ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #20 : Chapter 20

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 440
      17
      5 ธ.ค. 63




     
    Throwback
      
            "ผมทำไม่ได้" ชอว์น เมนเดสส่ายศีรษะช้าๆอย่างเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ เขาใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบหน้าตัวเองแรงๆ มากพอที่รองพื้นจะหลุดและอาจทำให้ช่างแต่งหน้าไม่พอใจ "ผมไม่ต้องการให้พวกเขาผิดหวัง แต่ตอนนี้ผมไม่มีแรง ผมต้องการดื่ม แค่แก้วเดียว แล้วผมอาจมีแรงขึ้น"
     
            "ไม่ค่ะ" สเตฟานี่ส่ายหัวตอบคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มที่เธอพยายามอย่างสุดความสามารถมาตลอดห้าอาทิตย์ให้เลิกแตะขวดแก้วแอลกอฮอล์หรือแม้แต่ซองบุหรี่
     
            ไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาชอว์นเกือบถูกปาปารัสซี่ในย่านเชลซีที่นิวยอร์กจับภาพได้ในขณะที่เขากำลังเคาะซองบุหรี่และคว้าไฟแช็คในกระเป๋า โชคดีที่เธอคว้าตัวได้ทันและจับเขายัดเข้ารถเอสยูวีคันใหญ่ติดฟิลม์ ปาปารัสซี่ในนิวยอร์กจึงไม่มีโอกาสได้ภาพราคาดีนั้นไป
     
            มันเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนกว่าแล้วที่เธอร่วมออกเดินทางในทัวร์คอนเสิร์ตของชอว์น การเดินทางรอบยุโรปครั้งใหม่ที่ไม่ใช่เพราะข่าวการเมืองหรือข่าวเศรษฐกิจ ทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงทำให้เธอไม่คุ้นชินในอาทิตย์แรกจนตัดสินใจเปิดมือถืออ่านหุ้น มองหาตัวเลขที่มักคุ้นเคยเพื่อกล่อมให้ตัวเองนอนหลับ
     
            "เพื่อนคุณขอให้คุณพูดเปิดงาน เพราะถึงแม้พ่อแม่ของเขาจะเกลียดเพลงป้อปสมัยใหม่แค่ไหน แต่เขาคุณรู้ดีว่าคุณไม่เหมือนคนอื่นๆในวงการ คุณไม่ได้ดังเพราะที่มาไร้เหตุผล คุณดังเพราะความพยายาม เสียงร้องสดของคุณทำให้ทุกคนประทับใจ และวิธีการพูดของคุณที่ทำให้แฟนคลับหลงรัก คุณไม่จำเป็นต้องดื่ม ยืนอยู่กลางสปอร์ตไลต์คือสิ่งที่คุณทำมาตลอด"
     
            ชอว์นมองหญิงสาวตรงหน้าที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ตรงบริเวณที่นอนในบัส จ้องมองยาวนานเพื่อหวังว่าเธอจะยอมแพ้และละสายตาไป แต่ผลกลับตรงกันข้าม เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งยากที่จะจ้องดวงตาของสเตฟานี่ ลินเดน
     
            เขารู้ดีว่าอาจเริ่มติดแอลกอฮอล์ แม้ไม่เคยคิดว่าตนจะกลายเป็นคนประเภทนั้น แต่เพราะการก้าวเข้าสู่สังคมใหม่ที่มีงานสังสรรค์นับไม่ถ้วน มันจึงไม่มีงานไหนที่เขาจะมีโอกาสได้ดื่มน้ำเปล่าหรือแม้แต่โซดาธรรมดาๆ ชอว์นค้นพบว่าหลังจากอาการมึนศีรษะเริ่มเล่นงาน เขามีความสุขเกินกว่าจะสนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง
     
            ทำตัวให้ดีที่สุดเมื่อผู้คนกำลังจ้องมองมา ชอว์นหวังจะทำได้แบบนั้นอย่างที่ใครหลายๆคนสั่งให้ทำ แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าการกลายเป็นคนมีชื่อเสียงจะถูกจ้องมองตลอดเวลาเช่นนี้ ความอึดอัดก่อตัวขึ้นในใจทุกครั้งที่เขาส่งยิ้ม แอลกอฮอล์คือตัวทำลายความเครียดชั้นดี
     
            "คุณทำได้ค่ะ มิสเตอร์--" สเตฟานี่ถอนหายใจและหยุดคำพูดกลางคัน "ชอว์น ฉันรู้ว่าคุณทำได้ และฉันมั่นใจแบบนั้น"
     
            ชอว์นไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาตัดสินใจตั้งเป้าหมายอีกครั้งว่าจะจ้องนักข่าวตัวสูงตรงหน้าให้นานกว่าเดิม คิดถึงสถิติแล้วเริ่มสั่งตัวเอง ทำให้คล้ายคนไร้อารมณ์ เขาต้องการให้เธอทำตามที่สั่ง หยิบวอดก้าจากที่ไหนสักแห่งที่ทีมงานทุกคนซ่อนจากเขาไว้และยื่นมันให้เขา
     
            แต่บางทีตอนนี้วอดก้าหรือเตกีล่าอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง ในใจลึกๆชอว์นรู้ดีว่าเขาไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านั้นเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
     
            "โอเค" เธอลอบถอนหายใจ ขยับตัวออกห่างจากที่นอนสองชั้นด้านหลังซึ่งมีม่านกั้น "ฉันจะไปเอาเสื้อคลุมมาให้คุณ"
     
            ในที่สุดแขนแข็งแรงก็พันรอบเอวสเตฟานี่ไว้และดึงเธอเข้าใกล้ หญิงสาวสะดุดเตรียมพร้อมสำหรับการล้มลง แต่ทั้งหมดที่รู้สึกคือใบหน้าอุ่นเกือบร้อนของชอว์น เมนเดสที่อยู่ตรงหน้าท้องของเธอ เขากอดเธอไว้แน่นเพราะเตรียมใจสู้หากรู้ว่าเธอจะปฏิเสธและขยับตัวหนี
     
            พระเจ้ารู้ดีว่าตอนนี้สเตฟานี่ตกใจเกินกว่าจะขยับ ความเงียบปกคลุมทั้งคู่ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงบางอย่าง ทว่าชอว์นไม่ได้สร้างเสียงใดๆ  มันอาจเป็นเหงื่อ แต่เธอมีการคาดเดาที่เป็นไปได้และเลวร้ายกว่านั้นว่าอาจจะไม่ใช่ มันอาจเป็นน้ำตา
     
            "เฮ้" หญิงสาวก้มลงมองเส้นผมสีน้ำตาลจัดเป็นทรงพร้อมสำหรับการปรากฏตัวสู่สังคม
     
            ตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนไม่ได้ทำให้เธอเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้ ชอว์นไม่เคยต้องการเธอสำหรับเรื่องใดๆทั้งสิ้น และทุกคนต่างรู้ดี
     
            มือสองนั้นข้างเริ่มจับที่ไหล่ของนักร้องหนุ่มเบาๆอย่างลังเล อาการตื่นตระหนกกำลังเดือดได้ที่อยู่ในใจของสเตฟานี่ แน่นอนว่าเธอไม่มีสิทธิ์ รวมถึงไม่ได้รับอนุญาตให้แตะตัวบุคคลสาธารณะคนนี้ หนึ่งร้อยสิบสองหน้าในกฏของการว่าจ้างเขียนไว้ชัดเจน ซึ่งชอว์นดูเต็มใจที่มีกฏเหล่านั้นมาตลอด ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้
     
            สเตฟานี่คิดว่าการอ่านใจเด็กอายุสิบแปดย่างสิบเก้าปีจะง่ายดายอย่างตอนที่เธออ่านความสับสนและการลังเลใจก่อนตอบคำถามของนักการเมืองได้ แต่ตระหนักได้ว่ากับชอว์น มันไม่มีอะไรที่เธอสามารถเดาออก
     
    _________________________
     
     

     
     
    Present
     
            'She says that she's never afraid. Just picture everybody naked'
     
            ฉันสูดลมหายใจแรงๆในตอนที่ลงจากเรือโดยสารของบรูคลินมาอยู่ใจกลางแมนฮัตตัน แสร้งไม่สนใจเพลงที่ดังก้องอยู่รอบกายมาจากที่ไหนสักแห่ง  หลังผ่านคริสต์มาสมาสามวัน ฉันยังคงได้ยินเพลงใหม่ของชอว์นในเกือบทุกสถานที่ และลมหนาวที่พัดใส่ร่างในตอนนี้ไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่
     
            เบคก้าพูดอย่างมั่นใจว่าเพลง There's nothing holdin' me back ของชอว์นกำลังบรรยายถึงฉัน เธออธิบายแม้กระทั่งภาพมิวสิควิดีโอในยูทูปว่าหญิงสาวผมสีแดงแทนตัวฉันที่เขาจงใจสื่อ แต่การเอาหญิงสาวผมสีแดงที่ดูหน้าตาน่ารักและการแต่งตัวตรงกันข้ามกับคนอายุยี่สิบห้าอย่างฉันมาเทียบนั้นยากจะเชื่อ
     
            ใครจะรู้ บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นคนที่เขาแต่งเพลงถึง และท่อนสั้นๆที่ฉันเคยพูดกับเขาแค่บังเอิญถูกใส่เข้าไป
     
            ฉันได้รับโทรศัพท์จากแอนดรูว์ เกิร์ทเลอร์เมื่อคืนวาน เขาอธิบายและแสดงความขอโทษเรื่องรูปภาพที่พวกเขาคิดว่าฉันเป็นคนปล่อยลงสื่อ ฉันเคยแอบหวังว่าชอว์นจะติดต่อมาด้วยตัวเอง หรือหวังลมๆแล้งๆว่าเขาจะปรากฏตัวที่ประตูหน้าอพาร์ตเมนต์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
     
            ทุกอย่างกลับตาลปัด สิ่งที่เคยเชื่อว่าเป็นความจริงกลายเป็นเรื่องหลอกลวง ฉันไม่แน่ใจว่านานแค่ไหนที่นั่งอยู่บนกองหิมะ ปล่อยให้ลมในฤดูหนาวพัดจนตัวชาเมื่อรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าเจย์เป็นคนปล่อยรูป เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
     
             ที่ผ่านมามันเป็นฉันที่ไม่คิดอยากเผชิญหน้าความจริง บอกตัวเองว่าการที่เจย์มาอยู่รอบๆเพราะแค่ต้องการมิตรภาพของเพื่อนเท่านั้น เจย์ไม่เคยพยายามเข้าใกล้หรือจับมือ เขาคอยดูแลฉัน แม้แต่ตอนที่ฉันเป็นลมในวอชิงตันดีซี เขาตัดสินใจนอนเฝ้าในโรงพยาบาลจนถึงเช้า ไม่ลืมที่จะติดต่อบอกพ่อและเบคก้าให้
     
             ฉันควรจะโกรธสำหรับสิ่งที่เขาทำ แต่ความรักมักพาเราไปสู่การตัดสินใจผิดๆ และไม่ทันได้รู้ตัวว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่อาจเลวร้ายที่สุด ฉันรู้ว่าแบรด เฮอร์นานเดซเข้าใจเรื่องนั้นดี บางอย่างบอกฉันว่าเขาเข้าใจ ในตอนที่เรายืนอยู่คนละฟากของบาร์แห่งหนึ่งในย่านวอลสตรีต
     
             หลังการทำงานตลอดอาทิตย์ช่วงเทศกาลคริสต์มาส การสัมภาษณ์บิล เกตส์ในวอลสตรีตคืองานสุดท้ายก่อนปีใหม่ ฉันไม่คิดว่าจะจบคืนนี้ในบาร์ แต่คิดว่าหากการดื่มจะทำให้ลืมเพลงของชอว์น เมนเดสหรือแม้แต่ใบหน้าของเขาได้ มันก็อาจคุ้ม
     
             ครั้งสุดท้ายที่พบแบรดคืองานแต่งงานของอลิซ แฟนเก่าของชอว์นในแคนาดา มันเป็นการพบกันสั้นๆที่อธิบายทุกความรู้สึกของเราได้ชัดเจน
     
             "ฉันคิดได้ว่าฉันอยู่ได้โดยที่ไม่มีเธอ" แบรดพูดในวันนั้น ดวงตาไม่ได้ซ่อนความรู้สึกเศร้าหมองที่มี "และเธอก็เช่นกัน"
     
            รอยยิ้มบอกลาไม่เคยเป็นรอยยิ้มที่ดี ฉันจำได้ว่าน้ำตาคลอในตอนที่เราโผเข้ากอดกัน คืนที่เรายุติความสัมพันธ์ลงในงานแต่งงานของคนอื่น บรรยากาศใต้แสงเทียนค่ำคืนนั้นไม่ได้ทำให้ทุกอย่างโรแมนติก แต่มันเป็นตลกร้ายที่เล่นงานเราทั้งคู่
     
             บัดนี้ความคุ้นเคยคือสิ่งเดียวที่รู้สึกในตอนที่แบรดเดินเข้ามา มันเป็นครั้งแรกที่ฉันไม่เห็นเขาสวมสูท เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกพับถึงข้อศอก มือถือแก้วที่ภายในมีของเหลวสีทอง
     
             เรายิ้มให้กัน รอยยิ้มที่อารมณ์พอจะเป็นไปตามเสียงเพลงบรรเลงคลาสสิคเหงาๆที่เล่นอยู่ในบาร์พร้อมเสียงพูดคุยของนักธุรกิจในวอลสตรีต
     
             "สเตฟ"
     
             "แบรด" ฉันอ้าแขนเข้ากอดหลวมๆ กลิ่นคุ้นเคยจากแบรดหอมอ่อนๆ แต่สมองกลับนึกถึงกลิ่นของชอว์นอีกครั้ง เมื่อเราคลายกอดจากกัน ฉันจึงยิ้ม "เป็นยังไงบ้าง"
     
             "ช่วงนี้หุ้นกำลังไปได้สวย มีโอกาสขาดทุนแค่สิบเปอร์เซ็นต์" เขาตอบ อย่างที่มักตอบทุกครั้งเมื่อเรานั่งคุยกันในห้องครัว แต่แล้วเขาก็หยุดและหัวเราะ "ขอโทษ ฉันไม่ควรพูดเรื่องนี้ - ฉันสบายดี สเตฟ เธอเป็นยังไงบ้าง"
     
             "ฉันพึ่งทำงานสุดท้ายของปีนี้เสร็จ" ฉันตอบ เบียร์ที่กลืนลงคอไปเมื่อครู่กำลังกัดกินท้องอย่างไม่มีสาเหตุ "คิดว่าพรุ่งนี้จะรอนับถอยหลังวันปีใหม่ที่ไทม์สแควร์"
     
             แบรดเริ่มหัวเราะร่าเสียงทุ้มใหญ่ มือข้างหนึ่งกำยกปิดปากตัวเอง เขารู้ว่าฉันไม่มีทางไปไทม์สแควร์หากไม่จำเป็น นิวยอร์กเกอร์ส่วนใหญ่หลบหลีกไทม์สแควร์เพราะอยู่ที่นี่นานมากพอจะเบื่อกับแสงสีจากป้ายโฆษณาและนักท่องเที่ยวที่วุ่นวายมากพอๆกับนักล้วงกระเป๋า
     
             "อย่างน้อยก็บอกฉันทีว่าเธอไม่ต้องไปสัมภาษณ์นักร้องในเวทีคืนปีใหม่"
     
             "โอ้ ไม่ ฉันจะไม่ทำอีก" ฉันแสร้งกลอกตา ปวดหูเมื่อนึกถึงแฟนคลับกลุ่มใหญ่ที่ตะโกนใส่เพราะฉันกำลังสัมภาษณ์เทย์เลอร์ สวิฟท์หน้าเวทีเมื่อปีที่แล้ว
     
             แบรดยิ้ม "ฉันจำได้ว่าคนในอินเตอร์เน็ตใช้ภาพเธอเป็น gif ใน meme ตลอดเดือนมกรา"
     
             เราหัวเราะเบาๆในตอนที่เพลงบรรเลงคลาสสิคในบาร์กำลังจะจบลง  ฉันมองหน้าแบรด ในขณะที่เขาทำสิ่งเดียวกัน ไม่นานนักอีกฝ่ายก็เริ่มปล่อยลมหายใจแล้วจ้องมองฉันด้วยคิ้วที่ย่นขึ้นเล็กน้อย
     
             "เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย" เขาถามในที่สุด คำถามที่ฉันรู้ว่าเขาตั้งใจจะถามตั้งแต่แรก "ฉันได้ยินข่าว แต่ไม่คิดว่าเป็นความจริง เพราะฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น"
     
             "ขอบคุณ" คือทั้งหมดที่ฉันตอบออกไป และหวังว่าเบียร์ที่ดื่มจะกลายเป็นแอลกอฮอล์อย่างอื่นที่แรงกว่านี้ อย่างน้อยบาร์ในวอลสตรีตก็ไม่ได้เปิดเพลงป้อปที่อาจมีเพลงของชอว์นดังขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และมันอาจดีที่สุดแล้ว
     
             "ฉันเสียใจด้วย" แบรดพูดเสียงอ่อน "ฉันรู้ว่ามันยาก เธอสมควรได้รับคำขอโทษ"
     
             "ไม่หรอก"
     
             "สเตฟ แต่เพลงใหม่ที่เขาพูดถึงเธอมันไม่ได้แย่เลยนะ"
     
             "ฉันไม่คิดว่าเพลงของเขาหมายถึงฉัน" ฉันเงยหน้าจากขวดเบียร์ ดวงตาคล้ำโหลลึกของแบรดยังปรากฏให้เห็นชัดเจน แต่เขาไม่ผอมซูบเหมือนครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน
     
             และเพราะดวงตาสงสารปนเห็นใจที่เขาส่งมาให้ มันจึงทำให้ฉันไม่อาจฝืนมองได้ต่อ "ฉันรู้ว่าเธอรู้" เขาว่า น้ำเสียงอ่อนลงกว่าเก่า "และมันไม่ผิดที่เธอจะเปิดใจกับเขา สเตฟ เธอสมควรได้มีความสุข"
     
             ฉันเกลียดที่แบรดพูดอย่างมีเหตุผล สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดอาจเป็นเพราะเขามักพูดอย่างมีเหตุผลเสมอ และฉันกลัวเกินกว่าจะฟังคำปรึกษาที่เขามอบให้ในเรื่องความสัมพันธ์ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ของเรา แต่เป็นของฉันกับชอว์น
     
             เบคก้าหรือแม้กระทั่งสุนัขในเซ็นทรัลพาร์กที่เห็นบ่อยๆทุกตัวอาจรู้ดีด้วยซ้ำว่าฉันคิดถึงชอว์นแค่ไหน และพยายามมากแค่ไหนที่เสียบหูฟัง เปิดเพลงบรรเลงให้ดังในหูมากพอเพื่อจะกลบเสียงรอบข้าง เสียงเพลงของชอว์น ที่อาทิตย์หนึ่งได้ยินมันผ่านหูมากกว่าห้าครั้ง
     
            ฉันไม่แน่ใจว่าอยากพูดอะไรในตอนที่เหม่อมองกลุ่มฟองในขวดเบียร์ จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นและพบว่าหญิงสาวผมตัดสั้นสีน้ำตาลเข้มกำลังเดินเข้ามาและจับต้นแขนของแบรดอย่างแผ่วเบา
     
             "เฮ้" เธอเริ่มทักเสียงใสแล้วยิ้มให้เขา
     
             แบรดเอื้อมมือไปจับมือเล็กของเธอตอบ แล้วทั้งคู่ก็หันมามองที่ฉัน "เจส นี่สเตฟานี่ ลินเดน - สเตฟ นี่เจสสิก้า แฟนของฉัน"
     
             วินาทีของความเงียบที่พอกอบโกยได้ในบาร์ก่อตัวขึ้น ฉันมองเห็นผ่านใบหน้าของเจสสิก้าว่าเธอกำลังทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินชื่อและไล่สำรวจมองหน้าตาของฉัน มันไม่ใช่ความไม่พอใจ แต่เป็นความหวาดกลัวที่ฉันพอจะเข้าใจ
     
             เพราะเห็นเช่นนั้นฉันจึงตัดสินใจยิ้มกว้างให้เธอแล้วโน้มตัวเข้ากอด "ฉันสเตฟานี่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"
     
             ร่างเจสสิก้าดูบอบบางพอๆกับเบคก้าในตอนที่ฉันกอดเธอ เธอเกือบตัวเล็กเท่าเบคก้า แต่สูงมากพอที่จะไม่ต้องเขย่งตัวเพื่อกอดตอบฉัน เสียงลมหายใจโล่งอกดังเบาๆในตอนที่ฉันทาบมือกับแผ่นหลังของเธอ
     
             "เช่นกันค่ะ ฉันประทับใจคุณมาก ตัวจริงคุณสวยมากจริงๆ"
     
             ฉันปล่อยเสียงหัวเราะเพราะความประหม่าเคอะเขินของเจสสิก้า แก้มเธออมชมพูเมื่อฉันยิ้มแล้วจับฝ่ามือของเธอตอบ "ไม่หรอกค่ะ มันเป็นเพราะพลังของเครื่องสำอาง" ฉันพูด ก่อนที่มือถือจะเริ่มสั่นเพราะข้อความจากเบคก้า
     
             เรามีนัดทำอาหารมื้อดึกกันคืนนี้ ฉันต้องรีบไปก่อนที่หิมะจะตกและสร้างความลำบากในการเดินทางกลับอพาร์ตเมนต์
     
             "ฉันหวังว่าเราจะได้คุยกันต่อ แต่ฉันต้องรีบกลับก่อนที่หิมะจะตก" ฉันบอกเจสสิก้า ก่อนจะหันไปมองแบรด โน้มตัวเข้ากอดบอกลาเขาต่อ "ยินดีที่ได้พบ แล้วเจอกันใหม่นะ"
     
             "เช่นกันสเตฟ อย่าลืมพักผ่อน" เขาพูดเมื่อเราคลายกอดออกจากกัน
     
             "เบคก้าแทบจะใส่ยานอนหลับให้ฉันในอาหารแล้ว ไม่ต้องห่วง" ฉันตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ ไม่ลืมจะกอดลาเจสสิก้าอีกเป็นครั้งที่สอง "ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกันค่ะ หวังว่าเราจะได้พบกันอีก"
     
             "เป็นเกียรติที่ได้พบคุณค่ะมิสลินเดน"
     
             "ได้โปรดเรียกสเตฟานี่เถอะค่ะ" ฉันหยิบเสื้อโค้ตตัวใหญ่ขึ้นมาสวม วางเงินจำนวนหนึ่งบนเคาน์เตอร์บาร์ด้านหลังตัวแล้วแทรกฝูงคนเดินไปที่ประตูกระจกหน้าร้าน
     
             เสียงกระดิ่งดังเบาๆในตอนที่ประตูอ้าออกและเข้าสู่บรรยากาศในอาทิตย์ของเทศกาลคริสต์มาส ฉันพันเสื้อโค้ตรอบตัว หวังว่าส้นสูงที่สวมจะทำให้ไปถึงอพาร์ตเมนต์ได้ก่อนหิมะตก
     
             "สเตฟ"
     
             เมื่อชื่อถูกเรียกกลางคันอีกครั้ง ฉันจึงรีบหยุดฝีเท้าลง มันเป็นเสียงเรียกคุ้นเคยที่ดังต่อจากกระดิ่งของประตูบาร์ เมื่อหันหลังกลับไปฉันรู้ว่าแบรดยืนมองอยู่ เขารีบเสียจนไม่ได้คว้าผ้าพันคอกับเสื้อโค้ตมาคลุมร่างไว้
     
             "ว่าไง" ฉันขยับตัว ส้นสูงกระทบกับพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะ ฉันยิ้มอย่างที่ทำทุกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะฝืน
     
            แบรดยืนเงียบอยู่ตรงหน้า คล้ายกับกำลังไตร่ตรองบางอย่างในระหว่างที่จ้องมองฉันบริเวณริมทางเท้า สายลมเย็นพัดผ่านเรา และมันพัดพาย้ำเตือนความทรงจำดีๆที่เราเคยมีให้กันตลอดหลายปีที่ผ่านมา
     
            ฉันเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเมื่อถึงเวลาที่เราต้องแยกกันเดินคนละทาง สิ่งดีที่สุดในอดีตที่เรามีให้กันนั้นมีค่ากว่าเรื่องเลวร้ายทั้งหมด ความทรงจำดีๆทำให้เราสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ เราเติบโตมากพอจะเรียนรู้และเก็บเรื่องมีค่าไว้ มากกว่าจะเศร้าสลดเพราะสิ่งที่เคยทำร้ายเรา
     
            "ดีใจที่ได้พบเธอ" เขาพูดในที่สุด "ฉันขอให้เธอมีความสุข"
     
            ฉันพยักหน้าตอบรับ อุ่นใจที่รู้ว่าต่อจากนี้เขาจะมีคนข้างกาย เจสสิก้ารักแบรด ฉันรู้ว่าเธอรักเขาเมื่อมองผ่านดวงตานั้น และเธอจะเติมเต็มในสิ่งที่ฉันไม่สามารถให้เขาได้ในอดีต - เวลา และฉันหวังว่าแบรดจะมอบสิ่งนั้นให้เธอเช่นกัน
      
      
     
       
     
            เช้าของวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคมซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปี ฉันรู้ว่ามีบริษัทหลายแห่งไม่ได้ปิดทำการ บริษัทสื่อต่างๆทางทีวีและโลกอินเตอร์เน็ตยังคงทำงานตามหน้าที่ โดยเฉพาะวันสิ้นปีที่พวกเขาจะต้องรายงานข่าวบรรยากาศปีใหม่รอบโลกให้ผู้คนได้ทราบ
     
            บก.ดัสตินตัดสินใจให้ฉันเลิกงานก่อนเวลา ในวันปีใหม่ดูเหมือนเขาจะเป็นเพียงคนเดียวในบริษัทที่ไม่เคร่งเครียดเหมือนทุกวัน  หลังจากแท็กซี่มาจอดที่หน้าตึกบริษัท Buzzfeed ในถนนสายสิบแปด ฉันจึงรวบรวมความกล้าอีกครั้งและเปิดประตูแท็กซี่ออก
     
            เมื่อมาถึงชั้นของ Buzzfeed มีคนนำให้ฉันเดินไปตามทางเดินทอดยาว ผ่านกลุ่มโต๊ะที่เต็มไปด้วยจอคอมพิวเตอร์และผู้คนนั่งทำงานในบรรยากาศที่ดูสว่างสดใส ทว่าเสียงซุบซิบนินทาเมื่อพวกเขาพบฉันยังไม่หายไป สื่อต่างๆยังคงพูดถึงฉัน โดยเฉพาะ Buzzfeed ที่พยายามอย่างสุดความสามารถในการหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงชื่อสเตฟานี่ ลินเดนในบทความเพลงใหม่ของชอว์น
     
            และฉันบอกได้ว่าหญิงสาวที่กำลังนำทางอยู่มีคำถามมากมายในหัวที่อยากจะถามฉัน แต่เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดว่า "อีกไม่กี่นาทีก็จะเสร็จการประชุมแล้วค่ะ ซ้ายมือของโถงมีการถ่ายทำกันอยู่ ระวังหน่อยนะคะ"
     
           ฉันยิ้มและพยักหน้าตอบรับ ได้ยินเสียงพูดคุยดังก้องมาจากบริเวณที่เธอกำลังยกมือขึ้นชี้ แต่เพราะไม่มีเหตุผลจะไปที่ไหนนอกจากนั่งรอ ทั้งหมดที่เธอพูดจึงไม่มีปัญหา
     
           ประตูกระจกใสบานใหญ่ของห้องประชุมถูกเปิดออกในห้านาทีต่อมา ฉันจึงถูกจ้องมองด้วยผู้คนในสายตาที่ไม่เป็นมิตรอีกครั้ง เมื่อคนในห้องประชุมทยอยกันเดินจากไปพร้อมเสียงกระซิบ ฉันค้นพบคนที่ต้องการเจอยังอยู่ข้างใน
     
           มันอาจเป็นความคิดที่โง่ที่สุดที่คิดจะทำ แต่สำหรับฉัน มันคือสิ่งที่ดีที่สุด
     
           ฉันใช้มือเคาะประตูกระจก เรียกร้องให้เจย์ อัลวาโรเงยหน้าจากแล็ปท็อปของตัวเองขึ้นมามองฉัน
     
           ความประหลาดใจ สับสน เป็นกังวลกำลังเล่นงานเขาเมื่อพบว่าฉันยืนอยู่หน้าประตูห้อง
     
           มันเป็นความจริงที่ว่าฉันไม่อยากพบหน้าของเจย์หลังจากที่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไปในอาทิตย์แรก ข่าวต่อมาที่รู้คือเจย์ลาออกจากสำนักข่าวและย้ายมาทำงานที่ Buzzfeed เราไม่ได้บอกลากันแม้แต่คำเดียว ไม่ได้พิมพ์ข้อความหรือติดต่อผ่านทางมือถือ ผู้คนต่างพูดว่าเขาทรยศ แต่ฉันไม่เคยอยากเรียกเขาด้วยคำคำนั้น หรือคำที่ใกล้เคียง
     
           "สเตฟานี่" เจย์เรียกเสียงเบา เขาค่อยๆขยับตัวอย่างระมัดระวังและลุกขึ้นจากที่นั่ง สายตาเหลือบมองนอกห้องประชุมกระจกใสเล็กน้อย อาจเพราะกลัวว่าใครสักคนจะผ่านมาสนใจ "เธอมาทำอะไรที่นี่"
     
           "นายสบายดีมั้ย" ฉันถามเลี่ยงพลางใช้มือปิดประตู ปัดเส้นผมที่บังใบหน้าให้พ้นตาแล้วจ้องมองเจย์ที่อยู่อีกฟากของห้อง
     
           "ฉันสบายดี" เขาตอบ
     
           แล้วเราก็เข้าสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์แบบ
     
           บางทีมันอาจเป็นความคิดที่ผิดที่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับคำพูดมาก่อนหน้านี้ เพราะตอนนี้สมองโล่งว่างเปล่า และฉันเริ่มไม่แน่ใจถึงจุดมุ่งหมายของการมาที่นี่อย่างแท้จริง
     
           "ฟังนะ" เจย์รีบทำลายความเงียบ เขาเดินช้าๆมาหาฉัน "ฉันรู้ว่าเธอรู้เรื่องแล้ว และฉันขอโทษสำหรับสิ่งที่ทำไป ฉันไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และ--"
     
           "ช่างเถอะ อย่าพูดถึงมัน ฉันเข้าใจ"
     
           ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาแล้วหยุดคำพูด เขาชะงักจ้องมองฉัน เหมือนค้นพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ "สเตฟ ฉันรู้ว่าฉันทำผิด และเกือบทำลายอาชีพของเธอ แย่กว่านั้นคือทำร้ายจิตใจของเธอ ฉันรู้ว่ามันสมควรถ้าหากเธอไม่ต้องการคุยกับฉันอีก ดังนั้นถ้าเธออยากจะมาที่นี่เพื่อต่อว่า ฉันก็เข้าใจ"
     
           "ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะอยากจะพูดอะไรแบบนั้น เจย์ ฉันเบื่อเกินกว่าจะไม่พอใจหรือเกลียดใครสักคนแล้ว" ฉันส่ายศีรษะ "และฉันไม่โทษนายที่ทำแบบนั้น แต่อยากขอโทษ เพราะถ้าฉันสังเกตุเห็นหรือคิดได้ว่านายรู้สึกยังไง นายอาจจะไม่ทำแบบนั้น ฉันรู้ว่านายไม่ได้ภูมิใจกับสิ่งที่ทำ"
     
           "ไม่สเตฟ ฉันเคยภูมิใจในสิ่งที่ทำ เธออาจไม่เชื่อ แต่ฉันเคยดีใจที่รู้ว่าเธอกับชอว์นแยกทางกัน" เขาขัด น้ำเสียงขมขื่นชัดเจน
     
           ฉันรู้ว่าเขาพูดความจริง แม้จะไม่ได้เตรียมใจกับคำสารภาพที่เกินความคาดหมายนี้ แต่ความโกรธดูเหมือนจะยังไม่ก่อตัวขึ้น ฉันพยายามมาตลอดหลังรู้เรื่องจากแอนดรูว์ พยายามหาเรื่องไม่พอใจเจย์ในตอนที่รู้ว่าเขาลาออกจากสำนักข่าวและไม่คิดจะบอกหรือติดต่อมาเพื่อคุยเรื่องทั้งหมด
     
           แต่เจย์ อัลวาโรที่ฉันรู้จักมาตลอดสามปีไม่สามารถทำให้โกรธได้ มันอาจเป็นเพราะชีวิตที่ผ่านมาพบเจอกับความผิดหวังมากเกินไป โกรธและผลักไสผู้คนมากเกินไป และตอนนี้ฉันแค่ต้องการจะยอมแพ้ อยากจะหยุดและเริ่มต้นชีวิตดีๆอีกสักครั้ง
     
           "ฉันก็ยังไม่โกรธ" ฉันกอดอกพร้อมปล่อยลมหายใจเบาๆ "ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงมาที่นี่ตั้งแต่แรก แค่รู้ว่าต้องเจอนาย อยากทำให้แน่ใจว่าเราจะไม่จบลงด้วยเรื่องแย่ๆ อย่างน้อยถ้านายจะไปจากชีวิตฉัน ฉันก็หวังว่านายจะไปเพราะพบคนที่ใช่ในชีวิต หรืออาจย้ายไปอยู่ชนบทสร้างครอบครัว ไม่ใช่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไปตลอดชีวิตที่เหลือเพราะฉัน"
     
           "ให้ตายเถอะสเตฟ! เธอเป็นบ้าอะไร!" เขาโพล่งเสียงดัง ดูหัวเสียในตอนที่ขยับสองมือลูบใบหน้าตัวเอง "บอกว่าฉันมันเป็นคนทรยศ หลอกลวง จิตใจเลวร้าย เป็นคนที่ทำลายชีวิตของเธอสิ บอกฉันว่าฉันทำลายความสัมพันธ์ของเธอกับชอว์น!"
     
           ฉันกลืนน้ำลาย จนถึงตอนนี้ชื่อชอว์นยังคงทำให้เผลอหยุดชะงัก และรู้ว่าเจย์สัมผัสได้
     
           "ฉันก็หวังว่าจะทำได้" ฉันลดเสียงตัวเอง "แต่นายเป็นเพื่อนรักฉัน มันไม่ผิดที่นายจะทำพลาด เราทุกคนทำผิดพลาด"
     
           "แต่ฉันไม่สมควรได้รับการให้อภัย"
     
           ฉันหยุดเพื่อจ้องมองเจย์ บางอย่างทำให้รู้ว่าเขารู้สึกอย่างเดียวกันกับที่ฉันเคยรู้สึก โทษตัวเองกับเรื่องทั้งหมด คิดว่าสิ่งเลวร้ายคือสิ่งเดียวที่สมควรเผชิญ ไม่มีการเริ่มต้นใหม่หรือให้อภัย นั่นคือสิ่งที่ฉันใช้ทำร้ายตัวเองมาตลอด
     
           "เจย์ อย่าเป็นเหมือนฉันที่มัวแต่โทษตัวเอง มันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ฉันเคยปิดกั้นทุกคน แล้วดูสิ่งที่ฉันได้รับตอนนี้ว่ามันแย่แค่ไหน  ชอว์นไม่ได้ไม่พอใจฉันเพราะเรื่องรูป แต่เขารู้ว่าฉันไม่เคยเปิดใจกับเขา ฉันโทษตัวเองว่าการปล่อยให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตทำให้ชีวิตทั้งหมดต้องพังทลายลง ทั้งๆที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น"
     
           เขาเงียบอีกครั้ง และต่อให้เขาจะเถียงกลับมา ฉันรู้ว่ามีเหตุผลเป็นล้านข้อที่จะโต้กลับไป
     
           ช่วงระหว่างจบมหาวิทยาลัยเข้าสู่อาชีพนักข่าวเป็นเวลาที่ฉันกับแบรดแยกทางกัน ก่อนที่ฉันจะพบอเล็กซ์ เทอร์เนอร์ แบรดรู้ว่าหลังจากที่เรากลับมาคบกันอีกครั้ง ความสดใสที่เขาต้องการจากตัวฉันไม่มีอีก เขาพยายามจะพูดถึงมัน แต่ฉันอ้างเรื่องงานของเราทั้งคู่เพื่อเลี่ยงบทสนทนาทุกครั้ง
     
           ฉันรู้ว่าทำร้ายคนรอบข้างมามากพอแล้ว และไม่ต้องการเห็นเจย์เป็นแบบนั้นเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุ
     
           "ฉันให้อภัยนาย ดังนั้นอย่าโทษตัวเอง เพราะมันจะทำให้ฉันโกรธนายมากๆ" ฉันพูดต่อ เห็นใบหน้าของเจย์ที่กำลังมองมา ตระหนักได้ว่าโง่แค่ไหนที่มองไม่เคยเห็นความรู้สึกของเขา "และฉันขอโทษที่ไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกัน"
     
           ชายหนุ่มผมสีเข้มตัดสินใจปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่เราปล่อยให้ห้องเงียบมานานหลายนาที มันพอจะทำให้โล่งอกได้ในตอนที่เขาเริ่มพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ฉันขอกอดเธอหน่อยได้มั้ย"
     
           "โถ เด็กน้อย" ฉันหัวเราะพลางรีบอ้าแขนกอดคนตัวสูงในระดับเดียวกัน มือตบแผ่นหลังกว้างๆของเจย์เป็นการปลอบใจ "นายจะมีผู้หญิงเข้ามาไม่ขาดสาย ถ้านายเปิดหูเปิดตาสักนิด"
     
           "เธอมั่นใจอย่างนั้นเหรอ" เขาถามเสียงอู้อี้มาจากไหล่ของฉัน
      
           "แน่นอน นายเป็นนายแบบได้เลย ฉันยังแปลกใจที่นายมาทำงานสายนี้มากกว่าจะไปยืนถ่ายแบบคู่พี่น้องนางแบบฮาดิด"
     
           เมื่อเราคลายกอดออก เจย์จึงตั้งใจขมวดคิ้วใส่ฉัน "นายแบบคงไม่ใช่ทางของฉัน" เขาว่า "ขอบคุณนะสเตฟ สำหรับทั้งหมดที่เธอทำให้ฉัน แต่ได้โปรดอย่าติดต่อเอเจนซี่ย์นายแบบให้ฉัน"
      
           "ฉันไม่สัญญาเรื่องนั้น" ฉันหัวเราะ
     
           ในตอนที่เราเดินออกจากห้องประชุม เสียงพูดคุยและความวุ่นวายก็เพิ่มขึ้นกว่าเก่า ฉันมองลอดผ่านช่องว่างของผู้คนและพบชายตัวสูงผอมสวมแว่นสายตากำลังยืนพูดคุยบางอย่างอยู่หน้ากล้อง แสงสว่างจากนิวยอร์กนอกอาคารมากพอที่จะไม่ต้องใช้สปอร์ตไลต์ พวกเขากำลังเดินไปมารอบโถงกว้าง เจย์หายปนไปกับหมู่คนในตอนที่ฉันเดินมุ่งตรงไปที่ลิฟท์
     
           "ผมขอจูบหน้าผากคุณหน่อยได้มั้ย"
     
           คำถามนั้นดังก้องมาจากคนคนหนึ่งภายในฝูงคนด้านหลัง เดาได้ว่าเป็นมันอาจเกมแปลกๆบางอย่างที่ Buzzfeed คิดขึ้นและให้คนมีชื่อเสียงที่มาเยือนสถานที่ทำ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครตาม ฉันสงสารเขาอย่างสุดซึ้ง
     
           ทว่าในตอนที่ประตูกระจกบานใหญ่ถูกเปิดออกและเข้ามาขวางทางไว้ ฉันเงยหน้าและพบกับบางอย่าง - บางคน คนที่มีอิทธิพลมากพอจะทำให้ร่างชะงักแข็งทื่อ  รอยยิ้มและเสียงทุ้มใหญ่ที่คุ้นเคยเริ่มดังก้องชัดเจนอยู่ตรงหน้า ทีมงานแบกกล้องกำลังเดินตามเขากับชายหนุ่มสวมแว่นที่เห็นครั้งแรกในสถานการณ์วุ่นวาย
     
           พิธีกรแว่นกรอบสีดำหยุดและหันมามองฉันเมื่อเห็นว่าคนข้างกายหยุดพูดชั่วขณะ ต่อจากนั้นทั่วอาคารของ Buzzfeed ที่เสียงดังก้องคล้ายสตาร์บั้คยามเช้าในนิวยอร์กก็พร้อมใจกันเงียบสนิท
     
           ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังหวังอะไร หวังว่าจะตาฝาด หรือหวังให้ชอว์น เมนเดสยังยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่คิดจะเดินจากไปเหมือนครั้งสุดท้ายที่เขาทำ หรือหวังให้เขาบอกว่าเขารักฉัน ไม่ใช่เห็นฉันเป็นเครื่องมือสำหรับบางอย่าง และเขาเสียใจสำหรับเรื่องทั้งหมด
     
           ชอว์นเริ่มมองฉันหัวจรดเท้า ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของเขา มันให้ความรู้สึกคล้ายร่างถูกตรึงอยู่กับพื้น และทุกคนไม่มีท่าทีว่าจะทำลายวินาทีหยุดชะงักกลางคันนี้ลง  แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา และใครบางคนอาจกำลังแบกป้อปคอร์นมากินระหว่างชมเหตุการณ์นี้
     
           ฉันคิดถึงเขา คิดถึงกลิ่นหอมสดชื่นที่คุ้นเคยเมื่อกอดเขาแนบร่าง ใบหน้าอมชมพูกับดวงตาสีเข้มที่เข้ากับเส้นผมนั้น  ชอว์นผมยาวขึ้น มากพอจะเป็นลอนและดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ฉันตระหนักได้ว่ามันยากแค่ไหนที่ฝืนให้ตัวเองไม่วิ่งเข้าไปกอดเขา
     
           ชอว์น เมนเดสค่อยๆก้าวขาเข้ามา ครึ่งหนึ่งในใจฉันเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องเลวร้ายที่อาจได้ยินจากปากเขาอีกครั้ง และหวังว่าจะไม่รู้สึกแย่ไปมากกว่าที่เคยรู้สึก หวังว่าจะเข้มแข็งพอ ไม่แสดงความผิดหวังเจ็บปวดอีก
     
           แต่สิ่งที่เขาพูดเป็นเพียงประโยคเดิมที่พึ่งได้ยินเมื่อครู่ มันแค่มีบางอย่างในประโยคตกหล่นหายไป กับความรู้สึกเก่าๆที่ทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวเหนือความคาดหมายที่เราเคยทำด้วยกันในยุโรป
     
           "ผมขอจูบคุณหน่อยได้มั้ย"
      
     
        
    LEVV - Collateral damage (Tritonal remix)
    I do my best not to miss you
     
     
    Talk
     
    Watch Shawn in Buzzfeed video : https://www.youtube.com/watch?v=Tz4FsKDrCtY&t=408s

    ขอโทษที่หายไปนานนะคะ เรื่องนี้ยอมรับว่าหายเงียบไปนานจริงๆ ขอโทษทุกคน5555555 เราตั้งใจให้ในตอนนี้เคลียร์เรื่องราวทั้งหมดที่สร้างไว้ในตอนที่ผ่านๆมา ดังนั้นตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายจริงๆแล้วนะ / ใครที่ชอบเพลงชิลๆแนะนำเพลงในตอนนี้ที่แนบไว้ค่ะ อารมณ์เหมาะกับนั่งรถฟังเพลงมากๆ55
     
    อย่าลืมติดตามคอมเมนต์ให้กำลังใจเรานะคะ กำลังใจของทุกคนมีค่ากับคนเขียนจริงๆ อย่าคิดว่ามันไม่สำคัญเลย โหวตเอาก็ได้นะ เราอยากรู้เสียงตอบรับ เพราะเรื่องนี้เงียบนิดนึงเนอะ555 ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันค่า
     
     
     
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×