คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 29 : ก็มี...แฟนน่ารัก
บทที่ 29 : ก็มี...แฟนน่ารัก
“แกง...”
“ครับ ?”
“เราเป็นแฟนกัน...จริง ๆ แล้วนะครับ” ฮั่นเอ่ยพูด ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยตัวเอง ใบหน้าคมที่ขึ้นสีแดงระเรื่อทำให้คนที่ยืนมองต้องหน้าแดงตาม
“อะ อื้ม...ก็เป็นแฟนกันแล้วไงครับ...”
“ถ้าเป็นแฟนกันแล้ว...ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนแกงไปทำงานแกงต้องไปรับเสบียงที่ร้านคิม ซึ่งพี่จะทำไว้ให้ แล้วพอจัดรายการเสร็จพี่จะไปรับแกงที่คลื่น...นะครับ...” ท้ายประโยคฮั่นใช้เสียงที่ทำให้คนฟังแทบจะลงไปนั่งดิ้นไปดิ้นมาที่พื้น
อ๊าก!!!! บางทีพี่ฮั่นก็น่ารักไปนะ!
“ก็...ตามนั้นครับ”
แกงส้มพูดตอบรับแค่นั้น เขาก็รีบเสียบคีย์การ์ดและเดินเข้าห้องของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว โดยมีสายตาของฮั่นมองตามจนประตูปิดสนิท
ใบหน้าหวานที่แสดงออกถึงความเขินอย่างเห็นได้ชัดทำให้ร่างสูงยิ้มกับตัวเอง
วันนี้...เวลานี้...ณ ขณะนี้...เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว...
แฟนของเขาชื่อ ‘แกงส้ม’...
ชื่อน่ากินไม่พอ...น่ารักด้วย!
เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะมีคนอีกหลายล้านคนบนโลกใบนี้ที่ยังไม่ได้เจอคนของตัวเอง แต่เขาได้เจอแล้ว...
“อืม...ไปเขียนจดหมายหา ‘แฟน’ สักฉบับดีกว่า”
ฮั่นพูดกับตัวเอง ก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินไปที่ห้องของตัวเอง
และเมื่อเสียงประตูห้องตรงข้ามปิดลง แกงส้มก้เปิดประตูห้องของตัวเองออกมา ก่อนที่เขาจะชะโงกหน้าไปมองบานประตูที่อยู่ตรงข้าม
“จะเขียนจดหมายหาเค้าหรอ...ใจตรงกันไปนะบางที ว่าแล้วเราก็ไปเขียนจดหมายหาพี่ฮั่นดีกว่า จะได้หลับฝันดียาว ๆ”
พูดจบ คนพูดก็ผลุบหายเข้าไปในห้อง ทิ้งความสุขให้ลอยวนสลับกันไปสลับกันมาระหว่างห้องสองห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน
ความสุขของการที่ได้เจอกับคนที่หัวใจต้องการ คือความสุขที่อาจไม่ได้อยู่ชั่วนิรันดร์ แต่เป็นความสุขที่ทำให้ทุก ๆ วันของคนสองคนมีแต่รอยยิ้มและเรื่องราวดี ๆ
แกร๊ก/แกร๊ก
เสียงประตูของห้องสองห้องที่เปิดออกมาพร้อมกัน ทำให้คนเป็นเจ้าของห้องต้องเงยหน้าขึ้นไปมองห้องที่อยู่ตรงข้าม ในมือของคนสองคนมีซองจดหมายต่างสีกันอยู่ในมือ รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าของฮั่นและแกงส้มทำให้พวกเขาสองคนรู้ว่า...
พวกเขา ‘ใจตรงกัน’...อีกแล้ว!
“จดหมายในมือแกง...ใช่ของพี่หรือเปล่าครับ”
“แล้วจดหมายในมือพี่ฮั่น...ใช่ของผมหรือเปล่าล่ะครับ”
“พี่ถามแกงก่อนนะ”
“ผมก็ถามพี่ทีหลังนะ”
“แกง!”
“พี่ฮั่น!”
แล้วสุดท้ายคนที่เป็นฝ่ายยอมก็เป็นร่างสูงที่ยกมือขึ้นมาเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขายอมแพ้ คนที่เป็นฝ่ายชนะหัวเราะออกมาก่อนจะเดินออกมาจากห้องของตัวเอง แล้วหยุดยืนที่เบื้องหน้าร่างสูง พลางยื่นซองจดหมายในมือตัวเองไปให้คนเป็นพี่
“นี่จดหมายของพี่ครับพี่ฮั่น...จดหมายฉบับแรกในฐานะ ‘แฟนของผม’...”
คำว่า ‘แฟนของผม’ ทำให้คนถูกเรียกยิ้มหวานออกมา ก่อนจะเสสายตาตัวเองหลบสายตาหวานของแกงส้ม
“เอ้าเขินอยู่นั่นแหล่ะพี่ฮั่น ไม่รับใช่ไหมครับจดหมายผมเนี่ย...”
“รับสิครับ...” ฮั่นพูดแค่นั้น เขาก็ยื่นมือไปหยิบจดหมายของคนเป็นน้อง...ไม่สิ...ต้องบอกว่าคนเป็นแฟนมาถือไว้ ก่อนที่เขาจะยื่นจดหมายในมือของเขาไปให้คนตรงหน้า
“นี่ก็จดหมายของแกงครับ...จดหมายฉบับแรกและไม่ใช่จดหมายฉบับสุดท้ายในฐานะ ‘แฟนสุดที่รักของพี่’...”
คำว่า ‘แฟนสุดที่รักของพี่’ ก็ทำให้คนหน้าหวานที่กำลังยืนยิ้มหวานต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างพยายามกลั้นเขิน มือบางยื่นออกมาหยิบจดหมายที่อยู่ตรงหน้า
“อ่านจดหมายพี่เสร็จแล้วก็รีบนอนหลับต่อล่ะครับ ห้ามเอาแต่กลิ้งไปกลิ้งมาเพราะความเขินจนนอนไม่หลับนะครับ พี่ไปร้านก่อน แล้วเย็น ๆ พี่จะทำของอร่อย ๆ ไว้ให้เรานะ ‘คุณแฟนของพี่’...”
พูดจบ คนพูดก็ยื่นใบหน้ามาแล้วแตะริมฝีปากของตัวเองที่ริมฝีปากสวยเบา ๆ ก่อนที่ฮั่นจะเดินตัวปลิวผิวปากล็อกห้องตัวเอง แล้วก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินที่ทอดยาว โดยเมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว คนฉวยโอกาสก็หันกลับมาโบกมือให้กับร่างโปร่งที่ยืนตัวแข็งทื่อกับสัมผัสที่รวดเร็วแต่ทำให้หัวใจเต้นไปเต้นมาจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก
“อะ อะ ไอ้พี่ฮั่นบ้า!!! กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย! ทำบ้าอะไรวะ ฮึ่ย!!!!” ใบหน้าหวานพูดฮึดฮัดกับตัวเอง ก่อนที่เขาจะเอามือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะยืนเขิน
เขา ‘ลักจูบ’ พี่ฮั่น...แต่พี่ฮั่นแม่ง...’จูบตรง ๆ’ เลย!
อ๊ากกกกกกกก แบบไหนมันทำให้เขินได้มากกว่ากันนะ
อ่า...เหมือนจะทำให้เขินทั้งสองแบบเลย
แกงส้มยกมือขึ้นมาตบแก้มตัวเองสองสามทีเพื่อเรียกสติที่ลอยไปกับสัมผัสของคนที่เป็นเจ้าของจดหมายในมือ ก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
ฟุบ!
แกงส้มกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียง โดยเอาหัวหนุนเจ้ามายเดียร์ มือบางค่อย ๆ แกะซองจดหมาย กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยลอยออกมาทักทายเขา จากนั้นกระดาษเขียนจดหมายสีสวยก็ถูกแกงส้มคลี่ออก
ถึง คุณแฟนของพี่ ><
รู้สึกเขินจังที่เรียกแกงแบบนี้
แต่ถามว่ารู้สึกดีไหม...ตอบได้เลยว่า ‘มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก’
แกงจำจดหมายฉบับแรกที่ทำให้แกงได้มาเจอกับพี่ได้ไหมครับ...?
จดหมายจากความเหงาของผู้ชายคนหนึ่ง
เนื้อความในจดหมายพูดถึงเนื้อคู่ที่พี่ยังตามหาไม่เจอ ซึ่งทุกวันนี้พี่ก็ไม่รู้ว่าเนื้อคู่คนนั้น...พี่ตามหาเจอหรือยัง...
แกงจะเป็นเนื้อคู่คนนั้นของพี่ไหม...พี่ก็ไม่อาจรู้ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่พี่รู้ก็คือ...
ตอนนี้แกงคือ...’แฟนของพี่’...
แกงคือ ‘คนพิเศษของพี่’...
แกงคือ ‘คนที่พี่รัก’...
บนโลกใบหนึ่งที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายหลายร้อยล้านคน ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการและขวนขวายหาสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ‘เนื้อคู่’...ถ้าเป็นแต่ก่อนพี่คงจะบอกว่า...
ไม่มีเนื้อคู่...พี่ก็หาเงินกินข้าวได้
ไม่มีเนื้อคู่...พี่ก็ยังหัวเราะได้
ไม่มีเนื้อคู่...พี่ก็ยังมีความสุขดี
ไม่มีเนื้อคู่...ก็ไม่เห็นจะตาย...เพราะพี่ยังหายใจได้อยู่
พี่ยังอยู่ได้ด้วยตัวของพี่เอง...
พี่ยังยิ้มได้แม้อยู่เพียง ‘ลำพัง’
แต่ตอนนี้...ถ้า...
ไม่มีแกง...พี่ก็หาเงินกินข้าวได้ แต่คงกินข้าวไม่ลง...
ไม่มีแกง...พี่ก็ยังหัวเราะได้ แต่คงเป็นหัวเราะที่ไม่เต็มเสียง
ไม่มีแกง...พี่ก็ยังมีความสุขดี แต่เป็นความสุขที่ปนไปด้วยความทุกข์ในหัวใจ
ไม่มีแกง...ก็ไม่เห็นจะตาย...เพราะพี่ยังหายใจได้อยู่ แต่เป็นการหายใจที่เหมือนทิ้งไปวัน ๆ เท่านั้น
พี่ยังอยู่ได้ด้วยตัวของพี่เอง...แต่เป็นการอยู่ที่เหมือน ‘ไร้ซึ่งความสุขในหัวใจ’
พี่ยังยิ้มได้แม้อยู่เพียง ‘ลำพัง’ แต่คงเป็นยิ้มที่เปื้อนไปด้วย ‘น้ำตา’
เพราะฉะนั้นสำหรับพี่ในตอนนี้...
แกงคือ ‘ทุกสิ่งทุกอย่าง’...ที่พี่ไม่รู้ว่าถ้าสักวันหนึ่งพี่ต้องขาดแกงไป...พี่เป็นยังไง...
พี่คงเหมือนคนที่มีร่างกายแต่ไร้ซึ่งหัวใจ เพราะแกงคือ ‘หัวใจของพี่’ ครับ!
พี่อาจจะไม่ใช่คนที่พูดเก่งนักในเรื่องของ ‘ความรัก’ แต่แค่แกงรับรู้ว่า ‘พี่รักแกง’ แค่นี้ก็พอแล้วครับ
พี่รักแกงนะครับ...
เพราะถ้าไม่รัก...พี่จะไม่มีวันยอมขอแกงเป็นแฟน...และคงไม่ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่าง...อย่างที่แกงพบเจอในแต่ละวันแบบนี้หรอกครับ
ขอบคุณนะครับที่ยอมเป็นแฟนพี่...ขอบคุณและขอบคุณ...
พี่ไม่สัญญานะครับว่าจะรักและดูแลแกงแบบนี้ไปชั่วนิรันดร์ เพราะพี่ไม่รู้ว่านิรันดร์มันยาวนานแค่ไหน แต่พี่จะขอทำทุกวันของเราให้ดีที่สุด เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้กับคนที่รักได้...ขอให้แกงเชื่อในความรักที่พี่มีให้แกงและขอให้แกงเชื่อใน ‘รักของเรา’ ครับ
เป็นจดหมายฉบับแรกเลยมั้งเนอะที่พี่เขียนยาวมากขนาดนี้...หวังว่าตอนที่แกงอ่านแกงจะยิ้มและอบอุ่นในหัวใจไปกับทุกตัวอักษรของพี่นะครับ...
สักวันหนึ่งที่ไม่ไกลนี้...พี่จะกล้าพอไปบอกรักแกงต่อหน้าครับ...รอพี่นะ...
รักแกงครับ...
จาก คุณแฟนของแกงไงครับ
ปล.นี่อาจจะเป็นจดหมายฉบับแรกในฐานะแฟนของเรา และมันจะมีจดหมายฉบับต่อ ๆ ไปครับ ^^
เมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้จบ แกงส้มก็รู้สึกเมื่อยแก้มมาก เพราะเขายิ้มไม่หุบตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายของจดหมายฉบับนี้
ทำไมพี่ฮั่นถึงได้เป็นผู้ชายที่แสนดีและอบอุ่นแบบนี้นะ...
เขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นแฟนกับคน ๆ นี้
ชาตินี้ทั้งชาติเขาจะหาคนที่รักเขาได้มากขนาดนี้เท่าพี่ฮั่นได้อีกไหม...เขาไม่อาจรู้ได้เลย
แต่ที่เขารู้ตอนนี้คือ...พี่ฮั่นเองก็คือ ‘ทั้งหมดของหัวใจ’ เขาเหมือนกัน...
แกงส้มลุกขึ้นนั่งก่อนจะกระเถิบตัวเองไปนอนหนุนหมอนหนุนใบโต แล้วคว้าเจ้าหมีมายเดียร์มากอดไว้ข้างตัว พลางหยิบจดหมายที่อยู่ในมือมาวางไว้บนอก แล้ววางสองมือไว้บนจดหมายฉบับนั้นราวกับต้องการให้ทุกตัวอักษรที่ถ่ายทอดทุกความรู้สึกของคนเขียนซึบซับลงไปในหัวใจ
ความรู้สึกอบอุ่นที่ลอยละล่องภายในห้องสี่เหลี่ยมทำให้คนที่นอนหลับตาได้สัมผัสถึงความสุขจากความอบอุ่นนี้ทุกอณูความรู้สึก
แกงส้มหลับไปพร้อมความสุขในหัวใจ...
การมี ‘แฟนน่ารัก’...มันดีแบบนี้เองสินะ!
ถึง แฟนของผม
ไม่ต้องหันซ้ายหันขวามองหาใครนะครับ ก็พี่นั่นแหล่ะพี่ฮั่นที่เป็นแฟนของผม!
ให้ตายเหอะ...พี่มันบ้าชัด ๆ ที่มาขอผมเป็นแฟนตอนกินโจ๊กในตลาด
แต่ผมบ้ากว่าที่ยอมเป็นแฟนพี่ง่าย ๆ แบบนั้น...ก็ผมบอกแล้วไงครับว่า...
ถ้าสัญญาการเป็นแฟนของเราจบลง ผมจะทำให้เราได้เป็นแฟนกันจริง ๆ ให้ได้ ต่อให้ผมต้องเริ่มจีบพี่ก่อนผมก็จะทำ...
ไม่ต้องย้ำนะครับ...ผมย้ำตัวผมเองได้!
เฮ้อ...แล้วสุดท้ายพี่ก็ขอผมเป็นแฟนจริง ๆ
มันรู้สึกปลื้มจนบอกไม่ถูกอ่ะพี่ คือยังไงดีล่ะ...
พี่สังเกตไหมว่าผมตอบพี่สั้นมาก...คือตอนนั้นมันเขินมาก...เขินจนแบบไปต่อไม่ถูก
เขินจน...อ๊ากกกกกกกกก คิดแล้วเขินอีกแล้วอ่ะ!
พี่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่คิดถึงพี่และทุกครั้งที่ผมอยู่ใกล้พี่...
พี่ทำให้ผมเป็นอีกคนหนึ่ง...อีกคนหนึ่งที่กล้าทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
พี่ทำให้ผม...รู้สึกดีกับทุก ๆ สิ่งที่พี่ทำให้ผม
พี่ทำให้ผมได้รู้จักกับอีกหลายสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับรู้
พี่ทำให้ผมได้เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ และคำว่า ‘เรา’
พี่ทำให้ผมรู้ว่า...โลกนี้จะไร้ความหมายมาก ถ้าไม่มี ‘พี่’
เพราะว่าพี่...คือคนที่ทำให้โลกที่เป็นแค่โลกธรรมดา กลายเป็นโลกที่แสนพิเศษ
เพราะมีคนพิเศษอย่างพี่อยู่บนโลกใบนี้
ถ้าถามว่า...วันนี้ผมมีความสุขแค่ไหนกับการมีพี่...ผมคงตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า...
ผมมีความสุขทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที และทุกวินาทีที่ได้มีพี่...
ถ้าวันหนึ่งผมไม่มีพี่...ผมยังไม่รู้เลยว่าผมจะอยู่ได้ไหม...
เพราะพี่เป็นเหมือนออกซิเจนที่ทำให้ผมหายใจได้ในทุกวัน...
(พูดเหมือนเวอร์...แต่มันคือความจริงนะครับ)
ถึงแม้เราจะต้องห่างกันในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งผมแค่คิดเผื่อไว้เพราะไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร แต่หัวใจของผมก็ยังจะอยู่ได้ ถ้าหากว่าการห่างไกลห่างกันของเรานั้นมันคือเรายังมีหัวใจที่รักกัน
แต่หากว่าการห่างไกลนั้นคือ การที่เราไม่มีใจต่อกันแล้ว...ผมคงแทบอยู่ไม่ได้
แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมก็คงต้องทำใจให้อยู่ให้ได้เนอะ...ก็แค่ไม่มีคนที่เป็นดั่งหัวใจอยู่ด้วยก็แค่นั้นเอง คงไม่ถึงกับตายแค่ไม่อยากจะหายใจ...ก็แค่นั้น...
พี่ฮั่นครับ...ผมเคยบอกพี่ใช่ไหมครับว่าให้พี่รอผม...ในวันที่ผมพร้อมจะให้คำที่มากกว่าคำว่าขอบคุณ...วันนี้ผมพร้อมแล้วนะครับ...
ผมพร้อมที่จะบอกกับพี่แล้วว่า...’ผมรักพี่’ ครับ...
รักมาก ๆ และไม่รู้ว่าชาตินี้จะรักใครอีกได้ไหม...ผมอาจจะเคยทำให้พี่รู้สึกหวั่นไหวไปกับความแน่ใจในความรู้สึกของผม แต่วันนี้...เวลานี้...นาทีนี้...ขอให้พี่มั่นใจและเชื่อใจผมครับ...
ว่าคนที่ผมรัก...คือ ‘พี่คนเดียว’ เท่านั้น...และมันจะเป็นแบบนี้ตราบเท่าที่หัวใจของผมยังเป็นของพี่ครับ
ผมกล้าบอกพี่ในนี้ว่ารักแล้ว...รอผมกล้าอีกนิดนะครับ...แล้วผมจะไปบอกกับพี่ต่อหน้าเองว่า...
...ผมรักพี่...
เขียนมายาวมากแล้ว...ผมรู้นะว่าพี่ยิ้มจนแก้มจะแตกตอนที่อ่านจดหมายฉบับนี้ของผม...ผมมั่นใจในฝีมือการเขียนจดหมายของผมครับ ฮ่า ๆ ๆ เอาเป็นว่า...รออ่านฉบับต่อ ๆ ไปนะครับพี่หมีฮั่น คุณแฟนสุดที่เลิฟของผม
รักพี่นะ...พี่หมีฮั่น!
จาก แฟนของพี่ไงครับ ><!!
ปล. ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะถ้าให้เขียน คงมีแต่คำนี้ >> ‘รัก’...เต็มหน้ากระดาษ
ทันทีที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ คนที่นั่งอยู่ในรถก็เอาหน้าฟุบไปกับพวงมาลัยแล้วเอามือมาจับอกของตัวเองไว้ พลางตบเบา ๆ ไปบริเวณนั้นหลายทีเพื่อให้หัวใจที่เต้นไหวไปกับทุกความรู้สึกดี ๆ จากตัวอักษรของแกงส้มให้บรรเทาอัตราการเต้นแรง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งตบ หัวใจกลับยิ่งเต้นแรงขึ้น...
ให้ตายเหอะ...ทำไมแกงส้มถึงได้เป็นคนที่น่ารักได้ขนาดนี้!
จดหมายของแกงไม่ได้มีแค่ความหวาน แต่มันยังมีความน่ารักขี้เล่นกุ๊กกิ๊ก ๆ ตามแบบฉบับของแกงมาด้วย มันบ่งบอกความเป็นตัวตนของแกงได้เป็นอย่างดี
และนั่น...มันทำให้เขายิ้มหวาน
มันทำให้เขารู้สึกดี...
มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่น
มันทำให้เขารู้สึกว่า...
การมี ‘แฟนน่ารัก’ มันดีแบบนี้นี่เอง...
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด...
“เฮ้ย!!!!!!!!!”
ฮั่นปล่อยตะเกียบที่อยู่ในมือทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ ดวงตาที่ตี่เรียวเบิกโพลงพลางมองซ้ายมองขวาหาที่มาของเสียง แล้วเขาก็พบว่าไอโฟนของคนที่เดินไปหยิบถ้วยในครัว
“เป็นอะไรคะพี่ฮั่น ?”
หมิวถามพลางหน้าฮั่นที่บัดนี้เลิ่กลั่กราวกับตื่นกลัวอะไรสักอย่าง
“นี่หมิวใช้เสียงข้อความเป็นเสียงนี้หรอ”
“ค่ะ...ทำไมคะ เสียงนี้ออกจะเจ๋งนะพี่ฮั่น หมิวเอามาจากแกงอ่ะ”
“ว่าแล้วเชียว! ว่าเสียงมันคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน ให้ตายเหอะ...เสียงโหยหวนชวนใจหายแบบนี้มันน่าใช้ตรงไหนวะ พี่อยากจะรู้นัก” ฮั่นว่าก่อนจะคีบผักบุ้งไฟแดงเข้าปาก ก่อนที่เขาจะสำลักผักบุ้งที่กินเข้าไปนั้นออกมา เมื่อมือบางของคนที่เพิ่งเดินมานั่งข้าง ๆ ฟาดไปเต็ม ๆ หลังเขา
“กินโดยไม่รอฉัน นิสัยไม่ดีนะไอ้ฮั่น! ใช่สิ...เดี๋ยวนี้แกมีน้องแกงแล้วนี่ เพื่อนอย่างฉันมันไม่สำคัญแล้ว ฮือ ๆ ๆ “ จ๋าไม่พูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางการร้องไห้ประกอบคำพูดด้วย ผลที่ได้กลับมาคือตะเกียบที่อยู่ในมือฮั่นที่เคาะลงไปบนหน้าผากของคนที่กำลังแอคติ้ง(โอเวอร์)
“แกสำคัญสำหรับฉันเสมอเว้ย เพราะถ้าแกไม่สำคัญ ฉันจะมานั่งทำกับข้าวให้แกกินทุกคืนแบบนี้ไหม ไม่ว่ายังไงแกกับหมิวก็เหมือนคนในครอบครัวของฉัน ถึงแกงจะเป็นแฟนฉัน แต่ยังไงพวกแกก็ยังสำคัญสำหรับฉัน เพราะงั้น...ไม่ต้องมาทำเป็นน้อยใจเลย กิน ๆ เข้าไป”
แล้วฮั่นก็คีบผักบุ้งไฟแดงตรงหน้าเข้าปากอีกครั้ง แต่...
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
“หมิว...ปิดเสียงข้อความตอนกินข้าวได้ไหม พี่หลอน...” ฮั่นว่าก่อนจะคีบผักบุ้งไฟแดงที่หล่นในชามข้าวต้ม จากการตกใจเมื่อกี้นี้ของเขามาเข้าปากอีกครั้ง
“ก็ได้ค่ะ...อ๊ะ! เฮียโทรมา...ขออนุญาตไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ” แล้วคนที่พูดขออนุญาตก็ทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะกินข้าว แต่...
“ไม่ต้องเลยไอ้หมิว นั่งคุยตรงนี้แหล่ะ”
“ชิ! อยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านหรอป้า”
“เออ...ฉันอยากรู้ จบไหม!”
“จบค่ะ...”
พูดจบ หมิวก็กดรับสายคนที่โทรเข้ามา โดยมีจ๋าที่บัดนี้ย้ายไปนั่งข้างคนเป็นน้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนฮั่นที่ไม่ได้สนใจกับเรื่องของใคร ก็คีบหมูทอดเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย
ป่านนี้คนที่อยู่ที่คลื่นวิทยุ...ก็คงจะกำลังกินข้าวเหมือนกับเขา
เพราะตอนที่เขาทำกับข้าวเสร็จ เขาโทรไปหาแกงส้มมา แล้วแกงส้มบอกว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะกินข้าวแล้วเหมือนกัน
แม้จะไม่ได้กินข้าวอยู่ด้วยกัน แต่แค่...รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังจะกินข้าวด้วยฝีมือของเรา
แค่นี้มันก็ทำให้เขายิ้มได้
ความสุขของคนที่รักคือการได้รู้ว่าคนรักของเรากินดีอยู่ดีและกำลังมีความสุข
เพราะทุกความสุขของคนที่รัก ก็คือความสุขของเราเหมือนกัน
“ค่ะเฮีย ใช่...หมิวส่งเรื่องไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว เรื่องเพิ่งได้รับการอนุมัติวันนี้ค่ะ อีก 3 วันเราก็ออกเดินทางกันได้แล้ว ใช่...ค่ะ ๆ ๆ หมิวกำลังจะกินข้าวค่ะ ไว้ค่อยคุยกันนะ...”
เมื่อหมิววางสายจากโตโน่ สายตาของฮั่นและจ๋าก็พุ่งตรงมาที่เธอเป็นจุดเดียว
“หมายความว่าไงไอ้หมิวที่ว่าอีก 3 วันออกเดินทาง”
“นั่นสิ...หมิวจะเดินทางไปไหน”
“อ้าว...หมิวยังไม่ได้ป้าจ๋ากับพี่ฮั่นหรอคะ ว่าหมิวจะไปออกค่ายอาสา!”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าออกค่ายอาสา ฮั่นกับจ๋าก็ตาโตขึ้นมาทันที
“ออกค่ายอาสา!!!!!!”
“ใช่ค่ะพี่ฮั่น ออกค่ายอาสา...”
“เฮ้ยไอ้หมิว...แกไม่เห็นเคยพูดเกริ่นเลยว่าแกจะไปออกค่ายอาสา แล้วจะไปอยู่ในอีกสามวันเนี่ยนะ!!! แกคิดจะบอกฉันวันไหนวะ” จ๋าโวยวายใส่คนที่นั่งข้าง ๆ ก่อนที่เธอจะปล่อยมะเหงกเขกลงกลางหัวหมิวอย่างแรง
“โอ๊ยเจ็บนะป้าจ๋า!!!! พี่ฮั่นดูป้าจ๋าดิ ทำร้ายหมิวอ่ะ” หมิวหันมาขอความช่วยเหลือจากคนเป็นพี่อีกคน แต่ผลที่ได้คือ...
“พี่ว่าจ๋ามันทำถูกแล้วนะ หมิวจะไปออกค่ายอาสา แต่ไม่บอกให้พวกพี่รู้ล่วงหน้าเนี่ย คิดได้ยังไงฮะเรา” ฮั่นว่าพลางมองหน้าคนที่นั่งคลำหัวตัวเองด้วยสายตาที่ดุ
ปกติเขาก็ไม่เคยห้ามหรือว่ายุ่งวุ่นวายอะไรกับหมิวมากนัก เพราะเห็นว่าโตแล้ว แต่การไปออกค่ายอาสา ซึ่งแน่นอนว่าต้องไปต่างจังหวัดหลายวันนั้น...มันเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรเลย และเขาก็ไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่หมิวจะไปโดยไม่บอกให้พวกเขารู้ตัวล่วงหน้าแบบนี้
“หมิวก็บอกล่วงหน้าแล้วนี่ไง”
“3 วันเนี่ยนะ!!!!”
“ค่ะ...”
“พี่ไม่ให้ไป!”
“พี่ฮั่น!”
“ฉันก็ไม่ให้แกไป!”
“ป้าจ๋า!”
แล้วความเงียบก็เริ่มทำหน้าที่ของมันทันทีที่ฮั่นและจ๋าหันไปมองหน้าหมิวด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความจริงจังเพื่อยืนยันสิ่งที่เขาและเธอพูดออกไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ หมิวถอนหายใจออกมามื่อเธอรู้สึกตัวได้ว่าเธอเป็นคนผิด
“หมิวขอโทษค่ะที่ไม่ได้บอกป้าจ๋ากับพี่ฮั่นก่อน หมิวก็แค่อยากรอให้เรื่องนี้เสนอผ่านก่อน หมิวถึงจะบอกให้รู้น่ะค่ะ ให้หมิวไปเถอะนะ งานนี้มีเฮียไป มีพี่กวางไป แล้วก็มีแกงส้มไปด้วยนะคะ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงสักนิด”
ทันทีที่ได้ยินชื่อแกงส้ม ฮั่นก็หูผึ่งขึ้นมา
“แกงไปด้วยหรอ ?”
“ค่ะ...พี่กวางบอกว่าจะชวนแกงไปด้วย แต่หมิวไม่แน่ใจนะคะว่าไปชวนหรือยัง แต่คิดว่าถ้าชวนแกงคงไป เพราะว่าแกงเองก็เคยเป็นสมาชิกชมรมหมิวมาก่อน น่าจะคืนนี้แหล่ะค่ะที่พี่กวางไปชวนแกง พี่ฮั่นให้หมิวไปเถอะนะ...นะ ๆ ๆ ๆ ๆ” หมิวว่าพลางเดินมาเขย่าแขนฮั่นและส่งสายตาอ้อน ฮั่นหันไปมองหน้าจ๋าก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงให้คนที่มีตำแหน่งเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของหมิวเป็นฝ่ายตอบ
“ฉันให้แกไปก็ได้...”
“เย้!”
“แต่มีข้อแม้ว่า...พวกฉันจะต้องไปกับแกด้วย!”
“หา...หมายความว่าไงคะที่บอกว่าพวกฉัน...พวกฉันนี่มีใครบ้างคะ ?”
“เดี๋ยวฉันขอคุยกับคุณคิมก่อน แล้วจะมาบอกว่าพวกฉันน่ะมีใครบ้าง...” ตอบเสร็จ จ๋าก็ลุกออกจากโต๊ะอาหารไปโทรศัพท์หาคนที่เธออ้างชื่อถึงทันที
ไม่เกิน 5 นาที...คนที่เพิ่งเดินออกไป ก็เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“ตกลงว่า...คุณคิมจะไปปิดร้านเพื่อพาสมาชิกในร้านไปออกค่ายอาสากับแกไอ้หมิว!” เมื่อได้ฟังคำตอบของคนตรงหน้า หมิวก็ตาโตขึ้นมา
“ปิดร้านเลยหรอ! โห...ลงทุนไปป่ะเนี่ยป้า” หมิวว่าก่อนที่เธอจะคลี่ยิ้มออกมา
“แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะจากกำหนดการที่ว่าจะไปออกค่าย 5 วัน อาจลดจำนวนวันลงได้ ถ้าจำนวนคนที่ไปเยอะ งั้นก็ตามนี้เลยค่ะ เดี๋ยวหมิวโทรบอกเฮียก่อน...” พูดจบ หมิวก็กดโทรศัพท์ไปหาโตโน่
ฮั่นหันมามองหน้าจ๋า ก่อนจะทำหน้าเป็นงง
อย่างคุณคิมเนี่ยนะยอมปิดร้านเพื่อไปออกค่ายอาสา...น่าสงสัยจริง ๆ
“แกไปพูดอะไรกับคิมวะ เค้าถึงได้ยอมปิดร้านเพื่อไปออกค่ายอาสาแบบนี้” ฮั่นถามพลางขมวดคิ้วหนาอย่างสงสัย
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แกรู้แค่ว่า...พวกเราจะได้ไปออกค่ายอาสาด้วยกันเท่านั้นพอ หึ ๆ” แล้วเสียงหัวเราะท้ายประโยคของจ๋าก็ทำให้หั่นต้องทำเหยเกขึ้นมา
ท่าทางการไปออกค่ายอาสาครั้งนี้...จะมีอะไร ‘สนุก ๆ’ ชวนให้ระทึกใจรออยู่แฮะ...
“ออกค่ายอาสา !!!!!!!!”
“อื้อ...ไปด้วยกันนะแกง”
“แต่ผมต้องทำงานพี่กวาง พี่ก็รู้งานดีเจหยุดได้ที่ไหน” แกงส้มว่าก่อนจะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ กวางเห็นดังนั้นก็จับมือคนเป็นน้องมาเขย่า ๆ
“แกก็ไปขอร้องอีตาคุณข้าวฟ่างสิว่าขอลางานสัก 5 วัน ให้เค้าทำแทนแกไปก่อน นะ...นะ ๆ ๆ ๆ”
“พี่ก็ไปขอร้องพี่ข้าวฟ่างให้ผมสิครับ ได้ข่าวว่าสนิทกันแล้วไม่ใช่หรอ” แกงส้มเอ่ยแซวก่อนจะต้องอมยิ้มขำเมื่อเห็นใบหน้าหวานของกวางขึ้นสีแดง
“สนิทอะไร...ไม่ได้คุยกันตั้งแต่วันที่ไปทาสีกำแพงโรงเรียนวันก่อนแล้วเหอะ อย่าลีลาน่า...แกนั่นแหล่ะไปขอร้องเค้า นะ...พี่อยากให้แกไปด้วย เพราะเราไม่ได้ไปออกค่ายด้วยกันมานานแล้วนะเว้ย ไปเหอะ!” กวางพยายามพูดเกลี้ยกล่อมยกแม่น้ำทั้งห้า แต่ดูเหมือนว่าแกงส้มจะยังคงลังเล
“ถ้าพี่ไปขอร้องพี่ข้าวฟ่างให้ผมได้ ผมจะไปครับ”
เจอคำตอบของคนตรงหน้าเข้าไป กวางถึงกับผงะ
ไอ้แกงส้มบ้า!
คนยิ่งไม่อยากเจออีตานั่นอยู่...มาทำให้ต้องไปเจอทำไมวะ
“เออ ๆ ๆ ๆ ถ้าพี่ขอร้องได้ แกต้องไปนะ”
“คร้าบบบบบบบบบบบบ”
“งั้นอีตานั่นทำงานอยู่ห้องไหน” กวางถามก่อนจะต้องมองตามมือที่ชี้ไปของแกงส้ม
“ห้องถัดจากห้องนี้ไปสองห้องครับ แล้วผมจะรอคำตอบดี ๆ จากพี่นะครับพี่กวาง” คำพูดของแกงส้มเรียกปลายเท้าของกวางให้เหวี่ยงไปเตะที่แข้งของคนพูดอย่างแรงหนึ่งที
“เออ!”
ก๊อกก๊อก...
“เข้ามาครับ” เสียงตอบรับของคนในห้อง เรียกให้ร่างโปร่งเปิดประตูเข้าไป ใบหน้าคมที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงาน ทำให้หญิงสาวผุดรอยยิ้มขึ้นมา
ไม่เจอกันหลายวัน แต่ก็ยัง...ดูเหมือนเดิมนะคุณข้าวฟ่าง
“อ้าวเธอเองหรอ มีธุระอะไร ?” คำถามที่มาพร้อมกับอาการทักทายที่แสนห่างเหิน ทำให้ผู้มาเยือนเริ่มทำตัวไม่ถูก
เธอกับเขาเหมือนจะเริ่มสนิทกันได้แล้วแท้ ๆ แต่ทำไมแค่เพียงเวลาไม่กี่วัน ถึงทำให้คน ๆ นี้ทำราวกับว่าเธอกับเขาเป็นเพียงคนเคยรู้จักกันอย่างนั้นนะ...
“คือพอดีว่า...ที่ชมรมของฉันมีโครงการไปออกค่ายอาสาในอีกสามวันข้างหน้า แล้วแกงมันเคยเป็นสมาชิกชมรม ฉันก็เลยอยากจะให้มันไปด้วย เลยมาขออนุญาตคุณช่วยให้แกงมันลางานสักห้าวันได้ไหมคะ”
เพราะท่าทีที่เหินห่างทำให้กวางจำต้องพูดจาด้วยสรรพนามที่ห่างเหินเช่นนี้
รู้สึกเจ็บเล็ก ๆ ในหัวใจแฮะ...
“ห้าวันเลยหรอ ?”
“ค่ะ...”
“ฉันไม่อนุญาต!”
แค่เพียงถ้อยคำสามพยางค์นี้ ที่ทำให้คนฟังหน้าสลดวูบลง หากแต่กวางก็ยังคงไม่ยอมแพ้
“แต่คุณข้าวฟ่างคะ คือว่า...”
“ฉันยังพูดไม่จบ...ฉันไม่อนุญาตถ้าหากว่าเธอไม่ให้ฉันไปด้วย”
“หา! หมายความว่าไงคะที่คุณข้าวฟ่างบอกว่าจะไปด้วย” กวางหน้าเหวอขึ้นมาทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบ คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ร่างที่สูงกว่าค่อย ๆ ก้าวมาหาคนที่ยืนเหวอช้า ๆ จนแผ่นหลังบางติดกับประตู สองแขนที่กางกั้นทำให้กวางตัวแข็งทื่อ
“ฉันก็หมายความตามที่พูด มันฟังดูยากตรงไหน” คำตอบที่มาพร้อมกับใบหน้าที่ก้มลงมา ทำให้กวางหลับตาปี๋
“คะ คะ คุณข้าวฟ่างจะทำอะไรคะ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ แล้วเธอคิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ”
“เอ่อ...โอ๊ย!”
ป๊อก! แล้วนิ้วชี้ที่ดีดมากลางหน้าผากมนก็ทำให้กวางร้องโอ๊ยออกมา
“ฉันไม่พิศวาสยัยเด็กกะโปโลอย่างเธอหรอกน่ะ เอาเป็นว่า...ฉันอนุญาตให้แกงส้มลางานห้าวัน โดยที่ฉันจะไปออกค่ายกับเธอด้วย จบธุระของเธอแล้ว เชิญ...”
พูดจบ คนพูดก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม ทิ้งให้กวางมองตามไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจในอากัปกิริยาของชายหนุ่มนัก
อะไรของเขาวะ...
แต่ก็เอาเหอะ...ยอมอนุญาตให้แกงส้มไปด้วย ถึงจะมีเขาไป...ก็โอเคแล้ว
ท่าทางการไปออกค่ายอาสาครั้งนี้จะมีเรื่องสนุก ๆ เพียบเลยแฮะ...น่าตามติด...เอ๊ยน่าติดตามจริง ๆ
หึ!
เส้นทางความรักของคนสองคนจะเดินไปจนถึงจุดมุ่งหมายไหน ไม่สำคัญเท่ากับช่วงเวลาที่คนสองคนเดินไปด้วยกันบนเส้นทางนั้น...ความรักก็เหมือนการเดินทาง...อาจมีการกำหนดเป้าหมายในการเดินทางเอาไว้ในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วจะไปถึงเป้าหมายนั้นไหม...ไม่สำคัญ เพราะแค่เดินร่วมทางกันไปในทุก ๆ วันบนเส้นทางนั้นก็พอ...
//บอกว่าจะไม่มาอัพ ไม่มาอัพ เพื่อให้คนอ่านคิดถึงบ้างอะไรบ้าง,,,ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมาอยู่ดี
ก็เค้าคิดถึงฟิคนี้นี่นา...><
ไม่ได้เขียนไปวันหนึ่ง เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างในชีวิต,,,นี่เค้าเป็นมากขนาดนี้เลยหรอเนี่ย!
ไม่รู้ว่าคนอ่านเป็นเหมือนเค้าไหม แต่ฟิคนี้มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเค้าไปแล้ว
เค้าผูกพันกับฟิคนี้มากจริง ๆ ... กลับไปอ่านที่ตัวเองเขียนแล้วเขินมาก,,,นี่เค้าเขียนได้ขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย...เขินอ่ะ!!!! >///<
เอาเป็นว่า...หวังว่าฟิคตอนนี้ของเค้าจะทำให้คนอ่านยิ้มได้เหมือนทุกครั้งนะคะ
ไม่ได้ตรวจคำผิดเลย เพราะฝนตกไล่เค้าอีกแล้วอ่ะ...ฮ่า ๆ ๆ เอาเป็นว่า...เจอกันในตอนต่อไปนะคะ (ที่ไม่รู้ว่าจะมาวันไหน แล้วแต่อารมณ์เค้าจริง ๆ ค่ะ)
ปล. เค้าคิดว่าจะเขียนฟิคเรื่องนี้ไปจนถึงตอนที่ 40 นะคะ (อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนน้า...)
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ รักคนอ่านทุกคนค่ะ ^____^
ความคิดเห็น