คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปีนภูท่ามกลางสายฝน ละทะเลาะกับต่อ(หัวเสือ)28 กันยายน 2550
28 กันยายน 2550.
เดินทางถึง บขส.. พิษณุโลก ประมาณตีสองครึ่ง( 02.30 น.) ก็สลึมสลือเดินตามกันลงจากรถ แล้วก็ขนของลงจากรถกันจ้าละหวั่นกันเลย แหมก็ของเรา 4 คนก็เยอะแล้ว ส่วนอีก 6 คน (รวมทั้งหมดก็10สาวพอดีเลย) ก็เฮ้อ...เยอะพอๆกัน ไอ้ตอนของที่เราขนกันนี่เอง กระเป๋านั้น กระเป๋านี้ ถุงนั้น ถุงนี้ ขนไป ยกมา...โพล๊ะ...เสียงที่ทำทุกคนหันไปมอง พร้อมกับภาพที่เห็น ...กล่องหนึ่งกล่องแตกออกมา ทำให้ม่าม่ากระจาย ขอบอกว่า มาม่าบิ๊กแพ็คซะด้วย ทำเอาอายไปตามตามกันเลยแล้วก็ ก้มหน้าก้มตาช่วยกันเก็บ แล้วก็เดินไปที่ชานชลาสมทบกับสาวกรุงเทพฯ อีก 2 คน ก็นิค กับแดง ที่เค้ามาถึงตอนตีหนึ่งครึ่ง( 01.30 น.) ในสภาพที่สลึมสลืออยู่ นั่งที่ บขส.พิษณุโลกนี้มองเห็นพี่ พี่ที่เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่นี่เค้ามีระเบียบมากเลยนะ เวลารถที่มาจอดที่ บขส. พิษณุโลกนั้นเค้าจะวิ่งมาแล้วถ้าใครมาถึงก่อนก็จะได้คิวก่อนใครมาทีหลังก็จะต่อคิวกันเรื่อยๆ ดูเป็นระเบียบดีจังเลย
สักพักก็มีคนมาติดต่อเรา พี่เค้าบอกมีรถปิคอัพ( จากข้อมูลที่ศึกษามาก่อนนั้น เค้าบอกว่าจะมีรถปิคอัพไปที่อช.ภูสอยดาว) พี่เค้ามาเองโดยเราไม่ต้องเดินไปหาเลย คาดว่าคงดูจากสภาพของคนที่มา ถ้าขนของเยอะๆ มีเต้นท์ ก็น่าจะใช่แน่นอน จากการเสนอราคา พี่เค้าบอกว่าไปกลับจากพิษณุโลก ไป อช.ภูสอยดาว ก็ 4,000 บาท คุยไปคุยมาก็ตกลงราคากันที่พี่เค้าพอใจ 3,600 บาท (แต่ทางเรายังไม่พอใจ แหม ขอ 3,500 บาท ก็ไม่ได้ ข้อมูลจาก internet ราคาประมาณ 2,600 บาท แต่ก็เข้าใจนะ ตอนนี้น้ำมันก็ขึ้นเอ๊า ขึ้นเอา)
หลังจากขนของขึ้นรถแล้ว ก็ ขนคนขึ้นรถ (อัดกันเข้าไป สาว สาว อวบ อวบ 10 คน) รถที่เราไปก็สมฐานะคนเช่นเรา ก็รถกระบะ แคบตอนเดียวที่มีหลังคา มีช่องกระจกเลื่อนเปิดได้ 4 ช่อง แต่ว่า ใช้ได้ 3 ช่อง ตอนแรกๆ ก็นั่งไปสบายๆ ระหว่างทางไป อำเภอชาติตระการ ก็ทำการเคารพกันในรถตลอดทาง นอกจากการทำความเคารพกันแล้ว ก็ยังรักกันมากซะด้วย เพราะว่า ง่วงผสมกับเริ่มมีลมหนาวมา
กว่าถึงอำเภอชาติตระการ ก็ทำเอาคอเคล็ดไปตามตามกัน แถมเบียดกันเต็มที่ ที่อำเภอชาติตระการก็แวะซื้อน้ำ เราแวะที่ตลาดสด พี่ที่เราเหมารถมาเค้าก็ดีมากเลย พี่เค้าบอกว่า อย่าซื้อน้ำขวดขุ่น เพราะมันมีกลิ่นคลอลีน แต่ว่าเราหาซื้อในตลาดเช้า ตามร้านค้าต่างๆ ก็เจอแต่ขวดขุ่นทั้งหมด ขวดใสก็มีหนึ่งร้าน ก็แหม...ล่อซะน้ำแร่เลย ...แบบว่า ชีวิตยังไม่หรูไฮพอที่จะใช้น้ำแร่ ก็เลยมองไปซักพัก เห็นร้านค้าตรงข้ามตลาด ก็เลยเห็นน้ำขวดใส ซื้อให้พอใจเลย เอา ขวด 6 ลิตร 2 ขวด, น้ำขวดเล็ก 2 แพ็ค (กลุ่มเรา 4 คน ซื้อด้วยกัน ส่วนที่ 6 คนที่เหลือ เค้าดำเนินการเอง) ตลาดสดนั้นมีผักสดมากมายเลย เห็นรถคันอื่นที่เป็นทริปทัวร์ เค้าก็แวะซื้อผักที่นี่แหละ ส่วนกลุ่มเราได้ผักบุ้งมา พร้อมเมนูใหม่ๆ อุปกรณ์ยำ และ ก็แหนมหมูมาด้วย
เดินในตลาดกันพอใจแล้ว ก็มาเจอะร้านกาแฟทำให้สมาชิกชาวสภากาแฟอดรนทนไม่ได้ที่จะไปเติมคาเฟอีนในกระแสเลือด แล้วก็ซื้อข้าวเช้า + ข้าวเที่ยง ที่เหมาะกับสมกับฐานะคนเช่นเรา ก็ ข้าวเหนียว + ไก่ย่าง + หมูย่าง+ปลาดุกย่าง (ไม่มีข้าวเหนียวไม่มีแฮง เอ้ย แรง)
พอเอาของที่ซื้อมาใส่รถ....โอ๊...แม่เจ้า... รถแน่นขึ้นทันตาเลย แต่ว่าไม่เป็นไรเพื่อความอิ่มท้องของเราก็...อดทนกันไปเพื่อท้องของเรา อ้อ ลืมบอกไปว่าถ้าจะซื้อถ่านอัลคาไลน์นั้นต้องซื้อที่ร้านค้าตั้งแต่ที่ บขส.พิษณุโลก หรือไม่ก็ ที่ปั๊มเจ็ท(พี่เค้าจะจอดตอนออกจาก บขส.พิษณุโลก)ที่ตลาดสดจะมีขายแต่ถ่านสีเขียวหน่ะ ส่วนถ่านที่ใช้ทำอาหารก็ซื้อที่ตลาดเช้าเลยนะ กลุ่มเราไม่ต้องใช้เพราะใช้แก๊สกระป๋องแล้ว
รถออกจากชาติตระการก็ประมาณ หกโมงเช้าฝ่าๆ (ไม่รู้ว่าฝ่า ฝ่า เท่าไหร่)รถขับไปเรื่อยๆ แรก ๆ ทางก็ตรงดี ตลอดทางก็ อื้อฮื้อ...อากาศยามเช้า ที่มีหมอกลอยละล่องที่ยอดทิวเขาที่มีต้นไม้สีเขียวเต็มไปหมดเป็นแนวยาวตลอดทาง สวยมาก มาก สองข้างทางก็เป็นท้องนา ต้นข้าวมีรวงข้าวเหลืองอร่ามโค้งงอ เพราะน้ำหนักของเมล็ดข้าวเต็มท้องนา สวยประทับใจจริง จริง
นั่งไปซักพักทางก็เริ่มจะโค้ง โค้ง เรื่อยๆ แล้วก็เริ่มชันนิดหน่อยจนถึงชันมากพอสมควร จะว่าไปแล้วก็น้องๆ ทางไป อช.ภูคาที่น่านเลยนะ ที่เสียว เสียวก็ประมาณ สองโค้งที่ต้องบีบแตรล่วงหน้าก่อนเพราะทางชันมากเลย ต้องใช้แรงส่งมากหน่อย ทำเอาเสียวกันไปทั้งรถเลย ตอนไปที่อช.ภูสอยดาว นี่นั่งรถจาก อำเภอชาติตระการนานมากเลย ก็มีการเคารพกันเป็นว่าเล่นเลย
ถึง อช.ภูสอยดาวก็ประมาณ 8.15น. รถจอดปุ๊ป ก็รีบบอกพี่คนขับว่า
“ พี่คะ ถ้าไม่อยากล้างรถ ช่วยเปิดรถด่วนด้วยค่ะ” เสียงพี่นวลบอกไป
พอพี่นวลออกจากรถได้ปุ๊บก็ไม่รอใครวิ่งลงจากรถ และก็ไม่มีใครจะติดตามแกไปด้วย เนื่องด้วยพี่แกรีบไปทำโจ๊ก (แหม...เห็นหนุ่มๆ ยืนอยู่วิ่งไปเอาซะวงเค้าแตกเลย ) แล้วพี่แกก็เปลี่ยนไปทำโจ๊กที่ใหม่เอาหน้าน้ำตกเลย (เลือกวิวซะด้วย)
พอถึง อช.ภูสอยดาว ก็ต้องเอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนัก (กลุ่มเราได้หมายเลข 90 ไม่ใช่อายุนะ) ที่อช.ภูสอยดาวหน่ะควรจะโทรศัพท์บอกทางอช.ให้ทราบก่อน เพราะว่าเค้าจะได้เตรียมลูกหาบมารอขนของของพวกเรา โดยเราต้องแจ้งว่ากลุ่มเรามีทั้งหมดกี่คน พี่ลูกหาบที่นี่ก็จะมารอรับ (เราควรจะเอาถุงขยะสีดาใบใหญ่ใส่ของเรา ทุกอย่าง รวมถึงกระเป๋า เป้ทุกใบในตอนชั่งเลยนะ เพราะถ้าฝนตกลงมาของเราจะได้ไม่เปียก ) ตอนเราถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าลูกหาบจะใส่ถุงให้ เราก็คิดว่าเค้าจะใส่ถุงดำให้ แต่ไม่ใช่ ลูกหาบแต่ละคนจะมีถุง(คาดว่าจะเป็นถุงปุ๋ยใหญ่ๆ) ใส่ของเราไป ถ้าอันไหนมีของแตกง่ายเช่นไข่ก็บอกเค้าไว้ล่วงหน้าด้วย แต่บางคนเค้าตอกไข่ใส่ขวดน้ำไป ไข่ก็ไมเสียนะ เพราะอากาศเย็น (ถุงขยะดำใบใหญ่นั้น ถ้าฝนตกจะทำให้กระเป๋าเราและเสื้อผ้าไม่เปียก)
ชั่งของเสร็จก็กินข้าวเช้า ที่ซื้อมาจากตลาดเช้า ก็ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ปลาดุกย่าง แถมด้วย ...ปลาร้าบอง(ทำจากปลาร้าสับเอามาผัดกับเครื่องแกง)ที่พี่นวลเอามา แหม....ก่อนจะใช้แรงก็เอาปลาร้ามากระตุ้นพลังเรียกแรงอันซ่อนเร้นซะก่อน
กินข้าวเข้ากันแซ่บหลาย ก็เดินทาง ด่านแรกเราก็เจอน้ำตกภูสอยดาว ที่ทั้งใหญ่มากเลย และก็สวยมากด้วย น้ำก็เยอะไหลแรกมากเลย (จากข้อมูล น้ำตกภูสอยดาว ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นน้ำตกขนาดกลางในลำห้วยน้ำพายไหลลงสู่แม่น้ำปาดที่อำเภอน้ำปาด มีชั้นน้ำตกทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นมีชื่ออย่าไพเราะว่า ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์ มีน้ำไหลตลอดปี อยู่ริมเส้นทางหลวง 1268 ใกล้ที่ทำการ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว)
น้ำตกภูสอยดาวนี่เย็นมากเลย อยู่ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ก็ทำกิจการรมเช่นเดิม ถ่ายรูปกันซะพอใจ ได้ภาพสวย ละอองน้ำตกกระเซ็นมาเย็นมากเลยหล่ะ แล้วก็เริ่มเดินทางกันประมาณ 08.45 น. เดินมาแรกๆ ก็เดินแซวกันไปตามประสา เจอใคร เราก็ใจกว้างให้แซงกันไปถ้วนหน้า แบบว่าทีมเรา 4 สาว โอ๋ นิค พี่นวล พี่แจ๋ว มีคติประจำใจ ว่า แซงได้ตามสบาย ไม่ชอบให้ใครมากดดันข้างหลัง
ดอกดินสีแดง เอื้องหมายนา
เดินมานานๆ ก็ซักจะเหนื่อยแล้วสิ หันไปเห็นพี่ลูกหาบ
“พี่คะ อีกไกลไม๊คะ” ถามพร้อมเริ่มมีเหงื่อซก มองไปเหมือนไปอาบน้ำมากันเลย (ก็อาบเหงื่อต่างน้ำไง)
“นี่เพิ่มเริ่มต้นเอง” พี่ลูกหาบตอบมา
“.......”ฟังแล้วก็มองหน้ากัน
เฮ้อ........กว่าจะเดินถึงเนินส่งญาติก็ทำเอา บ่นกันซะหลายครั้งหลายครา และก็หอบกันหลายหอบ แต่ดีนะที่ไม่หอบแดด เพราะอากาศเย็นสบายดีมากเลย แบบว่ากลุ่มเรานั้น เน้นการเดินทางแบบสบายๆ ไม่ต้องเร่ง ยังไงก็ถึงเหมือนกัน ถึงเวลาจะต่างกันก็ตาม เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็เดินต่อไป
โอย........เนินส่งญาติเนื่อย ทางชันนะ แต่ระหว่างทางนั้นมีเสียงน้ำตกมาตลอดทาง อากาศก็เย็นสบายดีมากเลย ลมเย็น ไม่ร้อน เดินไป เจอต้นไม้ เจอดอกไม้ ก็ถ่ายรูปไป พร้อมกับหอบไปเรื่อย เรื่อย พักเป็นระยะ ระยะ เจอใครก็ใจดี หลบให้แซงไปก่อนได้เลย (แบบว่ารู้ตัวว่า เดินช้าตามสังขาร ของสาว สาว 13 กับ14 อ่านตัวเลขกลับหลังนะ)
“พี่ สาว สิบสี่ เดินตามมาเลยนะ สาวสิบสามจะนั่งรอตรงนี้” เสียงเราเรียก พร้อมนั่งรอระหว่างทาง (สาวสิบสามกับสาวสิบสี่นี่ต้องอ่านเลขกลับหลังนะ)
ถึงเนินปราบเซียนก็นั่งพักซักครู่
“โอ๋ แมงอะไรก็ไม่รู้เกาะหัวเรา” นิคร้องออกมา
“นิค อย่าขยับนะ อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันกัด” เสียงพี่นวลบอกมา ส่วนนิคนั้นก็ยืนตัวแข็งสักพักเท่านั้นเอง
“โอ๊ย! มันกันเราแล้ว” นิคร้องออกมา เสียงน่าสงสารมากเลย
เรากับพี่นวลได้ยินก็ระดมมือทั้งเราทั้งพี่นวลบตบไปที่หัวนิคทันที จนไอ้ตัวต้นเหตุอันตกมาที่พั้นที่ แล้วพี่นวลก็เลยจัดการ “เหยียบ”มันซะบังอาจทำน้องชั้นเจ็บ
“โอ้ย เจ็บมากเลย” นิคร้องพร้อมน้ำตานองหน้า
“เอาเหล็กในออกด้วย” เสียงพี่แจ๋วบอกมา เพราะดูจากสภาพศพของแมลงตัวนั้นคาดว่าจะเป็นผึ้ง ส่วนนิคก็ก้มหัวลงมา ไอ้เราก็รีบเอามือกดหาแผลแต่ไม่เห็นเหล็กไน ก็เลยกดจนแผลเป็นเลือดออกมา ซักพักก็หายาตอนนี้ก็เลยรู้ว่า ยาแก้แพ้ ยาอื่นก็อยู่ในกระเป๋าที่พี่ลูกหาบหมด เห็นแต่ยาหม่องและยาเหลือง เอามาทาประทังความปวดไว้ก่อน พอเห็นพี่ลูกหาบผ่านมาก็เลยถามพี่เค้า โชคดีนะที่ทริปนี้ พี่นวลพกยามาด้วย(ตามคำสั่งของแม่พี่นวลอายุแค่สาวสิบแปดเอง) ก็เลยเอายาพารากับยาแก้แพ้ให้กินก่อน
“พี่คะ เพื่อนเจอแมลงกัดค่ะ ตัวนี้หน่ะค่ะ” พี่นวลถามพร้อมเอาสภาพศพตัวการที่บังอาจทำร้ายเพื่อเราให้พี่ลูกหาบดู
“นี่ต่อหัวเสือนี่” พี่ลูกหาบบอก
“..................” เงียบและอึ้ง เราทุกคนได้ยินอย่างนี้ก็ใจหายวาบเลย
“แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่แพ้ ทายาแล้วก็กินยาแก้แพ้เอา เดี๋ยวจะบวมหน่อยนะ” พี่ลูกหาบบอก เฮ้อ...ได้ยินอย่างนี้ก็ใจชื้น แต่ก็ยังอดคิดในใจไม่ได้กลัวเพื่อนเป็นอะไร ก็เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ก็กลัวเหมือนกันนะ
เดินมาเรื่อยๆ ถึงที่พักระหว่างเนินปราบเซียนและเนินป่าก่อ (มีที่พักที่เป็นเก้าอี้ไม้ไผ่ให้นั่งพัก) ก็เจอกลุ่มเราหกคนที่เดินแซงหน้ามาก่อน ตรงนี้ส่วนใหญ่จะพักกินข้าวเที่ยงกันเอาแรง แต่พอจริงจริงแล้ว เหนื่อยจนแทบกินไม่ลงเลย กินได้นิดเดียวจริง จริง เป็นครั้งแรกในชีวิตนะเนี่ยที่ปฏิเสธอาหาร
“พี่นวล พี่ลูกหาบเค้าบอกว่า กลุ่มผู้หญิงอ้วนใส่เสื้อสีดำถูกต่อหัวเสือต่อยหน่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่เป่าถามเมื่อเห็นหน้า
“อือ...นิคถูกต่อย” พี่นวลบอกพร้อม ทุกคนในที่แห่งนั้นหันมามอง และเริ่มเคลียร์ที่ให้นิคได้นั่งและก็เริ่มหายาอะไรที่ใช้ได้ มีพี่คนนึงมียาแก้แพ้ติดมาด้วย ก็เลยแบ่งมาให้กิน ส่วนอีกคนก็มียาหม่องเสลดพังพอนมาใส่แผล(หัว ) บางคนก็เอายาพารามาให้ โอยซึ้งน้ำใจคนไทยมากๆ (แต่แหม...มีบางคนจะมาถ่ายรูปแผลที่ถูกต่อต่อย เรานะได้ฟังก็ปรี๊ด...เลย เราพูดเลยว่า “ เพื่อนเราหน่ะถูกต่อหัวเสือต่อยนะไม่ได้ภูมิใจเลยนะที่มันต่อย”)
พี่ลูกหาบก็น่ารักมากเลย ไปฟันต้นมะเม่าเอามาให้กินกัน ถ้าลูกสุกแล้วจะสีเข้ม จะหวานมากเลย แต่ถ้ายังไม่สุกดี จะเปรี้ยวนิดนึงเราว่าก็อร่อยดีนะ
เดินมาแถวเนินป่าก่อ พี่เรน(สายฝน) ก็เริ่มตกลงมาปรอย ทำให้อากาศเย็นสดชื่น มีกลิ่นป่า หน้าฝนพร้อมกลิ่นดินตอนฝนตก หอมดีทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แต่ว่า เอ...ฝนก็เริ่มลงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยควักเสื้อกันฝนมาใส่ แหมใช้เลือกกันตามใจชอบเลย
“ชั้นสีชมพู” พี่นวลบอกคนแรกเลย
“นิคสีเหลืองนะ”เราบอกพร้อมหยิบให้เรารู้กันอยู่
“พี่แจ๋ว สีส้มละกันนะ เพราะใส่เสื้อสีส้ม” เราบอกพร้อมหยิบเสื้อกันฝนให้
“โอ๋ เอาสีน้ำเงินละกันนะ เพราะโอ๋ใส่เสื้อสีน้ำเงิน” ว่าแล้วก็หยิบเสื้อมาใส่กันจ้าละหวั่น(เอาหัว เอาแขนมุด หันหน้า หันหลัง ช่วยกันใส่ให้กันสักพัก ก็พร้อมเดินทางต่อ
เราเดินกันตามกันมา แบบว่า การเดินที่นี่นะไม่ใช่เดินเรียงหน้ากระดานนะ แต่เป็นการเดินเรียงแถวตามกันไป เจอพี่ลูกหาบก็ทักทายกัน พี่เค้าก็บอกว่าให้พักที่เนินเสือโคร่งให้หายเหนื่อยก่อน
มองจากเนินเสือโคร่ง ก็เห็นเนินมรณะไกลลิบๆ ที่ตอนนี้เราเห็นวิวเป็น เขาที่สีเขียวชอุ่มสวยมากเลยเพราะฝนตกใส่ มีเสื้อกันฝนหลากหลายสีสัน ที่เดิน เอ๊ะรึจะเรียกว่าปีนตามกันป็นทิวแถว ตามทางหน้ากระดาน มีการพักเป็นหย่อม แต่ทางเนื่อยไม่ใช่เส้นตรงนะ ทางจะโค้งๆ
“พี่นวล มองไปข้างหน้า ปลายทางของเราแค่คืบเองนะ” เราบอกพี่นวลพร้อมกับทำมือเอานิ้วชี้และนิ้วโป้งวัดความสูงของเขา
“โอ เห็นทางแล้วชั้นจะเป็นลม” พี่นวล บอกพร้อมมองทิวทัศน์ข้างหน้าที่มีหลากหลายอารมณ์
พักที่เนินเสื่อโคร่งจนพอใจแล้วก็เดินทางกันต่อ ทางตรงนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แค่ใช้สองมือ ,สองขา และสองเข่าช่วยเดินมาตลอดทาง
“เฮ้อ...นั่งอยู่ห้องแอร์ สบาย สบาย มาทำไมน๊า เสียตังมาหาความลำบากจริง จริง” เราบ่นพร้อมเริ่มท้อกับระยะทาง
เนินมรณะนี่เป็นเขาลูกนึงเลยก็ว่าได้เชียวหล่ะ มีทางชันมาก มากเลย ต้องใช้สองมือ ,สองขา และสองเข่าช่วยเดินมาตลอดทาง จนพี่นวลได้เปลี่ยนชื่อนจาก “เนินมรณะ” มาเป็น “เนิน น-ร-ก” เพราะเส้นทางไม่ใช่แค่ชันธรรมดา ชันม๊าก มาก แล้วก็เป็นแต่ขึ้น ขึ้น ขึ๊น ขึ้น ขึ้นเอาซะขึ้นจนเหนื่อยหอบกันตาม ตามกัน ตลอดทาง
ตอนนี้นิคเริ่มรู้สึกง่วงแล้วแต่ไม่ปวดแผล ไม่ปวดหัวเลย คาดว่าคงจะเป็นผลจากยาแก้แพ้แน่เลย เห็นหน้านิคแล้วคงอยากพักแน่เลย แต่ว่าพี่นวลเดินไม่ไหวดูจากสภาพสังขารแล้ว เราก็เลย ตกลงใช้ระบบบัดดี้กัน เราเดินไปกับนิคล่วงหน้าไปก่อน และพี่นวลก็เดินไปกับพี่แจ๋ว
เดินตามกันมาเรื่อยๆ เอ๊จะว่าปีนตามกันมาก็คงจะได้ เหนื่อยก็พักตามที่ว่างที่มีรอยที่แสดงถึงการพักของที่เคยมีการพักมาก่อน ช่วงนี้ฝนตกปรอย ปรอย หันมองไปตามสันเขาที่เราเดินผ่านมาด้านซ้าย ส่วนด้านหน้าก็ทิวเขาสลับกัน มีละอองหมอกที่ลอยยอดเขาแต่ละเขาสวยมากเลย แต่ว่าจากการมองสภาพอากาศแล้วฝนก็เริ่มตกหนักเหมือนกันนะ ไม่กล้าควักน้อง pantaxมาถ่ายกลัวเจ๊งไปซะก่อน เพราะว่าตอนไปทีที่ลอซู เอาน้องsamsung ของพี่บีมาถ่ายแล้วเจอละอองน้ำตกไปทำให้เปิดหน้ากล้องช้าลงใจแหว่งไปทีนึงแล้ว เลยก็ได้แต่เก็บภาพประทับใจและดื่มด่ำให้เต็มที่ ตอนที่ยื่นดื่มด่ำบรรยากาศความสวยของป่าท่ามกลางสายฝนที่ไม่แรงมากนัก ทีมีสายหมอกเป็นชั้นๆ ตามทิวเขาแต่ละเขา ป่าเขียวชอุ่ม โอย สวยมากเลย สดชื่นมาก สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ตอนนี้อยู่ดีดี ก็ได้ยินเสียงเพลงเพลงหนึ่งเข้ามาในหัว
“ ไม่มีดินผืนใด ให้ไออุ่น เท่ากับดินที่คุณถือกำเนิด
ไม่มีดินผืนใด ดูมั่นคง เท่ากับดินที่คุณลงสำมะโนครัว
ไม่มีดินผืนใด ให้คุณเดิน เท่ากับดินที่คุณเดินตอนตั้งไข่
ไม่มีดินผืนใด มีความหมาย เท่าแผนดินสุดท้ายของเผ่าพันธ์
ไม่มีดินผืนใด มีความหมาย เท่าแผ่นดินสุดท้ายของไทยทุกคน ”
เราก็ทำได้แค่เก็บบรรยากาศในความทรงจำที่ดี ไว้แล้วก็เดินและปีนกันต่อไป
“นิค ...ข้างหน้าถึงยอดแล้ว” เราร้องบอกพร้อมกับมีกำลังใจสุด สุด แต่ทว่า เมื่อเดินไปถึงก็พบว่า............ยอดเขานี้มีทางเดินต่อไปอีก........เฮ้อ....
“เฮ้อ ยังไม่สุดท้ายอีกเหรอ เหนื่อยแล้วนะ แต่.....เราก็ต้องเดินต่อไป” เรารำพึงกับนิคไปตลอดทาง และนิคก็บอกว่าไม่ปวดหัวเลย แต่ว่ารู้สึกแสบแผล กับง่วง เราคิดว่าคงแสบจากยาหม่องที่ควักมาโป๊ะไว้ เดินตามทางไป ก็เริ่มรู้สึกหิวแล้ว มีหมูปิ้งที่แข็งๆ ก็ไม่ไหวแล้ว เห็นก้อนหินก็นั่งพักพร้อมกินหมูปิ้งเย็นๆ นั่นก่อน มองเห็นน้ำเลยนึกได้ว่า พี่นวลไม่ได้ถือน้ำไว้เลยคงจะหิวน้ำน่าดูเลย จะโทรศัพท์ก็ไม่ได้ซะด้วย เพราะไม่มีคลื่นตั้งแต่ที่ที่อช.ภูสอยดาว ข้างล่างแล้ว ส่วนนิคก็เป็นห่วงกลัวเราจะตกจากก้อนหินรึเปล่า บอกให้เราไปกินที่ตรงเนินข้างหน้า แต่ว่าเราไม่ไหวแล้ว พยาธิในท้องเริ่มกระบวนการส่งเสียงเลยฟาดหมูมากินพอหายหิวก็เดินต่อ ไม่กล้ากินมากกลัวจุก เพิ่มพลังสักพักก็เดินตามทางกันต่อ ที่นี่นะ เราคิดนะว่าเป็นต้นหญ้าสูงกว่าหัวเราอีก ใบหญ้าก็กลัวจะบาดแขนจังเลย ดีนะที่มีเสื้อกันฝนกันแขนไว้
เดินไปสักพัก พักใหญ่ เชียวหล่ะ
“โอ๋ ดูข้างหน้าสิ” นิคร้องบอกเมื่อเห็น”ป้ายผู้พิชิตลานสนสามใบภูสอยดาว ระดับความสูง 1,633 เมตร” (คาดว่าคงจะวัดในแนวจากลานนี้ไปข้างล่างทางตรงแน่เลย แต่เราเดินนี่สิ มากกว่านี้ชัวร์) ซึ่งเราและนิคก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพกับป้ายกับชุดเสื้อกันฝนเพราะตอนนี้ฝนตกปรอย ปรอยแล้ว แหมรูปก็แสดงถึงความลำบากชนิดนึงเชียวหล่ะ หน้าตาก็แบบว่า ถ่ายไปเถอะชั้นเหนื่อยแล้ว แต่ว่า เสื้อกันฝนนี่หาโอกาสถ่ายได้ยากนะ
ทางไปลานสน(แถวบ้านเราเรียกว่าเดิ่นสน)ที่มีความเขียวชอุ่มของต้นไม้และต้นสน สมเป็นชื่อลานสน(แหมป้ายที่เห็นชื่อทางไปลานสนตั้งแต่ข้างล่างนู่น ให้กำลังใจกันมาตลอดทางเชียวนะ)
แต่น แตน แต๊น......และแล้วเราก็พบนางเอกของที่นี่ “ดอกหงอนนาค” เป็นดอกสีม่วงสวยมากเลยขึ้นเต็มเลยขึ้นเยอะมาเลย ทำให้เราต้องวิ่งลงไปถ่ายรูปสลับกับนิคกันสองคน เห็นแล้วเริ่มหายเหนื่อยนิดหน่อย พอถ่ายรูปเสร็จแล้วก็มองไปทางข้างหน้า....................มีทางเดินไปอีกแล้ว ก็ต้อง เดินไป เดินไป ตามกันไปสองคน (แบบว่าคนอื่นแซงไปหมดแล้ว) เดินไปเริ่มมีกำลังใจเพราะเราเห็นเต้นท์ที่กางแล้วหลายเต้นท์มาแต่ไกลลิบ ลิป ก็เดินแบบมีกำลังใจ
ถึงที่กางเต้นท์ ก็ประมาณ 16.30 น. เอง มองไปคนอื่นเค้ากางเต้นท์กันหมดแล้ว ใครมาก่อนก็กางแถวลานกางเต้นท์ ใกล้กับที่ทำการของพี่เจ้าหน้าที่ แต่ว่าเรานี่สิ เหนื่อย ก็เหนื่อย เดินไปหาที่กางเต้นท์ก็ไม่มีที่ว่างเลย (วันนี้คนก็มาเยอะเลยนะเนี่ย) คนที่มาก่อนเค้าก็เลือกก่อนก็ถูกแล้ว มองไปเห็นกลุ่มหกคนที่มาถึงก่อนเค้ากำลังกางเต้นท์อยู่ เห็นพี่ลูกหาบมาบอกว่ากางตรงนี้ก็ได้ พี่ลูกหาบที่เค้าเอาของเรามาเค้ามีน้ำใจถือของมาให้เราถึงที่กางเต้นท์ แถมช่วยเรากางเต้นท์ให้ด้วย เพราะตอนนั้นเราขอบอกว่าไม่ไหวจริง จริง มือเริ่มสั่นแล้วหล่ะ ใจเต้นแรงมากเลย สมองเริ่มเบลอแล้ว คิดอะไรก็ไม่ออก ช่วงกางเต้นท์อยู่พี่นวลก็ตามมา ก็ช่วยกันกางเต้นท์ เก็บของเข้าเต้นท์ แล้วก็ไปอาบน้ำ (ขอบอกเลยนะเราได้เลือกกางเต้นท์ในทุ่งดอกหงอนนาคก็จริง แต่ว่าเราเลือกตรงที่ไม่ค่อยมีดอกหงอนนาคขึ้นเยอะนะ ทำไงได้หล่ะ ไม่ได้ขึ้นมาก่อนนี่นะจะได้จองก่อน เคลียร์พื้นที่ก่อน กางเต้นท์ก่อนแถมทำอาณาเขตส่วนตัวกันซะกลัวคนอื่นเค้าจะไปกางข้างๆ หาที่กางเต้นท์ก็ยากพอสมควร ใครจะคิดว่าเรากางเต้นท์ทับทุ่งดอกหงอนนาคก็ช่างเถอะนะ ขอบอกไว้ก่อนละกัน เลือกแล้วหล่ะ ตรงนี้เป็นลานแถมว่ามีแอ่งน้ำนิดๆ ด้วยนะ ก็จองไม่ทันพวกที่เคลียร์ขุดหลุม กั้นเขตแดน เอาซะส่วนตัวเชียว ...ไม่แบ่งคนที่หลังเลย...ขอบ่นที) แต่พอมองไปด้านหลังเต้นท์ก็พบว่ามีทุ่งดอกหงอนหนาคเต็มไปเลย สวยประทับใจมาก พอกางเต้นท์เสร็จแล้วก็ไปเช่าผ้าห่มกับพี่ที่อุทยาน มารองเต้นท์แล้วก็ไปอาบน้ำ
การอาบน้ำที่นี่นั้นจะต้องเอาถึงพลาสติกไปตักน้ำที่ลำธารเดินเลยไปจากห้องน้ำ ตักน้ำไปอาบน้ำในห้องน้ำ จะอาบเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ความสามารถในการหิ้วน้ำละกัน ห้องอาบน้ำหญิงมีประมาณ 6 ห้อง นะ เวลาจะอาบก็ทำใจซักนิดนะเพราะว่าน้ำเย็นยะเยือก จากการเห็นประชาชนต่อคิวกันที่ห้องอาบน้ำที่ต่อคิวห้องน้ำและต่อคิวถัง กันแถวยาวมาก ก็เลยคิดถึงภูมิปัญญาไทยชุดว่ายน้ำสมัยโบราณที่เคยใช้กันมา “ผ้าถุง” นั่นเอง
คว้าผ้าถุงมาอาบข้างนอกตรงริมธารแต่ว่าเป็นข้างในนะ แบบว่า ยังสงสารสายตาประชาชนอยู่ แล้วก็ผลัดกัน อาบก่อนสองคน อีกสองคนก็ช่วยดูต้นทางและแจ้งให้คนที่จะมาทราบ งานนี้ทุกคนเลยได้เป็นนางสาวสยามในชุดอาบน้ำรุ่นแรก แบบว่า ชุด one peach (ผ้าถุง) พร้อมมงกุฎ(ขัน) การอาบน้ำนั้นแบบว่าได้บรรยากาศสุด สุด ในลำธารใช้ขันตักท่ามกลางแมกไม้ ไม่ต้องไปรีสอร์ทไหนให้แพง แพงเลย อืม..สวย แต่ เย้น เย็น ตามกระแสลำธาร
อาบน้ำเสร็จ ก็ต้องเพิ่มกำลังที่สูญเสียไปทั้งวัน ด้วยการทำกับข้าว ดีหน่อยนะที่เราใช้แก๊สกระป๋อง ทำอาหารได้รวดเร็วและสะดวกมากเลย แต่ว่ากลุ่มหกคนที่มาด้วยกัน ลืมซื้อถ่านจากตลาดชาติตระการก็เลยวานพี่ลูกหาบให้ช่วยหาฟืนมาให้ใช้
พี่แจ๋วเริ่มโชว์ฝีมือการเป็นแม่พลอยหุง เริ่มจากหุงข้าว(ใช้ข้าวสารประมาณ 3-4 ทัพพี ทำให้พี่นวลเริ่มโวยว่าต้องไม่พอกินแน่เลย กลัวไม่อิ่ม เพราะวันนี้แต่ละคนเสียพลังงานไปมาก พอหุงข้าวเสร็จเลยนึกได้ว่าเอาหม้อมาใบเดียว ก็ต้องเอาข้าวเทใส่ชามแล้วเอาฝาปิดด้วย (ที่บ้านเรียกว่า ต้องรอให้ข้าวระอุ หรือ ข้าวระอุ๊ ) ต่อด้วยต้มมาม่า เอาน้ำไว้ซด (มาม่า มีข้าวนิดหน่อยนะ), ยำปลากระป๋องรสจัด(ตามพริกที่เราหั่น ฮ่า...ฮ่า ชอบเผ็ดนี่ , แถมหอมแดง , ผักชี และต้นหอมหั่นได้อัปลักษณ์มาก เพราะไม่มีเขียง โทษไปนั่นไม่โทษฝีมือตัวเองเลย), ต่อด้วยผัดผักบุ้ง , ทอดไข่ใส่แหนม, ทอดหมูปิ้งเมื่อเช้า (ขอบอกว่า พี่ลูกหาบเนี่ยดีมากเลยระวังไข่ของกลุ่มเราเป็นอย่างดี ไข่แตกแค่ฟองเดียว แต่อยู่ที่ช่องใครช่องมัน ขอชมเชยพี่ลูกหาบ กับCP ที่ทำช่องใส่ไข่ได้แข็งแรงดี)
ทำกับข้าวเสร็จแล้ว อย่างรวดเร็ว มองไปยังอาหารมื้อเย็นนี้แหมกินกันอย่างกับราชากันทุกคน แถมข้าวที่พี่แจ๋วหุงก็พอดีมากเลยสวยกำลังดี กินข้าวเสร็จแล้ว ปรากฏว่า ข้าวที่พี่นวลกลัวจะไม่พอ เหลือหล่ะ แหม ก็กับข้าวเยอะซะขนาดนี้ แถมเหนื่อย ก็กินกันแบบไม่ค่อยลงเท่าไหร่
กินเสร็จก็เก็บของไปล้างจาน ที่นี่นั้นจะต้องไปล้างจานในที่ที่จัดไว้ให้ และต้องไปตักน้ำจากลำธารด้วยถังพลาสติกมาล้าง กินมาก ล้างมาก ตักน้ำมากละกัน ตามกำลังทุกคน พี่เจ้าหน้าที่ก็ใจดีมากเลยนะเห็นไฟฉายเราไม่ค่อยมีไฟก็เดินมาช่วยส่องไฟให้น่ารักจังเลย
คืนนี้ฝนตกมาปรอยๆ ตลอดคืน ว่าจะมานั่งคุยกันก็เลยเลยเปลี่ยนไปแยกย้ายเต้นเข้านอน คืนนี้ฟ้าปิดมองไม่เห็นดาวเลย มืดมากเลย ตอนแรกคิดว่าคงจะนอนไม่หลับแน่เลยเพราะว่าเข้านอนแต่หัวค่ำเชียว แต่ว่า...เมื่อหัวถึงหมอน นั้น ..........ก็................คร๊อก..............ฟี๊.......
ความคิดเห็น