ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ambition | Shawn Mendes FanFiction [END]

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 18

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 347
      13
      5 ธ.ค. 63

     

     
          ฉันไม่ได้พูดถึงมัน ไม่ได้พูดกับเจย์ เบคก้า พ่อ หรือแม้แต่เพื่อนคนอื่นๆที่ติดต่อมาทางโทรศัพท์เพราะความอยากรู้อยากเห็นปนความสงสารเห็นใจ ฉันไม่ได้ให้เวลากับนักข่าวที่มักปรากฏตัวและเข้าหาในที่สาธารณะเพื่อถามเรื่องของชอว์นในมุมมองของฉัน เพราะเรื่องราวของฉันไม่ได้มีไว้ขาย ไม่มีทางเป็น
     
          บก.ดัสตินส่งนักข่าวคนใหม่ไปแทนฉันหลังจากทราบเรื่องการทะเลาะวิวาทจากเพื่อนร่วมโปรเจคเดียวกัน ฉันกลับมานิวยอร์กก่อนจะถูกเรียกตัวกลับ เตรียมตัวรับคำต่อว่าจากบก. ทว่าไม่มีแม้แต่คำพูดเดียวที่เกี่ยวโยงกับชอว์น เมนเดสและโปรเจคของเขา
     
          แต่ถึงอย่างนั้น ข่าวจากสำนักอื่นรวมถึงนิตยสารยังคงเผยแพร่เรื่องราวของฉันและชอว์น แทนที่จะต่อว่าเรื่องการไร้หัวใจของฉัน พวกเขาตัดสินใจหารูปฉันที่มีรอยยิ้มพร้อมทั้งแนบรูปชอว์นในใบหน้าตึงเครียดติดไว้ข้างกัน
     
          ฉันควรจะรู้สึกแย่น้อยกว่านี้ เพราะทุกคนพูดกันว่าฉันเปิดมุมมองใหม่ของชอว์น เมนเดสสู่สาธารณะ แต่ความจริงที่ว่าฉันไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องและถูกหักหลังกำลังกรีดแทงทั่วร่างกายสร้างรอยแผลทีละนิด
     
          การกลับเข้าสู่วงจรข่าวการเมืองเพิ่มความเครียดมากกว่าเก่า แต่เมื่อมีเวลาว่างระหว่างวัน ฉันตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปบริษัทสื่ออินเตอร์เน็ต นิตยสารชื่อดังและสำนักข่าวอีกหลายแห่ง เพียงเพื่อจะบอกให้พวกเขาตัดข่าวรูปภาพของชอว์นทิ้ง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ยากจะตอบตกลง ข่าวนั้นสร้างรายได้ในหนึ่งอาทิตย์ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ผู้คนเปิดเว็บอ่าน คลี่หน้าหนังสือเมื่อเห็นภาพหลุดของชอว์น เมนเดส
     
         มีการสัมภาษณ์ชอว์นหลังจากภาพหลุดถูกปล่อย เรื่องราวในมุมมองของเขากลายเป็นเรื่องสาธารณะไปแล้ว  แน่นอนว่าฉันอยากยืนฟังบทสัมภาษณ์ของเขาขณะที่เดินผ่านกลุ่มเพื่อนร่วมงานในบริษัทที่กำลังเปิดทีวีฟัง แต่สุดท้ายตัดสินใจไม่มอง ฟัง หรืออ่านเรื่องราวใดๆเกี่ยวกับเขาทั้งนั้น เพราะรู้ว่าอาจกลับไปอยู่ในจุดเดิม
     
         จุดเดิมที่ฉันอ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรไปมากกว่าการนั่งร้องไห้และสิ้นหวัง
     
         ฉันน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างชอว์น เมนเดสจะสนใจคนอย่างฉัน นักข่าวธรรมดาคนหนึ่งที่มีอดีตน่าสมเพช ซึ่งต่อให้พยายามกลบมันฝังลึกแค่ไหน มันก็ถูกขุดขึ้นมาจากบุคคลแปลกหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง
     
         ความจริงที่ว่าฉันเคยถูกหนึ่งในนักร้องวงร็อคใช้เป็นสิ่งของเพื่อสร้างชื่อเสียงกลับมาโด่งดังอีกครั้ง เรื่องตลกร้ายก็คือไม่มีใครเข้าใกล้ข้อเท็จจริงแม้แต่น้อย พวกเขาเต็มใจจะเสียเวลาเพื่อพิมพ์ข้อความดูถูกฉัน แม้แต่เวลาทำงานอย่างเช้าวันจันทร์
     
         ทว่าต่อให้จะมีดราม่าเกิดขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ยังคงปฏิเสธที่จะพูดถึงมัน ไม่ได้เล่าให้พ่อที่ติดต่อมาทุกอาทิตย์ ไม่ได้โอดครวญร้องไห้กับเบคก้าผู้ที่อาศัยอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกัน ไม่ได้ระบายทั้งหมดให้คนแปลกหน้าในซับเวย์ฟัง
     
         ไม่ได้ติดต่อหาชอว์น
     
         มีเพียงคนเดียวที่ไม่สามารถทนกับความเงียบของฉันได้อีกต่อไป - บก.ดัสติน แฮมิลตัน
     
         ดัสตินนัดฉันให้ไปพบในออฟฟิศของเขาเช้าวันนี้ก่อนเริ่มงาน และระหว่างการเดินไปตามทางยังคงเต็มไปด้วยสายตาจากเพื่อนร่วมงานบนโต๊ะที่มักแอบมองและหยุดบทสนทนาทันทีที่ฉันเดินผ่าน หรืออาจเพราะบทสนทนาที่กำลังลุกเป็นไฟเหล่านั้นมีฉันเป็นตัวดำเนินเรื่อง
     
         บก.วางสายโทรศัพท์บนโต๊ะพอดีกับที่ฉันเคาะประตู เขาโบกมือช้าๆให้เดินเข้ามา ฉันจึงเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะ  ตระหนักได้ว่าเมื่อต้นปีก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้ แต่รู้สึกมั่นใจในชีวิตตัวเองยิ่งกว่าหญิงสาวทุกคนในนิวยอร์ก ช่างน่าขำที่ตอนนี้ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่ามั่นใจแม้แต่น้อย
     
         "เป็นยังไงบ้าง" บอสเริ่มถาม
     
         "ดีค่ะ" ฉันตอบรับ "ขอโทษที่เรื่องออกมาเป็นแบบนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มัน...ผิดพลาด"
     
         "ล้อเล่นรึเปล่า โทรศัพท์ของฉันดังไม่หยุดหย่อน ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้ารายได้ก่อนปีใหม่ของสำนักข่าวจะพุ่งสูงขึ้น และถึงจะมีคนต่อว่าเธอมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังสนใจจะหยิบเรื่องของเธอและชอว์นขึ้นมาอ่านอยู่ดี"
     
         "ยินดีด้วยค่ะ" ฉันพูด พยายามจะหมายความตามที่พูดออกไป
     
         "คนพวกนั้นทำร้ายเธอมามากพอแล้ว" ดัสตินเริ่มพูดเสียงอ่อน
     
         แน่นอน บอสต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และกรณีนี้คือข้อเท็จจริง แต่ต่อให้บอสหรือเจ้าของสำนักข่าวรู้เรื่องราวของฉัน พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดสิ่งเหล่านั้นได้ โลกนี้อยู่ยาก และดูจะยากขึ้นทุกวัน ฉันรู้สึกเหมือนเกราะเหล็กกล้าที่สร้างขึ้นกำลังพังทลายลงทีละนิด
     
         ฉันไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อีกตั้งแต่วันที่เผชิญหน้ากับชอว์นเป็นครั้งสุดท้าย แต่ความสงสารบนใบหน้าของบอสที่แทบไม่เคยปรากฏขึ้นกำลังทำให้รับไม่ไหว
     
         ดัสตินปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ เขาละจากพนักเก้าอี้แล้ววางแขนสองข้างลงบนโต๊ะ "รู้มั้ย ฉันไม่ใช่ผู้ชายอ่อนโยน"
     
         โอ้ อย่างกับว่าจะไม่มีใครรู้
     
         "แต่ฉันชื่นชอบเธอเสมอ มองเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง"
     
         ฉันค่อยๆกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นเรื่องใหม่
     
         "ฉันมองเห็นตัวเองในตัวเธอ ฉันชอบความกระตือรือร้น ความขยัน ความเป็นมิตร และการเก็บความรู้สึกได้ดีเยี่ยมของเธอ" เขาอธิบาย "เธอทำงานได้ดีมาตลอด ทุ่มเทกับทุกข่าว เธอเป็นคนที่ยามเฝ้าประตูจำหน้าได้ เพราะเธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนสุดท้ายที่ออกจากบริษัทเสมอ"
     
         ความเงียบคือสิ่งเดียวที่ฉันตอบกลับดัสติน รู้ดีว่าในสถานการณ์นี้เขาไม่ต้องการให้ฉันขัดคำพูดเกริ่นสวยหรูของตัวเอง  และที่สำคัญ ฉันกำลังหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่าเขาอาจพูดร่ายยาวก่อนเชิญฉันออกจากงานอย่างสุภาพที่สุด
     
         "อย่างที่รู้ๆกัน เธอเขียนข่าวได้ดี ทำข่าวภาคสนามดีเยี่ยม เธอมีแฟนคลับ เมืองนี้รักเธอ พวกผู้ชายหลงใหลเธอ พวกผู้หญิงอยากจะเป็นเธอ แต่ตลอดเวลาเธอดู...ตัวคนเดียว"
     
         มันเจ็บกว่าที่คาด ฉันอาจต้องเตรียมผ้าพันแผลก่อนที่จะได้ยินไปมากกว่านี้ จนกระทั่งสมองเล็กๆเริ่มตระหนักบางอย่างได้
     
         "นั่นคือเหตุผลที่คุณให้ฉันทำงานนี้ ทั้งๆที่ควรจะให้นักข่าวสายบันเทิงทำ คุณตั้งใจให้ฉันพบแอนดรูว์"
     
         ดัสตินพยักหน้า "ฉันคิดว่ามันอาจดีสำหรับเธอ ฉันอยากให้เธอเปิดใจรับสิ่งใหม่ ติดต่อพูดคุยกับใครสักคนที่อยู่ในสภาวะคล้ายเธอ  ฉันได้พบชอว์น เมนเดสและได้พูดคุยกับเขา เด็กคนนั้นไม่ได้ไร้สาระเหมือนวัยรุ่นทั่วไปในสมัยนี้"
     
         "มิสเตอร์แฮมิลตัน" ฉันเริ่มผ่อนลมหายใจ "มันเป็นเรื่องจริงที่ฉัน...ค่อนข้างตัวคนเดียว แต่ฉันมี - เคยมีคนรักในเวลานั้น และฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันทำกับชอว์นผิดกฏ มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรทำเพราะด้วยหน้าที่ - แต่ยังไงก็ตาม ฉันคิดว่าฉันควรมีสิทธิ์ได้เลือกด้วยตัวเอง ฉันเลือกข่าวการเมืองเพราะฉันถนัดในสิ่งนั้น และฉันรู้ว่าข่าวบันเทิงไม่เคยเป็นอะไรที่เชี่ยวชาญ"
     
         "ฉันรู้" ชายผิวสองสีเม้มปาก "ส่วนเรื่องของคนสองคน ไม่มีใครห้ามความรู้สึกตัวเองได้ ฉันคิดจะเรียกเธอกลับมาเพราะเรื่องระหว่างเธอกับชอว์น แต่คิดได้ว่านี่คือความตั้งใจที่ฉันอยากให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก ให้เธอได้เปิดใจมากกว่าเก่า ถึงแม้มันจะเลยจุดที่ฉันตั้งใจไว้ไปมากกว่าที่คิด"
     
         "ฉันหวังว่าคุณจะเรียกตัวฉันกลับมาตั้งแต่ตอนนั้น"
     
         "สเตฟานี่" บก.เรียกพลางถอนหายใจ "นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือเธอเริ่มฝึกเขียนข่าวตั้งแต่อายุสิบสอง ค่อนข้างเร็วสำหรับอาชีพนักข่าว เช่นเดียวกับชอว์น พวกเธอมีจุดเริ่มต้นที่คล้ายกันในอาชีพที่กำลังทำ ฉันคิดว่ามันจะช่วยทำให้เธอร่วมสร้างสารคดีออกมาได้ดีเยี่ยม เพราะเธอเข้าใจในจุดของชอว์นที่คนอื่นอาจไม่เข้าใจ"
     
         "แต่ฉันทำไม่สำเร็จ"
     
         ดัสตินพยักหน้า ดูหลีกเลี่ยงจะยอมรับ "ฉันไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเธอ และฉันขอโทษ ฉันแค่อยากให้เธอมีโอกาสได้รู้จักสังคมใหม่บ้าง สังคมที่ไม่ได้มีแต่คนสวมสูทกับการรักษาความปลอดภัยระดับสูงของนักการเมือง แต่ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้ และเห็นได้ชัดว่าฉันไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขขึ้น แต่ฉันทำให้เธอ..."
     
         "ฉันดูแย่กว่าเก่า ฉันเข้าใจค่ะ" ฉันต่อประโยคที่ไม่คิดว่าดัสตินอยากพูด "มันไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานของฉันจะตัดสินใจทำอะไรบ้าง หรือแม้แต่เรื่องรูปจะถูกเผยแพร่"
     
         "ดังนั้นมันไม่เป็นไรถ้าช่วงนี้เธอจะพักงาน พักผ่อนแล้วกลับมาทำงานใหม่ในมกราคม เดือนธันวาคมสมควรจะได้พักจริงมั้ย ฉันคิดว่าได้ยินพนักงานบ่นเรื่องวันหยุดมากกว่าสิบครั้งต่อวัน และฉันจะมอบมันให้เธอเป็นสิทธิพิเศษ"
     
         "ไม่ค่ะ ฉันไม่ต้องการพัก" ฉันปฏิเสธ "คุณพึ่งบอกว่าสำนักข่าวเรากำลังได้รับความสนใจ ฉันควรจะปรากฏตัวหน้ากล้องหรือมีชื่อใต้รายงานข่าวในอินเตอร์เน็ต ทำให้คนอ่านชื่นใจสักหน่อย ไม่งั้นพวกเขาอาจผิดหวัง"
     
         "ปล่อยให้พวกเขาผิดหวังไปสิ" ดัสตินรีบค้าน "มันไม่สำคัญเท่าจิตใจของคนคนหนึ่ง"
     
         "ไม่ค่ะ ฉันทำได้ ฉันยังทำงานได้"
     
         "ตกลงว่าเธอแคร์เขารึเปล่า ฉันหมายถึงเมนเดส" ดัสตินเลิกคิ้ว เสียงทุ้มใหญ่ในชื่อของชอว์นดังก้องทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยมกระจกใส
     
         ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ได้คิดอยากปิดบังในสิ่งที่คิด "ฉันแคร์เขา และอาจจะมากเกินไป"
     
         ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกครั้งหนึ่ง เขาจ้องมองฉัน ขมวดคิ้วครุ่นคิดจริงจัง ฉันแอบมองทะลุร่างเขาไปที่นิวยอร์กยามเช้าด้านล่าง ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยว
     
         "งั้นก็เขียนเกี่ยวกับเขาซะ"
     
         ดูเหมือนบทสนทนานี้จะยิ่งยากเย็นขึ้นเรื่อยๆขณะที่ฉันหันกลับมามองดัสติน ที่ตอนนี้ใบหน้าดูมั่นใจขึ้นอีกระดับ
     
         "เขียนเรื่องราวประสบการณ์ของเธอลงในข่าวผ่านเว็บไซต์ และฉันไม่ได้หมายถึงเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่เขียนว่าเธอได้เรียนรู้อะไรบ้าง เขียนเกี่ยวกับความรู้สึกแท้จริงของเธอ เกี่ยวกับเขา"
     
         "มิสเตอร์แฮมิลตัน ด้วยหน้าที่ของฉัน ฉันสามารถเขียนเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของฉันได้ สามารถเขียนเรื่องความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอดและจบลงด้วยการนอกใจ เรื่องราววุ่นวายระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ฉันจะไม่เล่าเรื่องความรู้สึกส่วนตัวของฉันให้คนแปลกหน้าอ่าน และคุณเคยบอกว่าฉันไม่ควรทำสิ่งนั้น ไม่ควรเขียนความคิดเห็นส่วนตัว"
     
         ดัสตินมอบรอยยิ้มเล็กๆให้ฉัน "พูดได้ดี สเตฟานี่ แต่สิ่งที่เธอเจอครั้งนี้ไม่เคยอยู่ในบทความไหนๆของสำนักข่าวเรา ประสบการณ์ของนักข่าวที่รู้จักแต่การเมืองและบารัค โอบาม่า แต่ต้องก้าวเข้าสู่สายดนตรีพบนักร้องอายุสิบแปด เธอเคยเขียนบทความให้คำแนะนำการเดินทางไปตะวันออกกลาง ประสบการณ์การทำข่าวภาคสนาม - ฉันไม่ได้ขอให้เธอเขียนแต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ได้ขอให้เธอเขียนนิยายดราม่า แต่เขียนเรื่องราวที่เธอเจอ สิ่งที่รู้สึกเมื่อได้เข้าสู่วงการเพลงและรู้จักสังคมใหม่ บรรยากาศแปลกใหม่ที่เธอได้รับ"
     
        ฉันกำลังจะอ้าปากเพื่อเถียง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉันปล่อยให้คำพูดดัสตินดังทวนซ้ำในหัว
     
        "การเขียนถึงมันอาจช่วยเธอได้ และฉันไม่ว่าอะไรถ้าเธออยากจะเขียนความรู้สึกเล็กๆของเธอที่มีต่อชอว์น เพราะคนทั้งโลกตอนนี้คงทราบดี อย่างน้อยก็คนในบริษัทเรา"
     
        ฉันปิดสมุดโน้ตบนตักเงียบๆ เพราะต้องใช้ความคิด  ฉันอยากบอกความจริงทุกอย่าง ความจริงระหว่างฉันกับชอว์น ความรู้สึกแท้จริงที่ชอว์นอาจไม่ได้คิดใกล้เคียงกับฉันแม้แต่น้อย - มันเจ็บ แต่นั่นคือความจริง ฉันรักเขา และฉันเกลียดที่ต้องยอมรับความจริงนั้น
     
         มันไม่ใช่แค่ชอว์น แต่รวมถึงแอนดรูว์ ทีมงานคนอื่นๆของชอว์น น้องสาวของเขา เพื่อนร่วมงานที่ทุ่มเทกันตัดต่อวิดีโอจนดึกดื่น ฉันอาจหลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าพวกเขาหักหลังฉัน เพราะนั่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหากถูกเผยแพร่ลงเว็บไซต์
     
         ปัญหาก็คือ ฉันจะทำมันได้จริงหรือไม่ จะเขียนอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับชอว์น เมนเดสได้หรือไม่
     
     

      
      
         มันค่ำแล้วตอนที่ฉันเดินออกจากตึกสำนักข่าว หิมะหยุดตกตั้งแต่เมื่อช่วงเย็น พื้นเปียกชุ่ม ขอบทางเท้าเต็มไปด้วยกลุ่มกองหิมะสกปรก นิวยอร์กสว่างสไวในยามค่ำคืน ต้นไม้ยังมีไฟประดับจากช่วงคริสต์มาสที่ยังไม่ถูกเอาออกจนกว่าจะถึงปีใหม่
     
         ฉันไม่ได้โบกแท็กซี่ แต่เดินไปตามทางครึกครื้น หวังว่าผู้คนที่กำลังหัวเราะร่าในช่วงเทศกาลจะทำให้รู้สึกดีขึ้น
     
         ข้อเท็จจริงที่ยากจะยอมรับก็คือตอนนี้เพลงของชอว์น เมนเดสเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สถานที่หลายแห่งตัดสินใจใช้เปิด รวมถึงแหล่งของสดที่ฉันเดินเข้าไปซื้ออาหาร นี่เป็นครั้งแรกที่อยากให้พวกเขาเปิดเพลงคริสต์มาสเบสิคแสนน่าเบื่อแทนที่จะเป็นเสียงของชอว์น เมนเดส
     
         อพาร์ตเมนต์ของฉันอยู่ในย่านมิดเทาน์ แมนฮัตตัน ดังนั้นการเดินแบกถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์กับผักจึงยากเย็นเมื่อทางเดินเต็มไปด้วยหิมะ รวมถึงผู้คนมากมายที่สวนทางไปมา อย่างไรก็ตาม ฉันมาถึงที่หมายได้สำเร็จ
     
         ภายในอพาร์ตเมนต์เงียบสนิท หน้าต่างที่ไม่ได้ปิดม่านมีแสงส่องให้ความสว่างภายในห้องมืดๆ ฉันพยายามไม่ตั้งข้อสงสัยที่ว่าเบคก้าหายไปไหน  เธออาจไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งหน้าตึกร็อคกี้เฟลเลอร์เซ็นเตอร์กับแบรด หรือชายสักคนที่เตรียมรอรับเธอเมื่อเธอลื่นล้ม
     
         ซึ่งฉันไม่มีทางเป็นผู้หญิงแบบนั้น ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็ตาม
     
         จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น "เธอโอเคมั้ย"
     
         ฉันสะดุ้งเฮือกใหญ่ เกือบทำถุงกระดาษในอ้อมแขนตกลงพื้น "Jesus Christ! - เธอทำบ้าอะไรน่ะ ทำไมถึงนั่งในความมืดเหมือนฆาตกรต่อเนื่องแบบนั้น"
     
         เบคก้ายกหนังสือในมือขึ้นมา "อ่านหนังสืออยู่"
      
         ฉันละสายตาจากคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างแล้วเดินไปเปิดไฟ วางสัมภาระทั้งหมดลงบนเคาน์เตอร์ครัว โดยหลบหลีกสายตาของเบคก้าที่ยังคงสำรวจจ้องมองฉัน
     
         "แล้วทำไมเธอถึงยืนมองอพาร์ตเมนต์เงียบๆอยู่นานเกือบหนึ่งนาทีเต็ม" เธอถาม
     
         "ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น"
     
         ความเงียบเริ่มย่างกรายเข้ามาเมื่อเบคก้าตัดสินใจจะไม่เถียง กลับกันเธอจ้องมองแล้วถอนหายใจเบาๆ ฉันนึกอยากเดินไปปิดไฟอีกครั้ง จะได้ไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้าเป็นกังวลชัดเจนของเธอ
     
         หญิงสาวตัวเล็กปิดหนังสือแล้วเปิดหน้าต่างข้างกาย เธอหย่อนขาออกไปข้างนอกบริเวณบันไดเหล็ก "มานั่งข้างๆฉันสิ"
      
         ฉันปล่อยลมหายใจเบาๆ แต่ขาทั้งสองเตะรองเท้าออกแล้วเดินเท้าเปล่าไปนั่งลงข้างเบคก้าที่ขอบหน้าต่าง พื้นเหล็กด้านนอกเย็นเฉียบเมื่อเท้าเปล่าแตะแผ่วเบา
     
         เราสองคนเงียบกันไปเนิ่นนาน อาจถึงสิบนาทีหรือมากกว่านั้นขณะจ้องมองไปที่นิวยอร์กตรงหน้า ลืมข้อเท็จจริงที่ว่าเราหนาวเกินกว่าจะเปิดหน้าต่างรับลมในช่วงเดือนธันวาคม
     
         "มันเป็นปีที่ยากลำบาก ว่ามั้ย" เบคก้าโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ
     
         ฉันพยักหน้าตอบเธอ รู้ว่าเสียงจะแหบเพราะไม่ได้พูดนาน และพอใจที่จะเงียบต่อไป
     
         "ฉันขอโทษ สำหรับเรื่องทั้งหมด ฉันรู้ว่าเคยพูดไปแล้ว นับครั้งไม่ถ้วนจนเธออาจเบื่อและย้ายหนีฉันไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ฉันอยากจะพูดอีกครั้ง" เธอว่า
     
         "มันไม่ใช่ความผิดของเธอ เบค"
     
         "แต่เธอสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ สเตฟ เธอเป็นคนที่ไม่สมควรเจอคนแย่ๆอย่างฉัน รวมถึงเพื่อนร่วมงานห่วยแตกพวกนั้น"
     
         ฉันแค่นหัวเราะ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเกินกว่าข้อเท็จจริง ฉันไม่ได้ดีไปกว่าใครทั้งนั้น
     
         "ทุกวันนี้ฉันโทษตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น" เธอพูดต่อ "การที่เธอกลับอพาร์ตเมนต์ดึกกว่าเดิม การที่เธอเลือกจะไปกินอาหารเช้าข้างนอกแทนที่จะนั่งอยู่กับฉัน ฉันอดคิดไม่ได้ว่าตอนที่เราปิดประตูห้องนอนของกันและกัน เธอจะอยู่อีกฟากนั่งร้องไห้เหมือนฉันรึเปล่า"
     
         สิ่งสุดท้ายที่เบคก้าพูดทำให้ฝืนบังคับร่างกาย ต้องไม่แสดงปฏิกิริยาชัดเจนจนเธอมองออก แม้ฉันจะไม่ได้ร้องไห้ในห้องนอน แต่ทุกคืนฉันค้นพบว่าตัวเองฝืนกลั้นโดยการแหงนหน้ามองเพดาน รอให้น้ำตาที่เริ่มคลอแห้งทีละนิด
     
         "ฉันกับแบรด เราทำผิด และเราต่างรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้น" เบคก้าเริ่มพูดเสียงสั่น "เมื่อต้นปีเธอเครียดกับงาน เราทะเลาะกัน และเธอแทบไม่คุยกับฉัน แต่ทุกครั้งฉันพยายามจะโอเคกับมัน เพราะฉันเข้าใจว่าเธอรักในสิ่งที่ทำ อาชีพของเธอ แต่แบรด ฉันคิดว่าเขาคิดถึงเธอ"
     
         หากในสถานการณ์อื่น ในสถานการณ์ที่ฉันมีพลังและยังโกรธมากกว่านี้ ฉันอาจลุกขึ้นและตะโกนถามถึงความคิดถึงในโลกไหน ที่ทำให้แบรดตัดสินใจจะนอนกับผู้หญิงคนอื่น - เพื่อนของฉัน
     
         แต่เรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้รบกวนใจอีกต่อไป
     
         "คืนนั้นแบรดแวะมาที่นี่เพื่อถามถึงเธอ แต่เธอไม่ได้กลับอพาร์ตเมนต์ ฉันรู้ว่าเขาเริ่มกังวล กลัวว่าเธอจะหมดรักเขาและพบผู้ชายที่ดีกว่า"
     
         "แล้วเมื่อไหร่" ฉันควานหาเสียงตัวเอง แม้คิดได้ว่าอาจไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ แต่นี่คือเวลาที่สมควรจะทำลายทุกความข้องใจและบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างเราลง "มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่"
     
         "วันนั้นแบรดดื่มหนักมา และฉันตัดสินใจพาเขาไปนอนในห้องของเธอ"
     
         ลมเย็นพัดตีเข้าหน้า เบคก้ากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ฝืนไม่ก้มลงมองเท้าของตัวเองในขณะที่ฉันกระชับเสื้อโค้ตที่ยังไม่ได้ถอดออกให้คลุมร่างป้องกันความหนาว
     
         "ฉันนั่งข้างเขา และ..."
     
         เพียงแค่นั้น ฉันก็นึกภาพได้  มือบนไหล่ ทั้งคู่สวมกอดกัน ช่วงเวลาที่ความรู้สึกผิดกระจายหายไปเพราะความโศกเศร้าที่ฉันสร้างขึ้นให้พวกเขา
     
         ฉันไม่มีสิทธิ์โทษใครทั้งนั้น ไม่สามารถโทษใครได้ไปมากกว่าตัวเองกับวิธีคิดที่ไร้ความรู้สึก
     
         ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงแสดงอารมณ์อย่างเปิดเผย ไม่เคยเล่าหรือพูดแม้แต่สิ่งที่คิดในใจ ซึ่งกลับกัน เบคก้าคือคนที่อ่อนไหว พูดคุยในสิ่งที่คิดทุกครั้งที่มีโอกาส
     
         บางครั้งมันรบกวนจิตใจฉัน แค่เพราะฉันไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่มีมัน
     
         ทุกครั้งในเวลางาน กลุ่มคนบนโต๊ะถัดไปในทุกสถานที่ที่ไปเยือนไม่เคยเงียบสงบ พวกเขาจะพูดถึงฉัน พูดถึงอดีตเลวร้ายและแสดงความสมเพช ฉันคุ้นชินกับมันมากพอที่จะรู้ว่าปฏิกิริยาไหนคือสิ่งที่พวกเขาจะทำเมื่อตระหนักได้ว่าฉันได้ยินมันทั้งหมด
     
         อเล็กซ์ เทอร์เนอร์กลายเป็นนักร้องนำวงร็อคสุดฮอต ส่วนฉัน สเตฟานี่ ลินเดน นักข่าวที่เขาใช้เป็นเครื่องมือเมื่อครั้งที่พึ่งก้าวเข้าสู่วงการเพลงถูกเขี่ยทิ้งอย่างไร้ค่า  แม้มันจะผ่านมานานเกินรู้สึกเจ็บปวด แต่ทุกความทรงจำยังอยู่ดีครบทุกอย่างในสมอง
     
         "โกหกกับฉันอีกครั้ง" ฉันพูด ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาในเมดิสันสแควร์ ชายหนุ่มที่ฉันเคยรักที่สุดยืนมองอย่างเฉยชา
     
         อเล็กซ์ยืนมองหน้าฉัน ไร้ความเห็นใจหรือแม้แต่รู้สึกผิด ใบหน้าแท้จริงที่ฉันสมควรจะมองออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามในร้านกาแฟ ตอนที่เราเดินเล่นกันในเซ็นทรัลพาร์ค หรือตอนที่เราฉลองคริสต์มาสกันที่อังกฤษ เขาสอนให้ฉันเรียนรู้คำว่ารักและผูกพันธ์ มากพอกับที่สอนให้ฉันรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจับต้องไม่ได้ และสลายหายไปเร็วพอๆกับตอนที่มันเกิดขึ้น
     
         "ฉันรักเธอ" เขาตอบ
     
         และชีวิตของฉันก็พังทลายลงไม่เป็นท่าหลังจากนั้น กระทบกระเทือนแม้กระทั่งอาชีพการงาน ภาพลักษณ์ที่สั่งสมและสร้างขึ้นถูกทำลายล้างเพียงเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว ผู้ชายที่ฉันเคยคิดว่าไว้ใจได้มาตลอด
     
         วันเวลาผ่านไปฉันพยายามสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่อีกครั้ง ภาพลักษณ์ อาชีพ สั่งตัวเองให้ลุกขึ้นและใช้ชีวิตไปกับสิ่งที่เหมาะสมและคู่ควร  สิ่งที่เหมาะสมกับฉันสำคัญที่สุด ความรู้สึกไม่สำคัญอีก และมันกลายเป็นสิ่งที่ฉันถนัดจะทำ มากพอที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าฉันอาจไม่มีความรู้สึก
     
         แต่นั่นไม่ใช่ความจริงแม้แต่น้อย ฉันยังรู้สึกถึงทุกอย่าง ลึกซึ้ง และมากเกินไป
     
         "ฉันขอโทษ" เบคก้ายังน้ำตาคลอเมื่อเธอหันมามองฉัน เธอทำลายความเงียบและความคิดลงด้วยเสียงที่สั่นเครือ "ฉันไม่เคยต้องการให้มันเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และฉันรู้สึกแย่ แย่มากๆ"
     
         ฉันส่งตัวเองให้ยืดตัวตรงและถามต่ออีกครั้ง "นานแค่ไหนก่อนที่ฉันจะรู้เรื่อง"
     
         เบคก้าสูดน้ำมูก "ไม่ นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เราทั้งคู่ต่างรู้สึกผิด และเช้าวันต่อมาเธอก็เดินเข้ามาเห็นเรา"
     
         ฉันพยายามระลึกถึงความโกรธ ความผิดหวังในครั้งแรกที่เห็นภาพแบรดและเบคก้าอยู่ในห้องนอน แต่ตระหนักได้ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรใดๆอีก
     
         สำหรับฉัน เบคก้าคือเพื่อนที่ไม่เคยคิดว่าจะปรากฏตัวในชีวิตแสนเลวร้ายนี้ ความเป็นเพื่อนของเราไม่มีทางถูกทำลายลงง่ายๆเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว
     
         เราทุกคนทำผิดพลาด และการมองลึกเข้าไปในดวงตาของเพื่อน การอ่านความรู้สึกของเพื่อนรักมันช่างง่ายดาย ความรู้สึกผิดเป็นสิ่งที่มองออกง่ายพอๆกับอาการตกใจที่ซ่อนไว้ไม่มิด  แต่หากเห็นเพียงความว่างเปล่า นั่นคือเวลาที่ควรตัดสายสัมพันธ์ทิ้ง
     
         ฉันรู้ดีว่าเบคก้าไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องระหว่างแบรดเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม วินาทีนั้นฉันไม่เหลือพื้นที่ให้ความใจเย็นและการให้อภัย เวลาเป็นสิ่งเดียวที่ต้องการ เพราะทุกครั้งเวลาช่วยปลอบใจและบรรเทารอยแผลทั้งหมดได้
     
         มันคือเหตุผลที่ฉันตกลงกับแอนดรูว์ เกิร์ทเลอร์ในวันแรกที่เราพบกัน
     
         นำพาฉันไปสู่ความผิดพลาดอีกครั้ง ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ฉันไม่รู้จักเรียนรู้ - ชอว์น เมนเดส
     
         "ฉันขอโทษ" ฉันพูดในที่สุด
     
         มือเล็กขาวซีดนั้นเอื้อมมาสัมผัสมือของฉัน เบคก้ายิ้มทั้งที่ยังน้ำตาคลอ "ไม่ อย่าขอโทษ ฉันเข้าใจดีว่าเธอรู้สึกยังไง เธอไม่ผิดเลย ฉันต่างหาก ฉันขอโทษ" เธอว่า "เธอจะให้อภัยฉันได้มั้ย"
     
         ฉันค่อยๆจับมือเธอตอบ ฉันจะโกรธเบคก้าได้อย่างไร - หรือแม้แต่แบรด "ได้" ฉันพูด "ฉันให้อภัยเธอ"
      
         "โอ้ ให้ตายเถอะ ฉันรักเธอจัง" เบคก้าใช้หลังมือปาดน้ำตา เธอโผเข้ากอดแน่น มือเย็นนั้นแตะแผ่นหลังแผ่วเบา ทว่าความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นทำให้พอยิ้มออก "รู้มั้ย ฉันอยากเป็นแบบเธอมาตลอด"
     
         "แบบฉัน" ฉันทวนซ้ำเมื่อเราคลายกอด ขยับตัวจนเผลอเตะโดนกระถางต้นไม้เล็กๆของเบคก้า
     
         "ตัวสูง มีภูมิฐาน และผู้ชายไม่กล้าเข้าใกล้เธอด้วยซ้ำ" หญิงสาวรีบพูด "ทุกครั้งเวลาที่เราไปห้างบลูมมิ่งเดลส์ ฉันอยากให้พนักงานแนะนำเครื่องสำอางค์สีเข้มแบบที่พวกเขาแนะนำให้เธอ แต่สีที่ได้เข้มที่สุดจากพนักงานคือสีเทา เทาเกือบขาว"
     
         "ฉันคิดว่าไม่ และทุกคนรักเธอ แต่เกลียดฉัน"
     
         "บอกมาสิว่าใครเกลียดเธอ สเตฟ" คนข้างกายเท้าคางบนเข่า "มันไม่สำคัญว่าใครจะเกลียดหรือไม่ชอบเธอ คนพวกนั้นไม่สำคัญพอจะอยู่ในชีวิตของเธอ และเท่าที่เราอยู่ด้วยกันมา ไม่มีใครที่จะไม่ชอบเธอตอนที่ได้คุยกับเธอ"
     
         "และเธอชนะฉันทุกครั้งในเวลาที่เราเถียงกัน" ฉันหัวเราะ ปล่อยให้ความอึดอัดในตัวล่องลอยหายไปพร้อมสายลม
     
         เบคก้ายักไหล่พร้อมรอยยิ้ม "แต่เธอฉลาด มีประสบการณ์กว่าฉัน และฉันยังไม่คืนคำพูดเรื่องที่ว่าอยากเป็นเธอ"
     
         "ฉันไม่--"
     
         "เถอะน่า เลิกเถียงสักที" ฉันหุบปากเมื่อนิ้วเล็กชี้มา เบคก้าเริ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่เบาๆ แขนข้างหนึ่งควงฉันไว้ เราจ้องมองวิวของตึกระฟ้าอีกครั้ง "ฉันเข้าใจว่าเธอเคยมีชีวิตที่ลำบาก สเตฟ"
     
         "ฉันรู้" ฉันพยักหน้าตอบ
     
         ในระหว่างนั้นแสร้งไม่สนใจร็อคกี้เฟลเลอร์เซ็นเตอร์ที่ยังมีต้นคริสต์มาสมหึมาตั้งอยู่ เพราะมันทำให้หวนนึกถึงครั้งล่าสุดที่ไปที่นั่น...พร้อมกับชอว์น
     
         "แต่อย่าให้ทั้งหมดนั่นมาตัดสินชีวิตของเธอตอนนี้" คนข้างๆเสริม "มันต้องทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่ทำให้เธออ่อนแอกว่าเดิม"
     
         "ฉันพยายามแล้ว"
     
         "แต่ในตอนนี้ฉันไม่เห็นว่าเธอกำลังพยายามมันกับชอว์น"
     
         ฉันหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นชัดเจนในหู ความจริงที่ว่าพยายามแสร้งหูทวนลมกับเพลงของชอว์นที่ดังแว่วมาในเมืองกลายเป็นศูนย์ เมื่อคนที่นั่งอยู่ข้างกายตัดสินใจพูดถึงเขา
     
         น่าจะรู้ว่าต่อให้หนีแค่ไหน ฉันก็ไม่มีทางหนีพ้น
     
         "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา" ฉันฝืนตอบ
     
         "อย่างน้อยเขาก็โทรมาบอกฉันว่าเธอสบายดี ในตอนที่เธอยังไม่ยอมรับสายฉันจากอีกฟากของโลก"
     
         "เขา...โทรหาเธอ"
     
         "ใช่" เธอรีบตอบ แทบเหมือนไม่หยุดหายใจ "แต่ไม่ ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เขาแค่โทรมาบอกว่าเธอสบายดีและไม่ต้องเป็นห่วง บอกให้ฉันทิ้งมิสคอลในโทรศัพท์เธอน้อยลงสักนิด เพราะเธอต้องการเวลาทำใจ - เขาถามฉันแม้กระทั่งเรื่องดอกไม้ที่เธอชอบ"
     
         ในครั้งนี้มันไม่มีน้ำตาปรากฏขึ้นรอบดวงตา แต่การกลืนทุกอย่างลงคอนั้นช่างยากลำบาก ฉันจ้องมองไปในดวงตาของเบคก้า เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนจะมองไปทางอื่น
     
         คุณไม่จำเป็นต้องบอกให้คนทั้งโลกรู้ก็ได้ว่าคุณชอบทิวลิป
     
         ชอว์นพูดมันในวันที่เราเดินซื้อดอกไม้ในอัมสเตอร์ดัม และฉันไม่เคยแม้แต่หยุดเพื่อสังเกตุเรื่องนั้น
     
         "แต่ตอนนี้เขาเกลียดฉัน" ฉันฝืนพูด มันยากจะยอมรับ ยากพอๆกับตอนที่พูดมันออกมาในขณะที่นึกถึงหน้าของเขา
     
         "อย่าให้เขาเกลียดเธอในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำ ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าชอว์น เมนเดสฉลาดพอ เขาจะรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่ขายรูปพวกนั้น - และ สเตฟ ตอนนี้เธออยู่นิวยอร์ก เธอเป็นผู้หญิงที่ค้นข้อมูลนักการเมืองทั้งวันทั้งคืน ฉันรู้ว่าเธอมีวิธีแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนปล่อยรูป แต่เป็นเพื่อนร่วมงานหัวขวดที่ทรยศเธอ"
     
         "มันไม่ได้มีแค่เรื่องรูป เบค ฉันไม่เหมาะจะอยู่ในโลกเดียวกับเขา นั่นคือชอว์น เมนเดส และแค่เพราะฉันแคร์เขา มันก็ยังไม่มากพอ ฉันไม่ดีพอ" ฉันกลืนน้ำลาย "ชอว์นเหมือนนายแบบเสื้อผ้าอาร์มานี่ เหมือนหลุดออกมาจากนิยตสาร Vogue หรือไม่ก็ Vanity fair"
     
         "แล้วไง"
     
         ฉันส่ายหัว "เธอไม่เข้าใจ เบค ดูเธอสิ เธอสวย น่ารัก ฉลาด อ่อนโยน ผู้ชายรักเธอ - ฉันหมายถึงในชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเห็นครูผู้ชายทั้งไฮสคูลมาจีบผู้หญิงคนเดียวกัน"
     
         เบคก้ากลั้นหัวเราะโดยการปล่อยลมหายใจออกจมูกแรงๆ "แต่ฉันก็ยังโสด"
     
         "ยังไงก็ตาม มันไม่ใช่ฉัน ฉันไม่เดทกับคนดัง เคยครั้งหนึ่งและจบลงที่ตัวเองเหมือนขยะ ฉันแย่เกินกว่าจะอยู่ในวงจรชีวิตของเขา ธรรมดาเกินกว่าจะเป็นแฟนของเขา และฉันไม่มีค่าพอ เมื่อเขาตระหนักได้ เขาก็จะทิ้งฉันไป" ฉันเม้มริมฝีปาก ดวงตาเริ่มร้อนผ่าว "ฉันไม่คิดว่าฉันอยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว"
     
         "งั้นเธอจะจบมันตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เริ่มใช่มั้ย"
     
         "ฉันไม่ได้บอกว่าฉันอยากจะจบมัน"
     
         "แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากวันนั้น เธอได้พยายามติดต่อหาเขาหรือพยายามอธิบายความจริงรึเปล่า หรือให้บก.ช่วยเธอ เพราะฉันคิดว่าอย่างน้อยเขาก็ควรจะช่วย"
     
         ฉันใช้สองมือถูหน้าตัวเองเบาๆ "ไม่ ฉันไม่ได้ติดต่อหาชอว์นอีก" ฉันยอมรับ รู้สึกเกลียดตัวเอง "แค่ไปทั่วนิวยอร์กเพื่อโน้มน้าวให้สื่อบันเทิงทางอินเตอร์เน็ตไม่ลงข่าวรูปของเขา ซึ่งได้ผลแค่สิบเปอร์เซ็นต์ส่วนร้อย"
     
         เบคก้าเงียบไป แต่พยักหน้ารับอย่างรับรู้ "สำหรับคนที่ฉลาดอย่างเธอ มันทำให้ฉันรู้ว่าเธอเองก็โง่ได้" เธอสวน "ชอว์นต้องอยากรู้ หรือบางทีอาจจะอยากขอโทษเธอด้วยซ้ำหลังจากที่คิดได้ อย่างน้อยเธอก็น่าจะลองโทรหาผู้จัดการของเขา"
     
         "เธอคิดว่ามันจะช่วยได้จริงๆเหรอ"
     
         เบคก้าพยักหน้า  แต่ส่วนหนึ่งในจิตใจ ลึกลงไปถึงก้นบึ้ง มันกำลังสั่งให้ฉันจัดการไล่ทุกคนออกไปให้หมด เพื่อที่จะได้ปลอดภัยและป้องกันการเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง
     
         "สเตฟ" เบคก้าเริ่มเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจังและเบาลง "ชอว์นไม่ใช่อเล็กซ์"
     
         ค้อนเริ่มทุบตีเข้าที่หน้าอกแรงๆ  ฉันบีบมือตัวเองจนขาวซีด ความรู้สึกคล้ายถูกแรงโน้มถ่วงฉุดร่างค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละนิด
     
         "เธอได้ยินฉันมั้ย เขาไม่ใช่อเล็กซ์ หรือแม้แต่แบรด  และกฏบ้าบอที่เธอตั้งขึ้นในใจ ความกลัวที่เธอสร้างขึ้นทุกครั้งที่อยู่กับแบรดหรือแม้แต่ผู้ชายดีๆสักคน เธอสร้างมันขึ้นมาเองทั้งนั้น และสุดท้ายเธอก็จบลงที่ต้องเสียใจเหมือนกัน"
     
         น้ำตาเกือบทำให้ฉันมองไม่เห็นใบหน้าของหญิงสาวผมสีเข้มตรงหน้า สุดท้ายฉันรีบกระพริบตา ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเราครู่ใหญ่ จนกระทั่งตัดสินใจตอบ "เธอพูดถูก"
     
         "แน่นอนฉันถูก" เธอถอนหายใจ "เธอต้องคุยกับชอว์น"
     
         "บก.สั่งให้ฉันเขียนเรื่องทัวร์ของเขา" ฉันโพล่งขึ้น และไม่แน่ใจว่าจะเสียใจทีหลังหรือไม่ เพราะความเป็นครูของเบคก้าอาจเซ้าซี้ให้ฉันทำมันจนเสร็จในคืนนี้
     
         ซึ่งเป็นไปตามคาด เพราะสุดท้ายเธอวิ่งกลับเข้าไปในห้องและแบกแล็ปท็อปของฉันมาวางไว้บนตัก หญิงสาวหายไปในครัวเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับฉันตลอดเย็นที่เหลือจนพระอาทิตย์ตกดิน
     
         ฉันรู้ว่าชอว์นสมควรได้รับคำอธิบาย การเขียนบทความอาจทำให้เขาเผลอได้ยินมันและหยุดฟัง แม้จะไม่ได้ตั้งใจหรืออยาก  อย่างไรก็ตาม นั่นอาจดีที่สุดแล้ว
     
         ชอว์นมีสิทธิ์โกรธและไม่พอใจ ไม่ใช่แค่เพราะรูป แต่สำหรับสิ่งที่ฉันทำ สำหรับการปิดกั้นความรู้สึกและเรื่องราวของฉันที่เขาสมควรได้รู้ เพราะนั่นคือวิธีการที่เราจะเข้าใจกันในความสัมพันธ์
     
         เขาสมควรได้รู้ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเสแสร้ง และฉันรู้สึกมันอย่างแท้จริง ต่อให้เขาจะไม่ได้รู้สึกตรงกันก็ตาม
     
         สุดท้ายฉันจบลงที่การเขียนเสร็จภายในสามชั่วโมง อยากจะส่งไฟล์ทั้งหมดไปให้ดัสตินผ่านอีเมล แต่การคุยต่อหน้าเป็นเรื่องง่ายกว่า จึงเดินไปคว้าเสื้อโค้ตข้างประตู เดินออกจากห้องพร้อมเบอร์ริโตในมือที่เบคก้าพึ่งทำเสร็จ มุ่งตรงไปที่ตึกสำนักข่าวอีกครั้ง
     
         หิมะตกเบาบางเมื่อเดินอยู่ริมทางเท้าในแมนฮัตตัน บู้ตของฉันลื่นขณะที่เหยียบน้ำแข็งบนพื้น แสงจากทีวีจอใหญ่บนตึกสูงทำให้ต้องหรี่ตาและก้มลงมองเพียงหิมะสกปรก จนกระทั่งฉันได้ยินชื่อของตัวเองดังขึ้น
     
         สเตฟานี่ ลินเดน
     
         ฉันหยุดชะงักกลางทางเดิน ฝืนให้ตัวเองเงยหน้าจากพื้นหิมะเพื่อมองหาที่มาของเสียง ในจอทีวีขนาดมหีึมานับสิบรอบกาย - ชายหนุ่มใบหน้าคุ้นเคยอยู่ในนั้น ชอว์น เมนเดสกำลังพูดชื่อของฉัน และไม่นานนักเสียงเพลงที่ฉันไม่เคยได้ยินในอัลบัมไหนๆของเขาก็เริ่มดังก้องทั่วแมนฮัตตัน
     
     
     
    Micheal brun & Roy english - Tongue tied July
    I wish I could go back right now
     
     
    Talk
     
    ตอนนี้เราเล่ามุมมองของสเตฟหลังเหตุการณ์ตอนที่แล้วนะคะ อยากให้เห็นมิตรภาพของสเตฟกับเบคก้านิดนึง เพราะรีดเดอร์บางคนคงรออ่าน55 ส่วนตอนถัดไปจะเป็นในมุมมองของชอว์นทั้งหมดค่ะ เชื่อว่าหลายคนรออ่านเหมือนกัน - ใช่มั้ย555 และหลายคนอาจจะเริ่มเข้าใจเหตุผลที่สเตฟานี่เป็นคนปิดกั้นความรู้สึกนะคะ เราพยายามเล่าให้กระชับที่สุดแล้ว ยาวไปกลัวจะทำให้งง5555
     
    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามรอค่ะ เราปั่นฟิคไม่ทันบอกตรงๆ มีอ่านหนังสือเตรียมสอบอีก ยังไงก็ช่วยใจเย็นกันหน่อยนะ ขอบคุณค่า
     
     
     
    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×