ปริศนาตำนานคฤหาสน์สีมืด
จดหมายสีดำที่เธอได้รับ นำเธอไปสู่เรื่องราวที่เธอไม่มีวันได้รู้!
ผู้เข้าชมรวม
601
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คฤหาสน์ที่มีข่าวลือลึกลับในประเทศเรติเตก้าเป็นเรื่องที่หาได้ง่ายมาก แต่มีเพียงคฤหาสน์แห่งนี้เท่านั้นที่ใครๆ ต่างกลัวเกรง โดยเฉพาะเด็กสาวทุกคน... คฤหาสน์แห่งถูกเรียกขานกันว่าคฤหาสน์สีมืด เหตุผลง่ายๆ และตรงตัวเลยก็คือ คฤหาสน์แห่งนี้ไม่เคยถูกแสงแดด ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกมาก เพราะอาณาเขตของคฤหาสน์นี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดอยู่ใกล้กว่าระยะทางหนึ่งร้อยเมตรโดยประมาณ แม้แต่ป่าสีมืดซึ่งอยู่ด้านหลังคฤหาสน์อาจจะเป็นที่มาของร่มเงาใหญ่ยักษ์นั่น แต่ข้อสงสัยเรื่องนี้ต้องตกไป เพราะไม่มีต้นไม้ต้นไหนในป่าสีมืดที่สูงกว่าคฤหาสน์เลยซักต้น คฤหาสน์แห่งนี้เหมือนมีเงามืดทาบทับตลอดเวลา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อคฤหาสน์สีมืด
แต่ความพิศวงของคฤหาสน์สีมืดยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ทุกๆ ปีในวันที่ดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด จะมีจดหมายสีดำส่งถึงเด็กสาวที่อายุครบสิบหกปี เด็กสาวทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่อ่านหรือไม่อ่าน ผู้ที่เลือกอ่านจดหมายสีดำนั้น จะต้องเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์สีมืดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เรื่องเหล่านี้อาจเป็นแค่ตำนานไร้สาระสำหรับใครหลายๆ คน แต่ไม่ใช่เธอ...หญิงวัยกลางคนที่มีตำนานเล่าขานว่าเธออยู่ในคฤหาสน์สีมืดแห่งนั้นเพื่อรอคอยวันที่ลูกสาวของเธอจะกลับสู่อ้อมอกของเธอ ว่ากันว่าเธอเฝ้ารอคนที่เป็นลูกสาวของเธอมานานหลายร้อยปี ส่วนหญิงสาววัยสิบหกทุกคนที่เข้ามายังคฤหาสน์แห่งนี้จะต้องถูกขังไว้ในคุกมืดแห่งนี้เพื่อรอจนกว่าลูกสาวของเธอจะกลับมา ...ที่สำคัญที่สุด ไม่มีใครรู้เบื้องหลังของจดหมายสีดำ จดหมายจะมาวางอยู่เบื้องหน้าหญิงสาววัยสิบหกปีทุกคน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่แห่งไหน กำลังทำอะไรในเมืองซาเรนที่ลึกลับ
หญิงสาวเจ้าของผมสีแดงเพลิงที่ล้อมกรอบใบหน้าขาวนวลรูปไข่ซึ่งกำลังเล่นเปียโนกับชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินต้องหยุดชะงักลง เมื่อสายตาอันเฉียบคมของเธอเหลือบไปพบอะไรบางอย่าง ซึ่งอาการผิดปรกติของเกรช เจ้าของเรือนผมสีแดงนั้นก็ไม่อาจหลุดรอดจากสายตาอันเฉียบคมเช่นเดียวกันของอลิส ชายหนุ่มหน้าหวานที่มีผมสีเงินอย่างเขาได้
“มีอะไรหรอเกรช” เขาถามด้วยเสียงที่เบาหวิว เพราะเขารู้ดีว่าเกรชไม่ชอบเสียงดัง แต่เมื่อเธอไม่ยอมละสายตาจากอะไรบางอย่าง ทำให้เขาต้องพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนด้วยคลื่นเสียงที่ดังขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้เกรชหลุดออกจากภวังค์ได้ เขาจึงเอื้อมมือไปสะกิดหญิงสาว
“อุ๊ย! อลิสฉันตกใจหมด” เกรชสะดุ้งแล้วหันไปค้อนใส่อลิส เมื่อเขาเห็นท่าทางที่เธอแสดงเหมือนว่าเขาเป็นคนผิด ก็ทำให้อลิสอดส่ายหัวด้วยความอ่อนใจไม่ได้
“ฉันเรียกเธอหลายรอบแล้ว ทั้งเรียกทั้งตะโกน ก็เหลือแค่วิธีนี้เท่านั้นแหละ ว่าแต่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” อลิสถามเธอด้วยความเป็นห่วง ซึ่งสีหน้าแบบนั้นของเขาเรียกรอยยิ้มขันๆ จากเธอได้ดีทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้อลิสหน้างอทันที
“ปีนี้ฉันก็อายุครบสิบหกปีแล้วนะ แถมวันนี้ยังเป็นวันที่พระจันทร์เป็นสีเลือดอีก” รอยยิ้มขันๆ หายไปจากใบหน้าของเธอแทบจะทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ขึ้น เช่นเดียวกับอลิส ใบหน้างอของเขาแทบจะซีดขึ้นมาทันทีที่เกรชเอ่ยจบ
“ดูนั่นสิ” อลิสมองตามสายตาของเกรช ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วเริ่มซีดหนักขึ้นไปอีก เพราะตามสายตาที่เขาเห็น เขาเห็นจดหมายสีดำ จดหมายที่เด็กสาวทุกคนต่างเกรงกลัว
“อย่าบอกนะว่านั่นคือจดหมายสีดำที่เขาลือกันน่ะ” ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้ว แต่เขาก็อยากได้ยินอีกครั้ง ได้ยินว่ามันไม่ใช่จดหมายนั่น แต่โชคชะตาไม่เข้าเขา เพราะเกรชพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เขาอ่านไม่ออก
“แล้วเธอจะทำอย่างไรกับจดหมายสีดำ” เขาถามในคำถามที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว ใช่แล้วล่ะ เขามั่นใจมากว่าเกรชต้องอ่านจดหมายฉบับนั้นแน่ๆ วันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่เขารู้สึกเสียใจที่เธอเกิดมาเป็นคนดีเกินไปขนาดนี้
“ฉันก็ควรจะต้องอ่านมัน ฉันไม่รู้หรอกว่าคนที่อ่านจดหมายสีดำจะเป็นยังไง ฉันรู้แต่ว่าเขาส่งมาให้ฉัน ฉันก็ควรจะรักษาน้ำใจนั้น” อลิสถอนหายใจเฮือกใหญ่ คำตอบที่เขาได้ยินไม่ต่างจากที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ เขาหวังว่าเธอจะกลับมาอย่างปลอดภัย เขาหวังแค่นั้นจริงๆ
“ฉันจะอ่านให้ฟังนะ” เขาพยักหน้า เขารู้ว่าต่อให้เขาไม่อยากให้เธออ่านให้ฟัง เธอก็จะอ่านอยู่ดี
“ถึง หญิงสาวที่มีอายุสิบหกปีทุกคน
ฉันในนามของเจ้าของคฤหาสน์ที่พวกเธอเรียกกันว่าคฤหาสน์สีมืด ฉันขอเชิญให้เธอมาเยี่ยมชมคฤหาสน์ของฉัน ถ้าเธอจะปฏิเสธคำเชิญชวนของฉันโปรดวางจดหมายฉบับนี้ลงซะ ก่อนไม่มีโอกาสได้วาง
เอาล่ะ ในเมื่อเธอตอบรับคำเชิญแล้ว ขอให้เธอโชคดีในหนึ่งสัปดาห์ที่เธอจะอยู่ที่นั่น” เมื่อเกรชอ่านจบ กระดาษสีดำก็หายไป แล้วเขาจะไม่กระวนกระวายเลย ถ้าเกรชไม่หายไปด้วย! เขาเดินวนไปวนมาพลางคิดโทษตัวเองที่ไม่ยอมห้ามเกรช เขาเดินวนไปมาซักพักหนึ่ง กระดาษสีดำก็มาตกอยู่บนมือของเขา เขารีบหยิบมาอ่านแทบจะทันทีที่เห็นกระดาษแผ่นนี้
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเด็กเอย โปรดรอเวลา แล้วอย่าบอกให้ผู้ใดทราบเรื่องนี้เป็นอันขาด เพียงเวลาเท่านั้นเด็กเอย เมื่อเข้าสู่วันที่แปดหลังจากนี้ ทุกอย่างจะกลับสู่วิถีของมัน โปรดรอเพียงเวลาเท่านั้นเด็กเอย...”
หญิงสาวลืมตาขึ้น เธอจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากอ่านจดหมายสีดำจบ เธอจำได้เพียงแสงสีขาวสว่างวาบตรงหน้าเธอ แล้วเธอก็ตื่นมาอยู่ในห้องนี้ ห้องที่หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของไม้โบราณ ไม้โบราณเป็นเนื้อไม้ของต้นไม้ที่มีมาตั้งแต่โบราณ เธอไม่รู้ว่าต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร เธอรู้เพียงแต่ว่าต้นไม้โบราณชนิดนี้จะมีใบเป็นสีดำ เธอลองมองหาที่มาของต้นไม้โบราณ แต่เธอพบเพียงห้องนอนหรูหราที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม้เต็มไปหมด รวมทั้งเตียงนอนที่เธอนั่งอยู่ก็ทำจากไม้เช่นกัน เธอลองลูบเนื้อไม้ของเตียงนอน มันน่าทึ่งมาก เพราะเนื้อไม้นั้นเป็นไม้โบราณ เธอลองสังเกตไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ในห้อง ปรากฏว่าไม้ทั้งหมดในห้องนี้เป็นไม้โบราณทั้งหมด! จะมีอะไรที่ทำให้เธอแปลกใจระคนตกใจได้มากถึงขนาดนี้ ในขณะที่เกรชกำลังชื่อชมความงามของห้องนอนอยู่นั้น ประตูไม้แกะสลักก็เปิดออก ทำให้หญิงสาวต้องหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ
“สวัสดีจ้ะ” คนที่เดินเข้ามาในห้องเป็นหญิงวัยกลางคน เธอถือถาดอาหารเช้าเข้ามาด้วย
...แปลก
หญิงสาวคิดด้วยความสงสัย เพราะเวลานี้มืดมากเลยนี่นา ภายในห้องต้องเปิดไฟตลอดเวลา แถมภายนอกยังมืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่ดูเหมือนหญิงวัยกลางคนจะรู้ความคิดของเธอ หล่อนจึงตอบเกรชว่า
“เธอไม่รู้หรอว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” เท่านั้นเอง เกรชถึงกับหน้าซีดเผือด แต่กลับจ้องหญิงวัยกลางคนที่ถามเธอด้วยสายตาแน่วแน่ ซึ่งเป็นสายตาที่หล่อนไม่เคยเห็นมานานหลายร้อยปี
“หนูไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงต้องจับตัวหญิงสาววัยสิบหกปีมาที่นี่ คุณเป็นใครกัน ทำไมคุณต้องทำร้ายพวกเธอด้วยละคะ” หล่อนจ้องตอบสายตาดุดันของเกรชด้วยแววตาที่อ่อนโยน อ่อนโยนเสียจนเกรชถึงกับผงะ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงเจ้าของคฤหาสน์สีมืดที่จับเด็กมากมายมาขังไว้ถึงจ้องมองเธอด้วยแววตาแบบนั้น
“ฉันไม่ได้ทำความผิดตามที่คนภายนอกกล่าวหา หญิงสาวพวกนั้นต่างทำร้ายฉัน พอพวกเธอตื่นขึ้น ฉันก็นำอาหารมาให้พวกเธออย่างที่ฉันนำมาให้เธอ แต่เด็กพวกนั้นกลับทำร้ายฉัน ไม่มีใครฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะพูด ฉันไม่ได้จับตัวพวกเธอ แต่พวกเธอทำให้ฉันเจ็บตัว ฉันจำเป็นต้องลงโทษเด็กที่ทำร้ายผู้ใหญ่” เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของเกรชก็เริ่มอ่อนลง แต่ยังมีความโกรธอยู่ไม่มากก็น้อย
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมปล่อยให้พวกเธอกลับบ้านละ” เมื่อเธอถามจบ หญิงวัยกลางคนก็หัวเราะเบาๆ แล้วตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าขันๆ
“ฉันขังพวกเธอเอาไว้ในบ้างหลังนี้เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น ฉันรอให้เธอฟังสิ่งที่ฉันจะพูด เมื่อใดที่เธอฟังแล้ว ฉันจะยอมปล่อยเธอออกไป เว้นแต่ยังไม่ครบหนึ่งสัปดาห์ตามสัญญา ฉันให้พวกเธออยู่ที่นี่หนึ่งสัปดาห์โดยไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันจะพูด หนึ่งสัปดาห์มันมีค่ามากสำหรับฉันนะ” หล่อนพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แต่แววตาของเธอยังคงแสดงความอ่อนโยนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วทำไมไม่มีใครยอมฟังคุณละคะ” เกรชถามออกไปอย่างสงสัย ท่าทางหล่อนก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนี่นา เมื่อได้ยินคำถาม หล่อนก็หัวเราะออกมาอีก
“ไม่มีใครยอมฟังฉันหรอก ทุกคนต่างกลัวฉัน แต่ก็มีบางคนที่ยอมให้ฉันพูด เด็กที่ยอมให้ฉันพูดน่ะ เธอจะนั่งฟังอยู่เงียบๆ สุดท้ายเธอก็จะสงสารและเป็นเพื่อนกับฉัน แต่ฉันก็ยังหาเด็กน้อยที่ฉันต้องการพบไม่เจอซักที เว้นแต่เธอ เด็กเอย” คำพูดสุดท้ายของหญิงวัยกลางคนทำให้เกรชขมวดคิ้ว หมายความว่ายังไงกัน
“เธอเป็นเด็กคนเดียวในรอบหลายร้อยปีที่กล้าจ้องหน้าฉันในวินาทีแรกที่ฉันเดินเข้ามา เธอเป็นเด็กที่เข็มแข็ง มีไหวพริบ และเป็นเด็กดี เด็กเอย เธอรู้มั้ยว่าฉันตามหาคนแบบเธอมาทั้งชีวิต...”
สี่วันต่อมาอลิสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองเปียโนหลังเดิม เขาทานอาหารอย่างปรกติ แต่ทั้งวันนอกเหนือจากเวลาอาหาร เขาจะมานั่งตรงนี้และมองอย่างนี้เป็นประจำ เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้กังวลนัก เขาไม่ได้กังวลเรื่องของเกรชอย่างที่ควรจะเป็น เขากังวลถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ เขารู้แต่เพียงว่า กำลังจะเกิดอะไรบางอย่าง
...บางอย่างที่ทำให้ชีวิตของเขาและเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
วันที่แปดของเกรชที่คฤหาสน์สีมืด
เธอยังคงวิถีชีวิตเดิมในขณะที่มาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ วันนี้ก็เช่นกัน เธอตื่นขึ้นมาอาบน้ำ เธอรู้สึกมีความสุขมากเมื่ออยู่ที่นี่ แต่เธอก็ไม่อาจหยุดคิดถึงอลิสได้ เมื่อเธออาบน้ำเสร็จ เธอก็ลงมายังห้องอาหาร วันนี้เธอมาช้าเล็กน้อย จึงพบกับครีน่า หญิงสาววัยสิบหกปีที่ได้รับจดหมายสีดำเช่นเดียวกับเธอ และแซนดร้า หรือหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ เธอกับครีน่าเข้ากันได้ดีมาก เธอไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรเธอถึงรู้สึกเหมือนทั้งคู่เป็นครอบครัวเดียวกับเธอ เธอเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ เธอถูกคุณหญิงเฟรลานีรับเลี้ยง แต่เมื่อหลายปีก่อน ตอนเธออายุได้สิบสองปี คุณหญิงเฟรลานีซึ่งเปรียบเสมือนแม่ของเธอกลับจากเธอไป เหลือเธอเพียงลำพังในบ้านหลังใหญ่ของเฟรลานี จนวันหนึ่ง เธอออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของเธอ เธอได้พบกับอลิส เด็กชายซึ่งอายุมากกว่าเธอหนึ่งปีมาช่วยเธอจากเด็กอันตพาลที่คิดจะมาทำร้ายเธอ หลังจากนั้นเขากับเธอจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตลอด จนเมื่อวันเกิดอายุครบสิบหกปีของเธอ เขาขอหมั้นเธอ เมืองซาเวนที่เธออาศัยอยู่นั้นมีกฏหมายแปลกๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่กฏการหมั้นหรือแต่งงาน เด็กที่อายุครบสิบหกปีบริบูรณ์สามารถหมั้นกันได้โดยที่ฝ่ายพ่อแม่ไม่คัดค้าน ใช่ พ่อแม่ของอลิสรักเธอมาก เขาตอบตกลงอย่างง่ายดาย ส่วนฉันซึ่งไม่มีญาติที่ไหนก็สามารถตอบตกลงได้เช่นกัน
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่กับพวกเธอแล้วนะ ฉันมีความสุขมากเลยที่ได้พบกับพวกเธอ พวกเธอทั้งสองแตกต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ มากมาย เธอทำให้ฉันคิดถึงลูกสาวทั้งสองของฉัน พวกเธอเหมือนลูกสาวของฉันมาก ฉัน...” เกรชไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกหลังจากนั้น เธอรู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบของเธอปั่นป่วนไปหมด แสงสีขาวเหมือนตอนที่เธออ่านจดหมายสีดำจบสว่างวาบขึ้นอีกครั้งตรงหน้าเธอ เธอรู้สึกปวดหัวมากเหมือนตอนที่ตื่นขึ้นในคฤหาสน์หลังนี้ ภาพตรงหน้าเธอเลือนลาง ทุกอย่างถูกดูดเข้าไปในแสงสีขาวตรงหน้าเธอ เธอรู้สึกปวดหัวรุนแรงขึ้นอีก ในที่สุดเธอก็รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังต่อสู้กับตัวเอง ร่ายกายเธอปวดร้าวไปหมด รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุดเธอก็สนไม่ไหว จึงกรีดร้องเสียงดังลั่น
“กรี๊ดดดด!!!!”
วันที่เจ็ดของการรอคอยของอลิส
เขาตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูบ้านของเขา เขาจึงรีบเดินไปเปิดประตูทันที เขาหวังว่าเกรชอาจจะกลับมาแล้ว แต่เมื่อเปิดประตูออก สิ่งที่เขาหวังกลับไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ด้านหน้าเขามีหญิงวัยกลางคนที่มีสีหน้าอ่อนโยนกำลังแย้มยิ้มอย่างใจดีให้เขา
“ดูเหมือนว่าเธอจะผิดหวังนะ” เขาสะดุ้งเมื่อเสียงหวานของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าพูดขึ้น
“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ” เขาพยายามไม่แสดงอาการรำคาญให้หญิงสาววัยกลางคนตรงหน้าสังเกตเห็น แต่เหมือนหล่อนจะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่พอใจนักที่เธอมาหาเขา
“ฉันแค่อยากจะมาบอกข่าวดีของเกรชก็เท่านั้นเอง ฉันรู้ว่าเธออยากรู้ ได้โปรดให้ฉันเข้าไปคุยกับเธอในบ้านไหม ฉันไม่อยากให้คนภายนอกรู้” เมื่ออลิสได้ยินคำว่าเกรช เขาจึงรีบเปิดทางให้หญิงสาววัยกลางคนเข้ามาทันที
เมื่อเขาเสริฟน้ำตามหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเสร็จแล้ว เขาจึงถามขึ้นทันที
“คุณเป็นใคร แล้วเกรชของผมอยู่ที่ไหน” เมื่อหล่อนได้ยินคำถามรัวที่แสดงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบังของชายหนุ่มตรงหน้า หล่อนจึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วตอบคำถามทุกคำถามทันที
“ฉันชื่อแซนดร้า เป็นเจ้าของคฤหาสน์สีมืดที่พวกเธอเรียกกัน เกรชปลอดภัยดีในคฤหาสน์ของฉัน แล้วที่ฉันมาวันนี้เพื่อขอร้องเธอ ได้โปรดช่วยฉันด้วยเถิด” เมื่อเขาทราบว่าเกรชของเขาปลอดภัยดี เขาจึงไว้ใจหญิงวัยกลางคนที่มีนามว่าแซนดร้าตรงหน้าพอที่จะให้ความช่วยเหลือหล่อน
“ว่ามาสิครับ ถ้าผมพอจะช่วยคุณได้ผมก็ยินดี แต่มีข้อแม้ว่าพรุ่งนี้เกรชจะกลับมาหาผม” เขาพูดด้วยสายตาแน่วแน่เช่นเดียวกับเกรชในวันแรกที่พบเธอ แซนดร้ารู้สึกถึงสายใยความสัมพันธ์ของอลิสกับเกรชดี
“ฉันอยากให้เธอช่วยฉันหน่อย เกรช เธอจะตื่นมาในห้องนอนของเธอที่บ้านของเฟรลานี ฉันอยากให้เธอบอกเกรชว่าทุกอย่างเป็นความฝัน ฉันรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ในอดีตของฉันกับเกรช และครีน่า เด็กสาวอีกคนที่อยู่ที่คฤหาสน์ของฉัน” เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มแทบจะตะโกนถามไปทันที
“หมายความว่ายังไงกัน! คุณจะให้ผมรับคุณเป็นแม่ของเกรชอย่างนั้นหรอ” แซนดร้าทำได้เพียงยิ้มบางๆ รอยยิ้มที่เศร้าสร้อยนั้นทำให้หัวใจของอลิสกระตุก เขารู้สึกแปลกๆ สิ่งที่เขากังวลมาตลอดกำลังเกิดขึ้นแล้ว...ตรงหน้าเขา
“ฉันอยากเล่านิทานให้เธอฟัง นิทานที่ฉันเล่าให้เด็กน้อยทุกคนฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งเล่านิทานให้ลูกน้อยทั้งสองของเธอฟัง แต่แล้วจู่ๆ สายลมก็พัดแรงขึ้น แรงจนคล้ายพายุ แต่หญิงสาวคนนั้นรู้ว่ามันไม่ใช่พายุ หญิงสาวคนนั้นคือทายาทของผู้ใช้เวทมนตร์คนสุดท้ายของโลก เธอย่อมรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะเกิดพายุในบริเวณที่เธอสร้างเกราะป้องกันไว้ แต่น่าเสียดายที่พอพายุนั้นสงบลง กลับมีชายหนุ่มยืนอยู่ตรงกลางพายุนั้น เขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่เก่งที่สุดในโลกอื่น เขามาเพื่อทำลายเธอ แต่เขาเห็นว่าเธอมีลูกน้อยอยู่สองคน ซึ่งเป็นหญิงสาว ในตระกูลของเธอพลังเวทมนตร์จะแสดงอำนาจก็ต่อเมื่อมีทายาทเป็นลูกสาว เขาที่รู้ข้อนั้นดีจึงตัดสินใจพาตัวลูกน้อยทั้งสองของเธอผุ้โชคร้ายไป ทิ้งให้เธอร้องไห้อยู่เพียงลำพัง หลังจากนั้นเธอก็สาปคฤหาสน์ของตนเองให้กลายเป็นคฤหาสน์ที่ไม่มีแสงแดดส่องถึง รวมถึงทำให้ตนเองกลายเป็นคนที่จะไม่มีวันสิ้นอายุขัย จนกว่าจะได้เจอบุตรสาวทั้งสองอีกครั้ง...” แซนดร้าหยุดพักหายใจครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่ออย่างใจเย็นว่า
“จนเวลาผ่านมาสองร้อยห้าสิบเก้าปี เธอก็ไม่เคยพบสายเลือดของเธอ แต่แล้ววันหนึ่ง วันแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อเธอปรากฏออกมาหาฉัน พวกเธอเป็นคนที่ฉันเฝ้ารอคอยมาตลอดชีวิต...”
“ก็ได้ครับ ผมตกลง ผมเชื่อว่าคุณต้องเป็นแม่ที่ดีให้กับเธอได้” เมื่อได้ยินดังนั้น แซนดร้าก็ยิ้มแย้มอย่างสดใส พลางพูดเสียงเบา ราวกลับกระซิบกับตัวเองว่า
“ในที่สุด แม่ก็ได้พบลูกเสียที เวลาสองร้อยหกสิบปีช่างเป็นเวลาที่สั้นนัก ถ้าเทียบกับวันเวลาที่ลูกห่างจากอ้อมกอดของแม่ ในที่สุดเราก็ได้เป็นแม่ลูกกันอีกครั้ง...ครีน่า เกรช ลูกรักของแม่...”
“กรี๊ดดดด!!!!” เสียงกรีดร้องของเกรชทำให้อลิสที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงของเธอต้องสะดุ้งตื่นขึ้น แล้วรีบเข้าไปพยุงเธอทันที
“ไม่เป็นอะไรนะ มันเป็นแค่ความฝัน เธอแค่ฝันไปนะ ใจเย็นๆ” เสียงปลอบประโลมของอลิสทำให้เธอได้สติ เธอหันซ้ายหันขวาราวกลับมองหาอะไรบางอย่าง
“อะไรหรอเกรช” เสียงของอลิสทำให้เธอสะดุ้ง เธอเป็นอะไรไปเนี่ยเกรช ตั้งสติสิ เกรชคิดในใจ
“อ้าวลูกตื่นแล้วหรอ” เสียงหวานแสนคุ้นเคยทำให้เกรชหันไปทางต้นเสียงทันที เกรชตาโตด้วยความตกใจ นี่มันอะไรกันเนี่ย!
“อ้าวลูก เป็นอะไรไปน่ะ ทำอย่างกับว่าลืมแม่อย่างนั้นแหละ” แซนดร้าพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ทำให้เกรชรีบพูดขึ้นทันที
“เปล่านะคะ คุณเป็นแม่ของหนูจริงๆ หรอ” แต่สุดท้ายเกรชก็ยังถามด้วยสีหน้าสงสัยอยู่ดี ซึ่งนั่นทำให้ครีน่าเดินหัวเราะเข้ามา
“ฮะๆ เธอนี่ตลกดีนะเกรช หลับไปเกือบสัปดาห์ลืมแม่แล้วหรอจ๊ะเด็กน้อย” เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็ขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย! ทำไมเธอจำอะไรไม่ได้เลย และเหมือนอลิสจะรู้ใจเธอจึงตอบคำถามในใจให้เกรชว่า
“เธอไปเดินเล่นแล้วถูกรถชนน่ะ สมองเลยเสื่อมเล็กน้อย เธอจะจำเรื่องราวบางอย่างไม่ค่อยได้ แถมบางเรื่องที่เธอจำได้จะเป็นเรื่องที่เธอแต่งขึ้นเองทั้งนั้น ฉะนั้น ตอนนี้เธอควรเชื่อฉัน แล้วนอนพักผ่อนต่อได้แล้ว” เกรชมองหน้าอลิส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของเธออย่างงงๆ แล้วก็ล้มลงบนเตียงถามคำสั่งของเขา พลางเชื่อเขาอย่างสนิทใจว่า เธอคงความจำเสื่อมแล้วดันไปจำเรื่องไร้สาระมาผสมกับความเป็นจริง เธอนอนหลับไปหลังจากนั้น
...โดยที่เธอไม่ได้สังเกตกระดาษสีดำสองแผ่น และซองจดหมายสีดำซึ่งถูกขยำในถังขยะ
ผลงานอื่นๆ ของ LekkyDragon ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ LekkyDragon
ความคิดเห็น