(นิยาย กระชิบจากสนธยา 1.0 )แนวลึกลับ ระทึกขวัญ - นิยาย (นิยาย กระชิบจากสนธยา 1.0 )แนวลึกลับ ระทึกขวัญ : Dek-D.com - Writer
×

    (นิยาย กระชิบจากสนธยา 1.0 )แนวลึกลับ ระทึกขวัญ

    บทนํา :นิยาย กระชิบจากสนธยา แนวลึกลับ ระทึกขวัญ เสียงกระชิบสู่เหตุการ ฆ่าตกรรมสยอง

    ผู้เข้าชมรวม

    359

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    359

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  28 ส.ค. 52 / 23:28 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      (บทนํา)      แผ่นเสียงเริ่นหมุ่น เริ่มด้วยบทเพลงประกอบ แอเนเมชัน ชึ่งเคยออกฉายทาง โทรทัศน์ สมัยเด็ก แน่นอนว่าชายหนุ่ม รู้จักเพลงนี้

    เพราะชื่นชอบแอเนชันเป็นชีวิตจิตใจ แต่จนแล้วจนรอด เขากลับนึกชื่อเรื่องไม่ออก ทั้งที่นั่งฟังอยู่ครู่ใหญ่ ทั้งเนื้อร้องและทํานอง

    ผุดขึ้นในสมอง ทว่ากลับไม่นําไปสู่ชื่อเรื่อง (ทําไมเป็นแบบนี้) ชายหนุ่มชักหงุดหงิด ไม่น่าเชื่อว่าเราจะนึกไม่ออก บทเพลงแรกจบลง

    หัวเข็มบนเคื่รองเล่น แผ่นเสียงเคลื่อนสู่เพลงที่สอง ท่วงทํานองเดิมยังลอยมากระทบโสตประสาท ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ฉุกใจสงสัย

    แค่หงุดหงิดตัวเองว่าหาคําตอบไม่ได้สักที(ชื่อเรื่องอะไรนะ ทําไม่เรานึกไม่ออก) ในอกชักร้อนรนขึ้นทุกขณะ กระเข้าสู้เพลงที่สาม

    ทว่งทํานองกลับยังชํ้าเดิม  ทั้งเนื้อร้อง เสียงร้องนํา ดนตรีบรรเลงประสาน... ทันใดนั้นเกิดเสียงแปลกปลอม ปแทรกแผ่วเบว

    ชายหนุ่มเดาได้ทันที่ ว่าเป็นเสียงรบกวน ขณะหัวเข็มสัมผัสร่องเสียง แอนิ้มชันเรื่องนี้  

    ออกฉายตั้งแต่เขายังเด็ก (ชื่อเรื่องอะไรนะ) แสดงว่า แผ่นเสียงคงเป็นของเก่าพอสมควร

    อาจถูกวางทิ้งไว้นมนาน โดยไม่มีใครหยิบมาเล่น หรือใส่ใจทําควาามสะอาด...ไม่สิ บางทีหัวเข็มของเคื่รองเล่นแผ่นเสียงอาจเก่า จนหมดสภาพแล้วก็ได้ ชายหนุ่ยังได้ยินเสียงแปบกปอลม

    ระคายหู แม้จะขาดห้วง ทว่าดัง ต่อเนื่องไม่หยุ่ดหย่อน เขายังนึกชื่อเรื่องไม่ออก ระหว่างนั้นเสียง

    รบกวนเริ่มขัดจังหวะเพลงให้ ขาดหายเป็นระยะ เร่งเร้าให้ชายหนุ่มยิ่งหงุดหงิดว้าว่น

    จนเมื่อสิ้นสุดเพลงทีสาม ตามด้วยท่วงทํานองเดิม เป็นคํารบสี่ เสียงซ่าบาดหูก็ยิ่งลากยาว

    จนแทบกลบเสียงเพลงทั้งหมด ในที่สุดชายหนุ่มก้าวฉับ ๆ ไปกเปิดฝาครอบอย่างสุดทน

    ยกหัวเข็มออก แล้วก้มมองแผ่นเสียง ชึงยังหมุนไม่หยุดด้วยแรงเฉื่อย แต่แล้วภาพตรงหน้ากลับ

    ทําให้เขาตกตะลึง แผ่นเสียงทําจากไวนิล  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสามสิบเซนติเมต

    พื้นผิวชึ่งควรเป็นสีดําขลับ กลับกลายเป็นสีขาวออกเหลือง คล้ายมีคราบโยเกิรต์เปรอะเปื้อน

    สภาพแย่สะมัด ชายหนุ่มคิดพลางยักไหล่ คราบฝุุ่นเกาะหนาจนแทบ มิดแผ่นเสียงแบบนี้

    จะเล่นเพลงรื่นหูได้อย่างไร ข้างเครื่องเล่นมีกระป๋องสเปรย์ ทําความสะอาดแผ่นเสียงวาางอยู่

    เขาจึง หยิบขึนมาฉีดจนทั่วแผ่นแล้วค่อย ๆ เช็ดออก แต่คราบสกปรกกลับไม่ยอมหลุด แม้ชายหนุ่ม

    ลองทําชํ้าอีกหลายครั้ง ด้วยความโมโห ผลลัพธ์ก็แทบไม่ต่างจากเดิม เขาใข้สองมือประคองแผ่น

    เสียงขึ้นมาดูด้วยความสังสัย จึงได้เห็นสิ่งผิดปกติ เคื่ลอนไวตองหน้า ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง (อะไรน่ะ) รอยสกปรกคล้ายคราบโยเกิร์ตเปื้อน เริ่มขยับเป็นคลื่นแผ่ว(นี่มันอะไรกัน) 

    สิ่งแปลกปลอมไม่ใช่คราบผงฝุ่น ชายหนุ่มเผ่งมอง ถึงได้เห็น `สิ่งนั้น เต็มสองตา ปลวกนับหมื่น

    ตัว คลานยุ่บยั่บ ลําตัวสีขาวขุ่นเล็ก เพียงไม่กี่มิลลิเมรต เกาะแน่นเต็มแผ่นเสียง "เอ้ย...!"

    ชายร้องเสียงเเหบโหยขณะขว้างแผ่นเสียงทิ้ง สองเริ่มได้ยินเสียง ซ่าแบบเมื่อครู่ คราวนี้

    ไม่ใช่เสียงรบกวนขณะเล่นแผ่น ทว่าเป็นเสียงปลวก จํามหาศาลพากันแตกฮือ ปลวกฝูงใหญ่

    กรูขึ้นจากแผ่นเสียง ราวกับแห่อพยพออกจากรัง เพียงอึงใจเดี่ยว คลื่นสีขาวขุ่นคล้ายโยเกิร์ต

    ก็แผ่กว้างเต็มพื้นจนประชิดมาถึงปลายเท้า ชายหนุ่มค่อยๆขยับถอย ขนทั่วร่างลุกซู่ด้วยความ

    ขยะแขยง"ฮ..." เขาอ้าปากเตีรยมจะส่งเสียงร้อง(เจ้าพวกนี้มาจากไหน) ทว่าทันใดนั้น...

    แว่วเสียงโทรศัพท์ลอยมากระทบโสตประสาท ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก รีบค้วากระบอกโทรศํพท์

    มาแนบหู สัมผัสเยียบเย็น ปลุกให้สติค่อยๆแจ่มชัด เขาพบตัวเองอยู่บนโซฟาแบบปรับนอนได้

    ตรงริมผนัง ภายในห้องปิดไฟมืด ตรงปลายเท้าไม่เห็นแม้แต่เงาฝูงปลวก จริงสิ ในห้องนี้ไม่มี

    เครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วยซํ้า เมื่อสองก่อนเขาชื้อเครื่องเสียงชุดใหม่ จึงทิ้งมันไปพร้อมแผ่นเสียง

    ทั้งหมด โดยคิดว่าจะชื้อแผ่น C D มาไว้ฟังแทน ชายหนุ่มหลับตาแน่นพลางสะบัดศีรษะ

    เสียงซ่า ๆ นังดังก้อง ทว่า  ไม่ใช่เสียงรบกวนขณะเล่นแผ่น หรือเสียงปลวกคลานยั้วเยี้ย

    (..ฝนตกเรอะ) เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ด้านนอกมีสายฝนโปรยปราย ตกตั้งแต่เมื่อไรน่ะ

    ไม่เห็นรู้ตัวเลย ชายหนุ่มถือกระบอกโทรศัพท์แนบหู ปลายสายยังคงเงียบสงัด เขาจึง

    กรอกเสียงลงไป "ฮัลโหล"ทว่าอีกฝ่ายกลับวางสายทันที โทรฯ ผิด ? หรือว่า.. ชายหนุ่ม

    ถอนหายใจเฮือก วางหูโทรศัพท์ลงแล้วทิ้งร่าง จมลงบนโซฟา ก่อนยกมือทั้งสองขึ้น

    ถูใบหน้าเบา ๆ ภาพปลวกนับหมื่นตัวผุดวาบขึ้นหลังเปลือกตา ดูสมจริงจนต้องรีบ สะบัดหัว

    เรียกสะติกลับคืนมา  ฝันร้ายชวนขนลุก..   ไม่สิ..  อาจไม่ใช่แค่ความฝันธรรมดา แต่เป็นภาพหลอนลวงตาก็ได้ เขารู้สึกคล้ายขมับถูก เจาะเป็นรูลวงโบ๋
    ห้วงความคิดหมุนวนอืดอาด (โทรศัพท์เมื่อกี้..)แขนขาชาดิกไร้เรี่ยวแรง ( โทรศพท์...โทรศัพท์ )
    อึดอัดทรมานจนแทบทนไม่ไหว ทว่าพร้อมกันนั้นกลับรู้สึกราวกับได้ลิ้มรสหอมหวาน ชวนเคลิบกเคลิ้ม
    โดยไม่รู้เหตุผล (..ขอเล่นด้วยคนนะ) แต่ ทําไมล่ะ ชายหนุ่มเบ้ปากคล้ายจะ เย้ยเยาะตัวเอง

    ลดมือลงจากตัวหน้าแล้วกวาดตา มองรอบห้องมืดทมึน ห้องนั่งเล่นพื้นไม้ ตรงหน้ามีโต้ะกระจกตัวเล็ก
    ถัดไปเป็นผนังเรียงราย ด้วยชุดโฮมเธียเตอร์ครบครัน ทั้งโทรทัศน์ เครื่องเล่น วี ดีโอ สองเครื่อง เครื่องเสียง
    ขนาดเล็ก เครื่องเลเชอร์ดิสก์ มองเห็นตัวอักษรดิจิทัล สีขวาผุดวาบในความมืด โทรทัศน์เปิดทิ้งไว้
    บัดนี้หน้าจอกล้ายเป็นสีฟ้าเข้ม ชายหนุ่มนั่งนิ่ง สองตาเหม่จ้องภาพตรงหน้า  ทําไม่ถึงเป็นสีแบบนั้นน่ะ
    จนในที่สุดสมองฉัน หนักอึ้งก็เริ่มฟื้นตัว ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในหัว หงุดหงิดใจ
    อา... จริงสิ ใช่แล้ว เมื่อครู่เขานั่งดูเลเชอร์ดิสก์ อยู่บนโซฟาตัวนี้ จําได้ว่ารวาเที่ยงคื่น ตัวเองกินยานอนหลับ
    แล้วกรอบเบียร์เข้าปาก เหมือนเคย หลังจากนั้น... ชายหนุ่มเหลือบดูเวลาจากเครื่อง เล่น วี ดี โอ
    ตีสองสิบห้านาที บนโต้ะมีเบียร์กระป๋อง ดื่มค้างอยู่ เขาเอื้อมมือหยิบเบียร์ กระป๋องรสชาติจืดชืดมาเท กรอกผาก
    พยายามคิดทบทวนถึงโทรศัพท์เมือครู่ ทว่าสมองยังมึนเบลอ ใช้งานไม่ได้ดังใจ ...ขอเล่นด้วยคนน่ะ..
    แค่โทรฯ ผิด  หรือว่า... สายฝนด้านนอนเริ่มกระหนํ่ารุนแรง จู่ ๆ เขารู้สึกหนาวสั่น อาจเพราะสวมเพียงเสื้อยืด
    แขนยาวกับกางเกงยีนส์ จริงสิ เขาเปิดประตูระเบียงทิ้งไว้ด้วย ชายหนุ่มคิดพลางหย่อนกระป๋องเบียร์
    เปล่าลงกับพื้น แล้วพาร่างหนักอึ้งลุกจากโซฟา ม่านเปิดไว้ครึ่งหนึ่งปลิวสะบัดด้วยแรงลม ละอองฝน
    เม็ดละเอียดกระเช็น ผ่านม้งลวดเข้ามาในหอ้ง ชายหนุ่มชะโงกมอง ด้านนอนจากริมระเลฃบียง
    ห้องนี้อยู่บนชั้นเจ็ดชึ่ง สูงสุดในแมนชัน รัตติกาลมืดมิด ไม่มีพระจันทร์หรือดาวสักดวง มองเห็นเพียง
    แสงไฟดวงน้อยตามบ้านเรือน ถัดออกไปคือแนวภูเขาดําทมึน ดูประหนึ่งมีคน ร่างยักษ์ล้มตัวลงนอน
    เหยียดยวา แค่โทรฯ ผิด หรือว่า.. ทั้งที่สมองยังมืนงงด้วยฤทธิ์ยากับแฮลกฮอล์ ชายหนุ่มกลับพยายาม
    ฝืนครุ่นคิด ท่ามกลางความรู้สึก เคลิบเคลิ้มระคนอึดอัดทรมาน  เขาสัมผัสได้ถึง สังหรณ์หน้าหวั่นวิตก
    ค่อย ๆ แทรกผุดในใจ ...ขอเล่นด้วยคนนะ... ชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์ลึกลับสายแรกในกลางดึก
    เมื่อหนึ่งสัปดาก่อน เสียงกระซิบจากปลายสาย ฟังแหบแห้งอู้อี้ เขาได้แต่งงงัน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโทรฯ
    ผิดหรือแค่ต้องการปั่นหัวเขาเล่น ทว่าขณะเดี่ยวกัน ชายหนุ่มกลับรู้สึกราวกับเสียงลึบลับเมื่อครู่
    แปรสภาพเป็นมีด คมปลาบจ้วงแทงลึกถึงขั้วหัวใจในขั่วพริบตา ใครน่ะ ต้องการอะไรกันแน่ ชายหนุ่มตะโกนถาม
    ทว่าปลายสายยังพูดซํ้าคําเดิม  ...เถอะน่ะ ขอเล่นด้วยคน  ก่อนจะวางสายไปในที่สุด หลังจากนั้นเขาได้รับโทรศัพท์
    ปริศนาอีกสองครั้งโดย เว้นช่วงห่างกันเพียงหนึ่งวัน เจ้าของเสียงกระชิบเป็นคนเดิม พูดซํ้าคําเดิม
    ในครั้งหลังยังตบท้าย ด้วยว่า  "คงยังไม่ลืมใช่ไหม "...ใครจะไปลืมลงล่ะ ความจริงชายหนุ่มฉุกคิดได้ตั้งแต่รับ
    โทรศพท์สายแรก (...ขอเล่นด้วยคนนะ  )ว่าอีกฝ่ายต้องการสือถึงอะไร  เขาไม่เคยลืม ภาพนั้น มาตลอดสิบห้าปี
    มันแฝงตังฃวอยู่ ณ ก้นบึ้งหัวใจ คอยทิ่มแทงเขาไม่หยุ่ดหย่อน บางครั้งทําให้เจ็บแปลบ รุนแรง บางครั้งปวดหนึบทรมาน
    เหตุการณ์ในเย็นวันหนึ่ง ของฤดูใบไม้ร่วง เมื่อสิบห้าปีกอ่น ใบหน้าของใครหลายคนผุดขึ้นในหว้งคิด
    ท่ามกลางทิวทัศน์ใกล้พลบ ทุกสิ่งถูกอาบ ย้อมด้วยแสงยามสนธยาสีส้มจัด จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยลืม แต่จนป่านนี้แล้วทําไม่
    ถึงมีคนรื้อฟื้นขึ้นมาอีก แล้วใครกันล่ะ.. "ขอเล่นด้วยคนน่ะ" สายลมเย็นบาดผิวพัดปะทะร่าง ให้สัมผัสแห่งฤดูใบไม้ร่วง
    เคลื่อนมาประชิด ชายหนุ่มบอกคัวเองให้สูดหายใจเฮือกใหญ่ แล้วใช่ปลายนิ้วกดหัวตา หากไม่ตั้งสติให้มั่น
    สองตาอาจพร่าเลือน จนมองไม่เห็น จากนั้นเขายืดแขนชาดิก เพื่อเอื้อมมือปิดประตูระเบียง จังหวะนั้นเองมีเสียงกดกริ่ง
    ดังจากหน้าห้อง ชายหนุ่มสะดุ้งหันขวับ เหลือบดูนาฬิกาทันที ตีสองครึ่ง เขานึกไม่ออกว่ามีใคร มาหาตอนกลางดึก
    แม้จะมึนงงด้วยฤทธิ์ยา กับแอลกอฮอล์ ชายหนุ่มก็ยังเหลือสติพอ จะนึกระแวง สงสัย ขณะเขายังลังเรสับสน
    เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดไฟ ในห้องแล้งเดินโผเผไปตรงประตู เขากลั้งใจพลางค่อย ๆ แนบตาข้างหนึ่ง
    ส่องตรงตาแมว โถงทางเดิน ด้านนอนสะว่างจ้า ด้วยแสงจากหลอด ฟลูออเรสเซนต์ มองเห็นร่างผู้มาเยือนยืนนิ่ง
    บุคคลปริศนาก้มหน้าเล็กน้อย  คลุมร่างด้วยเสื้อกันฝนสีเทา สวมหมวก ปีกกว้างสีดําหลุบลงบดบัง ดวงตา ซํ้ายัง
    คาดผ้าสีขวาปิดปากจมูก จึงเห็นใบหน้าไม่ถนัด "ใครครับ" ชายหนุ่มร้องถามอย่างหวาด ๆ จากหลังประตู
    เขารู้ดีอีกฝ่าย ท่าทางไม่น่าไว้ใจ แต่รู้สึกตะขิดตะขวง หากจะทําเมินเฉย บุคคลึกลับ เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก
    จ้องตาแมวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ตอบเสียงทุ้งตํ่า "มีธระสําคัญมาก" นํ้าเสียงอู้อี้ฟังไม่ถนัดดัง ลอดผ้าคาดปาก "ต้องคุยเดี๋ยว " "ต้องคุยเดี๋ยว "
    "คุณเป็นใคร" ชายหนุ่มพูดซํ้า "ผมถามว่าคุณเป็นใคร" ทันใดนั้น อีกฝ่าย ดึงผ้าคาดปากลงมาถังบริเวณคาง
    เผยให้เห็นใบหน้าที่ ช่อนอยู่เบื้องหลัง "อ๊ะ..." ชายหนุ่มค่อยโล่งอก อย่างน้อยเขาก็รู้จักใบหน้านั้น แต่ไม่รู้
    ทําไมถึง นึกชื่อไม่ออก หรือเพราะว่าสมองยังพร่ามัว ด้วยฤทธิ์ยากับแอลกอฮอล์ เขาจึงควาน
    หาชื่อของอีกฝ่ายไม่พบทั้งที่จําหน้าได้ ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด ร้อนรนเหมือนในความฝัน
    (หรือจะเป็นภาพหลอน) เมือครู่ ชึ่งเขานึกไม่ออกว่าเพลงจากแผ่นเสียง เป็นเพลงประกอบแอนิเมชัน
    เรื่องอะไร "ธุระสําคํามาก" ผู้มาเยือนพูดสําทับ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มตัดสินใจปลดโซ่
    คล้องแล้วเปิดประตู แขกยามวิกาลก้วาเข้ามา ไม่เอ่ยขอโทษ ทั้งที่โผล่มากระทันหัน เสื้อกันฝน
    เปียกโชกทั้งตัว ดูท่าว่าไม่ได้ถือร่มมาด้วย "ตกลงว่า..." เขาเอ่ยปาก พยายามขยับลิ้นแข็งทื่อ
     "คุณมีธุระอะไร..." อีกฝ่ายไม่ตอบ ซํ้ายังเขยิบเข้าใกล้อีกก้วา มือซ้ายซุกในกระเป๋าเสื้อคลุม
    กันฝน ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งค้างทําอะไรไม่ถูก (...ชื่ออะไรน่ะทําไมนึกไม่ออก ) ผู้มาเยือน
     
     เหลือบตาขึ้นจ้องมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาเลื่อนลอยไร้แวว ชายหนุ่มพยายามปั้นยิ้ม
    แข็งทื่อพลางก้วาถอยหลัง อย่างลืมตัว อีกฝ่ายขยับตามมาอีกก้วา จากนั้นถอดรองเท้าเพื่อจ
    เดินเข้าห้อง "อ..  เอ่อ  คือ.." เมื่อเห็นชายหนุ่มตกใจลนลาน ผู้มาเยือนชักมือซ้าย
    ออกจากกระเป๋า แล้วยืนมาตรงหน้า มือข้างนั้นกําแน่น สวมถุงมือหนังเนื้อสาง
    สีดําสนิท "นี้" อีกฝ่ายพูดพลางยื่นมือออกมา ดูท่าทางเหมือนมีของบางสิ่งต้องการให้
    เขารับไว้ ชายหนุ่มค่อย ๆ แบมือขวาออกก่อนจะยื่นไปใต้กํามือนั้น "ฉันให้"
    วัตถุหนึ่งหล่นลงกลางฝ่ามือ ทันทีเมื่อได้ประจักษ์แก่สายตา ชายหนุ่มถึงกับช็อก
    จนหัวใจแทบหยุดเต้น (...นี้ไงฉันให้) เหรียญสีเงินหมองแทบไม่สอ่งประกาย
    ขนาดใหญ่กว่าเหรียญร้อยเยนเล็กน้อย มีรูปแกะสลักดูแปลกตา (ฉันให้)
             (..ขอฉันเล่นด้วยคนนะ) ดวงตาจ้องเขม็งคู่นั้น (เสียงนั้น)มีเงามืดผุดวาบ
    (คําพูดนี้ )กว่าชายหนุ่มจะนึกออก ว่าเป็นเสียงเดียวกับ เจ้าของโทรศัพท์ลึกลับ
    (นี่มัน...) ร่างตรงหน้าก็หยิบ อาวุธจาก อกเสื้อ มาเงื้อขึ้นเหนือหัว
    "ขอเล่นด้วยคนนะ"  "เอ้ย!" ชายหนุ่มแผดเสียงสั้นแล้ว ผงะถอยทันที
    วัตถุลักษณะเป็นแท่งยาว (หรือจะเป็นไม้เบสบอลทําด้วยเหล็ก) ถูกฟาดลงแหวกอาการ                                                                        ดังหวือชายหนุ่มยกแขนขวาขึ้นบังศีรษะโดย

    สัญชาตญาณจึวถูกตี   บริเวณข้อศอก
    อย่างจัง แรงกระแทกตามด้วยอาการ เจ็บรุนแรง ร่างเขาทรุดลงในสภาพก้นจํ้าเบ้า
    แต่ยังตะเกียกตะกายใช้ส้นเท้าเตะพื้น เพื่อเขยิบหนี้เข้าหอ้ง ชายหนุ่มตื่นตะหนก
    จับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ ผู้มาเยือนมองเขาด้วยแววตา
    เย็นชาพลางค่อย ไ กระชับอาวุธในมือ สิ่งนั้นถูกเหวี่ยงลงมาอีกในจังหวะ
    ที่ชายหนุ่มพยายามเสือกตัวลุกขึ้น มันจึงถากไหล่่ ซ้ายแล้วฟาดเข้ากับขอบโซฟา
    เขาแผดเสียงร้องแหบแห้ง ก่อนจะกลิ้งตัวลึกเข้าไปในห้อง  (เราตายแน่..)

    ขณะส่งเสียงครางด้วยความ เจ็บปวดและหวาดกลัว ในที่สุดชายหนุ่ม
    รับรู้ได้ถึงเจตนาร้ายแฝงในแววตาเย็นชาคู่นั้น มันเอาจริง มันจะฆ่าเรา!
    ขอเล่นด้วยคนนะ... โทรศัพท์ลึกลับพวกนั้น ...เถอะนะ  ขอเล่นด้วยคน
     เป็นทั้งการ เตือน และประกาศเจตนา ให้เขารับรู้  ขอเล่นด้วยคนนะ
    งั้นโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ล่ะ ปลายสายไม่พูดกับเขาสักคํา ใช่แล้ว มันอาจโทรฯ
    มาเพื่อให้แน่ใจก็ได้ อุตส่าห์มาถึงหน้าแมนชัน แต่กลับพบว่าบนห้อง
    ปิดไฟมืด จึงลองโทร ฯ มาเพื่อดูว่าเขาอยู่ในห้องหรือเปล่า..
    ชายหนุ่มพิงแผ่นหลังเข้ากับประตูระเบียง แข็งในลุกขึ้นยืนพลาง
    สั่นศีรษะ ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวแข็งเกร็ง  "ยิ้มสิ" ผู้มาเยือนออกคําสั่ง
    นํ้าเสียงแหบแห้ง อู้ อี้ "ว่ายังไงล่ะ" ต้องยิ้มเข้าไว้ ไม่ใช่เรอะ
    ชายหนุ่มลนลานสับสน คําพูดเดียวกันนั้น ...ยิ้มสิ สะท้อนก้องในหัว
    ...ยิ้มสิ  ...ยิ้ม!  บอกให้ยิ้มไง  เสียงร้องสั่งแว่วดังจากความทรงจําในอดีต
    ข้ามผ่านห้วงเวลานานถึง สิบห้าปี ภาพทิวทัศน์อาบแสงสีส้มจัด
    เมื่อวันนั้นยังฝังลึกในจิตใจ  ยิ้มสิ  เร็ว ๆ เข้า.. งี่เง่าชะมัด
    "ทําไม.. " ชายหนุ่มกระพริบตาพร่าเลือน ด้วยนํ้าตาเริ่มเอ่อพลางถาม
    เสียงสั่นเทา"ทําไมถึง" "ยิ้มสิ" ผู้มาเยือนเงื้ออาวุธในมืออีกคํารบ
    พลางออกคําสั่งเสียงราบเรียบ "บอกให้ยิ้มไงล่ะ" คําพูดนั้นมีพลังคุกคาม
    กว่าอาวุธในมืออีกฝ่ายมากนัก ชายหนุ่มเสียวสันหลังวาบได้ยินเสียง
    หัวใจตัวเองเต้นรัวเหมือนตีกลอง หายใจติดขัดแทบ ไม่มี เสียง
    เล็ดลอดจากลําคอ เขาไหล่มือเปิดม่านมุ้งลวดข้างหลัง ถอยพรวดออก
    สู่ระเบียงโดยไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงเรียกให้คนช่วย พื้นคอนกรีตเปียกแฉะ
    เย็นเฉียบรวากับนํ้าแข็ง สายฝนกระหนํ่าลงบน  ต้นคนชึ่งขนลุกซู่ "ยิ้มสิ"
    ผู้มาเยือนพูดชํ้าราวกับแผ่นเสียงตกร่องพลางค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้
    ชายหนุ่มถอยหนี้ขนบั้นเอว สัมผัสกับราวระเบียง "อ.. อย่า" เขายกสองมือขึ้น
    ละลํ่าละลักวิงวอนขอชีวิต "อย่าทําฉัน เลยนะ เรืองนั้นมัน" " บอกให้ยิ้ม"
    อาวุธในมือข้างนั้นถูกเหวี่ยงลงมาอีก ชายหนุ่มเอียงหลบวูบ มันจึงถาก
    ข้างศีรษะแล้วกระแทกกับราวระเบียง เสียงหนักทึกดังก้องแล้วค่อย ๆ
    กลืนหาย กับสายฝนสาดชัด ผู้มาเยือนเตรียมจู่โจมต่อ โดยไม่ให้จังหวะ
    ตั้งตัว ชายหุน่มได้แต่ปัดป่าย มือทั้งสองพลางอ้อนวอนให้หยุด
    ทว่าทันใดนั้น.. ฤทธิ์ยากับแอกอฮอล์ ความตื่นตะหนกหวาดกลัว
    พื้นคอนกรีตแฉอะด้วยนํ้าฝน.. ทุกอย่างล้วนเป็นต้นตอของแห่งเหตุร้าย
    ไม่คาดฝัน ในเสี้ยววินาที ขณะชายหนุ่มเอียงตัวหลบอาวุธ
    ชึ่งถูกเหวี่ยงลงตรงหน้า ฝ่าเท้าเขาลื่นไถล ร่างเสียหลักเอียงวูบ
    หมุนคว้างข้ามราวระเบียงไป โดยไม่มีแม้โอกาส ส่งเสียงร้อง
    ชายหนุ่มหล่นสู่เบื้องล่าง เขาหมดสติตลอดชว่งไม่กี่อึดใจขณะ
    ดิ่งลงจากความสูงยี่สิบเมตร ทว่าเมือร่างกระแทกกับถนนหลวงลาดยาง
    หน้าแมนชัน เพียงเสี้ยวินาทีจมสู่ หุบเหวแห่งมรณะ ..ฉีกยิ้ม
    เสียงเด็กแว่วมาแสนไกล ปลุกให้เศษเสี้ยวแห่งสติฟื้นคืน
    แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่เดียวก็ตาม "พระโซจิ"
    เขาเผยอเปลือกตาเล็กน้อยเบื้องหน้าปรากกทิวทัศน์ ยามโลพ้เพล้
    พระอาทิตย์ดวงโตใกล้ลับขอบฟ้า เงาคนร่างเล็กหยุดนิ่งกับที่  และ...
    ..ฉีกยิ้ม   ฉีกยิ้ม   ฉีกยิ้ม   
    เสียงค่รางกระหึ่มคล้ายเกิแผ่นนดินไหวค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามา
    ทันใดนั้น ทิวทัศน์สลัวใกล้พลบคํ่าตรงหน้าพลันสว่างวาบ
    ..ด้วยแสงไฟหน้ารถบรรทุกชึง แล่นมาตามถนนหลวงกลางดึกสงัด
    ท้องฟ้าสลัวสีแดงฉาน อาบย้อมหมู่เมฑทะมึนกับสายลมพัดกรู
    ให้เป็นสีเดียว ไม่เว้นแม้แต่เสียงดนตี ลอยลิ่วมาตามแรงลม
    ร่างน้อยหายใจแผ่ว บอกตัวเองให้ข่มใจเต้นระรัว 
    เพ่งตามองพลาง เงี่ยหูคอยฟัง เหงื่อหลายสายไหลลงจาก
    ต้นคอ ทั้งทีอากาศไม่ร้อนสักนิด หนําซํ้าสายลม ยังลูบไล้
    ค่อย ๆ ฉกฉวยไออุ่นจากร่างกายให้รู้สึกหนวา ร่างน้อยเพ่งตามอง
    สอดส่ายโสตสัมผัสอย่างตั้งใจ โลกทั้งใบถูกล้อบกรอบเป็นวงกลม
    ช่วงเวลาใกล้พลบพลันหยุดนิ่ง เพียงเสี้ยวนาทีก่อนเอื้อมถึง
            นิรันดร
    ยมทูตเริ่มตะไบเล็บแหลม พร้อมจะตอบสนองปรารถนา
    อันชั่วร้าย เลือดเย็น  ช่วงเวลาใกล้พลบพลันหยุดนิ่ง
     เพียงเสี้ยวนาทีก่อนทุกสิ่งถึง   `กาลอวสาน`

    นิยาย กระชิบจากสนธยา

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น