ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูสอยดาว...เราเกลียด...ต่อ(หัวเสือ)

    ลำดับตอนที่ #3 : ชมความงามของทุ่งดอกหงอนนาค 29 กันยายน 2550

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 50


    29  ตุลาคม  2550

    แคว๊ก เสียงรูปซิปแบบรวดเร็วและรุนแรง

    จะรีบไปไหนแต่เช้า พี่แจ๋วถามจากในเต้นท์

    ปวดฉี่   ไม่ไหวแล้ว....เมื่อคืนมืดมาก ฝนก็ตกด้วย ไม่กล้าไปห้องน้ำ เราตอบไปพร้อมเตรียมอุปกรณ์ล้างหน้า    พูดเสร็จแล้วก็ไม่รีรอผู้ใดแล้ว โอย เดินแทบจะไม่ทันใจเลย บินไปได้ก็จะบินแล้ว  

    เมื่อคืนนี้นะฝนตกเรื่อยๆ แต่ไม่หนักมากนัก แต่ตกตลอดคืน  ไอ้เรารึก็ปวดฉี่ตั้งแต่ตอนกลางคืนแล้ว  ตัดสินใจจะไปห้องน้ำก็รูดซิปมามองไปข้างนอก     โอ้....มืดมาก มาก ทางไปห้องน้ำจากเต้นท์ก็แสนจะไกล  ปลุกนิคแล้วสงกะสัยคงเป็นเพราะยาแก้แพ้แน่เลย  หลับยาวเลย  แถมกลัวตัวเองจะไปทำอันตรายผู้อื่นก็เลยอดทน  รอให้ฟ้าสว่างเมื่อไหร่หล่ะก็....เจอกันห้องน้ำ...แฮ่ม

    หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่อง จัดตัวแล้ว ก็เริ่มสนใจบรรยากาศยามเช้า ที่มองจากหลังเต้นท์ของเรา  เป็นทุ่งที่มีดอกหงอนนาคสีม่วงเต็มไปหมดแล้ว ดอกหงอนนาคตอนนี้ยังไม่บานนะจะหุบอยู่ และก็มีหยดน้ำจากสายฝนเมื่อคืนแน่เลย  ดูแล้วสวยมากเลย   มีดอกอะไรก็ไม่รู้สีชมพูขึ้นมาทำให้เกิดความสดชื่น   เลยต้องรีบสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าปอดให้ได้มากที่สุด  เงยหน้าไปก็เห็นหมอกลอยละล่องอยู่ยอดเขาก็อดรนทนไม่ได้ต้องเอากล้องมาเก็บบรรยากาศยามเช้าให้พอใจ

    เช้านี้ก็มานั่งออกไอเดียการรับประทานอาหารมื้อเช้ากัน  แบบว่า ของที่ขนมาเยอะเกินไป เลยต้องคิดมากกันหน่อย  เลยมาตกลงกันที่ความชอบของแต่ละคน  ระหว่างที่คิดเมนูเราก็เริ่มทำลายเสบียงอย่างแรก มอง มองไป   ขนมปังกรอบสดใหม่จากโรงงาน(ฝีมือพี่แป๋ว)  

    เช้านี้ก็ต้มน้ำเติมคาเฟอีนในกระแสเลือด กับขนมปังกรอบ  แล้วก็เริ่มทำอาหารเช้าเบา เบา แบบ โจ้กใส่ไข่ ใส่ผักให้เต็มที่ ต่อด้วย ขนมปังกับทูน่ามายองเนส  หลังจากรับอาหารเช้ากันแบบอิ่มหนำสำราญแล้วก็เก็บของ ล้างจานชาม แล้วก็เตรียมของ มองไปเห็นทางที่มีต้นสนเต็มไปหมดก็เลยตกลงจะเดินไปตามทาง

    เช้านี้อากาศสดใสเดินไปพร้อมถุงคู่ชีพ....แบบว่าไม่ได้เอาเป้เล็กไปด้วย  เลยเอาถุงบิ๊กซีใส่ของแบ่งกันถือ  ที่ขาดไม่ได้ก็คืนน้ำเปล่า แบบว่าเมื่อวานนี้หิวน้ำกันซะ   ดูแล้วช่างโลโซจริงจริงเลย

                              

    จากข้อมูลที่ได้จาก WEB อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว บอกว่า อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ทิวเขาส่วนมากทอดตัวจากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตกมีความลดหลั่นสูงสลับซับซ้อน หุบเขา เนินเขา ก่อให้เกิดภาพรวมที่สวยงาม ทั้งในแบบมุมกว้าง และแบบมุมแคบ โดยเฉพาะยามเช้าที่มีเมฆหมอกปกคลุม ประกอบกับสภาพอากาศค่อนข้างเย็น อากาศค่อนข้างชื้น อุณภูมิจะอยู่ระหว่าง 1-20 องศาเซลเซียส   อุทยานจะเปิดให้ขึ้นลานสนภูสอยดาวตั้งแต่ 08.00-14.00 น ของทุกวัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมก็คือช่วง เดือน กันยายน ถึง ต้นพฤศจิกายน บนลานสนภูสอยดาวก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด เช่น ดอกหงอนนาค สร้อยสุวรรณา กระดุมเงิน  ส่วนช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึง กลางเดือนมกราคม จะเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็น ก็เหมาะกับการชมทิวทัศน์ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกที่สวย และใบเมเปิ้ลก็เริ่มเปลี่ยนสีด้วย

    8.45 น เดินไปตามทางก็เห็นดอกหงอนนาคขึ้นเต็มตลอดทาง แล้วก็มีดอกอะไรก็ไม่รู้สีชมพูขึ้นด้วยกันดูสวยดี แล้วก็มีดอกสีเหลือง กลีบดอกเราคิดว่าคล้ายกระโปรงตุ๊กตาสีเหลือง  เช้านี้มีหมอกบาง บาง พัดมาสวยมากเลย  มองไปเห็นกลุ่มต้นสนที่สูงที่มีกิ่งก้านแตกออกแบบศิลปะแตกต่างกันไปแต่ละต้น มีหมอกบาง บางพัดผ่าน โอย สวยประทับใจ  ที่พยายามคลานขึ้นมา  ระหว่างทางที่เดินก็เก็บภาพดอกไม้สวย สวยไปตลอดทาง


          
                                             

     

    เดินไปเห็นทางที่เค้ามีรั้วกั้นให้  แต่เราว่าอย่าไปจับรั้วเลยดูจากสภาพแล้วมันไม่ค่อยจะแข็งแรง  ตรงนี้ดูจากทิศแล้วน่าจะเป็นทิศตะวันตกแน่เลย เพราะดวงอาทิตย์อยู่ด้านหลัง  แสดงว่าตรงนี้เป็นที่ชมพระอาทิตย์ตกแน่เลย  ดีจังเดินจากที่พักไม่ไกลเท่าไหร่   มองจากรั้วที่เค้ากั้นไว้มองเห็นได้เลยว่าเป็นหน้าผาที่สูงมาก มาก มองแล้วเสียว จริง  แต่ต้นไม้ที่ขึ้นตามหน้าผาก็เขียวชอุ่มเต็มหน้าผา และเต็มเขา  แถมมองไปเขาแต่ละเขาก็มีหมอกปกคลุ่มยอดเขาเป็นกลุ่มไอ ช่างสวยงามจริง จริง 

    ตอนนี้มองกลับไปเส้นทางที่เราเดินมา มองเห็นพี่แจ๋วเดินตามมาพร้อมละอองหมอกที่พัดผ่านหน้า ผ่านตัวพี่แจ๋ว  สวยประทับใจมาก  เดินถ่ายรูปกันมาตามทาง  เห็นป้ายบอกว่า ทางไปน้ำตกสายทิพย์ เห็นคนเดินก็เดินตามไปเรื่อยๆ มองไปตามทางก็เลยนึกได้ว่า  อ้อ!  เป็นทางที่เราผ่านมาเมื่อวานนี้เอง ตอนเดินเข้าไปที่กางเต้นท์    มองไปเห็นป้าย ผู้พิชิตลานสนสามใบภูสอยดาว  ระดับความสูง 1,633 เมตร ที่เราถ่ายแบบว่าขอให้ได้ถ่ายหน่อยเถอะ  วันนี้ก็เลยเก๊กกันให้พอใจเลย

    ตอนนี้ดอกหงอนนาคก็บานกันอวดโฉมให้เราได้ถ่ายภาพให้พอใจกัน  ก็เดินไปตามทางป้ายที่บอกว่าทางลงน้ำตกสายทิพย์  แต่ว่า  ทำไมทางมันเป็นแต่ป่า  กับป่า  แล้วก็ป่า ตลอดทาง เดินไปได้สักพักก็เลยคิดว่า  คงจะเป็นทางลัดของคนอื่นที่เราไม่สามารถไปได้  ดูแล้วคงจะทำเราหลงแน่เลยก็เลยเดินกลับทางเก่า

    เดินมาก็มีป้ายบอกว่า ทางลงน้ำตกสายทิพย์ ก็ลองเดินลงไปดูกับนิคสองคน ลงไปได้สักพัก  ทางก็เป็นทาง ลง ที่เป็นทางดินที่คาดว่าคงจะใช้จอบตัดเป็นขั้นบันไดให้ ที่ไม่มีอะไรจับ  ต้องเกาะต้นไม้ตลอดทาง  และก็คิดว่าคงจะต้องลื่นแน่เลย ก็คิดว่าพี่นวลคงจะไม่สามารถเดินลงได้แน่เลยคงละลงไปได้เร็วกว่าคนอื่นแบบเจ็บตัว แถมตอนขึ้นก็คงจะปีนไม่ไหวแน่เลย  ก็เลยขึ้นมาเดินกลับไปทางที่ทำการเพื่อสอบถามเส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัย

    เดินกลับมาเกือบถึงที่อุทยานก็เจอพี่คนนึงที่เค้ามากับทัวร์ก็เลยถามทางที่เราจะไปเที่ยวน้ำตก  พี่เค้าบอกว่า ทางลงที่ลงไปเมื่อตะกี๋นี้หน่ะแหละทางไปน้ำตกสายทิย์  ไม่มีทางอื่นอีก  พี่นวลกับพี่แจ๋วก็เลยขอบายบอกจะเดินเก็บภาพประทับใจที่นี่รอเรากลับมาละกัน

    เราก็เลยเดินกลับไปทางเดิม  ตอนนี้อากาศเย็นสบาย  เดินลงทางก็ชัน กลัวลื่นด้วยก็จับต้นไม้ตลอดทาง แล้วเราก็สังเกตเห็นต้นไม้ที่ต้นมันจะมัน มัน (แหมก็ใครขึ้นใครลงก็ต้องจับหมดนี่)

                 

    ระหว่างทางเดินลงไปน้ำตกสายทิพย์ก็ทำเอาหอบไปหลายหอบละกัน ระหว่างทางปีนลงก็มีดอกไม้แปลก แปลก เยอะดี แถมมีเห็ดเล็ก เล็ก สีแดงสดด้วย

    น้ำตกชั้นแรกน้ำก็ไม่เยอะเท่าที่ควรแต่ว่าน้ำเย็นมาก มากเลย เหยียบไปโอ   สะท้าน หินแต่ละก้อนก็ใหญ่ ใหญ่ทั้งนั้นมีตะไคร่น้ำ เอรึว่ามอส(พี่มอส)กันแน่

    ลงมาน้ำตกชั้นที่สอง เริ่มมีน้ำตกแรงมากขึ้น ชั้นนี้มีหินใหญ่มากเลยมองแล้วถ้าน้ำเยอะกว่านี้คงจะสวยดี แต่ว่าคงจะปีนลงมาไม่ได้แน่นอน   ปีนลงมาชั้นที่สามก็น้ำยิ่งมากขึ้นชั้นนี้มีความลดหลั่นกันของน้ำตกเพราะมีหินก่อตัวเรียงทับกันทำให้น้ำตกสูง  ปีนลงมาที่ชั้นที่สี่ ชั้นนี้น้ำตกเป็นสายแตกสวย และเย็น ทางเดินก็ต้องระวังจะลื่นตะไคร่น้ำ  ลงมาอีกชั้น แต่ยังไม่ถึงชั้นที่ห้านะเพราะทางลงดูเสียวมาก มองดูลงไปข้างล่างดูแล้วก็เห็นแต่เห็นแล้วก็มีป้ายอะไรก็ไม่รู้ก็เลยไม่ตัดสินใจลงไป  แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับสาว สาว ตัวเล็ก เล็ก เช่นเรากับนิค  แล้วก็เลยตัดสินใจปีนกลับที่พักดีกว่าคาดว่าคงจะเจอพี่นวลแน่เลย

    โอตอนลงก็เอาสะโพก มือ และ เท้าลง  ตอนขึ้นกลับไปนี้หน่ะไหนจะต้องปีน ทางก็ลื่น แถมยังต้องพยุงน้ำหนักตัวเราเองอันแสนจะหนักจริง  ทำเอาหอบพักแทบจะทุกสามเก้าเชียวหล่ะ  แต่ว่าความพยายามเมื่อเจอดอกไม้แปลก แปลก ก็ถ่ายเช่นเดิม  เดินขึ้นมาถึงก็นั่งพักสักพัก  หายเหนื่อยแล้วก็กลับเต้นท์

    โอ้โห   ทำอะไรหน่ะ เสียงเรามาแต่ไกล เห็นภาพที่พี่นวลกับพี่แจ๋วกำลังโซ้ยมาม่ากันสองคน

    จะกินไม๊หล่ะ  จะทำให้ เสียงพี่นวลบอกมา

    เอาห่อเดียวก็พอกินกับนิคเนอะ ใส่ไข่กับผักด้วย   เราเดินมานั่งที่เต้นท์พร้อมการหอบเล็กน้อย

    กินมาม่า(บิ๊กแพ็ค)ร่วมสาบานกับนิคแล้ว นิคบอกอยากพัก ก็เลยให้กินยาแล้วนอนพักในเต้นท์ส่วนเรานั่งพักแล้วก็ถามพวกพี่เป่าได้ความว่าเดินไปทางด้านหลังที่ทำการข้ามน้ำที่เราตักไปล้างจานแล้วจะมีที่ให้ถ่ายรูปให้พอใจเลย

    พี่นวลกับพี่แจ๋วเล่าให้ฟังว่าตอนที่เราสองคนกับนิคไปน้ำตกกัน  พี่นวลกับพี่แจ๋วก็ไปเก็บภาพจากธารน้ำที่เราอาบน้ำในชุดวันพีช(ผ้าถุง) กันสองคน

    โอย  หมอกพัดผ่านมาหน้าเราตลอดเลย  แบบว่าหมอกวิ่งผ่านหน้าไปเลย  สวยมากเลย  มองไปนะป่าสนมีละอองหมอกผ่านไปสวยจริง จริง ชั้นเลยไม่อิจฉาที่ไม่ได้ไปน้ำตก 

    แล้วถ่ายรูปไว้รึเปล่าหล่ะ เราถาม

    จะเหลือเหรอ พี่นวลกับพี่แจ๋วบอก

      
                      หลังจากกินข้าวและให้นิค นอนแล้ว เราสามคนก็ออกเดินทางไปต่างประเทศ (พี่เป่าบอกว่าไปเที่ยวลาวได้)  เดินไปข้ามลำธารไปแล้ว ก็เดินไปเจอกับป่าสนที่สวยมากเลย มองเห็นภูเขาใหญ่ข้างหน้า เจอพี่เจ้าหน้าที่สอบถามก็เลยได้ความว่า ภูเขาข้างหน้านั่นเป็นยอดภูสอยดาว    .....อ้าว..แล้วที่เราไต่ ปีนมาตลอดทางเมื่อวานนี้อย่าบอกนะว่าเป็นตีนภู โอ้แม่เจ้า....แต่พี่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าตรงที่กางเต้นท์เป็นลานสนสามใบต่างหาก  อืม... พี่เค้าบอกว่า จากที่เรายืนอยู่ขึ้นไปที่ยอดภูสอยดาวแค่ 2.5 กม.เอง เมื่อก่อนมีคนขึ้นไปแล้วเดินกันทำให้ก้อนหินตกมาโดนหัวคนข้างหลังต้องพากันส่งโรงพยาบาลกันจ้าละหวั่น  ทางที่ว่าแค่ 2.5 กม.  เราว่านะใครอยากไปก็เชิญไปเถอะนะ

    เดินต่อมาที่นี่ต้นไม้เขียวชอุ่ม สวยมากเลย ประกอบกับตลอดทางมีดอกหงอนนาค กับดอกสีเหลือง (คาดว่าจะเป็นดอกสุพรรณิการ์) ประชันกันเต็มทุ่งเลย มากกว่าตรงลานกางเต้นท์อีกนะ สวยมากด้วย

    เดินไปสักพักก็เจอหลักเขตชายแดนประเทศไทยและลาว ที่หลักเขตลงวันที่ 29/9/2545  โอ้ว้าว  วันเดียวกันกับวันนี้เลยหล่ะสิ ครบ 5 ปีดีจังเลย  (แต่ว่าพี่แจ๋วตั้งวันที่ในกล้องผิดเลยได้หลักฐานที่ไม่ตรง5 ปี เลย)

       หลักเขตชายแดนประเทศไทยและลาว (ตั้งวันที่ในกล้องผิด)

    ที่นี่มีป้ายบอกว่ามีสัญญาณโทรศัพท์  แต่ว่าเดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยไม่ง้อละ  วิ่งไปเที่ยวประเทศลาวดีกว่า

    ข้ามฝั่งมาประเทศลาว(จากหลังหลักเขต) มองเห็นป่าประเทศเพื่อบ้านเรานี่ต้นไม้เยอดีเนอะ   ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วก็เดินต่อไปที่จะเรียกว่าทุ่งก็ได้แบบว่ามีดอกหงอนนาคเต็มไปหมดเลย แล้วก็มีป่าสนที่ตั้งตระหง่าน  บางต้นก็มีการหักล้มลงมาขวางทาง แต่ว่าตรงต้นสนที่ล้มลงนี่มันแผล็บเลย(คาดว่า ใครผ่านมาก็คงจะไม่ลืมที่จะนั่งหรอก) แต่ก็ทำให้ได้บรรยากาศที่สวยมากเลยหล่ะ  และก็ไม่ลืม กิจกรรมของเราทุกคนถ่ายรูปกันให้พอใจ พี่นวลนั้นเป็นคนไม่คุกเขาให้ใครก็ต้องคุกเข้าให้กับภาพสวย 

                                      

    ถ่ายรูปพอใจในระหว่างทางแล้ว มองตามทางไปแล้วเห็นทางเดินสุดลูกหูลูกตา ก็คิดได้ว่าทางจะต้องเป็นทางอ้อมไปถึงทางที่เราไปเมื่อเช้าที่มีรั้วกั้นแน่เลย  ก็เลยถอดใจกัน พี่นวลก็เลยนำทางพวกเรามาทางลัดเดินไปเรื่อยๆ ที่เป็นเส้นทางเล็กๆ ที่คาดว่าคงจะมีการใช้งานไม่บ่อยนักหรอก  เดินมาแบบลุ้นกันตลอดทางจนเห็นที่ทำการอุทยานมาแต่ไกลก็เริ่มใจชื้นตามกัน  เดินมาตามทางเรื่อยๆ ก็เห็นเต้นท์ของเรามาแต่ไกล  อ้อ...ทางเดินนี่ถ้าเดินตามทางมาก็ถึงทางเต้นท์เราพอดี   ดีใจจัง( ไม่หลง)

    กลับมาถึงที่พักก็ประมาณเกือบจะบ่ายสามเกือบบ่ายโมงเย็น  เห็นจากสภาพอากาศแล้วก็เย็นมากเลย ก็เลยตกลงกันอาบน้ำซะตอนนี้(คนจะได้ไม่เยอะด้วย) ตอนอาบน้ำเราให้พี่นวลกับพี่แจ๋วไปใช้วิธีเดิมเหมือนเมื่อวานชุดวันพีช(ผ้าถุง) อาบกันสองคนอาบกันท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ช่างได้บรรยากาศซะจริงจริ๊ง รวมถึงน้ำในลำธารก็ให้บรรยากาศด้านความเย็นได้ดีจริง ก็ คนนึง(พี่แจ๋ว) ก็ถอดแว่น อาบน้ำ ตาก็มองไม่ชัด แถมกลัวผ้าถุงหลุดอีก อีกคนนึงก็กลัวลื่นล้มจากตะไคร่น้ำส่วนเราหน่ะเหรอ ก็ดูต้นทางให้หน่ะสิ กลัวคนอื่นจะเจอสิ่งมหัศจรรย์บนภูสอยดาว  พอพี่สองคนอาบน้ำเสร็จ เราก็แผนสูงถือถังตักน้ำไปอาบน้ำสองถังจะไปอาบในห้องน้ำเพราะกลัวจะทำอะไรให้คนที่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์(ที่น่ากลัวมาก มาก) พี่นวลก็เลยช่วยหิ้วมาให้อีกถังนึง  เราก็เลยได้อาบน้ำสามถังในห้องน้ำ  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ

    อาบน้ำเสร็จ แล้วก็มาทำกับข้าวกัน วันนี้ทำต้มยำปลากระป๋องฝีมือพี่แจ๋ว (อร่อยมากเลย ใส่หอมแดงหัวใหญ่ ใหญ่ หวานมากเลย), แล้วก็ทอดไข่ใส่แหนม(แบบว่าต้องทำลายไข่ทั้งหมดภายในมื้อนี้และมื้อพรุ่งนี้) , ผัดผักฝีมือพี่นวล(ที่เราว่าอาจจะเป็นแกงผักกาดขาว รึอาจจะให้เราซดน้ำให้พอใจกันนะ) แล้วก็หุงข้าวเป็นรายการสุดท้าย วันนี้ข้าวแฉะนิดหน่อย ก็เลยใช้สูตรเขาขนมปังมาดูดความชื้น  แต่ทุกอย่างก็ไม่เกินฝีมือสี่สาวเช่นเรา

    กินข้าวเสร็จแล้วก็ล้างจานเสร็จก็ประมาณ 5 โมงเย็น ก็เลยชวนกันไปตามหาพระอาทิตย์กัน(แต่คาดว่าพระอาทิตย์คงจะไม่มาแน่เลย เพราะจากสภาพอากาศที่เย็นและมีหมอกลงตลอดวันเลย)  เดินไปตามทางไปดูพระอาทิตย์ตกที่คนเริ่มจะทยอยมากันแล้ว  พี่นวลก็ไม่ลืมทำหน้าที่ทันทีที่เห็นแสงอาทิตย์ส่องผ่านปุยเมฆ  เรามองแล้วตาค้างเลย สวยประทับใจ  รอประมาณ หกโมงเย็นแล้วพระอาทิตย์ไม่ตกซะทีก็เลยเคียดหลายกลับที่พักดีกว่า

    กลับมาพี่แจ๋วก็จัดระเบียบเต้นท์กับข้าวของที่กระจัดกระจาย เพราะว่า เมื่อใดที่มีการทำอาหารแต่ละมือ เราและพี่นวลก็จะทำการค้นหา หรือที่บางคนจะเรียกว่ารื้อซะกระจุย  ทำให้แม่หญิงพี่แจ๋วของเราถึงกับอดรนทนไม่ได้ จัดการ จัดแยกถุงนี้ไว้เป็นถุงกับข้าวพรุ่งนี้ , ถุงนี้เป็นถุงขนม , ถุงนี้เป็นจาน ชาม ช้อน , ถุงนี้เป็นเครื่องปรุง , ถุงนี้เป็นของที่ไม่ใช้แล้ว  วางเป็นระเบียบดีมาก เรายังคิดอยู่เลยนะว่าถ้าเราไปกับพี่นวลสองคน คงจะหาของไม่เจอกันแน่นอน

                                                                                           

     

                                                                                   

    กลับมาก็นั่งเล่นหน้าเต้นท์ท้องฟ้าก็เริ่มมืดมองไปบนท้องฟ้ามีดาวเต็มท้องฟ้าไปหมดเลย

    ข้างบน อะไรขาว ขาวหน่ะ มีเสียงถามมา

    อ๋อ  ทางช้างเผือกไงหล่ะ เราตอบกลับไป(แบบว่ามั่วไปเองแหล่ะ แต่คิดนะว่าคงจะเป็นละอองหมอกลอยขึ้นแล้มเจอกับแสงดวงกาวเลยเป็นทางสีขาว)

    นั่งคุยกันสักพักมองไปวันนี้ท้องฟ้าสว่างมากประหนึ่งใครเอาสปอตไลท์มาส่งแหน่ะ ต่างจากเมื่อวานมืดสุดสุด แต่ทนจะให้ยุงหามเป็นมาเลเลียคงไม่ได้ก็เลยกลับเข้าเต้นท์นอนดีกว่า  แต่แหมพอเราตกลงใจที่จะใช้ผ้าถุงในการเข้าห้องน้ำแถว แถวเต้นท์เนี่ย ท้องฟ้าก็ดั๊นสว่างเอาซะนี่    แต่ก็หลับสบายเลย แต่หนาวจริง จริง คร๊อก......

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×