ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 7

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 458
      20
      13 เม.ย. 65


     
     
            ฉันตื่นขึ้นเพราะรู้สึกหนาวเย็นบริเวณมือและเท้า เปลือกตายากจะเปิดออกแต่รับรู้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกไปเมื่อนอนในห้อง....ห้องนอน ฉันเริ่มสัมผัสกับบริเวณที่นอน  มันนุ่ม ดูสะอาด มือเปะปะหาอะไรรอบตัวเพื่อดึงความทรงจำก่อนหลับ พบหมอนใบใหญ่อยู่ทางฝั่งขวามือ
     
            ห้องนอน....ของชอว์น เมนเดส
     
            ครู่ต่อมาได้สติจึงลืมตาโพร่งและลุกขึ้นฉับพลัน  อาการมึนหัวแล่นเข้ามาเมื่อลุกเร็วเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นความหวาดระแวงก็ชนะ ฉันค่อยๆชะเง้อมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหมอนสองใบที่กั้นกลางระหว่างเตียงนอน  เส้นผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงเห็นเด่นชัดบนหมอนสีขาว ผิวขาวอมชมพู ดวงตาตาปิดสนิทสองข้าง  ผ้าห่มผืนหนาปกปิดร่างมิดชิดโผล่พ้นแต่หัว
     
            ฉันเริ่มกลับมามองสภาพตัวเอง ตระหนักได้ว่าเจ้าของเตียงแย่งผ้าห่มไปจนหมด  นั่นอาจเป็นสาเหตุที่มือและเท้าเย็นเฉียบจนรู้สึกตัวตื่น  นาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียงบอกเวลาตีห้าสองนาที  ฉันถอนหายเฮือกใหญ่พลางเอนตัวลงนอนอีกครั้งด้วยอาการเหนื่อยล้า
     
            มีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะต้องรีบเตรียมตัวไปสนามบินเจเอฟเค ระหว่างนี้ฉันอาจงีบต่ออีกสักครู่  แต่เมื่อข่มตานอนเท่าไหร่สมองยิ่งเริ่มกลับเข้าสู่กระบวนการทำงานมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งคิดอะไรในสมอง ร่างกายยิ่งรู้สึกอยากตื่นมากกว่านอนต่อ    ฉันเริ่มพลิกตัวนอนหงายด้วยความหงุดหงิด สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนที่อยู่อีกฟากเตียงเริ่มขยับตัว
     
            เมื่อคืนนี้เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ แค่เอาหมอนตั้งคั่นกลางเงียบๆและหลับไป
     
            'เธออยู่ไหน ถึงลอนดอนรึยัง?'
     
            แบรดส่งข้อความมาถามตั้งแต่ตอนตีสี่ ฉันสูดหายใจพลางวางมือถือลงบนโต๊ะข้างเตียงตามเดิม  อาจตอบข้อความเขาในอีกไม่ช้า
      
             "ฉันรู้น่า"
     
            เสียงทุ้มใหญ่เกือบแหบของคนที่นอนอยู่อีกฟากทำให้ฉันสะดุ้งอีกครั้ง คราวนี้ค่อยๆลุกขึ้นและชะโงกหน้ามองผ่านหมอน   ชอว์นละเมอบางอย่าง เขาขยับปากมุบมิบและใช้มือเกาศีรษะเบาๆ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเหมือนกำลังเถียงกับใครสักคน
     
            ไม่รู้ว่าเกยคางกับหมอนและจ้องหน้าชอว์นนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาเงียบไป เงียบและนิ่งสนิท
     
            "คุณไม่ได้รับอนุญาตให้แอบมองผมตอนหลับ" เขาพูดทั้งที่ยังหลับตา
     
            "เอ่อ ฉันเปล่าแอบมองค่ะ" ฉันรีบสวน เขยิบร่างตัวเองให้มานอนอยู่ที่เดิม
     
            มือหนาของชอว์นจับหมอนใบใหญ่ที่กั้นหน้าของเราออก ฉันเหลือบตามองเขา เห็นชอว์นลืมตาขึ้นข้างหนึ่งอย่างยากลำบาก
     
            "คุณตื่นนานรึยัง"
     
            "พึ่งตื่นค่ะ" ฉันตอบสั้นๆ เงยหน้ามองเพดานของห้อง "ฉันปลุกคุณรึเปล่าคะ"
     
            "เปล่า" เสียงของคนพึ่งตื่นดังตอบเบาๆ เขาเริ่มพลิกตัวนอนหงายและบิดขี้เกียจ "เมื่อกี้ผมพูดอะไรรึเปล่า  แบบว่าละเมออะไรอย่างนั้น"
     
            "ไม่ค่ะ" ฉันโกหก คิดว่าเขาอาจสบายใจกว่าถ้ารู้อย่างนั้น
     
            "ผมชอบละเมอก่อนตื่นทุกที" เขาบ่นพลางอ้าปากหาว "หนึ่งนาทีหลังจากละเมอเสร็จจะเริ่มรู้สึกตัว - เช้านี้กินอะไรดี" ชอว์นถาม น้ำเสียงดูกลับมาชัดเจนขึ้นอีกนิด
     
            "ฉันจะไม่กินอาหารเช้าที่นี่ค่ะ"
     
            เราเงียบไปพักหนึ่งหลังจากนั้น  หางตาเห็นชอว์นจ้องมองเพดานคล้ายกับกำลังเหม่อลอย "เบคอนกับไข่ โอเค เยี่ยม" เขาบอก
     
            ฉันสงสัยว่าเมื่อไหร่กันที่ชอว์น เมนเดสจะอยากทำอาหารเช้าเผื่อคนอื่น - อันที่จริงมันเมื่อไหร่กันที่เขาคิดจะแชร์ที่นอนให้ฉันแบบนี้  ในทางกลับกันนี่เป็นเรื่องแย่ แย่สำหรับฉันและแบรด ถ้าเขารู้มันต้องไม่ดีแน่ ดังนั้นฉันตั้งใจว่าเรื่องนี้ควรเก็บเป็นความลับ
     
            อย่างน้อยก็ระหว่างฉันกับชอว์น
     
     

     
     
            และเพราะเจ้าของบ้านมัวแต่ใจเย็น สุดท้ายเราสองคนก็เลยออกจากบ้านด้วยสภาพเหมือนผู้ลี้ภัย ฉันถือถุงกระดาษใส่อาหารที่ภายในมีไข่กับเบคอนร้อนๆถูกวางทับด้วยขนมปัง ในขณะที่ชอว์นถือกระเป๋าเดินทางและมีกางเกงยีนส์พาดไหล่สองตัว เขาเดินไปที่ประตูรถ ไม่ได้สนใจว่าหิมะที่อยู่บนหลังคารถจะตกลงเลอะกระเป๋าหรือไม่
     
            ฉันได้ยินเสียงรถตักหิมะดังมาจากหัวมุมซอย พวกเขากำลังขับออกไปโกยหิมะบริเวณซอยอื่นต่อ  ตอนนี้รอบตัวเราดูมีชีวิตชีวามากขึ้นหลังจากรถตักหิมะโกยหิมะจำนวนหนึ่งออกไปแล้ว
     
            "อ่าว ยืนทำอะไรอยู่ล่ะมิส ไม่มาช่วยกันทำมาหากินหน่อยเรอะ" ชอว์นเร่งฉันที่ยืนอยู่บนบันไดทางเข้าบ้าน
     
            ฉันจึงรีบลงบันไดตามไป เปิดประตูรถและวางถุงกระดาษไว้ใกล้กับเกียร์รถ  กระเป๋าของฉันยังอยู่ที่เบาะหลังรถชอว์น และตอนนี้มันปะปนกับกระเป๋าของเขาจนดูรกรุงรัง  ฉันคิดอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะตอนนี้ยังสวมชุดเดิม แต่ตระหนักได้ว่าไม่มีเวลา
     
            "เดี๋ยว คุณไปนั่งอะไรฝั่งนั้น" ชอว์นถามเมื่อเห็นฉันเดินไปทางฝั่งคนขับ
     
            "วันนี้ฉันขับเองค่ะ คุณคงไม่ชินกับพื้นถนนลื่นๆแบบนี้มั้งคะ โดยเฉพาะตอนที่พึ่งได้ใบขับขี่เมื่อสองสามปีที่แล้ว"
     
            "นี่ อย่า--"
     
            "จะรีบขึ้นรถมั้ยคะ เดี๋ยวเราจะสายไปมากกว่านี้นะ" ฉันบอกพลางก้มหัวเข้าไปนั่งภายในรถยนต์ ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากชอว์น แต่วินาทีต่อมาเขาก็เข้ามานั่งข้างๆและปิดประตูรถ
      
            สนามบินคนเยอะกว่าที่คาดไว้ ช่วงเช้าตรู่มีนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศเดินเต็มอาคาร  ชอว์นหยุดถ่ายรูปทักทายแฟนๆเป็นบางครั้งในระหว่างที่เราเดินตามหาทีมงานที่เหลือ  ฉันนึกอยากหยิบแซนวิชไข่กับเบคอนที่ชอว์นทำไว้ในถุงออกมากิน แต่เพราะมือสองข้างกำลังถือกระเป๋าเดินทาง และรีบร้อนเกินกว่าจะนั่งพัก
     
             "เฮ้ ทางนี้!" เสียงตะโกนของชายหนุ่มปริศนาดังขึ้นมาจากทางข้างหน้า  ความโล่งใจเริ่มย่างกรายเข้ามาในจิตใจเมื่อเห็นเหล่าทีมงาน  พวกเขาไม่ได้ทิ้งเรา และเราไม่ได้ตกเครื่อง
     
            อย่างน้อยก็เฉียดฉิวเกือบจะตกเครื่องจริงๆเมื่อแอนดรูว์ต่อว่าเด็กในสังกัดตัวเองยกใหญ่  ฉันควรจะได้รับคำตำหนิเหล่านั้นด้วย แต่ดูเหมือนแอนดรูว์จะไม่ถือสา เขาบอกว่าอย่างน้อยฉันก็พาชอว์นให้มาถึงกลุ่มได้ทันเวลา  ต่อจากนั้นเราทั้งหมดจึงรีบขึ้นเครื่อง
     
            และตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องฉันใช้มันไปกับการละเลงนิ้วบนแป้นพิมพ์ของแล็ปท็อป มีนักข่าวมากมายอีเมลมาถามเรื่องงานข่าวการเมือง  หลังจากการเลือกตั้งผ่านไปและผลออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะวุ่นวายเมื่อคนที่ได้เป็นประธาธิบดีคนต่อไปคือโดนัลด์ ทรัมป์
     
             "...สเตฟ"
     
            เสียงกระซิบดังขึ้นทำลายความเงียบ ฉันเงยหน้าจากจอแล็ปท็อปและมองรอบๆชั้นธุรกิจบนเครื่องบิน  ทุกคนเงียบกริบและกำลังงีบหลับ   ฉันเห็นก้อนกระดาษกลมๆตกลงแทบเท้า  มันมาจากเจย์ผู้ที่โผล่หัวดุ้กดิ้กอยู่บนเก้าอี้ด้านหน้าเยื้องไปทางขวามือ
     
             "อะไร" ฉันขยับปากถาม แบมือทั้งสองข้างออกอย่างอารมณ์เสียเมื่อมีคนขัดสมาธิการทำงาน  เจย์ยกนิ้วชี้ที่กระดาษแทบเท้าฉัน
     
            'ถึงลอนดอนแล้วไปเดินเที่ยวด้วยกันมั้ย'
     
            นั่นเป็นข้อความที่เขียนอยู่ในกระดาษยับยู่ยี่  ฉันถอนหายใจและเอนศีรษะพิงเบาะนวมมองชายหนุ่มผมสีดำ  เขาเบ้หน้าและยักไหล่ให้ฉัน
     
            'ไม่ ฉันจะพักอยู่ที่ห้อง'  ฉันเขียนประโยคนั้นลงกระดาษ ขยำมันเป็นก้อนและโยนกลับไปหาเขา แต่พอดีกับที่ร่างสูงของใครสักคนเดินผ่านมา และมันกระแทกเข้าที่ต้นแขนอีกฝ่ายพอดิบพอดี
     
             ชอว์น เมนเดสเลิกคิ้วขึ้นและหันมามองฉัน มือข้างหนึ่งรับกระดาษไว้ได้ทัน
     
             "ของฉันเอง" นั่นเป็นเสียงเจย์ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ  เขาตั้งท่าจะลุกขึ้นไปรับก้อนกระดาษในมือชอว์น แต่คนที่ครอบครองมันไว้ก็ถือวิสาสะคลี่กระดาษเปิดอ่านหน้าตาเฉย "เฮ้ย คุณไม่มีสิทธิ์อ่าน!"  เจย์ตะโกน และคราวนี้คนทั้งชั้นธุรกิจก็สะดุ้ง
     
             แอร์โฮสเตสเดินไปหาเจย์ที่เก้าอี้ คล้ายกับกำลังจะถามเขาว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่   ฉันไม่ได้นั่งมองเขาต่อเพราะตอนนี้ชอว์นหันมาสบตา  เขาขยำกระดาษในมืออีกครั้งและโยนมันลงถังขยะบนโต๊ะล้อเลื่อนของแอร์โฮสเตสอีกคนที่เดินผ่านมา
     
             "ยังไงคุณก็ปฏิเสธเขาอยู่แล้วนี่"  ชอว์นบอกพร้อมกับไหวไหล่ รอยยิ้มยียวนเป็นสิ่งที่เขาทิ้งท้ายไว้ให้ก่อนจะเดินกลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง
     
      
      
     
     
             ไฟสัญญาณเตือนให้รัดเข็มขัดกะพริบเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงปลายทางแล้ว  ทางตอนเหนือของลอนดอนช่วงสิบโมงเช้าในตอนปลายปีแทบไม่มีแดด แตกต่างกับช่วงฤดูร้อนที่แดดจะแรงมองเห็นทิวทัศน์ข้างล่างสว่างจ้า  สนามบินฮีทโธร์วเป็นสนามบินที่คึกคัก บางครั้งเครื่องบินต้องบินวนถึงสองรอบกว่าจะได้ลงจอด เช่นเดียวกับครั้งนี้
     
             ฉันชำเลืองมองกระจกข้างที่นั่ง แม่น้ำเทมส์สะท้อนแสงแดดอ่อนๆที่พอจะมีในช่วงฤดูหนาว เห็นโครงเหล็กของสะพานทาวเวอร์บริดจ์ เรือรบสีเทาลำหนึ่งจอดในแม่น้ำให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้เข้าเยี่ยมชมตลอดทั้งปี  ทิศเหนือและตะวันตกเห็นมหาวิหารเซนต์พอล หลังคาโดมขนาดใหญ่ ถนนคดเคี้ยวหลายสาย
     
            "มิสลินเดน คุณพร้อมรึยังครับ" เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นทำให้ต้องละสายตาจากกระจกหน้าต่างกลับเข้ามาภายในเครื่องบิน
     
            แอนดรูว์ เกิร์ทเลอร์ยิ้มและยื่นสคริปกระดาษคำถามมาให้ฉัน
     
            "เราจะเริ่มให้คุณเดินสัมภาษณ์ชอว์นที่สะพานใกล้หอนาฬิกาบิ๊กเบน" เขาบอก "หวังว่าช่วงเช้าในวันฤดูหนาวจะไม่มีคนเยอะมาก คุณนอนเต็มอิ่มแล้วใช่มั้ยครับ"
     
             "ใช่ค่ะ" ฉันตอบสั้นๆ ว่าจะพูดต่อแต่กลับนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไร  อย่างน้อยก็จะไม่พูดเรื่องที่ไปค้างบ้านชอว์นให้ใครฟัง
     
             "เยี่ยม อย่าโอ้เอ้เสียเวลาล่ะ" บุคคลที่สามชะโงกหน้าผ่านไหล่ของแอนดรูว์มาพูดกับฉัน  ชอว์นมี headphones ของบีทส์คล้องคอไว้อยู่
     
             "อย่าไปใส่ใจเขาเลย" แอนดรูว์ยกนิ้วโป้งชี้ไปตรงทางที่ชอว์นพึ่งเดินจากไป  เขาช่วยฉันเก็บสัมภาระบนเก้าอี้ตามมารยาท และเราก็เดินออกจากเครื่องพร้อมกัน
     
     
     
     
             ฉันคิดว่าหอนาฬิกาบิ๊กเบนดูสั้นป้อมกว่าภาพในหัวที่จำได้ แต่นั่นไม่สำคัญ  ตอนนี้กำลังถือไมโครโฟนเดินตามชอว์น เมนเดสอยู่บนสะพานเวสต์มินสเตอร์ ชายร่างใหญ่จากสำนักข่าวเดียวกันถือกล้องขนาดใหญ่เดินตามเราช้าๆ   ชอว์นหยุดอยู่ที่ระเบียงสะพาน เขาใช้แขนข้างหนึ่งเท้ากับระเบียงด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อขึ้นกล้อง
     
             มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการถ่ายทำท่ามกลางอากาศหนาวยะเยือก พื้นที่เราเดินเปียกชื้น อาจเพราะฝนพึ่งหยุดตกไป และฉันเกลียดฝน หรืออาจเป็นหิมะที่เริ่มละลาย
     
             "ค่ะ และคำถามสุดท้าย" ฉันว่าต่อเมื่อชอว์นตอบคำตอบของตัวเองจบ "ความทรงจำไหนที่ดีที่สุดสำหรับคุณในช่วงออกทัวร์คะ"
     
             "แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมได้พบกับแฟนคลับครับ  เมื่อปีที่แล้วที่มาดริด - น่าจะเกือบพันคนที่ยืนรอผมอยู่ข้างนอกโรงแรม และผมจะชอบออกไปยืนตรงระเบียง โบกมือให้แฟนๆของผม"
     
             และเราก็จบกันตรงนั้น กล้องถูกตัดเมื่อชอว์นตอบคำถามเสร็จ  ฉันไม่จำเป็นต้องพูดแนะนำตัวเองในช่วงเริ่มต้นและตอนท้าย พวกเขาจะนำวิดีโอไปตัดต่อและใส่รวมกับวิดีโออื่นๆ นั่นจึงเป็นเรื่องง่าย   ฉันกลับไปอยู่หลังกล้อง ยื่นไมค์ให้เจย์ที่กำลังรอรับและหยิบขวดน้ำจากกระเป๋าขึ้นมาดื่มอึกใหญ่แก้กระหาย
     
             "หนาวนะว่ามั้ย" เจย์พูดอยู่ข้างๆ
     
             เราเดินไปนั่งลงตรงบริเวณเก้าอี้สาธารณะ  ฉันมองเห็นมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ใหญ่โตสีขาว ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามมีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แถวนั้นเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดปี และตั้งแต่ที่มาลอนดอนยังไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นไปชมวิวบนนั้น  การต่อคิวเป็นอะไรที่นานเกินกว่าที่สเตฟานี่ผู้ที่เห็นเวลาเป็นสิ่งมีค่าจะอดทนรอ
     
            ใช้เวลาคุยกับทีมงานต่ออีกประมาณยี่สิบนาที สุดท้ายเราก็เสร็จการถ่ายทำชิ้นแรกไปอย่างราบรื่น  นี่มันง่ายกว่าที่คิดไว้ อาจเพราะลอนดอนเวลานี้ผู้คนน้อยในช่วงเช้าจึงไม่ต้องเบียดเสียดใคร หรือคอยหลบหลีกเหล่าแฟนคลับของชอว์น  พวกเขาทั้งหมดแยกย้ายกันกลับเข้าที่พัก บางส่วนตัดสินใจทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวและเดินวนถ่ายรูปตามสถานที่รอบตัว
     
            ฉันมาจบลงที่ร้านกาแฟใกล้โรงแรม มันใกล้ชนิดที่ว่าหน้าร้อนสามารถเดินออกจากโรงแรมด้วยผ้าคลุมผืนเดียวยังได้ถ้าหากกล้าพอ   ภายในร้านตกแต่งแนวสมัยใหม่ ผนังอิฐเปลือยเปล่าถูกทาด้วยสีขาว โค้มไฟสีดำห้อยลงจากหลังคาตรงบริเวณที่นั่งที่มีเบาะดูนุ่มนิ่ม
     
            "จะเอาอะไรมั้ย" เจย์หันมาถามเมื่อเราเดินเข้าร้าน
     
            "ขอแค่กาแฟ"
     
            เจย์เดินไปที่เคาน์เตอร์ ฉันจึงเริ่มมองหาที่นั่ง พบจุดสว่างและดูผ่อนคลายตรงหลังสุดของร้านจึงเดินไปทิ้งตัวและวางแล็ปท็อปลงบนโต๊ะ  ร้านกาแฟเริ่มมีคนเข้ามาทีละนิด  แม้ร้านจะใหญ่ แต่เสียงพูดคุยดังกึกก้อง
     
            บริเวณที่นั่งเป็นโซฟาครึ่งวงกลม  เบาะแข็งกว่าที่คิดไว้  ถัดไปเป็นกลุ่มหญิงสาววัยรุ่นสามคนที่หัวเราะคิกคักเมื่อมองอะไรบางอย่างตรงใจกลางร้าน  หญิงสาวหนึ่งในนั้นชะโงกหน้ามาและสะกิดไหล่ฉัน
     
            "โทษที" เธอเรียก "คนนั้นแฟนเหรอคะ"
     
            "เอ่อ...."
     
            ฉันมองตามสายตาเธอไป  กลางเคาน์เตอร์สั่งขนมและเครื่องดื่มดูแออัด แต่ก็พอจะรู้ว่าเธอหมายถึงเจย์   เขากำลังเดินตรงมาพอดี สีหน้ามุ่งมั่น ระวังไม่ให้ถ้วยกระดาษหลุดมือ
     
            "ไม่ใช่ค่ะ แค่เพื่อน"
     
            และเมื่อตอบออกไปแบบนั้น หญิงสาวทั้งกลุ่มก็ยิ้มกว้าง "น่ารักจังค่ะ เขามีแฟนรึยังคะ"
     
            "ยังไม่มีค่ะ" ฉันยิ้มอย่างสุภาพตอบคนอายุน้อยกว่า
     
            ยังไม่ทันที่คนข้างๆจะได้ถามคำถามถัดไป เจย์ก็เดินมาถึงที่โต๊ะพอดี พวกเธอรีบกลับไปก้มหน้าก้มตาสนใจกับจานเค้กว่างเปล่าตรงหน้า  หากเจย์เป็นคนช่างสังเกตุกว่านี้อีกสักนิด เขาจะรู้ว่ามีอะไรผิดปกติ แต่เพราะเขาคือเจย์ อัลวาโร  เจ้าทึ่มที่ไม่รู้เรื่องอะไรนอกเสียจากฉันจะเป็นคนออกปากบอกเอง
     
            "ฉันไม่น่าสั่งแก้วกระดาษ แก้วพวกนี้ร้อนเป็นบ้า" เขาพึมพำพลางเป่านิ้วตัวเอง
     
            ฉันยิ้ม ปกติไม่เคยได้พิจารณาดูว่าเพื่อนตัวเองหน้าตาดีหรือไม่ หรือน่าดึงดูดแค่ไหน  เขามีนัยน์ตาดำคม ผมเป็นลอนสีดำสนิท หน้าออกลูกครึ่งสเปน แต่ตอนนี้ผมเขาเริ่มยาว  ฉันนึกว่าถ้าหากจับเขาตัดผมทรงดีๆเขาอาจหล่อจนผู้หญิงที่เดินผ่านมาต้องกรี้ดอยู่ในใจ
     
            "เธอจ้องฉันอยู่นะสเตฟ ทำไมถึงจ้องอย่างนั้น" คนตรงหน้าถาม
     
            ฉันเขยิบที่นั่งไปทางฝั่งขวา ตบเบาะบริเวณซ้ายมือที่เคยนั่งและใกล้กับเด็กสาววัยรุ่นให้เจย์  ใช้นิ้วกระดิกเรียกให้เขาเอนตัวเข้ามาหา "อย่าหันไปมองนะ แต่สาวสามคนจากที่นั่งข้างๆชมว่านายน่ารัก"
     
            เจย์ชายตามองไปที่เบาะถัดไป พนักเก้าอี้ของเราและของพวกเธอเชื่อมติดกัน คล้ายกับกำแพงขนาดเตี้ยๆกั้นเราไว้ เจย์หันมาส่งสายตาและเลิกคิ้วขึ้น คล้ายกับกำลังจะถามว่า พวกนั้นหรือ
     
            "ช่างเถอะ อย่าพึ่งไปสนใจ" เจย์บอกพลางหยิบซองใส่น้ำตาลมาสะบัดและฉีกออก
     
            "นั่นสาวบริทิชเชียวนะ" ฉันถามเสียงค่อย  น้ำเสียงและสำเนียงบริทิชของหญิงสาวที่พึ่งพูดคุยด้วยยังติดอยู่ในสมอง
     
            "แล้วไง เธอจะให้ฉันคบกับคนอังกฤษในขณะที่ตัวเองอาจกลับอเมริกาไปเมื่อไหร่ก็ได้งั้นเหรอ" เจย์เลิกคิ้ว "ฉันไม่ชอบคุยกับคนรักผ่านสไกป์เกินหนึ่งเดือน ไม่มีทางรู้ว่าปิดสไกป์เมื่อไหร่เธอจะเชิญใครขึ้นเตียงบ้าง"
     
            "นายคิดมากไปรู้มั้ย" ฉันยกกาแฟขึ้นซด "อาจเพราะอย่างนี้นายถึงยังโสด - ถ้าไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ งั้นซินดี้ คลาร์กสันเป็นไง"
     
            "ซินดี้ คลาร์กสันไหน" เจย์ถาม เขาเทน้ำตาลจนหมดซองระหว่างหันมามองหน้าฉัน
     
            "ซินดี้ที่อยู่ฝ่ายข่าวการเมืองกับฉันไง"
     
            "ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากจีบซินดี้ คลาร์กสัน"
     
            "ทำไมล่ะ" ฉันถาม อารมณ์ขุ่นเคืองปรากฎขึ้น  ซินดี้เป็นอีกหนึ่งนักข่าวขวัญใจคนในสำนักข่าว และเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของฉัน "นายไม่ชอบผู้หญิงฉลาดๆเหรอ หรืออยากได้พวกอวบอึ๋ม"
     
            เจย์มีท่าทางกระวนกระวาย "เปล่า" เขาตอบ "ฉันไม่อยากควงซินดี้เพราะมันไม่..."
     
            "ไม่อะไร" ฉันนั่งตัวตรงบนโซฟา หางตาเหลือบมองเมนูบนโต๊ะเมื่อคิดได้ว่ากินไปเพียงแค่แซนวิชทำเองจากชอว์น เมนเดสเมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา
     
            "เพราะฉันชอบคนอื่นแล้ว" เขาตอบ
     
            "อ้อ เข้าใจล่ะ" ฉันพยักหน้ารับ หยิบมือถือขึ้นมาตอบข้อความแบรดแบบส่งๆและวางลงบนตัก  เมื่อเงยหน้าไปก็พบว่าเจย์มีท่าทีร้อนรน "นายรู้ใช่มั้ยว่ามันโอเคถ้านายจะบอกว่านายไม่ได้ชอบผู้หญิง นี่ไม่ใช่ยุคสงครามโลกอะไรแบบนั้น"
     
            "เชื่อเถอะ ถ้าฉันเป็นเกย์ก็คงแต่งตัวดีกว่านี้" คนข้างๆผายมือให้ดูเสื้อผ้าตัวเอง
     
            "โอ้....โอเค"  ฉันยักไหล่   คิดว่าเขาอาจไม่อยากตอบคำถาม หรือการชอบใครสักคนคงดีกว่าถ้าหากเก็บเป็นความลับในความคิดของเจย์
     
            ครู่ต่อมาได้ยินเสียงกระแอมแปลกๆ เสียงกระแอมแบบที่ฝืนกลั้นไม่ให้หัวเราะลั่น  ฉันหันขวับ  เห็นชายผมสีน้ำตาลเข้มนั่งหันหลังอยู่บนโซฟาใกล้ๆทางฝั่งขวามือ และฉันจำจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ได้ว่าเป็นใคร
     
            "ให้ตายเถอะ แอนดี้เรียก" เสียงร้องครางอย่างเบื่อหน่ายของเจย์ทำให้ต้องหันหัวกลับมาบริเวณที่นั่งตัวเอง  เจย์ยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงยีนส์ เขาหยิบแก้วกาแฟกระดาษและลุกขึ้น "ฉันต้องไปก่อน เธอจะมาด้วยกันมั้ย"
     
            "ไม่ล่ะ ว่าจะอยู่ทำงานที่นี่ต่อ" ฉันโบกมือให้คนที่พึ่งลุกขึ้นยืน หางตาเห็นวัยรุ่นสาวสามคนกำลังเงยหน้าและมีท่าทางรีบร้อนตาม
     
            เมื่อเจย์เดินออกไป ฉันเห็นว่าหญิงสาวผมสีทองที่เคยคุยกับฉันเมื่อครู่วิ่งออกประตูตามไปด้วย  เธอเรียกเขา ทั้งสองหยุดและพูดคุยอะไรกันสักอย่าง จากนั้นจึงเริ่มออกเดินช้าๆไปตามทางเท้าโดยมีเพื่อนสองคนของเธอเดินตามหลังอยู่ห่างๆ
     
            "เดทเป็นไง" เจ้าของเสียงเอียงคอและชะเง้อหน้ามาถาม   คิดไม่ผิดจริงๆที่สงสัยว่าเป็นชอว์นตั้งแต่แรก
     
            "เดทอะไรคะ" ฉันเอนตัวออกห่างเมื่อเห็นว่าเส้นผมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายสัมผัสกับหัวไหล่
     
            "เมื่อกี้นี้ไม่ใช่เดทของพวกคุณเหรอ" ชอว์นถาม เขาพลิกตัวและเท้าแขนข้างหนึ่งกับพนักโซฟา
     
            "ฉันกับเจย์เป็นแค่เพื่อนกันค่ะ ต้องให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งคะ" ฉันตอบเสียงห้วน  รู้สึกหงุดหงิดเมื่อเสียงข้อความในมือถือดังรบกวนใจ "แล้วเมื่อกี้คุณหัวเราะอะไร"
     
            "หัวเราะอะไร" ชอว์นถามกลับ
     
            "เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณหัวเราะเยาะเรา"
     
            "เปล่า  แต่ผมขำเพราะคำสารภาพรัก โดยเฉพาะเมื่อไม่สมหวัง" เขาบอก "และเจย์เพื่อนคุณก็เป็นคนที่ทึ่มมากกว่าบุคลิคภายนอก ผมคิดว่าเขาอาจเป็นนายแบบได้ แต่เมื่อรู้จักก็พอจะคิดออกว่าเขาจะเป็นยังไงตอนเดินบนรันเวย์"
     
            "อย่างน้อยเจย์ก็ตัวสูงกว่าคุณ" ฉันย้อน แต่ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบางทีอาจคิดผิด
     
            "ไม่ค่อยจะรู้อะไรเลยนะ" ชอว์นพึมพำ เขาเม้มปากขณะไล่นิ้วโป้งไปบนจอมือถือ
     
            ฉันกลอกตาพลางยกกาแฟขึ้นซดจนหมดแก้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร "แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่คะ"
     
            ชอว์นเหลือบตามองอีกครั้ง "นี่ร้านกาแฟ คุณหวังจะให้ผมมาทำอะไรล่ะ เด็ดพืชสมุนไพรเหรอ" เขาถามปนเสียงหัวเราะ "และไม่ต้องคิดว่าผมตามพวกคุณมา เพราะผมนั่งที่ตรงนี้มาได้สักพักใหญ่แล้ว"
     
            ฉันเงียบ  อาจเพราะในทีแรกไม่ได้สนใจอะไรนอกจากรองเท้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหิมะที่เริ่มจะละลาย จนลืมที่จะใส่ใจสิ่งรอบตัวแม้กระทั่งคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ   นาทีต่อมาเราก็แยกย้ายกัน ชอว์นกลับไปนั่งดื่มกาแฟและกินของหวานบนโต๊ะตัวเอง ส่วนฉันหมกมุ่นกับการพิมพ์อีเมลตอบข้อความในแล็ปท็อป  เพลงยอดฮิตในอเมริกาและอังกฤษเปิดคลอเบาๆในร้าน กลิ่นกาแฟทำให้รู้สึกสดชื่น
     
            วันนี้ลอนดอนดูเหมือนฟ้าฝนจะเป็นใจ มันไม่มีฝนตกมาได้สักพักใหญ่ และฉันอาจกอบโกยช่วงเวลาแห่งนี้ในการเดินเที่ยวสักครู่  อาจหาโปสการ์ดส่งไปให้ครอบครัวที่แนชวิลล์ หรือซื้อของที่ระลึกและช็อกโกแลตหน้าตาแปลกประหลาดที่หาได้แค่ในอังกฤษ
     
            แต่เพราะสายเข้าและรูปภาพบนหน้าจอมือถือทำให้หมดอารมณ์อยากเดินเที่ยว  ฉันพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ หวังว่าจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง แต่ตระหนักได้ว่ามันไม่ช่วย - ไม่เลยสักนิด  อาจหมดเวลาสำหรับการหลีกเลี่ยงและหนีปัญหา ฉันควรจะโต้ตอบอะไรบ้าง
     
            นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจส่งข้อความหาเบคก้า
     
            ฉันยกขาเหยียดบนโซฟาในร้านกาแฟ  ปลายเท้าหันไปทางที่นั่งฝั่งชอว์น  โซฟาครึ่งวงกลมใหญ่ยักษ์ที่นั่งอยู่ดูสะดวกสบายเมื่อจัดท่าดี  จึงตัดสินใจนั่งพิมพ์ข้อความตอบเบคก้า เธอเขียนข้อความส่งมายาวเป็นหางว่าว   มันใช้เวลาครู่ใหญ่ที่เราเคลียร์ปัญหาที่ค้างคาไว้  แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องที่เราทะเลาะกัน ฉันจะน้ำตาคลอ  จากนั้นทุกอย่างจะครอบงำสมอง
     
            สุดท้ายข้อความที่ส่งไปจึงไม่มีอะไรไปมากกว่าการชวนทะเลาะอีกรอบ ซึ่งในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีก ฉันโยนมือถือไปบนโต๊ะ
      
            ความเครียดทำให้เริ่มปวดหัว ฉันจึงหลับตา หวังว่าน้ำตาที่คลออยู่จะหายไป  มือนวดขมับเบาๆ   ลอนดอนในเวลานี้น่าจะเป็นช่วงบ่าย ทุกอย่างที่นี่แตกต่างจากนิวยอร์กอย่างสิ้นเชิง   คล้ายกับนิวยอร์กเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นไฟแรง ส่วนลอนดอนเป็นหญิงสาวยุควิคโตเรียน
     
            หูเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเดินมาใกล้ อาจเป็นพนักงานร้านคนหนึ่งที่ตั้งใจจะมาไล่ให้ฉันออกไปจากร้านด้วยคำพูดสุภาพเท่าที่เขาจะทำได้ เพราะฉันนั่งอยู่ที่นี่มาได้สักพักใหญ่แล้ว   แต่เมื่อลืมตาขึ้น คนที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามก็หายไป บัดนี้ที่นั่งว่างเปล่า
     
           ชอว์น เมนเดสเดินมาหย่อนตัวลงนั่งข้างฉันบนโซฟาตัวเดียวกัน  สองมือของเขาล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตและถอนหายใจเบาๆ  นี่เป็นการปรากฎตัวที่เงียบที่สุดตั้งแต่ที่ฉันพบเขามา
     
            "คุณโอเคมั้ย"
     
            "ค่ะ  สบายดี" ฉันรีบกลับมานั่งในท่าปกติอีกครั้ง มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่อาบแก้มแบบลวกๆ
     
            ชอว์นยื่นผ้าเช็ดหน้าสีดำสนิทมาให้  "เอาไป  มือคุณมีแต่เชื้อโรค ใช้มือปาดน้ำตาจะทำให้หน้ามีสิวขึ้น"
     
            ฉันเหลือบมองมือใหญ่ที่ยื่นมาใกล้ๆ  สีหน้าของชอว์นไม่ได้แสดงความรู้สึกสงสารหรือเป็นห่วง  ใบหน้านิ่งเฉยนั้นเหมือนแค่รู้สึกรำคาญที่เห็นคนมานั่งร้องไห้ในร้านกาแฟ
     
            "ฉันไม่คิดว่าคุณพกผ้าเช็ดหน้า" ฉันพูด  มือรีบจับผ้าเช็ดหน้าเมื่อชอว์นปล่อยมันลงโดยไม่รอให้ฉันได้เอื้อมมือไปรับ
     
            "มีอะไรที่คุณยังไม่รู้อีกเยอะ" เขาบอก
     
            เราเงียบกันไป  เหมือนต่างคนต่างมีเรื่องที่ต้องคิดในหัว  คล้ายกับเรากำลังแบ่งปันความรู้สึกหดหู่ในใจออกมาด้วยการนั่งเงียบอยู่ข้างกัน
     
            "เราออกไปเดินเล่นกันดีมั้ยคะ"
     
            ชอว์นหันมาเขาเลิกคิ้วใส่  "เรางั้นเหรอ"
     
            "คุณได้ยินไม่ผิดค่ะ" ฉันสูดน้ำมูก ตาเหม่อมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างร้านกาแฟ  แสงแดดยามบ่ายดูให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดูสดใสในลอนดอน
     
            "รู้มั้ย ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นชวนผม ผมอาจคิดว่าพวกเขากำลังจะจีบ"
     
            "คงต้องรอให้โลกใกล้ดับสลายก่อนฉันถึงจะจีบคุณ"
     
            "แหมไม่เอาน่า ผมไม่ดีตรงไหน" ชอว์นหัวเราะ  สักพักจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ที่จริงผมก็มีเรื่องให้คิดเหมือนกัน เราอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่"
     
            "ค่ะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น"
     
            "พูดอีกทีได้ไหม" เขาบอก
     
            ฉันเริ่มเหลือบตามองคนข้างตัว เพราะชอว์นเคยพูดทำนองนี้จึงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร "เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น" ฉันทวนซ้ำ
      
            ชอว์นสูดหายใจและปล่อยออกมาแรงๆทีหนึ่ง "ขอบคุณ" เขาตอบเสียงแผ่ว จากนั้นจึงลุกขึ้น "ผมต้องรีบกลับโรงแรม แต่จะไปส่งคุณที่สถานีรถไฟแล้วกัน"
      
            "ที่จริงฉันแค่ชวนเล่นๆเฉยๆนะคะ คุณไม่จำเป็นต้องซีเรียส"
     
            "เอาเถอะ ผมจะไปส่ง" คนตรงหน้าไหวไหล่
     
            จากนั้นเราสองคนจึงตัดสินใจเดินออกจากร้านกาแฟ
     
     
      
     
            สถานีรถไฟใต้ดินแลงคาสเตอร์ทางเข้าดูสกปรก แต่บริเวณชานชะลาสะอาด รถไฟใหม่และดูทันสมัยสมชื่อ   คนอังกฤษเรียกสถานีรถไฟใต้ดินว่า ทูบ ซึ่งหมายถึงท่อ  ลักษณะรถไฟที่นี่คล้ายท่อมากกว่ารถไฟใต้ดินในนิวยอร์ก อุโมงค์ทรงกลมเหมือนกับไม่ได้ใช้ระบบไฟฟ้า
     
            "ลงที่สถานีชานเซอรีเลน เดินไปประมาณหนึ่งช่วงตึกคุณจะพบร้านเช่าจักรยาน มันใหญ่ คุณจะรู้เอง"  ชอว์นบอกเมื่อเรามาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน
     
            "คุณ...."  ไม่ไปด้วยเหรอ  ฉันคิดในใจ  แต่ไม่ได้เอ่ยปากถาม
     
            "ไม่ล่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่ชวนครับ" เขาตอบเหมือนอ่านใจออก
     
            ที่จริงฉันน่าจะรู้   เราไม่สนิทกันขนาดที่ว่าจะเดินเที่ยวเล่นกันได้  อย่างน้อยชอว์นก็ถือสาเรื่องพวกนั้น  เขาเป็นคนดัง การคบหาหรือรู้จักใครสักคนคงเป็นเรื่องที่ต้องไตร่ตรองดีๆ
     
            "โอเคค่ะ" ฉันตอบ "ขอบคุณที่มาส่งนะคะ"
     
            ชอว์นพยักหน้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ   เมื่อการบอกลาแบบแปลกๆของเราจบลง ฉันจึงหมุนตัวเดินไปที่รถไฟที่พึ่งแล่นมาจอด ประตูเปิดอ้าออกเมื่อรถไฟจอดนิ่งสนิท  ผู้คนเริ่มทยอยกรูกันเข้าไปภายใน   ฉันกระชับเสื้อกันหนาวที่สวมอยู่ให้ปิดร่างมากขึ้น  ตระหนักได้ว่าลอนดอนอากาศเย็นกว่าครั้งล่าสุดที่เคยมาเมื่อปีที่แล้ว
     
            คาดว่าน่าจะต้องเดินอีกประมาณเจ็ดก้าวด้วยขายาวๆของตัวเอง มันก็จะถึงประตูพอดี
     
             "สเตฟฟี่"
      
            แต่เพราะเสียงเรียกนั้นทำให้ฉันต้องหยุดการเดินกระทันหัน  คิดว่าตัวเองอาจสะดุดรองเท้าบู้ตส้นสูงที่สวมอยู่ แต่โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น
     
            ชายหนุ่มคนเดิมที่ยืนห่างออกไปดูนิ่งงันคล้ายรูปปั้น  ใบหน้าเรียบเฉยทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าชอว์นต้องการอะไร  สองมือนั้นยังคงล้วงกระเป๋าเสื้อ ท่าทางเหมือนเด็กวัยรุ่นเท่ๆที่ดูเคร่งขรึม
     
            "มีอะไรคะ" ฉันถาม
     
            แต่ชอว์นเงียบกริบและเอาแต่จ้องหน้า  เงียบจนฉันคิดว่าบางทีเขาอาจเปลี่ยนใจไม่พูดอะไรและหันหลังเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน   แต่สิ่งที่ได้ยินต่อมากลับทำให้ใจเต้นโครมครามแบบที่อธิบายไม่ได้
     
           "ผมยังเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณได้ไหม"
     
     
     
    Mokita x The ready set - Broken parts
    We can share our broken parts
     
     
     
      
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×