FIC-YAOI 18+( TadashixHiro ) Shades of sakura memory
ถ้าหากความรักระหว่างพี่น้องเป็นสิ่งที่ผิด แล้วจะเป็นอะไรมั้ยถ้าพวกเราขอทำลายกฎต้องห้ามนั้นทิ้งซะ!!!
ผู้เข้าชมรวม
4,149
ผู้เข้าชมเดือนนี้
15
ผู้เข้าชมรวม
TADASHI x HIRO
ฟิคนี้เกิดจากการอวยคู่นี้โดยเฉพาะล้วนๆ หวังว่าทุกคนจะชอบในความรักของพี่น้องฮามาดะนะ
ไม่ว่าพี่ทาดาชิจะได้ไปแล้ว แต่เขาจะยังอยู่ในหัวใจของไรเตอร์นะตลอดไปล่ะ FC TADASHI-NIICHAN ( T w T )
ทุกคนอ่านแล้วก็อย่าลืมเม้นกันด้วยนะครัชๆ ขอเชิญสนุก(?)ปนเศร้ากับความรักต้องห้ามของพี่น้องเลยจ้าาาา
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ เมื่อคนเรามีความรัก ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของความโลภ ”
ความโลภที่สร้างความปรารถนาอันแรงกล้าทำให้เราโหยหาความรักไม่จบสิ้น
เมื่อความโลภครอบงำ มันทำให้เราลุ่มหลง เปรมปรีดิ์ และสุขสันต์
แต่หากเมื่อใดถึงเวลาที่เราต้องเสียมันไป.....
มันไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น ความทรมานที่ราวกับร่างกายแสนเปราะบางถูกฉีกขาดเป็น 2 ท่อน หรือหากเหมือนถูกทำลายจิตวิญญาณจนดับสิ้น
ถ้าต้องทรมานขนาดนี้ ผมขอไม่มีความรู้สึกรักใครอีกต่อไปยังจะดีซะกว่า....
ใช่มั้ย!!? พี่ทาดาชิ.... ทำไมผมต้องรักพี่ขนาดนี้ด้วยนะ?
ทำไมกันนะ......
บานสะพรั่ง....
ท่ามกลางกรุงซานฟรานโซเกียวอันแสนยิ่งใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยตึกสูงตระหง่านงามตาพร้อมทัศนียภาพของภูเขาฟูจิลูกใหญ่ยักษ์อันเป็นสัญลักษณ์ของแดนแห่งนี้ เมืองที่แสนครึกครื้นของผู้คนมากมาย รางรถไฟฟ้าที่ลาดยาวสุดลูกหูลูกตา ชีวิตนับหลายล้านในเมืองแห่งสีสัน ใต้ร่มซากุระสีชมพูนวลนุ่มพริ้วไสวไปตามสายลมราวกับเสียงเพลงขับกล่อมของทวยเทพ
มันก็คงดูสุดยอดอย่างที่ว่าถ้าไม่ติดตรงที่ผมต้องมานั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายอยู่ตรงป้ายรถเมล์ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโซเกียวทาวเวอร์แสนสูงสง่าใจกลางเมืองนี้น่ะนะ
ถามว่าทำไมถึงมานั่งถอนหายใจอยู่กลางเมืองนี่น่ะเหรอ?
นั้นน่ะก็เพราะ......
“ฮิโระ~~~~”
มานั่งรอพี่ชายตัวแสบยังไงล่ะ!!!!! เสียงทุ้มเข้มของใครบางคนกระชากผมออกมาจากความคิดโดยหมดสิ้น นัยน์ตาสีดำสนิทของผมพลันหันขวับไปจับจ้องเจ้าของร่างสูงก่อนที่จะรีบขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเก่า มือที่รู้งานรีบชี้ใส่คนตรงหน้าพร้อมเริ่มเหวี่ยงลั่น
“ไอ้พี่บ้า!!! นี่ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ ” เล่นนัดตั้งแต่ 10 โมงเช้า แต่นี่อะไร บอกขอแวะไปมหาลัยแปปเดียว ตอนนี้มันปาไปบ่าย2 แล้วนะ!!!
โว้ย!!! ผมจะบ้าตาย!!!!
“ พี่ขอโทษ คือ.... พี่ต้องไปช่วยงานเพื่อนนิดหน่อยน่ะ ” ร่างสูงยิ้มหวานยวนใจก่อนที่มือเรียวยาวจะเลื่อนไปดึงหมวกแก๊ปใบโปรดออกจากหัวตนมาสวมให้ผมแทน
“อย่าโกรธพี่นะ เดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงไทยากินะๆๆ ” พี่ชายขี้อ้อนรีบยื่นหน้าเขามาใกล้ราวกับกำลังออดอ้อนเหมือนเด็กน้อย
เล่นทำหน้าแบบนั้น…..
“ อ่ะๆๆๆ ก็ได้ ผมยอม!! ” ผมแสร้งหันหน้าไปทางอื่นแทนพลางรีบตัดบท พอเห็นแบบนั้นเจ้าของนัยน์ตาสีเดียวกับผมก็ถอยกลับไปยื่นท่าเดิมแล้วก็ยิ้มแป้นอีกครา
“เย้ๆ ฮิโระของพี่น่ารักที่สุดเลย ไปกันเถอะ ขืนกลับบ้านสายป้าเคสจะกักบริเวณเราอีกแน่”
อีกฝ่ายพูดจบผมก็ได้แค่พยักหน้าหงึกๆเป็นการตอบรับแล้วรีบเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของพี่อย่างรู้หน้าที่
ยานพาหนะสีแดงคู่ใจแล่นทะยานออกจากใจกลางเมืองไปอย่างรวดเร็ว สายลมอ่อนๆพัดฝ่าร่างของเราสองคนไปอย่างนุ่มนวล ผมเลื่อนมือไปกระชับหมวกแก๊ปที่สวมบนหัวตนให้แน่นขึ้นพลางเหม่อมองทิวทัศน์ข้างกาย ต้นซากุระที่ถูกปลูกรายล้อมบนฟุตบาทสูงตระหง่านและพลิบานออกดอกสีสวยเต็มต้น กลีบของมันถูกสายลมอุ่นๆพัดปลิวว่อนไปรอบเมืองจนต้องเผลอมองอย่างอดไม่ได้
ผมโอบเอวพี่ทาดาชิแน่นกว่าเก่า จากนั้นจึงค่อยๆซบหน้าลงกลางแผ่นหลังที่แสนอบอุ่นอย่างเช่นเคย อาจเพราะสายลมที่อุ่นสบาย หรือหากเพราะกลีบซากุระที่ร่วงลงมาราวกับอยู่ในความฝันทำให้ผมอยากติดอยู่ในห้วงเวลานี้ตลอดกาลเหลือเกิน
“พี่…..” ผมเอ่ยเสียงเบา แต่เสียงลมกลบก็เสียงของผมไปแทบหมดจนพี่ทาดาชิต้องไม่ได้ยินแน่ๆ แต่ก็เอาเถอะ.... ลองเล่นอะไรดูหน่อยดีกว่านะ
ผมตัดใจลองแกล้งเอ่ยถ้อยคำที่ผลุบคิดขึ้นมาออกไปราวกับกำลังละเมอ แต่มันก็คงเบามากๆซึ่งผมไม่ได้หวังอะไรตอนที่พูดออกไปหรอก
“ ผมรักพี่นะ ”
เสียงสายลมก้องๆทำให้เสียงของผมอู้อี้ไปหมด แต่หัวใจกลับเบาหวิวเหมือนเป็นเพียงขนนกอันแสนเบาบาง
ความรู้สึกแสนหอมหวานถูกพัดไปตามสายลมโดยที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้าของแผ่นหลังตรงหน้าจะแอบเอื้อมมือลงมากระชับแขนเล็กๆของผมแน่นขึ้น
“ พี่ก็…รักนาย ”
ฝ่ามือที่แสนอบอุ่นและถ้อยคำแสนอ่อนโยนดังก้องตราตรึงในหัวใจของผม
ไม่ดีเลย......
แบบนี้ไม่ดีเลย..... ทำไมพวกเราถึงต้องเกิดมาเป็นพี่น้องกันด้วยนะ
ทำไมพวกเราต้องรักกันมากขนาดนี้ด้วยนะ......
ผมได้แต่หลับตาลงและทบทวนถ้อยคำเหล่านั้นกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า........
“นี่พวกหลานแอบไปฝึกคาราเต้กันมาอีกแล้วใช่มั้ย!!! ป้าบอกแล้วไงว่าฝึกน่ะฝึกได้ แต่เล่นกลับมาซะดึกแบบนี้ได้ยังไง หา!!! ” เป็นไปตามคาด เมื่อพวกเรากลับมาถึงบ้านป้าเคสก็วีนแตก
เธอด่าพวกเราต่อไม่นานก็รีบชี้ไปที่นาฬิกาแขวนซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเชิงให้พวกเรารู้จักดูเวลาซะบ้าง ดวงตาสีเขียวแกมน้ำตาลเข้มกลมโตกลอกตาอย่างเซ็งๆเหมือนพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเวลา ป้าเคสเลื่อนมือขึ้นขยี้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของตนให้ฟูยุ่งกว่าเก่าแล้วจึงหันมาด่าพวกเราอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“พวกหลานนี่นะ ครั้งที่แล้วก็แอบไปแข่งบอทอะไรนั้น วันนี้ยังจะไปฝึกคาราเต้จนไม่ดูเวลาอีกเนี่ย ไปๆ!!! รีบไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเลยนะ ” หญิงสาววัยกลางคนโบกไม้โบกมือไล่ผมและพี่ทาดาชิให้เร่งเดินเข้าไปภายในร้าน Lucky cat café หรือเรียกง่ายๆ บ้านของพวกเราเองนั้นแหละครับ
ภายในร้านคาเฟ่นี้ถูกแต่งแต้มไปเฟอร์นิเจอร์ที่ผสมผสานระหว่างเครื่องเรือนแบบโมเดิร์นและของตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโบราณสีสบายตา เก้าอี้และโต๊ะเล็กๆสีส้มอ่อน ตุ๊กตาแมวกวัก และเคาน์เตอร์บาร์ที่เต็มไปด้วยขนมมากมายหลากหลายชนิด ที่สำคัญที่นี่เต็มไปด้วยบทกวีมากมาย ป้าแกชอบพวกบทกวีมากครับ เธอคอยเฝ้าสอนผมกับพี่ทาดาชิเกี่ยวกับกลอนพวกนี้ตลอด แม้ว่าผมจะไม่ค่อยสนใจก็เถอะ
อีกอย่างพวกคุณอาจไม่รู้ก็ได้ว่างานอดิเรกของผมกับพี่ทาดาชิคือการฝึกคาราเต้ด้วยกัน พวกเราชอบเล่นคาราเต้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ทุกอาทิตย์ที่พี่ว่าง เขาจะพาผมไปฝึกเสมอ แต่ทำไมไม่รู้ ทุกๆครั้งที่ไปฝึกด้วยกัน พี่ทาดาชิจะเก่งขึ้นตลอด มีแต่ผมนี่สิที่ตามพี่เขาไม่ทันซะที
พูดไปแล้วก็เหนื่อยใจ ผมรีบหันไปมองพี่ชายที่นอนแผ่กายบนเตียงของผมอย่างสบายใจเฉิบแบบเซ็งๆ เจ้าตัวเองก็เหลือบมามองผมแล้วยิ้มหวานละลายใจ
ไม่รู้สึกผิดเลยสินะ ไอ้พี่บ้า!!!
“ งั้นผมขออาบก่อนนะ ” ผมตัดบทสั้นๆแล้วหมุนตัวหนีไปทางประตู ในใจกะจะรีบไปแช่น้ำอุ่นให้หายเหนื่อย วันนี้คงเผลอซ้อมคาราเต้มากไปหน่อย ปวดตัวไปหมดแล้ว
ไวกว่าความคิด ไม่ทันที่ผมจะได้จับถึงลูกบิดประตูซะด้วยซ้ำ ท่อนแขนที่แข็งแกร่งของใครบางคนก็คว้าเอวเล็กๆของผมเอาไว้แน่น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือคุณพี่ชายตัวแสบนั้นแหละ
“พี่!! ผมจะอาบน้ำ ” ผมกลอกตาเซ็งๆใส่ประตูห้องพลางเอ่ยเสียงเบา แต่ร่างสูงก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระเลยซักนิด พี่ทาดาชิเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ใบหูของผมก่อนที่เขาจะกระซิบเสียงยวนใจ
“เจ็บมั้ย? ” มือหนาที่แสนซุกซนเลื่อนสัมผัสรอยช้ำจางๆบนหัวไหล่ขาวเนียนของผม ได้ยินแบบนั้นผมก็มองตามฝ่ามือนั้นไปแล้วเอ่ยกลับ แผลนี่คงได้มาเพราะตอนซ้อมเมื่อกี้สินะ
“ นิดหน่อย ”
“เหรอ ขอโทษนะ ”
“โห!!! พี่ คาราเต้นะ ก็มีแผลช้ำบ้างล่ะ ไม่ใช่ หมากรุกจะได้ไม่มีแผลน่ะ ”
“นั้นสิเนอะ ฮ่ะๆๆๆๆ ” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่ท่อนแขนของเขาก็ยังรั้งเอวของผมไว้แน่น แน่นจนผมกระอักกระอ่วนแบบไปไม่ถูกขึ้นมาทันที
ภายในห้องที่มีเพียงไฟสลัวจากโคมไฟบนหัวโต๊ะคอยให้แสงสว่างแก่เรา ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นนัยน์ตาสีดำสนิทแสนอ่อนโยนนั้นอย่างชัดเจน ลมหายใจอุ่นๆที่เหนือใบหูและเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นสับ ท่อนแขนอุ่นๆรวมถึงร่างกายที่แนบชิด
“ พี่…. ผมจะอาบน้ำ ” ผมกลั้นใจพูดออกไปทันที ไม่อย่างนั้น ผมคงได้ทนไม่ไหวแน่ๆ....
“ ……. ” คนตัวสูงเองก็ได้เงียบไม่ยอมตอบ
“ปล่อย......”
“……...”
“พี่!!! ปล่อยผมนะ!!! ” ผมพยายามสะบัดตัวออกจากพันธนาการนั้น แต่ร่างสูงก็ยังรั้งร่างกายผมเอาไว้ราวกับเป็นปีศาจจอมดื้อดึง
“ ไม่.... ” คำตอบสั้นๆ แต่ทำไมมันกลับมีอิทธิพลกับหัวใจผมเหลือเกินนะ....
“ …… ”
“……..” คราวนี้เราเงียบกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครพูดอะไร เพียงปล่อยให้ความรู้สึกเงียบงันกลืนกินพวกเราให้จมสู่ความมืดมิด
แต่ผมก็ต้องสะดุ้งจากภวังค์เมื่อริมฝีปากบางสวยคู่นั้นเลื่อนมาสัมผัสที่รอยแผลช้ำตรงหัวไหล่ของผมอย่างนุ่มนวล นุ่มนวลเหมือนกำลังดูดกลืนขนมรสหวานชวนติดใจ.....
ราวกับไม่พอ..... พี่ชายตัวแสบไล่สัมผัสซอกคอของผมอย่างสนุกสนานจนผมเบิกตากว้าง มือที่รู้งานรีบดันตัวเขาออก แต่ก็ไร้เรี้ยวแรงใดๆ
ยิ่งปฎิเสธ...ยิ่งเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสของอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่
“ พี่..... ป้าเคส.....อยู่ชั้นล่างนะ ” ผมแทบพูดไม่เป็นคำ ทั้งๆที่สติถูกตัดขาดจนสมองว่างเปล่าแต่กลับรู้สึกถึงสัมผัสของฝ่ามืออุ่นที่กำลังโอบรัดเอวของผมเอาไว้อย่างชัดเจน
“ ใครสน ” ชายหนุ่มพูดตัดเสียงสั้นพลางดึงร่างผมให้หันกลับมาสบตากับเจ้าของใบหน้าหล่อทะเล้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันเผยขึ้นบนใบหน้า ว่าแล้วก็เลื่อนมือขึ้นมาแตะริมฝีปากล่างของผมอย่างแผ่วเบาเหมือนกำลังหยอกเล่น
คนตัวสูงดึงผมเข้ามาแนบกายและสอดมือขึ้นรั้งท้ายทอยของผมอย่างรู้หน้าที่ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอะอะโวยวายใดๆ พี่ทาดาชิก็รีบชิงประกบริมฝีปากคู่สวยนั้นลงมากลบเสียงของผมเอาไว้ ทำให้ท่ามกลางความมือสนิทเหลือเพียงเสียงอู้อี้ของผมที่ดังเล็ดลอดออกมาเบาๆ
“อื้อ.... ” ผมพยายามส่งเสียงประท้วงในลำคอแต่ก็ไม่เป็นผล อีกฝ่ายยิ่งกระชับมือที่รั้งท้ายทอยผมให้เข้ามาใกล้มากขึ้น อีกมือก็เลื่อนลงไปสัมผัสแผ่นหลังของผม ลงไปที่เอว ขาอ่อน ลงไปเรื่อยๆจนผมลุกลี้ลุกลน ดิ้นเป็นลูกแมวไปเลย ความรู้สึกร้อนวาบแล่นไปทั้งร่าง ใบหน้าเริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อจางๆ เสียงลมหายใจที่ติดขัดขัดกับริมฝีปากที่สัมผัสกันอย่างนุ่มนวลเหมือนห้วงเวลาถูกหยุดค้างเอาไว้ในความฝันที่ไร้จุดหมาย
พี่เขาบ้าไปแล้ว!!!!
ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติที่เราแอบหยอกเล่นกันแบบนี้ แต่วันนี้มันแปลกกว่าวันอื่น....
แน่นอนว่า ความรู้สึกที่พวกเรามีต่อกันนั้นมันมากกว่าพี่น้องทั่วไป ตั้งแต่ผมเสียพ่อกับแม่ไป ก็มีแต่พี่ทาดาชิกับป้าเคสที่คอยอยู่เคียงข้างผม มันเลยกลายเป็นความรู้สึกผูกพัน
ผูกพันจนมากเกินไป.......
พวกเราไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ป้าเคสรู้ ถ้าเธอรู้ เธอคงแทบบ้า... คงรับไม่ได้ที่หลานชายทั้งสองคนเป็นพวกวิปริตกินกันเองแบบนี้สินะ........
สัมผัสที่ริมฝีปากถี่รั่วขึ้นเรื่อยๆ รสจูบแสนหอมหวานชวนฝันทำเอาร่างกายผมอ่อนยวบยาบ คนตัวสูงสอดลิ้นอุ่นๆเข้ามาในโพรงปากของผมก่อนที่จะไล่ละเลียไปทั่ว สติของผมเลือนรางจนแทบไม่เห็นภาพตรงหน้า แต่สิ่งที่ยังคงเห็นชัดเจนคือใบหน้าหล่อเหลาที่แสนคุ้นเคยในระยะประชิด จูบของพวกเรายังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดนิ่ง ผมหลับตาลงอย่างยอมแพ้พลางสอดมือผ่านเส้นผมนุ่มสีดำสนิทแล้วเปิดรับสัมผัสนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม ปล่อยให้ความรู้สึกของพวกเราผสานกันไปเรื่อยๆจนแทบลืมหายใจ
แต่ยังไง ความจริงก็ยังอยู่ตรงหน้า........
“ เฮ้!!! ฮิโระ ทาดาชิ ลงมากินข้าวได้แล้วจ๊ะ ” เสียงของป้าเคสดังแทรกขึ้นมาจากชั้นล่างฉุดสติของผมให้กลับมาจากห้องแห่งความฝัน แต่นั้นก็ไม่ทำให้พวกเราหยุดจูบกันในทันที พี่ทาดาชิเลื่อนริมฝีปากออกห่างจากผมอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่อยากหยุดลิ้มลองลูกกวาดรสหวานก็ว่าได้
พวกเราสบตากันเงียบๆอย่างรู้ความหมาย ก่อนที่พี่ทาดาชิจะเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งให้ผมติดอยู่ในความเงียบงันเพียงลำพัง ปล่อยให้ผมได้แต่สับสนกับความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาในหัวจนแทบระเบิด
แต่ผมก็รู้ดีว่าไม่ว่ายังไง สุดท้าย “พี่น้อง” ไม่มีทางรักกันได้….
“สวัสดี ผมชื่อเบย์แม็กซ์ ที่ปรึกษาส่วนตัวด้านสุขภาพของคุณ”
และแล้วในวันหนึ่ง พี่ทาดาชิก็ได้พาผมมารู้จักกับสิ่งมีชีวิตบางอย่าง ไม่สิ ต้องเรียกมันว่าหุ่นยนต์มากกว่า แม้ว่ารูปร่างและความนุ่มนิ่มนั้นมันจะไม่เหมือนหุ่นยนต์เลยซักนิดล่ะนะ
“ พี่อยากให้นายเห็นเบย์แม็กซ์เป็นคนแรก เขาต้องช่วยผู้คนได้อีกมากมาย ” พี่ทาดาชิหันมายิ้มหวานให้ผม หลังจากเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวเหมือนมาร์ชเมลโล่กลับลงไปในกล่องสีแดงที่ๆมันออกมาได้สักครู่แล้ว
“ นี่ที่พี่มาแล็บนี้บ่อยๆเพราะแบบนี้เองเหรอ? ” ผมแสร้งถามพร้อมรอยยิ้ม ช่วงก่อนเห็นพี่แอบมาที่ห้องแล็บอิโตอิชิโอกะบ่อยๆ เพราะเวลานัดกับผมทีไร ก็แทบจะมาสายทุกครั้งจนเอือม
ที่นี่คือห้องแล็บส่วนตัวของสถาบันวิจัยเทคโนโลยีซานฟรานโซเกียวซึ่งพี่ชายของผมเรียนอยู่ เมื่อกี้พี่ทาดาชิพาผมไปรู้จักกับเพื่อนๆของเขามา ทุกคนดูเป็นคนดีกันมากๆ ที่สำคัญที่นี่น่าสนใจสุดๆไปเลย สำหรับเด็กที่ชอบเรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์อย่างผมได้ถูกความน่าตื่นเต้นของห้องแล็บแห่งนี้ดึงดูดเข้าไปแล้ว เมื่อกี้ผมพึ่งได้เจอกับศาสตราจารย์โรเบิร์ต คัลลาแฮน เขาชวนผมเข้าเรียนที่นี่ด้วย ในใจผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก นับว่าเป็นอารมณ์ตื่นเต้นแบบสุดขีดเลยก็ว่าได้
นานแล้วที่ผมไม่ได้เข้าเรียนร่วมกับคนอื่นแบบนี้ อาจเพราะความฉลาดของผมที่มากกว่าเด็กทั่วไป จนเข้ากับใครไม่ค่อยได้ ถึงต้องอยู่ที่บ้านและเรียนรู้เรื่องต่างๆด้วยตัวเองตลอดมาแบบนี้
“ ชอบมั้ย? ” พี่ชายลอบมองรอยยิ้มที่หลุดลอดขึ้นมาบนใบหน้าของผมแล้วเอ่ยถาม
“ ครับ ผมอยากเรียนที่นี่ ” ผมตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ ถ้าเป็นนายต้องทำได้แน่ พี่เชื่อมั่นในตัวนายนะ ”
“ครับ ”
“อยากไปไหนต่อมั้ย? หรือจะรีบกลับบ้านเลยล่ะ? ” พี่ทาดาชิถามเสียงเรียบ
“ ก็... อยากเดินดูที่นี่รอบๆอีกครั้งน่ะ ผมยังคิดไม่ออกว่าจะสร้างอะไรในงานประกวดการวิจัยเลยล่ะ ” ผมทำท่าครุ่นคิดประกอบ เช่นเดียวกับคนตัวสูงที่ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง พี่ทาดาชิเดินไปสำรวจกระเป๋าสีแดงซึ่งเป็นกล่องที่เจ้าเบย์แม็กซ์เข้าไป ขณะที่ผมกำลังเดินไปรอบๆห้องเชิงสำรวจต่อ
หลังจากผมเดินสำรวจห้องแล็บอื่นอยู่นาน ผมก็รีบเดินกลับไปที่ห้องแล็บของพี่ทาดาชิทันที เมื่อถึงห้องกว้างตรงหน้า ผมแอบเห็นพี่ทาดาชิก้มเล่นโทรศัพท์อยู่ชั่วครูก่อนที่เขาจะรีบเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมรอยยิ้ม
“ ทำไมเหรอพี่? ” ผมรีบเอ่ยถาม
“ พี่ขอป้าเคสว่าวันนี้เราจะค้างที่นี่ ” สิ่งที่พี่ชายตอบกลับมาเล่นทำเอาผมตกใจจนยืนค้าง
อะไรนะ? ค้างที่นี่ ที่ห้องแล็บเนี่ยนะ.... เจ๋ง!!!
“ ยอดไปเลยพี่ ผมเริ่มจะคิดอะไรดีๆออกบ้างแล้ว จริงๆผมก็ว่าจะขอพี่เรื่องนี้ซะหน่อย” ผมฉีกยิ้มพร้อมที่พี่ทาดาชิเดินเข้ามาลูบเส้นผมฟูๆของผมอย่างรู้ใจ
“ พี่รู้น่า!! ว่าน้องพี่ต้องการอะไร ทุกอย่างที่พี่ทำให้ได้ พี่ทำมันให้นายเสมอนะ เด็กดี ”
“ ฮะ ...... ”
“ เอาล่ะ!! แล้วตอนนี้พวกนั้นกลับบ้านกันไปหมดรึยังล่ะเนี่ย ” พี่พูดพลางมองผ่านหัวผมไปทางประตูเหมือนกำลังมองหาอะไรบาองอย่างอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็เลยรีบพูดต่อ
“ วาซาบิกับโกโก้กลับแล้วฮะ แต่เหมือนเฟรดกับฮันนี่เลม่อนยังเคลียร์งานอะไรซักอย่างอยู่ ”
“อ่อ.... งี้นี่เอง ” นัยน์ตาสีดำฉายแววเสียดาย แถมยังแอบเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเท่าไหร
“อะไร? พี่ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงเนี่ย ” เมื่อเห็นพี่ทาดาชิทำแก้มป่องผมก็แอบสงสัยไม่ได้ พอเป็นแบบนั้นเจ้าตัวก็พลันยิ้มทะเล้นขึ้นมาเลย
“ก็.....อยากให้ที่นี่มีแต่เราสองคนนี่น่า”
“พี่!!! ” หน้าผมร้อนวาบ ทำไมพี่ต้องพูดอะไรชวนให้ผมหวั่นไหวตลอดด้วยเนี่ย =////=
“ ไม่เปนไรๆ รอสองคนนั้นกลับแล้วเรา..... ” คนเจ้าเล่ห์พุ่งมาคว้าตัวผมอย่างรวดเร็ว เสียงแหบเซ็กซี่เหนือหัวจะทำเอาหัวใจผมเต้นจนแทบทะลักออกมาแล้วเนี่ย!!
“ พี่!! อย่าแกล้งผมสิ =////= ”
“ แต่ตอนนี้เราออกไปหาอะไรกินกันเถอะ!! นายคงหิวแล้ว พี่ว่าเราแวะซื้อข้าวปั้นที่น้องชอบตรงร้านสะดวกซื้อนั้นกันดีกว่า ” คนขี้แกล้งผละออกห่างจากผมพร้อมด้วยเสียงร่าเริง
“ แล้วแต่พี่เลย นิสัยไม่ดี แกล้งน้องตัวเอง ” ผมแสร้งงอน
“ อะไรเล่า...” พี่ชายเดินมาที่ผมก่อนที่จะกระซิบเสียงเบาเหมือนอยากให้เราได้ยินกันแค่สองคน
“แต่ที่พูดเมื่อกี้.......พี่เอาจริงนะ”
“พี่!!! =////= ”
“ฮ่ะๆๆๆ แต่ตอนนี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่าครับ เด็กดีของพี่ ”
เพราะแบบนี้ไง!! จะไม่ให้ผมรักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจก็บ้าแล้วล่ะครับ.....
“ ว่าแต่ที่ว่านอนเนี่ย เราจะนอนตรงไหนกันล่ะพี่? อย่าบอกนะว่าพื้นเนี่ย!! ” ผมแลบลิ้นเชิงไม่มีทางแล้วทำท่าเหยียบพื้นประกอบเป็นการบ่งบอกว่าพื้นนี้เย็นเจี๊ยบจนนอนไม่ได้ หลังจากเรากินข้าวและนั่งปรึกษากันเรื่องงานวิจัยของผมได้คราวๆ ผมก็พึ่งนึกเรื่องที่นอนขึ้นได้
พี่บอกป้าเคสว่าเราจะค้างที่นี่ แต่ที่นี่เป็นแค่ห้องแล็บทรงเหลี่ยมที่ไม่กว้างมาก ตรงเข้ามาจะเจอกระจกรูปวงกลมบานใหญ่เป็นมุมมองเดียวจากภายนอกที่มองเข้ามาเห็นที่นี่ ในห้องนี้มีเพียงโต๊ะทำงานเล็กๆที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์และเอกสารวางระเกะระกะอยู่เท่านั้น ถ้าไม่รวมเจ้าเบย์แม็กซ์ในกล่องสีแดงนั้น ที่นี่ก็ดูว่างมากๆเลยล่ะ
“ไม่ต้องห่วง พี่มีที่นอนสำรองไว้ใช้ตอนโต้รุ่งเวลาทำงานวิจัยอยู่ ” ว่าแล้วคนตัวสูงก็เดินไปเอาบางอย่างออกมาจากตู้ข้างโต๊ะ
และเจ้าสิ่งนั้นคือเบาะนุ่มๆที่หนาพอสมควร มันถูกพับรวมเอาไว้กับผ้าห่มสีนวลนุ่มและหมอนใบใหญ่อีกใบนึง พี่ทาดาชิบรรจงปูผ้าพวกนั้น เพียงชั่วพริบตามันก็กลายเป็น เตียงแบบสไตล์เบาะดูน่านอนทีเดียว ไม่แปลกที่พี่นอนค้างที่นี่ตั้งบ่อยโดยไม่บ่นเลยซักแอะ
“ ใช้ได้!!” ผมเอ่ยอย่างชื่นชมพลางยื่นมือเข้าไปทดลองความนุ่มของหมอนใบหนา สัมผัสจากฝ้ายคอตตอนทำให้รู้สึกนวลมือมากขึ้น ยิ่งบวกกับผ้าปูที่ดูฟูนุ่มน่านอนนั้นอีก พูดแล้วง่วงขึ้นมาทันทีเลยนะเนี่ย
“ ฮิโระ มานี่ๆ ” ไม่ว่าเปล่า คนตัวสูงดึงผมให้มาคลุกอยู่บนเตียงนุ่มกับเขา น่าแปลกที่เตียงนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่สามารถรับร่างของเราสองคนได้สบายโดยไม่เบียดกัน
อุ่น...............
ความอุ่นปริศนา ทำให้ผมแอบลอบคิดว่านี่เป็นเพราะผ้าห่มที่หนานุ่ม หรือเพราะแผ่นอกแน่นๆของคนตรงหน้ากันแน่ที่ทำให้ร่างกายของผมรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันที
ไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น พี่ทาดาชิลุกขึ้นไปดึงม่านจากทางที่เชื่อมระหว่างห้องแล็บใหญ่ลง ก่อนที่จะกดปิดสวิตซ์ไฟตรงกำแพงกว้าง
ภายในห้องตกอยู่ในความมืดทันตา แสงที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างบานกลมทำให้ผมเห็นดวงจันทร์สีนวลได้ชัดเจน ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยประกายดาว และต้นซากุระต้นใหญ่กำลังถูกสายลมพัดพาให้กลีบของมันปลิวไสวไปตามท้องฟ้าสีครามอมม่วงเข้ม
“ ชอบมั้ย? ” พี่ทาดาชิถามเสียงยวนใจ ตั้งแต่เมื่อไหรไม่รู้ที่พี่เขากลับเข้ามาอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับผมอีกรอบ อาจเพราะผมมัวแต่เหม่อมองบรรยากาศตรงหน้าจนลืมไปเลยก็ได้ว่าตอนนี้ ที่นี่ มีเพียงเราแค่สองคน
แค่เราสองคน.....
“ ฮิโระ....” เสียงทุ้มเข้มดึงสติผมหลุดลอยไปตามความเงียบสงัด พวกเรานอนจ้องหน้ากันเงียบๆโดยที่พี่ทาดาชินอนเท้าคางเอียงคอมาทางผม
“ ที่นี่มีแค่เราสองคนแล้วสินะ? ” ผมแกล้งถาม
“ ใช่~~~~ ” พอเห็นผมถาม คนขี้แกล้งก็รีบหัวเราะในลำคอเบาๆ “ แล้วทำไมเหรอ ถามงี้ เราอยากให้พี่ทำอะไรล่ะครับ คนดี ”
“ หา!!! ไม่รู้!! จะนอนแล้ว! ” ผมรีบเอาผ้าห่มคลุมหน้าเพื่อไม่ให้พี่รู้ว่าผมกำลังอายโครตๆ ไม่น่าเผลอถามอะไรแปลกๆออกไปเลย!
“จะดีเหรอ ที่นี่มีแต่เราสองคนนะ คิดว่าพี่จะทนไหวเหรอครับ เด็กดีของพี่ ” เสียงแหบๆกระซิบข้างใบหูผมอย่างแผ่วเบา มือที่รู้งานพลางซุกไซ้ผ่านผ้าห่มหนามาโอบเอวผมเอาไว้แน่น รู้ตัวอีกทีร่างกายของผมก็โดนร่างสูงพันธนาการไว้ซะแล้ว
“ แค่ตอนนี้.....”
“ ??? ”
“ ถ้าแค่ตอนนี้..... จะยอมก็ได้ ” นี่ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย!!!!!
“ พูดแบบนี้กำลังยั่วพี่เหรอเนี่ย ฮิโระของพี่นี่น่ารักจะเลยนะ~~ ”
“ อะ... อะไรเล่า ก็แค่.... ”
“ก็แค่???”
“ก็แค่.... แค่คิดว่านี่อาจเป็นเวลาเดียวที่ผมสามารถแสดงความรู้สึกที่มีต่อพี่ได้โดยไม่ต้องปิดบังใคร ไม่ต้องทน..... ” ผมกลั้นใจพูดออกไปรวดเดียว การรู้สึกรักใครมากขนาดนี้แต่กลับแสดงมันออกไปไม่ได้ มันเจ็บปวดมากมายขนาดนี้เลยเหรอ?
“ พี่รู้ ” พี่ทาดาชิจูบที่หางตาผมเบาๆอย่างปลอบโยน ร่างสูงดึงหมวกแก็ปคู่ใจออกไปวางไว้เหนือหัวเตียงก่อนที่จะก้มลงมามองผมด้วยแววตาที่หลากหลายความรู้สึก
“ มันผิดมั้ยครับ ที่ผมรักพี่มากขนาดนี้ ” ผมยื่นมือไปดึงฝ่ามืออุ่นๆของอีกฝ่ายให้ลงมาแนบบนแก้มเนียนใสของผม
“ ไม่รู้สินะ ” แววตาอ่อนโยนมองผมอยู่เนิ่นนาน “ พี่บอกไม่ได้หรอกว่าอะไรมันผิด อะไรมันถูก แต่สิ่งเดียวที่พี่รู้สึกได้ตอนนี้ คือ ‘ พี่รักนาย’ ”
“ ผมก็เหมือนกัน ”
ไม่ว่าเปล่า คนตัวสูงก้มลงปิดปากผมด้วยริมฝีปากนุ่มนิ่ม สัมผัสเบาบางราวกับสายลมอ่อนนุ่มพัดพาร่างของเราทั้งสองคนให้หลุดลอยไปในมิติที่ไร้จุดจบ ผมเลื่อนมือขึ้นโอบรอบคอของพี่ทาดาชิให้ลงมาใกล้ยิ่งขึ้น ร่างสูงเปลี่ยนท่ามาคร่อมร่างกายของผมเอาไว้แทนโดยที่ไม่ยอมถอนริมฝีปากออกห่างกันแม้แต่เสี้ยววินาที
สมองไม่ทำตามหัวใจ...........
สัมผัสยังคงดำเนินอยู่เนิ่นนาน ผมไม่รู้ว่าเราจูบกันไปนานแค่ไหน สติของผมถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกเคลิบเคลิ้มที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น
ไม่นานนัก พี่ทาดาชิก็ถอดริมฝีปากออกห่างจากผม เขากวาดมองใบหน้าของผมอย่างไม่ละสายตาพร้อมยื่นมือเข้าไล่สัมผัสแก้มเนียนนุ่มของผมอีกครั้ง
“รู้ใช่มั้ยว่าพี่จะทำอะไรเราต่อน่ะ”
ผมไม่พูดอะไร แต่รีบพยักหน้าออกไปด้วยความเขินอาย
“กลัวมั้ย? ” เจ้าของเลือนผมสีดำถามขึ้นอีกครั้ง และผมก็ได้เพียงส่ายหน้าไปมา เมื่อเห็นแบบนั้น พี่ชายตัวแสบก็ยิ้มหวานจนเป็นผลให้ผมแทบละลายตายคาอ้อมกอดนี่ซะให้ได้
ไม่รอช้า มือสองข้างรีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออกอย่างว่องไว ต่อด้วยเสื้อยืดสีขาวสะอาดเผยให้เห็นแผ่นอกเนียนที่มีกล้ามเนื้อดูน่าสัมผัสอย่างบอกไม่ถูก ผมเผลอมองร่างกายเปลือยเปล่านั้นอยู่นานโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ผมก็อาบน้ำกับพี่ชายตั้งบ่อย แต่ทำไมถึงได้ใจเต้นแรงขนาดนี้กันนะ
คนขี้แกล้งเห็นผมหน้าแดงขึ้นมาก็หัวเราะเบาๆ เจ้าตัวก้มลงจูบซอกคอของผมอย่างหยอกเล่นแล้วกระซิบเสียงหวาน
“ จะให้พี่ถอดให้ หรือจะถอดเองดีๆครับ ”
“ถะ ถอดเองได้น่า!!!” ผมดันแผ่นอกเปลือยเปล่าของร่างสูงออกด้วยความเขินสุดขีด ทำไมพี่ชอบแกล้งผมจังเนี่ย!!!!
ว่าแล้วผมก็ถอดเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินแกมเทาของตัวเองออกช้าๆ จากนั้นก็ตามด้วยเสื้อยืดสีแดงลายฮีโร่ตัวโปรดออกมากล้าๆกลัวๆ ตอนนี้ผมก็เหลือแค่กางเกงกับพี่แล้วเนี่ย
( วาร์ปๆ ==> http://luciidear.exteen.com/20141227/fic-r-18-tadashixhiro-shades-of-sakura-memory)
ความสุขนี้ยังดำเนินต่อไปโดยที่ผมไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างกำลังจะพรากเราสองคนไปจากกัน......
ท่ามกลางสุสานสไตล์ตะวันออกผสมยุโรปที่แสนเงียบสงัดไร้ผู้มาเยือนอยู่เป็นเวลานาน มีเพียงเสียงหายใจเบาบางของผมเท่านั้นที่ทำลายความเงียบนั้นลง เท้าที่เหยียบเศษใบไม้แห้งสีเขียวเข้มส่งเสียงกรอบแกรบจนน่ารำคาญหู แต่ถึงยังงั้นนัยน์ตาสีดำสนิทของผมก็ยังคงจับจ้องหลุมศพสีเทาที่สลักจากหินอ่อนตรงหน้าอย่างไม่วางตา
มือที่รู้งานคว้าช่อดอกไฮเดรนเยียสีม่วงอมฟ้าดูสบายตาออกมาวางบนแท่นหลุมศพพลางกรีดยิ้มบางๆก่อนที่จะจุดธูปดอกเล็กแล้วยกมือขึ้นไหว้ตามลำดับ
“ พี่ครับ ตอนนี้ผมจะเรียนจบมหาลัยแล้วนะครับ ” อาจเพราะความเงียบสงัดไร้สิ่งมีชีวิตใดๆทำให้ผมได้ยินเสียงของตัวเองชัดเจน หรืออาจเพราะถ้อยคำเหล่านั้นล้วนกลั่นออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ ฤทธิ์ของมันจึงเสียดแทงแทบทะลุออกมาจากลำคอในทุกถ้อยคำ
“ ทุกคนสบายดี ” หลังจากเงียบไปนานผมจึงเริ่มเอ่ยต่อ “ ป้าเคสยังแข็งแรงเหมือนเดิม โมจิเองก็ยังร่าเริงอยู่นะ เจ้านั้นอ้วนสุดๆไปเลยล่ะ เป็นแค่แมวแท้ๆ น่าหมั่นไส้ชะมัด”
เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนดังตัดอารมณ์ที่แท้จริงเอาไว้ ผมกวาดมองแท่นหลุมศพนั้นอย่างอ่อนโยนพร้อมมือที่วางแนบแผ่นหินเย็นๆพลางลูบรูปภาพของพี่ชายอันเป็นที่รัก แล้วจึงเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้
“ ไม่ต้องห่วงนะครับพี่ ผมไม่มีวันทิ้งความฝันของตัวเอง เหมือนที่พี่ไม่เคยท้อแท้ที่จะปกป้องความฝันของผมตลอดมา ขอบคุณนะครับ ”
ขอบคุณจริงๆ......
ผมตัดใจหมุนตัวออกห่างจากหลุมศพพร้อมรอยยิ้มจากนั้นจึงหันไปสบตากับเจ้ามาร์ชเมลโล่น่ากอดตัวใหญ่ในชุดเกราะสีแดงชวนอลังสายตาแล้ววิ่งออกไปพร้อมความมุ่งมั่นราวกับได้เติมเต็มพลังชีวิตมาเลยก็ว่าได้
“ ไปกันเถอะ เบย์แม็กซ์ ”
ร่างของผมกระโดดขึ้นเกาะเจ้าหุ่นยนต์นุ่มนิ่มก่อนที่เบย์แม็กซ์จะพุ่งทะยานขึ้นฟ้าจนหายลับจากไป ทิ้งไว้เพียงสุสานที่แสนเงียบสงัด และความทรงจำที่ยังคงตราตรึงในเบื้องลึกของหัวใจ
ดอกไฮเดรนเยียช่อนั้นมันมีความหมายที่แอบซ่อนอยู่ สีหวานชวนฝันและกลีบสวยที่แสนยั่วยวนผู้พบเห็นนั้นราวกับเป็นดอกไม้แห่งความปรารถนา
ความหมายจริงๆที่ต้องการสื่อออกไป ไม่มีอะไรนอกไปจากถอยคำสั้นๆที่ผมเฝ้าทบทวนให้ขึ้นใจ
“ ขอบคุณที่เข้าใจในตัวผม และภูมิใจในตัวผมเสมอนะครับ พี่ทาดาชิ”
- ( END ) -
ผลงานอื่นๆ ของ Luciidear ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Luciidear
ความคิดเห็น