวไม่ยาวลากพื้นด้านหลัง เค้กแต่งงานต้องเป็นเค้กช็อกโกแลต ดอกไม้ที่ถืออาจเป็นทิวลิป ถ้าตอนนั้นมีเงินอาจจ้าง Jeff Leatham มาจัดดอกไม้ในงานให้ และทั้งงานต้องมีสกอตช์ให้ดื่มเยอะๆ"
     
             ชอว์นหัวเราะ "คุณเคยบอกเรื่องนี้กับแฟนรึเปล่า"
     
            สุดท้าย ฉันก็เป็นฝ่ายที่เงียบไปแทนในคำถามนี้  ชอว์นก้มลงจัดการกับแผลต่อ คล้ายกับไม่ได้หวังว่าฉันจะตอบคำถามนั้น "ฉันยังไม่เคยบอกค่ะ"
     
             "ทำไมล่ะ"
     
             "เพราะเขาไม่เคยถาม" ฉันตอบ "ถ้าพูดมันก็จะเหมือนกับว่าฉันกำลังรอให้เขาขอแต่งงานสิคะ"
     
             "เขาไม่เคยพูดเปรยๆบ้างเหรอถึงเรื่องแต่งงาน - หมายถึง ผมเห็นคนอายุยี่สิบกลางๆปลายๆก็เริ่มจะทยอยแต่งงานกันแล้ว"
     
             "เคธี่ เพอร์รี่ยังไม่เห็นแต่งงานเลย" ฉันย้อน  พอดีกับที่ชอว์นทำแผลเสร็จและเก็บอุปกรณ์เข้ากล่อง
     
             ตอนนี้มีผ้าปิดแผลแปะตรงขาเป็นทางยาว  สำลีมีเลือดทิ้งอยู่บนโต๊ะ  ฉันรีบหยิบมันขึ้นมามัดถุงและหิ้วออกไปด้วย  คงไม่ดีหากเจ้าของบ้านกลับมาเห็นเลือดใครไม่รู้ในถังขยะบ้านตัวเอง
     
             เราปีนออกจากบ้านและเดินริมทางเท้าเงียบๆอีกครั้ง ตัดสินใจล้มเลิกการเช่าจักรยานเพราะเริ่มดึกมากแล้ว   ชอว์นขโมยผ้าพันคอจากบ้านออกมาด้วย  เขาใช้มันปิดครึ่งหน้า ท่าทางจึงดูสบายใจกว่าเดิมเมื่อเดินเข้าสู่ความวุ่นวายในเมือง เราขึ้นรถบัสลอนดอนคันใหญ่สีแดง ตัดสินใจหาของกินและนั่งอยู่บนเก้าอี้สาธารณะใกล้แม่น้ำเทมส์
     
     
     
     
             "วันนี้เป็นวันที่ดี" ชอว์นพูดระหว่างดึงกล่องพิซซ่าออกจากถุง   สุดท้ายเราจบกันที่โดมิโนพิซซ่าที่ร้านตั้งอยู่ในเมือง  ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงทีละนิด ลมเย็นพัดจนผมเข้าปาก นี่คงไม่ใช่ซีนเพอร์เฟ็คอย่างในหนัง
     
             "คุณเคยขึ้นลอนดอนอายรึเปล่าคะ" ฉันโพล่งขึ้นระหว่างมองชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านไปไม่ไกล
     
             "เคยสิ ทำไมเหรอ"
     
             "มันเป็นยังไง"
     
             "ก็ดี ขึ้นตอนเช้าผมคิดว่าวิวจะสวยกว่าตอนกลางคืน" ชอว์นบอกระหว่างยัดพิซซ่าเข้าปาก
     
             "ฉันยังไม่เคยขึ้นไปเลย"
     
             "มันก็ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษหรอก หมุนช้าๆแล้วก็ลงมา ไม่ค่อยน่าตื่นตาตื่นใจ"
     
             "พ่อฉันไม่คิดแบบคุณ ท่านบอกว่าต่อให้รอขึ้นลอนดอนอายเกินสองชั่วโมงก็จะรอ ท่านชอบลอนดอนมากกว่านิวยอร์ก"
     
             "แล้วคุณล่ะชอบที่ไหนมากกว่า"
     
             "ฉันชอบนิวยอร์ก" ฉันยักไหล่ "อยู่บ้านเกิดตัวเองรู้สึกสบายใจกว่า แต่ในอนาคตฉันอาจซื้อบ้านที่นี่ให้พ่อสักหลัง"
     
             "ดูเหมือนคุณจะรักพ่อมากนะ แล้วแม่คุณล่ะ"
     
             "แม่ไม่ได้อยู่ในวงจรชีวิตของฉันเท่าไหร่ เธอทิ้งฉันไปตั้งแต่ยังเด็ก พ่อเป็นคนเลี้ยงฉันมา และแม่พึ่งเสียเมื่อปีที่แล้ว"
     
             "เสียใจด้วย"
     
             "ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนคอยเสียอกเสียใจในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ก่อ"
     
             "ผมไม่ได้เสียอกเสียใจ แต่มันเป็นวิธีแสดงความเสียใจต่างหาก เพื่อบอกว่า ฉันเสียใจที่เธอทุกข์"
     
             "ฉันไม่ได้ทุกข์ค่ะ" ฉันพูด "ฉันมีความสุขดี ฉันมีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีอพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก มีพ่อที่รักฉันและสุขภาพร่างกายแข็งแรง"
      
             "คุณลืมพูดถึงแฟนตัวเองไปนะ" ชอว์นบอกน้ำเสียงเหน็บแนม "ผมชอบได้ยินคนมีแฟนพูดว่า 'ฉันช่างโชคดีที่มีแฟนน่ารัก' " เขาเบ้หน้า
     
             "ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดสักหน่อย" ฉันหัวเราะระหว่างมองหน้าชอว์นที่บิดเบี้ยวเพราะทำสีหน้าหมั่นไส้
     
             "รู้มั้ย คุณไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้" เขาเริ่มวิจารณ์ "ตอนแรกคิดว่าคุณอาจเหมือนพวกคนอายุสามสิบปลายๆ  แบบว่า ทำตัวแก่เกินอายุ"
     
             "ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นคะ"
     
             "ก็ดูคุณสิ เคร่งเครียดกับงาน สิบชาติกว่าจะยิ้ม ยิ้มทีดูขนลุก"
     
             "ฉันยิ้มขนลุกเหรอคะ ไม่รู้มาก่อน"
      
             "ก็บางครั้ง" ชอว์นเบ้หน้า  เขามองฉันเหมือนกำลังจะพูดว่า ยอมรับความจริงซะเถอะ "คุณได้ทำงานที่ทำเนียบขาว เคยสังเกตุบ้างมั้ยว่ามีนักข่าวอายุน้อยแค่ไม่กี่คนที่ได้ใกล้ชิดกับนักการเมืองบ่อยๆ"
     
             "เยอะแยะไปค่ะ ฉันไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน"
     
             "คุณนี่ช่างถ่อมตัว ชื่อก็มีอยู่ใน Forbes แล้ว บางทีหลงตัวเองสักนิดนึงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหรอกรู้มั้ย"
     
             ฉันเม้มปาก ครู่ต่อมากัดพิซซ่าคำสุดท้ายและปัดมือ "เอาเถอะค่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้คุณควรกลับไปพักผ่อน"
     
             "ทำไมล่ะ"
     
             "ใกล้ดึกแล้ว คุณควรได้พัก วันพรุ่งนี้มีคอนเสิร์ตแล้วหนิคะ"
     
             "อย่ารีบร้อนไป" ชอว์นนั่งไขว่ห้างสบายใจขณะมองวิวรอบตัว คล้ายกับกำลังดื่มด่ำช่วงเวลาสุดพิเศษที่นานๆครั้งจะหาได้
     
             "งั้นฉันคงต้องไปก่อน มีธุระต้องไปทำที่อื่นต่อ" ฉันพูดและลุกขึ้นยืน  หางตาเห็นชอว์นมองตาม  คิดว่าเขาจะตั้งคำถามต่อ  แต่สุดท้ายก็ผงกศีรษะรับและยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งเป็นเชิงบอกลาเท่านั้น
     
     
     
     
           ฉันเดินเข้างานเลี้ยงที่ใกล้กับพาร์คเลนในลอนดอน  เห็นชานเดอร์เลียร์หลากหลายรูปแบบห้อยอยู่บนเพดานเมื่อก้าวเข้ามา   ภายในงานค่อนข้างมืด มีเพียงไฟสีส้มอ่อนๆจากชานเดอร์เลียร์ที่ช่วยทำให้มองเห็นทางข้างหน้า เสียงพูดคุยดังจอแจรอบตัว เสียงแก้วกระทบกันดังคลอ เพลงบรรเลงคลาสสิคที่เปิดอยู่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขณะเดินไปตรงใจกลางโถงกว้าง
     
             "สเตฟานี่" ชายร่างใหญ่ผิวสีน้ำตาลเรียก ชุดสูทของเขาดูเรียบกว่าปกติ ใบหน้าดูยิ้มอย่างอึดอัด บก.ดัสตินอ้าแขนข้างหนึ่งและเรียกให้ฉันเข้าไปร่วมวง "ทุกคนครับ นี่คือสเตฟานี่ ลินเดนที่พวกเราพึ่งพูดถึงกันไป"
     
             "สวัสดีค่ะ" ฉันรีบทักทายกลุ่มชายหญิงวัยกลางคนตรงหน้า  ชุดออกงานของพวกเขาดูสวยหรูจนทำเอาฉันที่สวมแค่เสื้อผ้าสีขาวธรรมดาๆไม่มั่นใจ  ได้แต่หวังว่าชายกางเกงจะไม่โดนแผลที่ตอนนี้เลือดซึมออกจากสำลีทีละนิด
     
             "ยินดีที่ได้พบคุณ มิสลินเดน เราติดตามข่าวคุณมานาน ผลงานคุณไร้ที่ติ" ชายคนหนึ่งในวงพูด
     
             "ขอบคุณมากค่ะ มีอีกหลายอย่างที่ฉันยังต้องเรียนรู้"
     
             "สเตฟานี่มาทำข่าวที่นี่พอดีครับ เลยชวนเธอมาด้วย คิดว่าพวกคุณคงอยากพบ" บก.พูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ
     
             "คุณมาทำข่าวอะไรที่นี่ มิสลินเดน" หญิงวัยกลางคนถามต่อ
     
             "ฉันทำสารคดีของชอว์น เมนเดสอยู่ค่ะ" ฉันตอบอย่างสุภาพ
     
             และความเงียบปนความงุนงงก็บังเกิดขึ้นกับกลุ่มคนตรงหน้าทันที
     
             "ชอว์น เมนเดสเป็นนักร้องครับ เขากำลังดังในหมู่วัยรุ่นและเพลงกำลังไต่ขึ้นชาร์ตในอเมริกา" บก.ช่วยพูดเสริม
     
             "โอ้ - น่าสนใจ" หญิงคนที่ถามส่งยิ้มให้ "น่าแปลก ปกติเราจะเห็นคุณทำแต่ข่าวการเมืองกับข่าวเศรษฐกิจ"
     
             "ลองอะไรใหม่ๆก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ" ฉันยิ้มอีกครั้ง  สังเกตุได้ว่ากลุ่มชายหญิงอาวุโสตรงหน้าดูจะไม่เห็นด้วยกับคำตอบเท่าไหร่นัก   มันก็พอจะเดาเหตุผลได้อยู่
     
             "ทำไมเธอไม่ไปหาอะไรดื่มหน่อยล่ะ ยังไม่มีอะไรอยู่ในมือเธอเลย" บก.พูดตัดบท เขาส่งสายตาบอกเป็นนัยว่าต่อจากนี้เขาจะจัดการทุกอย่างต่อเอง  ฉันจึงบอกลากลุ่มคนตรงหน้าและถอยหลังเดินกลับไปที่โต๊ะยาวริมโถง
     
             มีนักข่าวจากหลายสำนักเดินวุ่นทั่วงาน มันเป็นงานพบปะของคนอาชีพเดียวกันครั้งใหญ่ในลอนดอน ช่างภาพบางคนเหมือนพึ่งเสร็จจากงานและเข้ามาในสภาพที่ดูไม่เตรียมพร้อม  มันไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่นัก เพราะพึ่งจะเข้าร้าน Zara แล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวมาเมื่อครู่นี้
     
              ฉันใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงภายในงานเลี้ยงมืดๆกับเพลงบรรเลงที่เริ่มวนซ้ำเกือบยี่สิบรอบ เจย์กับเพื่อนคนอื่นๆพึ่งตามมาถึง เราก็เลยจับกลุ่มกันคุยเล่นและหาที่นั่งริมกำแพงโถงกว้าง  ผ่านไปไม่กี่นาทีก็เริ่มมีการแสดงโชว์และเปิดลานกว้างตรงกลางให้กลายเป็นลานเต้นรำ
     
              "เธอโอเคมั้ย" เจย์ถามเมื่อเพื่อนทั้งหมดลุกจากโต๊ะไปเต้นที่พื้นเงาวับกลางโถง "ดูเดินไม่ค่อยปกตินะ เป็นอะไรรึเปล่า"
     
              "ขาเป็นแผลนิดหน่อย"
     
              "เมื่อไหร่"
     
              "เมื่อช่วงค่ำ" ฉันเหลือบตามองคนถาม "ไม่เป็นอะไรมาก ถ้านายจะถาม ฉันโอเคดี"
     
              "เธอไปไหนมาเมื่อค่ำ ฉันไปเคาะประตูแล้วไม่มีคนมาเปิด" เจย์ถามต่อ เขากระดกโซดาอึกใหญ่ไปพลางๆ
     
              "ฉันไม่อยู่ ออกไปเดินเล่นมา วันนี้อากาศดี ฝนก็ไม่ตก"
     
              "มันไม่เห็นจะพิเศษเท่าไหร่" เจย์เอนหลังพิงพนักโซฟา "ฉันคิดว่าน่าจะนอนพักหลังจากพึ่งบินมาถึงลอนดอนเมื่อเช้า เธอไม่เหนื่อยบ้างเหรอ"
     
              "ไม่เหนื่อยขนาดที่จะปฏิเสธการเดินเล่นในลอนดอน" ฉันบอกระหว่างโบกมือให้เพื่อนๆที่หันมามองบนลานเต้นรำ
     
              "ฉันได้ข้อความจากเพื่อนเธอ เบคก้า" เจย์รีบหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกง "ถามว่าเธอเป็นไงบ้าง แล้วทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์สักที"
     
              "แค่บอกไปว่าฉันไม่ว่าง"
     
              "เอาจริงๆ สเตฟ นี่มันเรื่องอะไรกัน ปกติเธอไม่เคยทะเลาะกับใครแบบนี้ แล้วนี่ก็เพื่อนสนิทเธอ เกิดอะไรขึ้น"
     
              "มันไม่มีอะไร" ฉันวางแก้วแชมเปญแล้วหันไปมองชายผมสีดำ "ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ แต่ฉันแค่ต้องการเวลา"
     
              "แล้วเธอจะทำยังไง ปล่อยให้เบคก้าโทรตื้อตลอดเวลาที่เราบินไปมาทั่วยุโรปรึไง" เขาจี้ถามต่อ "เธอไม่มีทางหนีพ้น สักวันเธอจะหมดความอดทนและต้องรับโทรศัพท์อยู่ดี ทำไมไม่รีบทำซะตอนนี้"
     
              "นายเข้าใจประโยคที่ว่า ฉันไม่พร้อม ใช่มั้ย" ฉันค้านเสียงแข็ง "ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้  และไม่ได้หนี ไม่เคยหนีอะไรอย่างที่นายคิด แต่เมื่อมันถึงจุดที่หมดความอดทน นายไม่คิดบ้างเหรอว่าบางทีฉันอาจต้องการเวลาตั้งหลักใหม่"
     
              "ฉันจะเข้าใจได้ยังไงในเมื่อเธอไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง" เจย์พูดเสียงเบาลง เขาวางขวดโซดาลงบนโต๊ะเบาๆ ครู่ต่อมาถอนหายใจคล้ายกับกำลังเคืองฉัน  และความอึดอัดก็เริ่มเข้ามาทักทายเรา
     
              "ฉันจะออกไปสูดอากาศข้างนอก" ฉันพูด  ไม่คิดลังเลที่จะลุกขึ้นและเดินไปที่ประตูทางเข้าออกด้านหน้า
     
     

     
     
            หลังจากถูกจี้ถามคำถามที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดทำให้อารมณ์หม่นหมอง  ฉันหยุดอยู่หน้าทางเข้างาน มองแสงสีจากดวงไฟรูปนางฟ้าที่เปิดสว่างจ้าอยู่ด้านบนใจกลางถนน  พยายามหลับตาเพื่อไล่น้ำตาที่กำลังจะเริ่มซึมให้หายไป
      
             ฉันไม่ควรกลับเข้าไปในงานอีก อย่างน้อยก็ตอนที่ไม่รู้สึกอยากพบใคร   ตอนนี้การเดินคนเดียวเป็นสิ่งที่ต้องการที่สุด หมดหน้าที่แล้วภายในงานเมื่อครู่ เมื่อไม่จำเป็นต้องกลับเข้าไป สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินไปขึ้นรถบัสสีแดงคันใหญ่ที่เข้ามาจอดริมทางเท้าพอดี
     
             ความคิดถึงซับเวย์ในนิวยอร์กกลับเข้ามาในสมองเมื่อมาถึงบริเวณทางเดินลงไปที่สถานีรถไฟ แสงไฟรอบตัวสว่างดูสบายตา มีรถบัสคันใหญ่จอดและเปิดขาย Frozen yogurt  ฉันปฏิเสธของหวานในเวลานี้ไม่ได้ จึงเดินไปต่อแถวซื้อมาถ้วยหนึ่ง
     
             ต่อไปอาจเดินไปที่ไฮด์พาร์คต่อ เวลานี้ในสวนน่าจะสงบกว่าที่อื่น หรือไม่ก็ตรงดิ่งกลับโรงแรม  คิดไปคิดมาชอบอากาศคืนนี้มากเกินกว่าจะรีบกลับ  รู้สึกได้ว่ายืนลังเลอยู่ตรงกลางระหว่างทางลงไปสถานีรถไฟกับไฮด์พาร์คอยู่นาน จนกระทั่งหูแว่วได้ยินเสียงเพลงดังมาจากทางข้างหน้า
     
             เมื่อเดินข้ามถนนมาสังเกตุได้ว่ามีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่กำลังรุมล้อมนักร้องเปิดหมวกที่กำลังดีดกีตาร์และร้องเพลง มันเป็นเสียงคุ้นหูอย่างแปลกๆของผู้ชาย อาจเป็นพวกที่เสียงเหมือนนักร้องต้นฉบับ มีสาวๆยกกล้องมือถือขึ้นมาถ่ายรูป เมื่อเข้าใกล้ก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นการร้องเปิดหมวกที่ดูจะโดดเด่นกว่าทุกสถานที่ที่เคยไป
     
             Before you leave tomorrow
     
             Before you say goodbye
     
             Before you leave tomorrow
     
             Before you leave
     
             ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นหันมองคนรอบๆระหว่างร้องเพลง มีชายอีกคนกำลังนั่งดีดกีตาร์อยู่ข้างๆ เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นฉันยืนหัวโด่อยู่นอกวง  เราสองคนดูอึ้งพอๆกัน  นั่นต้องเป็นชอว์น เมนเดส แม้จะสายตาไม่ดีแต่ก็ดูออกว่าเป็นเขา และฉันจำเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ได้ เห็นเส้นผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยตั้งแต่ที่วิ่งไปหลบในพุ่มไม้ของสวนสาธารณะ
     
             เขาเริ่มยิ้มให้ฉัน เป็นยิ้มมุมปากที่ไม่ได้เจ้าเล่ห์หรือแฝงสีหน้าเยาะเย้ย  มันเป็นแค่ยิ้ม ยิ้มธรรมดาที่ฉันต้องการให้ใครสักคนมอบให้ในเวลาที่รู้สึกหดหู่เช่นนี้ คิดว่ากำลังซาบซึ้งจนอยากร้องไห้
     
             Stay here and lay here right in my arms
     
             It's only a moment before you're gone
     
             And I am keeping you warm
     
             Just act like you love me, so I can go on
     
             เสียงร้องของชอว์นดังอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้แม้จะไม่มีไมโครโฟน  ฉันเห็นสาวๆกำลังร้องตามเขา บ้างกำลังทำสีหน้าเขินอายเหมือนไม่เคยเห็นผู้ชายบนโลกใบนี้จนกระทั่งมาพบชอว์น  แสงแฟลชเริ่มกระพริบจากแต่ละจุด คล้ายสปอร์ตไลท์ฉายไปทางเขา  นี่เป็นฉากที่พอปรากฎในหนังสักเรื่องได้ และบรรยากาศในเวลานี้ช่างเหมาะเจาะ
     
             นาทีต่อมาชอว์นหันมาจ้องหน้า - จ้องนานพอที่คนรอบตัวจะเริ่มหันมองตาม  เขายิ้มบางๆเมื่อเห็นฉันยืนกอดอกมองอยู่ และเห็นว่ามือข้างหนึ่งกำลังถือถ้วยโยเกิร์ตที่เริ่มละลาย
     
             ชอว์นทวนประโยคในเพลงซ้ำอีกครั้งก่อนจะรีบหลบสายตาไป
     
             And act like you love me, so I can go on....
     
     
       
    Shawn mendes - Act like you love me
    It's only a moment before you're gone
      
       
     
    Talk : ฮายที่รักทุกคนนนน555 เรากลับมาแล้วคิดถึงมั้ยย ช่วงนี้เครียดการสอบอเกน55 เราไม่ได้คะแนนตามที่หวัง นี่เครียดเบาๆเสียตังค์เพิ่มอีก55555555 ขอบ่นนิดนึง
    เพลงชอว์นเพลงนี้เป็นอะไรที่คนแอบชอบคงจะอินเนอะ ที่จริงอยากใส่อีกเพลงเพิ่มประกอบในตอนนี้ แต่เดี๋ยวจะเยอะเกิน เอาไว้ตอนอื่นแล้วกัน55555
     
    อย่างที่ทุกคนเห็นนะคะ สถานะของสเตฟานี่กับชอว์นจะค่อยเป็นค่อยไปและเรียบง่ายค่ะ อย่าลืมว่าสเตฟานี่มีแฟนอยู่แล้ว   ตามเนื้อเรื่องที่เราตั้งใจวางไว้คืออยากจะให้ค่อยๆรักกันแต่ดูมีความหมายอะ เก็ทมั้ยรีดเดอร์555 จะมีโมเมนต์น่ารักแทรกนะคะไม่ต้องห่วง
    ส่วนใครที่สงสัยเหตุผลที่ว่าสเตฟานี่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ก็รอกันหน่อยย ใกล้เฉลยแล้วนะเตงงง
     
    ตอนแปดแล้วนะ นักอ่านเงายังไม่อยากแสดงตัวเหรอ5555 เข้าใจว่าคนที่อ่านในมือถือจะคอมเมนต์ยากเนอะเพราะแอพเด็กดีไม่ค่อยสเถียร แต่เมนต์ให้กำลังใจเราหน่อยก็ดีนะตัว555555 เมนต์มาคุยกันก็ได้ค่ะ เราตอบทุกคน รักนักอ่านนะจ้ะะะ 
     
     
     

    (c) Chess theme
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×