คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เดินทางกลับ 30 กันยายน 2550
30 กันยายน 2550
บรรยากาศยามเช้า
เช้านี้ตื่นมาท่ามกลางหมอกยามเช้าที่ลอยเอื่อย เอื่อย ท้องฟ้าสว่างกว่าเมื่อคืนวานนี้มากเลย (แหม...พอเมื่อคืนจะใช้ผ้าถุงในการ..ไปเก็บดอกไม้ (ศัพท์เทคนิคของหญิงสาว) ซะกะหน่อย ท้องฟ้าก็สว่างจ้าซะนี่ประหนึ่งเอาสปอร์ตไลท์มาฉายเชียวหล่ะ) เมื่อคืนวางแผนกันว่าเนื่องจากกลุ่มหญิงสาวฉาวเช่นเราเป็นผู้ที่ใช้ระยะเวลาการเดินทางที่คุ้มมากเลย แทบจะทักหินทุกก้อน ต้นหญ้าและต้นไม้ทุกต้น (ง่าย ง่ายก็คือ ใช้เวลาในการเดินทางมากนั่นเอง) ก็เลยตกลงจะเก็บของและลงเร็วกว่าคนอื่น
ตื่นเช้ามาก็แค่ล้างหน้า แปรงฟัน แถวเต้นท์ ที่รายล้อมไปด้วยดอกหงอนนาค (แหมธรรมชาติซะไม่มี
หล่ะ) ก็เมื่อคืนเราขนน้ำมาไว้แล้ว แล้วก็ทำกับข้าว....ที่ต้องใช้ความพยายามในการคิดเมนูเพื่อทำลายบรรดาสิ่งของทั้งหลายที่ขนกันมานั่นเอง ด(แหมตอนมาก็กลัวอดตาย เพราะเค้าบอกไม่มีอะไรขาย เหมือนภูกระดึง อยากกินอะไรก็หอบไปเอง เราก็เลย.....เอามาเยอะเกินไปนี่สิ ทำให้ต้องลำบากพยายามทำลายด้วยเมนูต่างๆเพื่อกระเพาะอันน้อยนิดของเราสี่สาว.......เฮ้อ.....
หน้าตานิคเช้านี้ดูสดใสอยู่นะ (ถึงจะบวมอยู่ก็ตาม) ถามไถ่อาการแล้ว นิคบอกว่าไม่เป็นไร แต่ไอ้เรานี่สิเห็นตาของนิคแล้วยังบวมอยู่ จากปกตินิคจะตาโตกว่าเรามาก ตอนนี้ตาเป็นอาหมวยใกล้เคียงเราไปแล้ว ด(ว่าไปนั่น) เช้านี้ก็สวาปามเอ้ย รับประทานข้าวต้ม โจ๊ก แบบว่าไม่อยากกินมากเดี๋ยวจะจุกตอนลง)
ทำกับข้าวพร้อมรับ Breakfast (กระแดะ) แล้วก็เก็บข้าวเก็บของ(ยัดใส่กระเป๋า) เก็บเต้นท์ ทำธุระส่วนตัว รอพี่ลูกหาบมาเอาของไป อ้อลืมบอกไป ขยะที่ทุกคนเอามาต้องแยกใส่ถุงขนกลับลงไปข้างล่างด้วยนะจ๊ะ เพื่อธรรมชาติของเรา แล้วพี่ลูกหาบก็บอกว่า ถ้าเอาน้ำปลามาก็เอาขวดน้ำปลาฝากไว้กับพี่ที่อุทยานเพราะว่าถ้าเอาลงไปด้วยมันจะเลอะของอื่น (เราก็เห็นด้วยนะ เพราะถ้าน้ำปลาหกใส่อะไรก็ตาม กลิ่นก็....อืม...คิดเอาเองเถอะ ..เราว่าไม่จือแน่นอน ....ก็น้ำปลามันเค็มนี่)
การเดินทางของเราเริ่มตอน 08.45 น. เดินตามทางไปเรื่อยๆ เจอป้ายผู้พิชิตลานสนสามใบภูสอยดาว ก็ถ่ายรูปอีกซักครั้งอำลากันก่อน แล้วก็เดินตามกันไปตามทางที่ต้องใช้มือและเท้าช่วย ซึ่งพี่นวลก็บอกว่าขาลงตอนวันนี้.....ก็ เป็นทาง ลง ลง ล๊ง ลง แล้วก็ลง เดินมาก็มองลงไป อู้หู้ นี่เราผ่านมาได้อย่างไรกันเนี่ย ตอนขึ้นมาก็ใช้สองมือ สองเข่าปีนมา (ขาใช้ไม่ไหวแบบว่าเขาสั่น เอ้ยไม่ใช่ขาสั้น) ตอนขากลับก็ใช้สองมือเช่นเดิมกับสะโพก หรือไม่ก็สองขา มองไปในบรรยากาศตอนเช้านั้นทางลงจากลานสนสามใบภูสอยดาวสวยมากเลย ตลอดทางที่เดินตามกันนั้น ถ้าทิ้งห่างกันนิดหน่อยก็แทบจะมองไม่เห็นหัวคนเลยเพราะต้นหญ้าบังหมดเลยหล่ะ (ต้นหญ้าอะไรก็ไม่รู้สูงกว่าเราอีก) วันนี้ฝนไม่ตกแล้วก็แดดกำลังพอดี บรรยากาศเย็นสบาย สบาย ก็ถ่ายรูปกันไปตลอดทาง แบบว่าอารมณ์ของช่างภาพวันนี้ยังสดชื่นอยู่ ยังไงก็ถ่ายได้ เห็นอะไรแปลก ๆ ก็ถ่ายกันมาตลอดทาง ดอกไม้ตามทางก็เยอะเหมือนกันนะ
มาคิดดูแล้ว วันตอนขึ้นวันแรก บรรยากาศ โอ้โห มีหมอกลอยละล่องมาที่แต่ละยอดเขาไปตามสันเขาแต่ละลูก เป็นชั้น ชั้น สวยมากเลย แล้วก็มีฝนตกมาปรอย ปรอย แต่เม็ดก็ใหญ่เหมือนกันนะ ก็เลยไม่ได้เก็บบรรยากาศอันสวยนี้ด้วยภาพถ่าย ได้แต่เก็บใส่ความทรงจำเอาไว้ เพราะว่าเป็นห่วงน้อง pantax คนดีจะพังเพราะละอองฝนซะก่อน ก็แหมตอนไปน้ำตกทีลอซูเจอละอองน้ำตกก็ทำเอาน้อง Samsung เกือบเดี้ยงไปเลยแบบว่า เปิดปิดช้านานมากเลย ประกอบกับตอนนั้น อารมณ์แบบว่าโคตรเหนื่อยมากเลย ยืนพักอยู่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังมากเลย แหมยังคิดนะว่าเสียงหัวใจเต้นหน่ะจะทำให้นิคได้ยินรึเปล่า แต่เอามือจับแล้วโอ กระเพื่อม ตึก ตึก ตึก เลย ก็เลยหมดแรง ทั้งที่พยายามอะพรูพ อะพรูพ แบบว่ายน้ำอยู่นะแต่ก็ไม่หาย ก็เลยหมดอารมณ์ที่จะหยิบกล้องมาถ่ายรูป อีกอย่างนะรูปตอนขาขึ้นหน่ะส่วนใหญ่ภาพจะเบลอนิดหน่อย เพราะว่าเรา...เหนื่อย มาก มาก แบบว่า มือก็เลยสั่น(โทษไปนั่น)
เดินลงจากเนินมรณะตามกันมาเรื่อยๆ หอบบ้างพักบ้าง แต่ก็ไม่เหนื่อยเท่ากับวันแรกนะเพราะทางเป็นทางลง มานั่งพักกันที่เนินเสือโคร่ง ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ก็เดินทางกันต่อ เดินตามกันมาเรื่อยๆ
“เอ...โอ๋ว่าถุงเราหายไปใบนึงนะ” เรามองหาพร้อมดูถุงทั้งหมด
“หวาย....โอ๋ต้องลืมถุงวางไว้ที่ตรงที่เราพักแน่ะเลย โอย..”
“อืม...เดี๋ยวพี่จะรอตรงนี้นะโอ๋กลับไปเอาเลย” พี่แจ๋วบอก
“โอ้ โห พี่คะเราเดินมากันไกลแล้วนะ สงสัยจะเนินป่าก่อแน่ะเลย แหะ แหะ ขอโทษละกันนะค้า หนูไม่ได้ตั้งใจหน่ะ”
หลังจากเดินรำพึงรำพันถึงความขี้ลืมของตัวเองมาได้สักพัก
“น้องคะ พี่เห็นถุงบิ๊กซี นี่ของน้องรึเปล่าคะ คือพี่เห็นถือถุงบิ๊กซีเหมือนกันค่ะ” เสียงพี่สาวคนสวยเพื่อนรวมทางเดิน(ที่กำลังจะแซงเราไปอีก)
“ใช่ค่ะ คือว่า ลืมไว้หน่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”เราตอบแบบว่าอายสุด สุด (แหมลืมการอายมาหลายสิบปีแล้วนะ)
“ไม่เป็นไรค่ะ คือพี่เก็บขยะอื่นใส่ถุงนี่มาตลอดทางนะคะ” พี่สาวคนสวยบอกมา(แหมสวยแถมใจดีอีกต่างหาก)
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ” เราตอบ
ดอกไม้ป่าข้างทาง
การเดินทางของเราสี่สาว ก็เดินตามกันมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก แต่ว่าก็พักซะส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าใครจะผ่านเราไปตลอดทางก็จะเห็นความมีน้ำใจของกลุ่มเรา เพราะเราจะรีบหลีกให้ผ่านทันทีตลอดทาง(ว่าไปนั่น) ก็แหมมีปัญญาแซงได้ก็แซงไปเล้ย...ไม่ขายาว...ไม่แข็งแรง...ก็ให้รู้ไป แต่แล้วเราก็เจอสิ่งที่ทำให้เราไม่ท้อ ก็ ลูกหาบที่มาเป็นครอบครัวและก็มีลูกหาบตัวจริง ก็มีเด็กน้อยที่ยังไม่โตเลยคาดว่าน่าจะประมาณประถมคงจะไม่เกิน ป.4 (ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4) แน่เลย สะพายของมาด้วย มองไป.......น่านับถือมาก ก็เลยถามน้องว่าเหนื่อยไม๊ น้องก็ไม่ตอบไม่รู้ว่าอายเราหรือว่า รังเกียจเรา แต่พ่อกับแม่น้องเค้าบอกว่าน้องเค้าอยากตามมาเอง ดูแล้วดีจังเลย เป็นเด็กที่รู้จักช่วยพ่อแม่ทำงาน มองไปเปรียบกับ.....เอ้า...ไปคนละเรื่องแล้ว แต่กลุ่มเรามองแล้วเป็นห่วงน้องเค้านะกลัวจะมีผลกับการเติบโตของเด็ก แล้วก็ความสูงของเด็ก(แบบว่าไม่อยากให้น้องไม่สูงเหมือนพี่)
เดินตามกันมา ก็ เที่ยงแล้ว ก็ใช่ว่าทีมเราสี่สาวจะถึงข้างล่างนะ เราก็ยังเดินตามกันมา เจอต้นอะไรสวย สวยก็ถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ก็เริ่มหิวก็เริ่มพยายามกินขนมที่เอามา เพราะเริ่มรู้แล้วว่ามันหนักและเกะกะ
ตลอดทางที่เดินมาด้วยกัน พี่นวลก็ได้ชื่นชมบรรยากาศ ตลอดทางทั้งสองข้างทางว่า “ตอนขึ้น นะก็มีแต่ทางขึ้น ขึ้น ขึ๊น ขึ้น และโคตรขึ้นตลอดทาง ส่วนตอนลงก็มีแต่ทางลง ล๊ง ลง ล๊ง ลง และโคตรลง”
บรรยากาศวันนี้ตลอดทางฝนไม่ตก อากาศกำลังดีเชียวหล่ะ ร้อนนิดหน่อย (อาจจะเป็นเพราะเราเดินกัน) แต่ถ้าเทียบกับวันแรกที่มีฝนตกนิดหน่อยนะเราว่าฝนตกนิดหน่อยหน่ะอากาศเย็นสบายดี
ลงมาถึงข้างล่างก็ประมาณบ่ายโมง ก็มาเคลียร์ของกับพี่ลูกหาบ จัดการแบ่งของกันเสร็จแล้วก็วิ่งเอาเสื้อผ้าวิ่งไปอาบน้ำที่ห้องน้ำใกล้ อช.ภูสอยดาว ห้องน้ำที่นี่สะอาดมากเลย มีห้องอาบน้ำประมาณ 6-8 ห้องนี่แหละ(จำไม่ได้) แต่ว่าก็ต้องต่อคิวกันหน่อยนะ แถมน้ำที่นี่ก็เย็นเอาซะ อาบน้ำชำระร่างกาย เสริมสวยให้มีสภาพที่จะสามารถไปพบปะผู้คนได้แล้วก็ไปขึ้นรถไปบขส.พิษณุโลกก็บ่ายสองโมงครึ่ง
นั่งอัดกันในรถไปที่ บขส.พิษณุโลก ประมาณ สามชั่วโมงนิด นิด ไปถึงที่บขส.ก็ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว รถที่จะกลับก็ออกไปแล้ว ต้องรอคันต่อไปก็ประมาณ สองทุ่ม (20.00 น.) ระหว่างนี้เรามองเห็นมีตลาดนัดใกล้กับบขส.พิษณุโลก ก็เลยไปเดินเล่น ชมบรรยากาศตอนเย็นกับตลาดนัด พอรถมาถึง ก็สองทุ่มเกือบครึ่ง ดีนะที่ตั๋วที่เรากับพี่นวลซื้อเค้าให้เราขึ้นคิวที่สองและสาม เค้าให้ขึ้นไปเลือกที่นั่งก่อน(แบบว่าซื้อตั๋วเค้าจะให้ลำดับการขึ้นไว้แล้วไปเลือกที่นั่งตอนขึ้นรถเอง) ดูการจัดการแล้วเป็นระเบียบดีมากเลย
ถึงโคราชก็ประมาณตีสองกว่า กว่า โอย พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานอีก.......เฮ้อ....
ท้ายที่สุดนี้การขึ้น ภูสอยดาว หน้าฝนนั้น
1. ควรมีเสื้อกันฝนไปด้วยนะในหน้าฝน และเราว่าน่าจะเป็นเสื้อกันฝนที่บางหน่อยนะ เพราะว่า เวลาใส่เสื้อกันฝนถ้าเอาแบบหนามันเดินลำบาก แถมอากาศภายในก็ไม่ถ่ายเทเลย เอาไปซักคนละสองตัวก็ดี
2. เสื้อผ้านั้น ก็ควรเอาแบบที่แห้งง่าย ถ้าเป็นเสื้อแขนยาวก็ยิ่งดี หรือเสื้อแขนสั้น แล้วเอาปลอกแขนมาใส่กันต้นหญ้าหรือต้นไม้ มาถูกแขนเรา ส่วนรองเท้านั้น รองเท้าผ้าใบก็จะดีมาก หรือใส่รองเท้าแตะรัดส้นก็ได้ แต่ควรมีดอกยางดีๆ เพื่อกันลื่น ก็เอารองเท้าที่มีพื้นรองเท้าหนาหน่อยนะ จะได้ไม่ลื่น
3. ที่ลืมไม่ได้ก็คือหมวกเอาไว้กันแมลง (เจอกันเองเลยรู้ แค้นนะ น้องต่อหัวเสือ) ยาแก้แพ้ ยาพารา และยาคลายกล้ามเนื้อด้วย และควรเอาไว้ติดตัวนะอย่าเอาไว้ในกระเป๋าที่ฝากไปกับพี่ลูกหาบ (แบบเรา พอจะต้องใช้กลับไม่มี)
4. ตอนขึ้นก็เอาน้ำไปคนละสองขวดน่าจะพอ (จิบแก้กระหายนะ) ส่วนขาลงคนละขวดก็พอแล้ว เป็นแล้วก็ควรมีลูกอมติดเอาไว้ด้วยนะ
5. อีกอันก็เป้สะพาย ที่ดีกว่าถุงบิ๊กซี
6. ลืมบอกไปว่า ถ้ากลุ่มของเรากลุ่มใหญ่ เวลาไปห้องน้ำก็หยิบถังน้ำมาใช้สักใบ เอาไว้ตักน้ำมาล้างจาน ทำกับข้าว และเข้าห้องน้ำนะ แล้วก่อนกลับก็เอาไปคืนเค้าด้วย แล้วก็ไฟฉายก็เอาแบบสว่างหน่อยละกัน
7. ที่ขาดไม่ได้เพื่อรู้ใจ ที่ตกระกำลำบากกับเราได้ และฟังเราบ่นว่าเหนื่อยไม่รู้จะเหนื่อยอย่างไร
8. ถ้าจะทำกับข้าวเอง ก็ซื้อถ่านจากอำเภอชาติตระการนะ แต่เราว่าแก๊สกระป๋องเวิร์คกว่า (อีกกลุ่ม หม้อดำปิ๊ดปี๊เลย)
9. เช็คด้วยนะว่ารถที่จะกลับจาก ที่บขส.พิษณุโลกหรือนครสวรรค์ ที่เราจะกลับหน่ะออกกี่โมงจะได้วางแผนการเดินทางตอนกลับให้ถูก
ทางของภูสอยดาว
ตอนขึ้น ก็ ขึ้น ขึ้น ขึ๊น ขึ้น..... ขึ้นไม่มีสิ้นสุดจนกว่าจะถึงลานสนสามใบ
ตอนลง ก็ ล๊ง ลง ล๊ง ลง.........ลงไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะถึงข้างล่าง
การเดินทางขึ้นสู่ลานสนบนภูสอยดาวก็เริ่มขึ้น โดยต้องเดินเป็นระยะทางทั้งสิ้น
ช่วงหน้าฝนอย่างนี้การเดินป่าจึงเป็นไปอย่างสบายๆ เพราะอากาศชุ่มชื้น และทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ เดินไป ฟังเสียงนก เสียงน้ำตก มีปาสีเขียว ถ้าฝนตกจะมีกลิ่นดินด้วยนะ ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข( ปนเสียงหอบ)เสียจริงๆ จนหลายคนต้องอิจฉาแน่เลย
เดินมาด่านแรกก็ต้องเจอ "เนินส่งญาติ" (ชื่อก็บอกแล้ว ว่าถ้าไมใจพอก็แค่ส่งกันก็พอแล้ว) ต้องเดินขึ้นเขาที่สูงชันเป็นระยะทาง
ความคิดเห็น