คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : บทที่ 30 : Meeting
บทที่ 30 : Meeting
“ไอ้แกงงงงงงงงงงงงงงง”
เสียงตะโกนของคนเป็นพี่ที่เดินหน้าบานเข้ามา ทำให้แกงส้มรู้ทันทีว่า เขาได้ไปออกค่ายอาสากับพี่กวางแล้ว
“หน้าบานมาแบบนี้แปลว่าพี่ข้าวฟ่างอนุญาตสินะครับ” แกงส้มถามก่อนจะถอดหูฟังที่ครอบอยู่ออก พลางหมุนเก้าอี้มาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม
“อ่าฮะ มือชั้นนี้แล้ว พูดปุ๊บ อนุญาตปั๊บเลย” กวางว่าก่อนจะต้องหัวเราะร่าออกมาเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่เชื่อสุด ๆ ของคนเป็นน้อง
“พี่อย่ามาโม้พี่กวาง ผมว่าพี่ข้าวฟ่างเค้าคงมีเงื่อนไขอะไรเพิ่มต่อท้ายมาจากการอนุญาตแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ พี่เค้าถึงได้อนุญาตง่ายแบบนี้” คำพูดที่สุดแสนจะรู้ทันของแกงส้ม ทำให้กวางต้องย่นจมูกใส่
“ใช่! อีตานั่นบอกว่าถ้าเกิดเค้าอนุญาตให้แกงไป เค้าก็จะไปด้วย!”
“ฮะ!!!! พี่ว่าอะไรนะพี่กวาง อย่างพี่ข้าวฟ่างเนี่ยนะครับ จะไปออกค่ายอาสากับพวกเรา” แกงส้มตกใจจนแทบหล่นจากเก้าอี้ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคก่อนหน้านี้ของกวาง
อย่างพี่ข้าวฟ่างเนี่ยนะ...จะไปออกค่ายอาสา!
บ้าไปแล้ว!
พี่ข้าวฟ่างชอบศิลปะก็จริง แต่เรื่องลุย ๆ พี่เขาไม่ชอบเลยสักนิด ยิ่งไปลุยน้ำลุยโคลนลุยงานหนักที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อยิ่งไม่ชอบใหญ่
แล้วนี่อะไร...
จะไปออกค่ายอาสาที่ต้องทำทุกอย่างที่ตัวเองไม่ชอบ...เดอะอิมพอสซิเบิ้ลมาก!!!!!
“อื้อ...ก็อีตานั่นบอกเองว่าถ้าเค้าให้แกงไป เค้าก็จะต้องไปด้วย เค้าพูดมาแบบนี้อ่ะ” กวางตอบก่อนจะยกแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว พลางลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมา
“ดึกแล้วว่ะ...พี่กลับบ้านก่อนดีกว่า รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงฟ้าร้องด้วย ยังไงก็...เดี๋ยวพี่โทรแจ้งเรื่องวันประชุมอีกที น่าจะไม่วันพรุ่งนี้ก็มะรืนนะ”
“พี่บอกกับหมิวมาก็ได้ครับ”
“อ้อ...เออลืมไป งั้นก็ฝันดีเว้ยคืนนี้ บาย!”
“บายครับพี่กวาง กลับบ้านดี ๆ นะฮะ อย่าไปฉุดใครเค้าล่ะ ว้าก!” แล้วแกงส้มก็ต้องยกขาหลบปลายเท้าของกวางที่เหวี่ยงมาเฉียดแข้งเขา
แล้วร่างโปร่งก็เปิดประตูเดินออกไป ทิ้งให้ห้องนี้ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แกงส้มยกหูฟังขึ้นมาครอบหูพลางครุ่นคิดถึงเรื่องของข้าวฟ่างกับกวาง
รู้สึกมีลางสังหรณ์เรื่องสองคนนี้ยังไงชอบกล...
หรือโลกนี้จะมีคนเหงาน้อยลงอีกสองคนนะ!
ร่างบางที่เดินทอดน่องไปตามทางเดินบนฟุตบาธที่มีเพียงแสงไฟจากท้องถนนที่เงียบสงบกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของตัวเอง
บางครั้งคนเราแค่เพียงได้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันคือการได้ทบทวนตัวเราเองว่าวันนี้เราได้ทำอะไรลงไปแล้วบ้าง และมีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำอีก
เราไม่ควรให้เวลากับคนอื่นมากกว่าที่จะให้เวลาอยู่กับตัวเอง เพราะจริง ๆ แล้ว...การให้เวลากับตัวเองถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำมาก ๆ
คนเรามักจะคิดว่าเวลาของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน เธอมีมากกว่าฉัน ฉันมีมากกว่าเธอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว...คนเราทุกคนล้วนมีเวลาเท่ากัน แต่อยู่ที่เราว่าจะบริหารเวลาที่เท่ากันนั้นทำให้ตัวเองมีความสุขได้มากน้อยแค่ไหน
การดูแลคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่การดูแลตัวเองให้ดีก่อนนั่นต่างหากคือสิ่งที่ดีที่สุด!
เปาะแปะ ๆ ๆ ๆ
เสียงเม็ดฝนที่หยดลงมากระทบกับใบไม้ ทำให้กวางเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วเม็ดฝนก็หยดใส่ลูกตาของเธอพอดี
“เวร! ร่มก็ไม่ได้เอามา อ๊ากกกกกกกก ฝนบ้า! มาตกอะไรตอนนี้เนี่ย!” กวางบ่นก่อนจะถอดเสื้อยีนส์ที่ตัวเองใส่อยู่ออกขึ้นมาวางบนศีรษะ เพื่อใช้แทนร่ม แม้จะรู้ว่าคงกันอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ยังดีกว่าเดินเปียกไปแบบไม่ได้ทำอะไร เนื่องจากตอนนี้เธอยังเดินไม่ถึงป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกหลายร้อยเมตร
ปิ๊น!!
เสียงแตรที่บีบดังด้านหลัง เรียกใบหน้าหวานให้หันไปมอง กวางหรี่ตามองรถเก๋งสีดำที่ดูหรูตรงหน้า พลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างนึกสงสัยในใจ
รถใครวะ ?
“ขึ้นรถ!”
ทันทีกระจกของรถถูกลดลง คนมองก็รู้ได้ทันทีว่ารถคันนี้เป็นรถใคร
อีตาคุณข้าวฟ่าง!
“ยืนเอ๋ออีก...ฉันบอกให้เธอขึ้นรถ ฝนตกแล้ว เดี๋ยวก็เปียกหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากเดินตากฝน”
“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย...ขึ้นรถ...เดี๋ยวนี้!” ประโยคท้าย ข้าวฟ่างใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นบวกกับใบหน้าขรึมที่ติดจะจริงจัง ทำให้คนที่ยืนลังเลตัดสินใจเดินมาที่รถสีดำซึ่งจอดอยู่ ก่อนที่กวางจะเปิดประตูรถและก้าวเข้าไปนั่งด้วยความงง
อีตานี่จะมาไม้ไหนเนี่ย...?
“ทำหน้าแบบนี้กำลังคิดอะไรอยู่” คำถามจากคนขับ ทำให้คนเป็นผู้โดยสารหันหน้าไปมองคนพูดด้วยใบหน้าที่...งงหนักกว่าเดิม
“ก็...กำลังคิดว่าคุณจะมาไม้ไหน จู่ ๆ ก็ใจดีชวนขึ้นรถหรู...มิน่าล่ะ ฝนถึงได้ตกหนักขนาดนี้”
“เธอก็พูดเวอร์ไป ฉันก็แค่เห็นฝนมันตกแล้วมันก็ดึกแล้วด้วย ขี้เกียจอ่านข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์พรุ่งนี้เช้าว่ามีคนโดนรุมโทรมแล้วฆ่าหมกศพไว้แถวนี้”
จบคำพูดของข้างฟ่าง กวางก็นึกอยากจะบีบคอคนพูดนัก
ชิ! เป็นห่วงเขาก็บอกมาเหอะ ทำเป็นพูดนู่นพูดนี่...ปากแข็งจริงคุณข้าวฟ่าง!
ส่วนคนพูดก็นึกอยากจะตบปากตัวเองสักทีสองที
จะพูดอะไรให้มันดี ๆ สักคำ ทำไมมันทำยากจังนะ
ก็แค่จะพูดว่า ‘เป็นห่วง’...
“งั้น...กวางถามอะไรคุณหน่อยสิ”
“ก่อนจะถาม...ใช้สรรพนามแบบที่ใช้ตอนที่ทาสีกำแพงโรงเรียนด้วยกันก่อนสิ” ข้าวฟ่างว่าก่อนจะหันมามองใบหน้าของคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นจังหวะเดียวกับกวางหันมาพอดี
ดวงตาของคนสองคนสบกันก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะเสสายตามองออกไปที่นอกหน้าต่างซึ่งบัดนี้มีน้ำฝนสาดเต็มกระจำทำให้ไม่สามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกรถได้ แต่ถึงกระนั้นต่างฝ่ายก็ต่างไม่ยอมหันหน้ากลับมามองในรถ เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่มันรุนแรงทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นไปบนใบหน้า
“...ตกลงว่าจะถามหรือไม่ถาม...”
แล้วคนที่รวบรวมสติให้กลับมาได้ก่อนก็คือข้าวฟ่าง ชายหนุ่มพูดพลางเอื้อมมือไปปรับแอร์ให้ลดความเย็นลง เนื่องจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใช้เสื้อยีนส์ที่อยู่ในมือมาคลุมตัวจนถึงคอ
“ถามค่ะ...คือเค้าอยากรู้ว่า...ทำไมคุณข้าวฟ่างถึงจะไปค่ายอาสากับเค้า”
“คำตอบง่าย ๆ สั้น ๆ เลยนะ...’อยากไป’...แล้วนี่บ้านเธออยู่ทางไหนเนี่ย ฉันจะได้ไปส่งถูก”
กวางแทบจะเอาหัวโหม่งกับคอนโซลหน้ารถทันทีที่ได้ยินคำตอบจากข้างฟ่าง หญิงสาวหันไปย่นจมูกใส่คนพูดก่อนจะเริ่มบอกทางไปบ้านของเธอให้กับเขา
ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีดีอะไรให้แกงส้มมันเคยชอบนะ...
ปากคอเราะร้ายเป็นที่หนึ่ง
เอาแต่ใจก็เอาแต่ใจ
แถมยัง...เกรียนสุด ๆ ด้วย!
ฮึ่ย!
ครืน~~
เสียงฟ้าที่ร้องดังด้านนอกห้องคอนโทรล เรียกร่างโปร่งให้ลุกออกจากเก้าอี้ไปมองที่นอกหน้าต่างบานใสที่บัดนี้เปื้อนไปด้วยน้ำฝนที่สาดกระจายเต็มพื้นที่ว่างจนไม่สามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกได้ เห็นเพียงแต่ภาพตึกเลือนราง มือบางที่วางทาบไปบนกระจกทำให้เจ้าตัวสัมผัสได้ถึงความเย็นของอากาศเบื้องนอก
“ป่านนี้พี่ฮั่นคงหลับไปแล้วสินะ...ดึกขนาดนี้แล้ว...อ๊ะ!” แล้วสองแขนของคนที่ยืนซ้อนด้านหลังซึ่งสอดมากอดหลวม ๆ เรียกใบหน้าหวานให้หันไปมอง
ใบหน้าคมที่ส่งยิ้มหวานทำให้แกงส้มตกใจ
“พี่ฮั่น!?! มาได้ไงครับเนี่ย”
“ก็ขับรถมาสิครับ”
“ผมรู้ครับว่าพี่ขับรถมา แต่นี่มันดึกแล้วนะ เมื่อเย็นไม่เห็นพี่บอกเลยว่าจะมา” แกงส้มถาม ก่อนจะเอนตัวพิงไปที่อกกว้างสองมือของเขาวางไว้บนสองมือที่โอบอยู่ที่เอว ความอบอุ่นจากแผ่นอกของคนที่อยู่ด้านหลังทำให้ร่างกายของแกงส้มอุ่นขึ้นมา เมื่อร่างกายอุ่นหัวใจของเขาก็รู้สึกอุ่นตาม
แค่กอดก็ ‘รู้สึกดี’
“จริง ๆ พี่ก็ไม่ได้กะว่าจะมารบกวนแกงตอนทำงานหรอกครับ แต่พอดีว่าหมิวมันบอกพี่เรื่องไปออกค่ายอาสา พี่ก็เลยรู้สึกว้าวุ่นใจลึก ๆ เลยอยากมาหาแกงอ่ะครับ ไม่คิดว่าแกงจะกำลัง ‘คิดถึง’ พี่อยู่พอดี...” ฮั่นตอบก่อนจะคลายพันธการที่เอวออก พลางหมุนตัวคนที่อยู่ตรงหน้าให้หันมาสบตากับเขา
“ใครคิดถึงพี่ อย่ามาขี้ตู่นะ” แกงส้มว่าพลางหลบสายตาหวานที่มองมา แต่ฮั่นก็ตามไปเชยคางคนพูดให้เงยใบหน้าขึ้นอีกครั้ง
“พี่ขี้ตู่ที่ไหนกัน ก็แกงพูดเองนะว่า...ป่านนี้พี่ฮั่นคงหลับไปแล้วสินะ...ดึกขนาดนี้แล้ว...เนี่ย...แกงพูดถึงพี่ ถ้าไม่ได้คิดถึงพี่แล้วพูดถึงพี่ทำไมล่ะครับ”
“เฮอะ! ก็แค่พูดถึง ไม่ได้แปลว่าคิดถึงซะหน่อย...” แกงส้มตอบก่อนจะต้องตัวแข็งทื่อ เมื่อฮั่นก้มหน้าลงมาจนหน้าผากของพวกเขาสองคนชิดกัน
“ถ้าคิดถึง...ก็บอกว่าคิดถึงสิครับ เวลาของคนเรามันไม่แน่นอนนะ อย่าพูดอะไรที่มันไม่ตรงกับหัวใจของตัวเองนักเลยครับ...เดี๋ยวจะต้องมาเสียใจทีหลังนะ...”
“พี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยนะ” แกงส้มว่าพลางใช้สองแขนโอบรอบตัวคนพูด
คำพูดของพี่ฮั่นทำให้เขารู้สึก ‘ใจหาย’
“พี่ก็พูดไปเรื่อย ๆ แหล่ะครับแกง แต่พี่แค่อยากให้เราสองคนพูดในสิ่งที่หัวใจของเรารู้สึกก็เท่านั้นเอง” ฮั่นตอบก่อนจะใช้สองแขนของตัวเองโอบกอดคนที่อยู่ในอ้อมกอดให้เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะที่คล้ายจะพร้อมกัน ทำให้คนสองคนรู้สึกได้ถึงความรักที่พวกเขามีให้กัน
ความรักที่รู้สึกได้แม้ไม่ต้องพูดว่ารัก...
“เออพี่ฮั่น...พี่ข้าวฟ่างก็ไปกับพวกเราด้วยนะครับ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของคนเป็นเจ้าของคลื่น ฮั่นก็ผุดตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรง ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ชอบใจ
หมอนี่เกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย!
“...ไม่ตกใจเลยหรอครับ” แกงส้มถามเมื่อเห็นว่าฮั่นไม่มีปฏิกิริยาใดตอบโต้มากับคำพูดประโยคก่อนหน้านี้ของเขา
นึกว่าจะทำท่า ‘หวง’ หรือ ‘หึง’
กลับเงียบซะนี่!
พี่หมีบ้าเอ๊ย!
“พี่ควรตกใจหรอครับ” ฮั่นถามกลับ พลางอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าหวานงอง้ำลงไป
คงคิดอยากจะให้เขาแสดงอาการหึงหวงล่ะสิ...
“ก็ไม่ต้องตกใจก็ได้ครับ ผมก็แค่คิดว่า...พี่จะตกใจที่รู้ว่าพี่ข้าวฟ่างไปด้วย แต่สงสัยผมจะคิดผิด” แกงส้มพูดพลางหันความสนใจของตัวเองกลับมาที่เอสเอ็มเอสของแฟนเพลงที่ส่งมา
“อื้อ...” แต่แล้วเมื่อร่างสูงของฮั่นที่ลุกเดินมานั่งคุกเข่าข้างตัวด้านขวาแล้วยกวงแขนซ้ายโอบรอบเก้าอี้ที่แกงส้มนั่งพลางวางคางคมบนไหล่
“พี่ไม่ตกใจ เพราะว่าพี่ไว้ใจและเชื่อใจ ‘แกงของพี่’ ไงครับ”
คำตอบของคนที่เกยคางบนไหล่ ทำให้คนเป็นเจ้าของไหล่ยิ้มออกมา
คำว่า ‘ไว้ใจ’ และ ‘เชื่อใจ’...มันทำให้เขารู้สึกดีมาก...
เพราะสำหรับความรัก...สองคำนี้ถือว่าเป็นคำที่สำคัญมาก เพราะหากความรักขาดซึ่งความไว้ใจและเชื่อใจแล้ว ต่อให้รักกันมากแค่ไหน...สุดท้ายก็ไปไม่รอดอยู่ดี
แต่การที่คำสองคำนี้จะคงอยู่ในหัวใจได้นานแค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนสองคน!
“ไม่หึงสักนิดเลยหรอครับ”
“อืม...ถ้าตอบว่าไม่...ก็คงจะโกหก เพราะว่าจริง ๆ แล้ว...พี่ทั้งหึงทั้งหวงทั้งไม่อยากให้พี่ข้าวฟ่างของแกงไปด้วยเลย แต่พี่รู้ว่าต่อให้พี่จะรู้สึกแบบนี้มากแค่ไหน หัวใจของพี่ก็ไม่มีความสุข เพราะฉะนั้น...พี่จะพยายามไม่หึง ไม่หวงแกงกับนายข้างฟ่างนะครับ” พูดจบ ฮั่นก็ฝังจมูกโด่งไปที่ข้างแก้มของแกงส้มเบา ๆ ก่อนที่เขาจะผุดตัวลุกขึ้นหลบมือบางที่วาดผ่านอากาศมาตีเขาแก้เขิน
“พี่หมีบ้า! ชวนโอกาสกับผมอีกแล้วนะ!”
“ก็แกงอยากน่ารักให้พี่ฉวยโอกาสทำไมล่ะ ฮ่า ๆ ๆ “ แล้วคนพูดก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนที่ฮั่นจะเดินกลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิม
“พี่เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยพี่ฮั่น ผมว่าเท่าที่ผมรู้จักพี่มา พี่ไม่ใช่คนแบบนี้นะ!” แกงส้มว่าก่อนจะต้องหน้าแดงหูแดงและคอแดงเมื่อได้ฟังคำตอบต่อมาของคนเป็นพี่ไม่สิต้องบอกว่าคนเป็นแฟนต่างหาก
“พี่เพิ่งเป็นคนแบบนี้ก็ตอนที่ได้มารู้จักกับแกงนี่แหล่ะครับ...แกงทำให้พี่เป็นแบบนี้...ทุกอย่างที่พี่ทำและพี่เป็นมาจากแกงทั้งนั้นเลยครับ...” ใบหน้าคมที่อมยิ้มหวาน ทำให้แกงส้มนึกอยากจะละลายเสียเดี๋ยวนั้น
ไอ้พี่หมีฮั่นบ้า!!!!
“ไม่เกี่ยวกับผมเลยเหอะพี่ฮั่น อย่ามามั่วนะ ผมไม่พูดกับพี่แล้ว นอนหลับไปเลย เพราะผมจะทำงานต่อแล้ว” พูดจบ แกงส้มก็ชี้นิ้วเป็นเชิงสั่งให้ร่างสูงที่กำลังจะขยับปากเถียง กิริยาและคำพูดนี้ของแกงส้มก็ทำให้ฮั่นทำได้เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาว ร่างสูงที่นอนตะแคงเพื่อมองคนที่ง่วนอยู่กับการทำงานทำให้คนถูกมองรู้สึกเขินนิดหน่อย
แต่แค่รู้ว่าเขาอยู่ใน ‘สายตา’ ของพี่ฮั่น...แค่นั้นเขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
คนที่รักแม้อยู่ในหัวใจแล้ว แต่เราก็ยังอยากอยู่ในสายตา เพราะแค่เรารู้ว่าในสายตาของเขาที่มองใคร ๆ มันมีเราเป็นหนึ่งในนั้น...มันก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญ
เพราะถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับใคร เราก็คงไม่สนใจเขาด้วยการมอง...
แม้จะเป็นการมองที่อาจไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ ก็ตาม
ถ้าลองสังเกตตัวเองดี ๆ หากเราไม่ให้ความสนใจกับอะไรหรือใคร เราก็จะไม่มองสิ่ง ๆ นั้นหรือคน ๆ นั้น แต่เพราะเราให้ความสนใจให้ความสำคัญเราถึงมองสิ่งนั้นและคนนั้น...
เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะใช้สายตามองใคร โปรดรู้ไว้ว่าคนที่ถูกมองเขา ‘คิดตาม’ ทุกสายตาที่เรามอง แต่จะคิดในแบบไหน...มันก็คงแล้วแต่คน
แล้วค่ำคืนที่คนสองคนได้อยู่ด้วยกันก็ผ่านพ้นไปด้วยความสุขที่ลอยวนในหัวใจ แม้ไม่ได้มีบทสนทนาใด ๆ แต่แค่ได้อยู่ร่วมห้องเดียวกัน แค่เพียงได้ใกล้กันเท่านั้น...หัวใจก็มีความสุขได้
“ว้าว!!!!!!” ทันทีที่แกงส้มเห็นแปลงดอกไม้หลายสายพันธุ์ที่แข่งกันเบ่งบานเบื้องหน้า ชายหนุ่มก็อุทานออกมาเสียงดังลั่น มือบางกระตุกมือหนาของคนที่ยืนข้าง ๆ เบา ๆ เป็นเชิงให้เดินตามเข้าไปที่แปลงกุหลาบหลากสีสันที่อยู่ด้านใน
“เอาอีกแล้ว...ไอ้คู่นี้แอบไปหลบมุมสวีทกันอีกแล้ว อ๊ายยยยยย ฮั่นนี่ของฉัน~~” คิมบ่นออกมาก่อนจะทำท่าเหมือนจะเดินตามสองคนนั้นไป แต่ก็ถูกมือบางของจ๋ารั้งข้อศอกเอาไว้
“จะไปไหนคุณคิม คิดจะไปเป็นมือที่สามไอ้ฮั่นกับน้องแกงหรือไง”
“ฮือ ๆ ๆ ๆ สองคนนั้นน่ะ!!! ทำไมอ่ะทำไม ทำไมไม่เป็นฉันล่ะ” คิมว่าพลางทำหน้าเบะคล้ายจะร้องไห้ แต่คนมองอย่างจ๋า (ซึ่งรู้ทัน) ก็ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไปตบบ่าร่างที่อยู่ตรงหน้าแรง ๆ สองสามที
“ทำใจเหอะคุณคิม ยังไงซะ...ไอ้ฮั่นมันก็ไม่ใช่ของคุณคิมตั้งแต่แรก ให้ทำยังไง มันก็ไม่ใช่ นี่จ๋านึกว่าคุณคิมทำใจได้แล้วนะเนี่ย ยังทำใจไม่ได้อีกหรอคะ”
“ไอ้ทำใจน่ะมันก็ทำใจได้ แต่เวลาเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไร มันก็อดจี๊ด ๆ ในหัวใจไม่ได้อยู่ดี แต่ก็นะ...ยังไงเคมีของเจ้าแกงมันก็เข้ากับฮั่นนี่ของฉันมากกว่าฉันอยู่ดี” คิมพูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ คล้ายจะยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ป้าสองคนคุยอะไรกันคะ หน้าเคร่งเครียดเชียว เข้าไปด้านในกันดีกว่า อยู่ตรงนี้เดี๋ยวผิวคนมีอายุจะเสียเอานะคะ” กวางพูดจบ ก็ระบายยิ้มกวนเต็มหน้า ทำให้คนที่ถูกเรียกว่าป้าและคนมีอายุถึงกับควันออกหูพร้อมใจกันวาดมือไปใส่ศีรษะคนพูดทันที แต่กวางก็หลบทัน ก่อนที่เธอจะหมุนตัวเตรียมวิ่งออกไปจากบริเวณนี้
ปึก!
“โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ อ้าว...คุณข้าวฟ่าง!”
และเพราะหันไปโดยไม่ดู ทำให้กวางชนเข้ากับร่างสูงของคนที่เพิ่งเดินมาถึง
“ฉันบอกแล้วไงว่าให้เรียกฉันว่าพี่ ถ้าขืนเรียกคุณอีกคำ เธอโดนแน่ยัยบ๊อง!” ข้าวฟ่างว่าพลางทำท่าจะปล่อยมะเหงกใส่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กวางรีบยกมือขึ้นไปจับมือหนาไว้ พลางทำตาอ้อน
“ขอโทษค่า...ไม่เรียกคุณแล้ว...ไป ๆ ๆ เข้าข้างในกันดีกว่าคุณเอ๊ยพี่ข้าวฟ่าง” แล้วกวางก็ลากข้อมือคนที่กำลังพยายามปั้นหน้านิ่งให้เดินตามเธอเข้าไปภายในอาคารไม้ที่อยู่ไม่ไกล
จ๋ากับคิมที่ยืนมองคนทั้งคู่ต้องหันมามองหน้ากันทันที
อะไรยังไงเนี่ย!?!
แต่แล้วความสนใจของจ๋ากับคิมก็ต้องถูกตัดมาที่ภาพร่างสูงของโตโน่ที่เดินหัวเราะมากับหมิว ใบหน้าของคนสองคนที่ยิ้มให้กัน ทำให้คนมองอย่างจ๋ากับคิมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
คนที่รักกัน...แสดงความรักต่อกันด้วยการยิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ก็ทำให้คนที่คอยลุ้นมาตลอด รู้สึกดีไปกับภาพเหล่านี้ไม่ได้
“อะแฮ่ม...หวานไปนะยะ” จ๋าเอ่ยแซวคนเป็นน้องพลางหลิ่วตามองมือสองมือของคนสองคนที่กระชับจับกันแน่นด้วยความรู้สึกที่อิจฉาลึก ๆ
อยากมีคู่กับเขาบ้างแล้วนะ!
“หวานอะไรป้าจ๋า อย่ามาเกรียนใส่เค้าน่ะ ตัวเองก็หัดมองคนที่อยู่ข้าง ๆ บ้างสิ การมองคนที่อยู่ไกลแล้วลืมให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ มันทำให้เราเสียโอกาสและเสียคนดี ๆ ไปนะคะ” คำพูดของหมิวคล้ายไปสะกิดเตือนอะไรบางอย่าง ทำให้จ๋าหันหน้ามามองหญิงสาวหน้าสวยที่อยู่ข้าง ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่คิมเองก็รู้สึกสะกิดใจกับคำพูดของหมิวจนต้องหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
คนที่อยู่ใกล้...อย่างนั้นหรอ...
และเพราะหันมาสอบตากันพอดี ทำให้จ๋ารู้สึกว่าอากาศวันนี้ร้อนผิดปกติ
ความร้อนบนผิวหน้าคงไม่เกี่ยวกับคำพูดของหมิวและการสบตากันของเธอกับคุณคิมหรอกนะ...
ไม่เกี่ยวหรอก...(หรอ ?)
“อะ ไอ้หมิวบ้า! อย่ามาพูดจาเลอะเทอะนะเว้ย ฉันเข้าไปข้างในดีกว่า รู้สึกเหมือนแดดจะร้อน” และเพราะความไม่แน่ใจที่ถีบตัวสูงขึ้น ทำให้จ๋าตัดสินใจเดินเข้าไปภายในตัวอาคาร โดยมีสายตาของคนสามคนมองตามไป
“คุณคิมไม่ตามป้าจ๋าเข้าไปหรอคะ”
คำพูดของหมิวเรียกขาของคิมให้ก้าวตามคนที่เดินนำเข้าไป ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจทำให้คิมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เป็นตัวของตัวเองไปชั่วขณะ
คนที่อยู่ใกล้...มาโดยตลอด...
จ๋าหรอ...
“เฮ้อ...เหมือนจะลงเอยไปได้อีกคู่แฮะ”
“หืม ? หมิวอย่าบอกนะว่า...สองคนนั้นเค้า...”
“ค่ะเฮีย...” หมิวพยักหน้าเป็นเชิงสนับสนุนคำพูดของตัวเอง ทำให้โตโน่ต้องยกมือขึ้นมาเกาศีรษะตัวเอง ตั้งแต่ฮั่นแกงส้มแล้ว นี่ยังมามีจ๋าคิมอีก...
เอ้อ...โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ สินะ!
แต่เพราะความรักไม่เคยจำกัดเพศ มีแต่เพศที่จำกัดความรัก...
แต่ไม่ว่าอะไรจะจำกัดอะไร หากคนสองคนมีใจให้แก่กัน ต่อให้มีอะไรมาขวางกั้น ความรักก็สามารถทำลายสิ่งที่ขวางนั้นได้เสมอ
เพราะความรัก ‘ชนะ’ ทุกสิ่ง!
“เอาล่ะค่ะ...เดี๋ยวกวางจะขอชี้แจงเรื่องรายละเอียดของการไปค่ายอาสาครั้งนี้นะคะ รายละเอียดก็มีดังต่อไปนี้...เฮ้ย!!!!”
กวางยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ร่างเล็กของคนที่วิ่งเข้ามา ก็ทำให้คนพูดตกใจ
“แฮ่ก ๆ ๆ ขอโทษค่ะพี่กวาง ฟลุ๊คขอไปด้วยนะคะ” หญิงสาวที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง หยุดหอบหายใจเหนื่อย มือบางยกมือขึ้นทาบที่อกตัวเอง เหงื่อที่ไหลบนหน้าผากเกือบเปื้อนแว่นกรอบเหลือง
“ไหนเราบอกกับพี่ว่าไม่ไปไงฟลุ๊ค” หมิวซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวหน้า เอ่ยพูดออกมา เมื่อเห็นคนที่ยืนหอบ
“ตอนแรกฟลุ๊คก็ว่าฟลุ๊คจะไม่ไปแหล่ะค่ะพี่หมิว แต่พอดีว่า...ฟลุ๊คเพิ่งรู้ว่าพี่ฮั่นไปด้วย แหะ ๆ” พูดจบ ฟลุ๊คก็หันไปมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างแกงส้ม ซึ่งบัดนี้กำลังส่งสายตาแปลก ๆ มาให้เธอ
“เอ่อ...แต่อย่าคิดว่าฟลุ๊คจะมาป่วนหรือว่าอะไรนะคะ ฟลุ๊คแค่อยากไปทำความดีด้วยจริง ๆ ค่ะ” เมื่อเห็นสายตาของแกงส้ม ฟลุ๊คก็พาตัวเองไปนั่งข้างหมิวทันที
“เอา ๆ ๆ ไปกันหลาย ๆ คนก็สนุกดี แต่ก่อนที่เราจะไปทราบรายละเอียด กวางขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับคนประสานงานที่สุดแสนจะสำคัญก่อนค่ะ...แคน...มานี่เร็ว” กวางกวักมือเรียกคนที่เพิ่งเดินมาถึง
ร่างสมส่วนที่ไม่สูงมากและไม่เตี้ยจนเกินไปเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าคมเข้มที่พกรอยยิ้มซื่อมาเต็มกระบุง สายตาของแคนที่มองไปรอบ ๆ ห้องสะดุดที่หญิงสาวที่นั่งยิ้มหวาน ใบหน้าที่มีแว่นกรอบหนาสีเหลืองทำให้แคนหลุดขำออกมา
“ขำอะไรน่ะแคน” กวางถามขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแคนหัวเราะ
อะไรของมัน...อยู่ ๆ ดีก็หัวเราะ
“เอ่อ...ผมขำน้องคนที่ใส่แว่นสีเหลืองอ่ะครับ” คำตอบซื่อ ๆ ที่มาพร้อมกับนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังต้นเหตุแห่งความขำเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นจากคนที่นั่งอยู่ภายในห้อง
“ฮื้อ...ทุกคนขำอะไรฟลุ๊คคะ”
“ก็ขำที่แคนมันขำน้องฟลุ๊คไงครับ” โตโน่ว่า พลางพยายามยกมือขึ้นมาอุดปากตัวเองเพื่อกลั้นขำ อาการนี้ของชายหนุ่มเรียกมือบางของหมิวให้ฟาดไปที่ไหล่หนาเบา ๆ เป็นเชิงดุ
“ใช่ฟลุ๊ค...ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่แคนกลับหัวเราะฟลุ๊คได้ ถือว่าอะเมซิ่งมาก ๆ เลยนะ เพราะปกติแล้ว...แคนมันค่อนข้างจะเป็นคนดีเก็บอาการตลอด แต่มา ‘หลุด’ เพราะฟลุ๊คเลย” กวางว่าก่อนจะต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของฟลุ๊ค และใบหน้าที่แสดงออกว่ารู้สึกผิดของแคน
“นี่เราจะเอาแต่ขำกันใช่ไหมเนี่ย...” ข้าวฟ่างเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ นั่นทำให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
กรุณาอย่ามองเขาด้วยสายตาแบบนั้น...เขาแค่อยากให้งานมันเดินก็เท่านั้นเอง...
“เอาล่ะค่ะ เรากลับมาพูดเรื่องของเรากันต่อดีกว่า เดี๋ยวมีคนแถวนี้หาว่าเราไร้สาระอีก นี่คือแคนนะคะ เป็นสมาชิกชมรมคนใหม่ล่าสุดของเราเอง และเป็นคนที่ช่วยประสานงานจนทำให้การออกค่ายอาสาของเราครั้งนี้ผ่านการอนุมัติได้ ซึ่งที่มันผ่านได้ก็เป็นเพราะว่า โรงเรียนที่เราจะไปสร้างห้องสมุดนั้น...เป็นโรงเรียนของพี่ชายแคนเองค่ะ อ่ะแคน...พูดต่อเลย” แล้วกวางก็ส่งต่อให้กับคนที่ยืนยิ้มรอ
“ครับ...คือโรงเรียนที่เราจะไปสร้างห้องสมุดนั้นเป็นโรงเรียนของพี่ชายผมเองครับ ที่นั่นค่อนข้างจะกันดารและห่างไกลความเจริญมาก น้อง ๆ ขาดแคลนหนังสือและอุปกรณ์การเรียน เพราะเป็นพื้นที่ห่างไกล ซึ่งพี่ชายของผมก็ได้ขอความช่วยเหลือมาว่าอยากจะมีห้องสมุดเล็ก ๆ ให้กับเด็ก ๆ เหล่านั้น และเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่กวางกำลังจะทำค่ายอาสาพอดี ผมก็เลยเสนอที่นี่ครับ”
พูดจบ แคนก็เปิดสมุดที่เขาถือมาด้วย ในสมุดนั้นมีภาพของโรงเรียนไม้เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางดินสีแดง โอบล้อมด้วยภูเขาลูกใหญ่และต้นไม้ที่ขึ้นสีเขียวครึ้ม เด็ก ๆ ที่ใส่ชุดนักเรียนเก่าสีซีดจางเรียกสายตาสงสารให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคนมองที่อยู่ภายในห้องนี้
ในขณะที่พวกเขามีพร้อมเกือบทุกอย่าง...ยังมีอีกหลายชีวิตที่ยังขาดอยู่
“ที่นั่นอยู่ที่ไหนหรอ”
“อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ บนดอยใกล้ ๆ กับไร่ชาเค้าเองพี่ข้าวฟ่าง” กวางเป็นคนตอบคำถามของข้าวฟ่าง พลางหยิบสมุดภาพในมือแคนยื่นส่งไปให้ฮั่นที่เอื้อมออกมา
“อืม...แล้วเราจะไปอยู่ที่นั่นกี่วันอ่ะพี่กวาง” แกงส้มเอ่ยถามพลางก้มดูภาพในสมุด
“ก็ถ้าไปกันหลายคนแบบนี้...คิดว่าไม่เกินห้าวันนะ”
“แล้วอุปกรณ์การสร้างห้องสมุดล่ะ แบบด้วย หนังสืออีก จัดหาหรือยัง” คิมถาม ก่อนที่เธอจะใช้สมองประมวลผลจำนวนคนและจำนวนวัน
เธอตั้งใจว่าจะปิดร้านตามจำนวนวันที่ไปออกค่ายอาสา แล้วเกณฑ์ลูกน้องในร้านไปกับค่ายอาสาครั้งนี้ให้หมด นานแล้วที่เธอไม่ได้ทำบุญยิ่งใหญ่แบบนี้พร้อมกับทุก ๆ คนในร้าน
แม้ว่าการไปครั้งนี้จะมีเหตุผลอื่นแอบแฝงนิดหน่อยก็เถอะ...
“ส่วนนั้นผมเป็นคนจัดการครับ ผมให้ทางพ่อผมเป็นคนดูแลฮะ” คราวนี้โตโน่เป็นคนตอบคำถามนี้ของคิม
“อืม...ถ้าเรื่องหนังสือผมว่าเดี๋ยวผมกับพี่ฮั่นเป็นคนจัดการดีกว่า” แกงส้มเอ่ยออกมาเมื่อนึกไปถึงร้านหนังสือที่เขาเคยไปกับฮั่น
“ใช่ ๆ เรื่องหนังสือเดี๋ยวพี่กับแกงจัดการเอง”
“แล้วเรื่องเงินทุนล่ะ ?”
“ก็มีเงินทุนบางส่วนจากที่พี่กวางเค้าได้มาจากการรับบริจาคนะครับ แต่ก็ยังขาดอยู่เยอะพอสมควร” แคนตอบ
“ถ้างั้นเรื่องเงิน ด้วยฉันช่วยสมทบเอง ขาดเหลือเท่าไหร่ก็บอกมาแล้วกัน” ทันทีที่ข้าวฟ่างพูดจบ ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่ชายหนุ่มทันที
เขาพูดอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ?
“ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทุนแล้วสิคะ แหม่...แฟนพี่กวางนี่รวยจริง ๆ เลยเนอะ” คำพูดของฟลุ๊คทำให้คนที่ถูกจับคู่ว่าเป็นแฟนพร้อมใจกันหน้าแดงขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่นะฟลุ๊ค เข้าใจผิดแล้ว พี่ข้าวฟ่างเค้าไม่ได้เป็นแฟนพี่!” กวางรีบปฎิเสธก่อนที่เธอจะต้องเขินหนักกว่าเดิมเมื่อเจอสายตาของแกงส้มที่มองมาอย่างมีเลศนัย
“อ้าวหรอคะ...ก็ฟลุ๊คเห็นพี่สองคนส่งสายตากันบ่อยนี่นา ฟลุ๊คก็เลยนึกว่าเป็นแฟนกัน ขอโทษที่เข้าใจผิดนะคะ” พูดจบ ฟลุ๊คก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แต่แล้วสายตาของเธอก็เงยขึ้นไปสบกับสายตาคมที่มองมาจากคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า
อีกแล้ว...มองกันอีกแล้ว...
“เออ...ว่าแต่เค้า ตัวเองก็แอบสบตากับเจ้าแคนเหมือนกันนั่นแหล่ะ!” เมื่อโดนคนเป็นพี่แซวกลับ ฟลุ๊คก็อายม้วนต้วนเอาหน้าไปหลบหลังหมิวทันที
“เฮ้ย! อะไรเนี่ยฟลุ๊ค มาหลบหลังพี่ทำไม”
“พี่หมิวอ่ะ!!!!”
แล้วเสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นก็เป็นการพูดถึงรายละเอียดของการไปออกค่ายอาสา และเป็นการพูดถึงกิจกรรมที่ทั้งหมดจะไปทำร่วมกัน
การประชุมใช้เวลาล่วงเลยมาจนถึงมืด...กว่าที่หลายสิ่งหลายอย่างจะลงตัว
“เฮ้อ...นี่ขนาดยังไม่ได้ไปนะเนี่ย ยังเหนื่อยแล้วเลย” กวางบ่นออกมา ก่อนจะยื่นมือไปรับขวดน้ำดื่มที่หมิวส่งมาให้
“เอาน่าพี่กวาง...เหนื่อยแต่มันทำให้เรามีความสุข ก็โอเคนะคะ”
“พูดดีนะเรา! เออ...แล้วตกลงว่าเรื่องรถนี่ใครติดต่อนะ”
“เฮียค่ะ”
“อืม ๆ ๆ แล้วนี่ไอ้ฟลุ๊คมันหายหัวไปไหนเนี่ย บอกว่าให้ช่วยเขียนสรุปสิ่งที่เราประชุมกันไปวันนี้ แล้วเอามาให้พี่ดู หายเงียไปเลย” กวางบ่นพลางยกน้ำขึ้นดื่ม
“ไม่ได้หายไปไหนหรอกค่ะ นู่น...ไปนั่งคุยอยู่กับแคน” แล้วกวางมองตามนิ้วของหมิวที่ชี้ไปยังใต้ซุ้มกระดังงาที่มีม้าหินอ่อนตั้งอยู่
คนสองคนที่กำลังนั่งคุยกันหนุงหนิงเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคนมอง
“แหม่...ไม่ค่อยเลยนะไอ้แคนไอ้ฟลุ๊ค!”
“ว่าแต่เค้านะพี่...ตัวเองก็ใช่ย่อยนะ พี่ข้าวฟ่างไปไหนแล้วล่ะคะ” หมิวเอ่ยแซวก่อนจะต้องยกมือขึ้นมาคลำหัวตัวเองเมื่อโดนกำปั้นของคนเป็นพี่ทุบลงไปเบา ๆ
“ไม่ต้องมาแซวเค้าเลยไอ้ตัวแสบ!”
ความสัมพันธ์ที่อาจจะเริ่มต้นไม่สวยหรูของคนสองคนบัดนี้ได้กลายมาเป็นความผูกพันที่ดีงอกเงยในหัวใจของคนทั้งคู่แล้ว แค่เพียงเพราะเปิดใจคุยกันเพื่อปรับความไม่เข้าใจให้กลายเป็นความเข้าใจ...
แค่เพียงเราพูดกันด้วยเหตุผล...
สิ่งที่เราพยายามบอกว่าไม่เข้าใจ...อาจจะเข้าใจกันได้ในเร็ววัน
“พี่ฮั่น...ถ่ายรูปผมกับดอกกุหลาบดอกนี้หน่อย” แกงส้มกวักมือเรียกคนที่ยืนชื่นชมดอกกุหลาบสีโอรสที่อยุ่ตรงหน้า ฮั่นรีบเดินไปหาคนเรียก แล้วหยิบไอโฟนออกมา พลางกดถ่ายภาพของคนที่ยิ้มหวาน
แกงส้มกับกุหลาบ...ถ้าเปรียบเทียบกันว่าใครหวานกว่า...
เขาคงตอบไม่ได้...เพราะใบหน้าของแกงส้มนั้นหวานนัก...
“ยืนยิ้มอะไรอ่ะพี่ รูปผมหล่อมากเลยหรอครับ” แกงส้มว่าพลางชะโงกหน้าไปดูรูปตัวเองที่อยู่ในไอโฟนคนเป็นพี่ กลิ่นหอมจาง ๆ จากตัวคนที่ชะโงกหน้ามาใกล้ทำให้หัวใจของฮั่นเต้นแรง
“หล่อไม่พอ น่ารักด้วย...” ฮั่นพึมพำออกมาเบา ๆ พลางเขยิบตัวเองให้เข้าไปใกล้ร่างบาง (กว่า) มากยิ่งขึ้น จนบัดนี้ต้นแขนของเขาสองคนเบียดชิดกัน
“พูดแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับพี่” แกงส้มว่าก่อนจะต้องตกใจเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าใบหน้าของเขาอยู่ใกล้กับใบหน้าของฮั่นมากแค่ไหน
ใกล้ชิดเพียงลมหายใจ แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน...
“เอ่อ...ผมว่า...เราไปดูดอกไม้ดอกอื่นกันเถอะครับ” พูดจบ คนพูดก็กระเถิบตัวถอยห่าง แต่มือหนาก็รั้งเอวของคนพูดให้เขยิบเข้ามาใกล้ พลางก้มหน้าลงไปจนจมูกของเขากับแกงส้มแตะกัน
“พี่อยากดูแกงส้มมากกว่าดอกไม้แล้วครับ...”
ฮั่นพูดแค่นั้น เขาก็เบี่ยงใบหน้าเป็นมุมที่พร้อมจะมอบสัมผัสที่แสนหวานให้กับคนที่อยู่ใกล้
“แกงส้ม! พี่ฮั่น! พี่หมิวให้มาเรียกค่า~” เสียงตะโกนของฟลุ๊คที่ดังแหวกอากาศมาก็ทำให้คนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้กันมาก รีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...ฟลุ๊คไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะใช่ไหมคะ”
“ไม่เลยจ้ะฟลุ๊ค...สักนิดก็ไม่มี”
ฮั่นตอบแค่ไหน ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วก้าวฉับ ๆ เดินออกไปจากแปลงกุหลาบทันที
อีกนิดเดียวเท่านั้น...นิดเดียวจริง ๆ!!!
“เอ่อแกง...ฟลุ๊คไม่ได้ขัดจังหวะจริง ๆ ใช่ไหม”
“ไม่เลยฟลุ๊ค...ไม่เลย”
แกงส้มตอบ ก่อนจะก้าวตามคนที่เพิ่งเดินออกไป
ไม่ขัดจังหวะเลยฟลุ๊ค...ไม่ขัดเล๊ย!!!!!!
“เอ่อ...นี่ฟลุ๊คไม่ได้ขัดจังหวะจริง ๆ สินะ...”
ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน หรือฐานะอะไร หรือเป็นใคร แต่แค่มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันในหัวใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะความรักไม่มีคำว่าถูกหรือผิด มีแต่คำว่ารักหรือไม่รักเท่านั้น...หากเรามัวแต่ยึดติดอยู่กับความคิดเดิม ๆ แล้วเมื่อไหร่เราจะได้รู้ว่า...โลกเดี๋ยวนี้มันก้าวไกลไปถึงไหนแล้ว...อย่ากลัวที่จะรักใครสักคน เพราะเมื่อมีรัก...หัวใจก็มักจะรู้สึกดี...ถ้าไม่เชื่อ...ลองรักใครสักคนดูสิคะ...
//ขออนุญาตไม่เวิ่นมากนะคะ ,,, ฝนกำลังตกกระหน่ำเลยค่ะ คงไม่ได้มาอัพอีกหลายวัน (คราวนี้หลายวันจริง ๆ ค่ะ) ไม่ได้พูดแล้วไม่ทำอย่างที่ผ่านมา (บอกว่าจะหายก็ไม่หายไปสักที) ฮ่า ๆ ๆ ๆ
ก็หวังว่าฟิคตอนนี้จะยังทำให้ยิ้มได้เหมือนทุกครั้งนะคะ อาจไม่หวานเท่าไหร่ แต่มันเป็นการดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ ... ติดตามกันต่อไปเรื่อย ๆ นะค้า ~ รักคนอ่านทุกคนนะคะ
*~เค้าลืมบอกไปเลยว่า "สุขสันต์วันฮั่นแกงเดย์นะคะ" ขอให้ความฟินและอินอยู่กับเราตลอดไปค่ะ ^_______^~*
ความคิดเห็น