ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    「大天狗 の 花嫁」DAITENGU NO HANAYOME เจ้าสาวแห่งขุนเขา

    ลำดับตอนที่ #30 : คำสาปของอิซานามิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 63
      4
      22 ก.ย. 61


                   หญิงสาวค่อยๆปรือตาขึ้นช้าๆ เมื่อแสงแดดที่ลอดเข้ามาในร่องกระดานไ้ม้เก่าๆ กระทบเข้ากับเปลือกตาของเธอ พร้อมกับความรู้สึกปวดร้าวไปทั่วตัว ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบไปมองรอบๆเมื่อสายตาของเธอค่อยหายพร่าเลือนเมื่อยามตื่นนอน และพบว่าเธอนอนอยู่ในกระท่อมไม้เก่าๆ หลังหนึ่งที่แสนคุ้นตา มายุลืมตาตื่นขึ้นมามองฝ้าเพดานไม้ที่ผุพังอย่างประหลาดใจ ว่าเหตุใดเธอจึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำไมมันช่างทำให้เธอรู้สึกปวดศีรษะเช่นนี้กันนะ

                    หรือว่าฉันฝันไปทั้งหมดนะ

                มายุรีบพยายามยันตัวลุกขึ้น และมองไปรอบๆ  ก่อนจะรู้สึกถึงความหนักเหมือนมีอะไรที่รั้งเธอไว้ไม่ให้ลุกขึ้น  หญิงสาวหันไปมองและพบร่างที่นอนอยู่ข้างๆกำลังโอบกอดเธอไว้อยู่  ก่อนที่มายุจะได้กล่าวอะไร ชายหนุ่มผู้มีปีกสีดำขนาดใหญ่ก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                    “ตื่นแล้วหรือ...”เขาลืมตาขึ้นมามองเธอ และยันตัวลุกขึ้นนั่งในทันทีเหมือนกับว่าเมื่อสักครู่เขาไม่ได้กำลังนิทราอยู่

                    “ข้าให้เจ้านอนหนุนแขนของข้าทั้งคืน...ไม่รู้ว่าจะสบายเหมือนได้นอนบนที่นอนนุ่มๆที่คฤหาสน์หรือไม่”ไดกิกล่าวขึ้น ก่อนเขาจะหลบตาของหญิงสาว เห็นได้ชัดเลยว่าเขากำลังมีบางสิ่งที่ไม่สบายใจ ก่อนไดกิจะกล่าวออกมาในที่สุด

                    “ข้าขอโทษ”เขากล่าวขึ้น และสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยสีหน้าที่สำนึกผิดเป็นที่สุด

                    “ข้าขอโทษเรื่องพิธีที่ข้าได้ทำไป...”ไดกิกุมมือของเธอไว้ มายุที่ยังไม่ทันจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้เพียงฟังชายหนุ่มกล่าวโทษตนเอง

                    “ข้าน่าจะเฉลียวใจ...ข้าไม่น่าทำเช่นนั้นเลย”ดวงตาสีดำขลับฉายแววเศร้าสร้อยออกมาอย่างมาก เขากำลังโทษตัวเองอยู่อย่างนั้น และความผิดนี้เขามิอาจให้อภัยตนเองได้แม้แต่น้อย

                    “ท่านไดกิ ทำอะไรหรือคะ? เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”เธอรีบกล่าว และมองเขาอย่างเป็นห่วง ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมาทางเธอด้วยความเจ็บปวด เพียงมองอีกฝ่ายที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองแล้วไดกิก็หลับตาลงช้าๆเขาพยายามข่มความเศร้าและความกังวลไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเขาต้องทุกข์ทรมาณหัวใจมากเพียงใด

                    “ข้าทำพิธี.... โดยที่ข้าไม่รู้ว่าอายุขัยของข้าที่ให้เจ้านั้น จะเป็นการส่งต่อคำสาปที่อิซานามิที่เคยสาปข้าเอาไว้แม้ว่าคำสาปนั้นจะทำอันตรายกับปิศาจอย่างข้ามิได้แต่เมื่อข้าทำพิธียกอายุขัยให้เจ้าแล้ว คำสาปที่ติดมาพร้อมกับอายุขัยของข้ามีผลกับเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์... และตอนนี้เจ้าถูกสาปไปเสียแล้ว...”ไดกิกล่าว และย้อนความถึงช่วงเวลาที่เขา กับเซริวไปที่ศาลเจ้าของเทพอิซานากิ และเขาได้สัมผัสกับทวนต้องคำสาปนั้น เป็นเหตุให้คำสาปนั้นติดมายังหญิงสาวด้วย

                    “ดิฉันจำไม่ได้เลย...”เธอจำเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้แม้แต่น้อยโดยเฉพาะหลังจากที่เธอล้มลงกลางงานพิธีแล้วก็จำสิ่งใดไม่ได้อีก แต่ดูเหมือนคำสาปนั้นจะร้ายแรงอยู่ เพราะอิซานามินั้นเป็นถึงเทพีแห่งความตาย นอกจากเทพอิซานากิผู้เป็นเทพแห่งการสร้างสรรพสิ่งแล้ว ก็ไม่มีเทพองค์ใดที่มีอำนาจเหนือทั้งสองอีก มือเรียวจับมือของไดกิแน่น แม้ว่าจะกังวลเรื่องคำสาปแต่เธอยังอยากให้ไดกิมีสีหน้าที่คลายทุกข์มากกว่านี้ 

                    “อย่างนั้นรึ?”เขามีสีหน้าที่บอกไม่ถูกนัก ส่วนมายุได้เพียงแต่พยักหน้า

                    “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้างคะ เมื่อคืนเทพอิซานามิปรากฏตัวขึ้นหรือคะ”มายุถามไถ่อีกฝ่ายเพราะความอยากรู้และความกังวลใจ ไดกิพยักหน้ารับช้าๆ

                    “ใช่ นางมาที่นี่เมื่อคืนนี้...

     

                    หญิงสาวล้มลงไปอยู่ที่พื้นไม้ของศาลเจ้าในทันทีหลังจากสำรอกออกมาเป็นโลหิตสีดำน่ารังเกียจ ตามด้วยชายหนุ่มที่เข้าไปประคองเธอด้วยความเป็นห่วงเขามองใบน้าของมายุที่ซีดเซียวจนเหมือนแผ่นกระดาษ เลือดสีดำทำชุดแต่งงานรวมถึงใบหน้าของเธอเปรอะเปื้อนดูน่ากลัวยิ่งนัก ร่างบางพยายามหอบหายใจหนักเหมือนประดุจจะขาดใจตายพร้อมด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนร่างกายของตนเป็นก้อนหินก็มิปาน มองไปรอบๆพิธีที่เกิดความโกลาหลวุ่นวาย เหล่าการาสุเทนกุต่างแตกตื่นตกใจ รวมไปถึงเทพเซริวที่แทบจะรีบวิ่งออกไปจากศาลเจ้าในทันทีฉับพลันความวุ่นวายกลายเป็นความสงบนิ่งประดุจทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดเวลาไว้ แม้แต่การาสุเทนกุทั้งสองที่พยายามวิ่งเข้ามาก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง เหลือเพียงไดกิเท่านั้นที่ยังกอดเธอไว้แน่นแนบอกเขาด้วยความเป็นห่วงและรู้ได้ในทันทีว่ากำลังมีผู้ที่ไม่ได้รับเชิญมาที่นี่  ฉับพลันเงาในศาลเจ้าที่ทอดผ่านแสงเทียนนับร้อยเล่มก็วูบไหว และกลายเป็นเงาที่ทอดไปยังผนังไม้ของศาลเจ้าปรากฏเงาดำของหญิงผู้หนึ่ง ชายหนุ่มรีบบังเธอไว้ด้านหลังของเขาในทันที เสียงหัวเราะที่น่าหวาดกลัวดังขึ้น

                    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”เจ้าของร่างที่ดูบิดเบี้ยวในชุดกิโมโนสีดำหัวเราะออกมา ร่างกายที่ซูบผอมและไม่สมบูรณ์ประดุจซากศพนั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว

                    “...ท...ท่านอิซานามิ”ไดกิแม้จะดูตกใจแต่ก็ยังปกป้องเธอไว้และไม่ขยับไปไหน ดวงตาเรียวสีดำจับจ้องผู้มาเยือนด้วยความตกใจ

                    “เจ้าเทนกุน่าสมเพช ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว....เจ้าช่างโง่เขลา และประมาทเสียจริง...ดูสิว่าเจ้าทำอะไรกับคนรักของเจ้าลงไป...”เสียงแหบพร่ากล่าวขึ้น  ไดกิหันไปมองมายุที่กำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมาณอย่างตื่นตระหนก และทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เขาสำนึกในทุกสิ่งที่เธอพูดจาห้าวหาญใส่เทพีแห่งความตายแล้ว 

                    “ท่านอิซานามิขอรับ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าต้องขออภัยท่านในสิ่งที่ข้าได้ทำลงไป ตอนนี้ข้าสำนึกผิดแล้วขอรับ”ไดกิก้มลงคุกเข่าและคำนับอีกฝ่าย และก้มหัวค้างไว้อยู่นานแทบเท้าเทพีแห่งความตาย  ซึ่งเขาไม่เคยทำให้ใครเช่นนี้มาก่อน แต่อีกฝ่ายเพียงหัวเราะออกมา

                    “หมดความหยิ่งยโสแล้วสินะ แต่เสียใจด้วยข้าไม่ถอนคำสาปให้หรอก อายุขัยของเจ้าและของนางกำลังจะแลกเปลี่ยนกัน ให้เจ้ามีอายุสั้นลงครึ่งหนึ่ง และให้นางมีอายุยาวนานขึ้น และแบกรับคำสาปไว้ ให้นางกลายเป็นซากศพเดินได้ไร้ความงามใดๆ ก็น่าจะเหมาะสมกับสิ่งที่เจ้าได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้าแล้ว”เทพแห่งตวามตายหัวเราะเยาะเทนกุเบื้องหน้า

                    “ม...ไม่นะ ท่านอิซานามิ ข้าผิดไปแล้ว ข้ายอมสละชีวิตของข้าเพื่อนาง ท่านอย่าได้ทรมาณนางเลยขอรับ มันเป็นความผิดของข้าผู้เดียวเท่านั้น ท่านลงโทษข้าเพียงคนเดียวเถิดขอรับ อย่าให้นางต้องทรมาณเช่นนี้เลยขอรับ ข้าขอร้องท่านอิซานามิโปรดมีเมตตากับนางด้วยเถิดขอรับ”ไดกิทำได้เพียงขอโทษขอโพยอีกฝ่าย

                   "ข้าไม่ทรมาณนางหรอกเจ้าเทนกุ เพราะนางจะตายลงในไม่ช้า...เจ้าช่วยนางไม่ได้ เหมือนที่อิซานากิก็ช่วยข้าไม่ได้!!!" มายุเองก็ค่อยๆขยับตัวอย่างยากลำบาก เธอหยิบกรรไกรตัดด้ายที่เหน็บอยู่ในโอบิสีขาวของเธอด้วยมือที่สั่นเทา และตัดด้ายสีแดง ในทันทีก่อนจะล้มลงไป อิซานามิดูการกระทำดังกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ก่อนจะสลายหายไปในที่สุด ชายหนุ่มรีบประคองหญิงสาวอย่างถะนุถนอม

                    “ม..มายุ...”เขารีบตรงมาประคองเธอเอาไว้ 

                    “ดิฉัน...ทำให้ท่านเสียอายุขัยไปมากกว่านี้ไม่ได้....”เธอกล่าวพร้อมกับสำลักโลหิตสีดำ ไม่เหลือภาพของเจ้าสาวที่แสนสวยสง่าอีกต่อไปแล้ว มีเพียงภาพที่น่ากลัวและสยดสยองแก่ผู้พบเห็นเท่านั้น ไดกิอุ้มเธอขึ้นมาอย่างเบามือ

                    “ข้าจะต้องล้างคำสาปให้ได้ มายุ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป”ไดกิกล่าวอย่างมั่นใจ และอุ้มเธอออกไปนอกศาลเจ้า หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว เหล่าการาสุอาวุโส รวมไปถึง อากาเนะ คาบูโตะ และทาโร่ ที่เพิ่งรู้สึกตัวและรีบเข้ามาหาไดกิด้วยความเป็นห่วง รวมถึงยูกิที่ได้แต่มองอย่างตกตะลึงเท่านั้น

                    “พวกข้าต้องขออภัยด้วยขอรับที่ทิ้งท่านไดกิไว้ ข..ข้ามันไม่ได้เรื่องจริงๆ”คาบูโตะโทษตัวเอง

                    “ข้าเองก็เช่นกันขอรับ”ทาโร่คำนับไดกิด้วยความสำนึกผิดเป็นอย่างมากแม้จะไม่ใช่ความผิดคนทั้งสองก็ตามที

                    “....”ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เขาเพียงกอดหญิงสาวไว้แน่น และเดินจากไปอย่างเงียบงัน อากาเนะรีบวิ่งตามไปติดๆ และร้องเรียกชายหนุ่มแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมหยุดเดินเสียที จนกระทั่งมายุกล่าวขึ้น ร่างบางมองไปที่ทางที่ทอดยาวและหันกลับมาหาเขาด้วยความยากลำบาก

                    “ท..ท่านไดกิคะ.. ดิฉันไม่อยากกลับไปคฤหาสน์ ดิฉันไปในสภาพเช่นนี้คงทำคฤหาสน์ของท่านต้องเลอะแน่ค่ะ...”มายุกล่าวช้าๆ

                    “เจ้าห่วงตัวเองบ้างสิมายุ... คฤหาสน์น่ะ มันก็แค่สิ่งของ แต่เจ้ามีชีวิต เจ้ามีความหมายกับข้านะ...”ไดกิกล่าวเหมือนจะตำหนิเธอ

                    “ท่านไดกิคะ... แต่ว่าให้ดิฉันพักที่กระท่อมได้ไหม?... อย่างน้อยดิฉันก็สบายใจกว่า... ”เธอกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา ยังไงก็ไม่พร้อมจะกลับไปในสภาพเช่นนี้

                    “แต่เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าจะให้เจ้าไปนอนในที่ซอมซ่อแบบนั้นได้ยังไงกัน และอยู่ที่นั่นข้าจะดูแลเจ้าได้อย่างไร?” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความร้อนรน

                    “แต่ท่านก็เคยทำนะคะ ท่านไดกิขอร้องเถอะค่ะ ให้ดิฉันได้อยู่ที่กระท่อมเถอะค่ะ ท่านไดกิ...ดิฉัน...อยากให้ที่คฤหาสน์....มีแต่ความทรงจำดีๆ ว่านั่นคือที่บ้านของฉัน...ของท่าน...ตอนนี้ดิฉันกำลังจะตาย...”ดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนลอยไปเสียทุกที มายุกำลังจะสิ้นสติไปอีกในไม่ช้านี้แน่

                    “พอได้แล้วมายุ...”เขาถอนหายใจออกมา แต่ก็เข้าใจว่าเธอคงจะสบายใจมากกว่าหากอยู่ที่กระท่อม ไดกิหยุดเดินลง พอดีกับอากาเนะที่วิ่งไปหาทันท่วงที

                    “อากาเนะ เจ้าที่เตรียมกระท่อมเสีย ข้ากับมายุจะนอนที่นั่น”

                    “คะ?....เจ้าค่ะ”เธอคำนับในทันที โดยยังไม่ทันกล่าวธุระของตนเอง ก่อนจะรีบวิ่งไปเตรียมของในทันที ส่วนมายุที่สงสัยระคนประหลาดใจกับคำตอบ ค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่พร่ามัว

                    “ท....ทำไม...”

                    “ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ที่ไหนข้าก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ”น้ำตาหยดใสๆไหลอาบแก้มหญิงสาวเมื่อได้ฟัง ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความดีใจหรือเสียใจดี ก่อนที่ร่างนั้นจะอ่อนแรงลงเพราะคำสาปจนสิ้นสติไป ในอ้อมกอดของคนรักของเธอ ไดกิกำชับร่างบางเอาไว้กลางทุ่งหิมะ ร่างที่นอนนิ่งไปในอ้อมกอดเขาได้สิ้นใจลงแล้ว เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

     

                    ไดกิโอบกอดมายุอย่างอ่อนโยน เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ หญิงสาวกอดเขาแน่นเช่นกัน ก่อนจะถูกริมฝีปากของชายหนุ่มประกบจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว จนเธอผงะไปด้านหลังด้วยความเขินอาย ระคนกับความตกใจ

                    “ท..ท่านไดกิ อย่าทำแบบนี้สิคะ ร่างกายดิฉันมันสกปรก และก็ไม่ได้สวยเหมือนเดิมแล้วนะ”มายุเบือนหน้าหนีด้วยความอาย แต่มือใหญ่จับปลายคางให้เธอหันมามองเขา

                    “เจ้ายังสวยอยู่เสมอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อวาน คำสาปอะไรมันก็ไม่ทำให้เจ้าสวยงามน้อยลงได้หรอกเมื่อคืนข้าเปลี่ยนชุดกับเช็ดตัวให้เจ้าแล้ว เห็นไหมล่ะว่าตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อวาน เจ้าไม่เป็นอะไรหรอก มายุ”มายุที่ได้ฟังก็หน้าแดงด้วยความอาย แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ ก่อนจะกล่าวขอโทษชายหนุ่มออกมา

                    “ดิฉันต้องขอโทษท่านไดกิด้วยค่ะ ที่ท่านต้องมาทนลำบากอยู่ในกระท่อมด้วย ทั้งๆที่เป็นวันแรกที่เราแต่งงานกันแท้ๆ”เธอมีใบหน้าที่สำนึกผิด

                    “ข้าบอกเจ้าไปแล้วไงว่าให้ข้าอยู่กับเจ้าก็พอแล้ว”มือใหญ่ลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพราะรู้ถึงการมาของอาคันตุกะตั้งแต่ไกล เขาไม่แปลกใจเท่าใดนักเซริวคงเอาเรื่องราวไปบอกจตุรเทพทุกคนแล้วทั้งๆที่เขาไม่อยากให้เหล่าเทพได้รับรู้เรื่องนี้เท่าใดนัก

    “ซุซาคุกำลังมาที่นี่  ข้าต้องไปแล้ว รอข้าอยู่ที่นี่นะ...ที่รัก”มายุเอามือปิดหน้าด้วยความเขินอายเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียก เธอเช่นนั้น ไดกิยิ้มออกมาอย่างยียวน และเขาก็ดูมีความสุขที่ทำให้เธอยิ้มได้สักที ก่อนจะรีบออกไปจากกระท่อมในทันที มายุค่อยๆลดมือลงช้าๆหากเธอได้แต่งงานหับเขาอย่างราบรื่นทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้เป็นแน่ เมื่อเธอครุ่นคิดได้สักพักหนึ่ง ประตูกระท่อมไม้จึงเปิดออกพร้อมกับอากาเนะที่เข้ามาดูแลเธอตามคำสั่ง

    “ท่านมายุเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ มีอาการใดๆหรือเปล่าเจ้าคะ”อากาเนะนั่งลงไม่ห่างจากเธอเท่าใดนักและถามออกมาด้วยสีหน้าที่อยากรู้

    “ป...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”มายุตอบและรีบถามอีกฝ่าย ร่างบางจึงเข้าประเด็นในทันที

    “คุณอากาเนะ...ดิฉันถูกคำสาปสินะคะ.. ดิฉันกำลังจะตายใช่ไหม”อากาเนะถึงกับชะงักไปและไม่ได้กล่าวอะไร แต่มีสีหน้าที่สลดลง 

    “ท่านมายุ ข้าเสียใจมาก ที่ท่านกับท่านไดกิต้องมาพบกับชะตากรรมเช่นนี้”เธอกอดมายุแน่นและร้องไห้โฮ แม้แต่อากาเนะก็ยังไม่กล้าบอกอะไรออกมาเกี่ยวกับคำสาปนั้น

    “คุณอากาเนะใจเย็นๆก่อนนะคะ”กลายเป็นมายุต้องลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายเบาๆเพื่อปลอบใจ ก่อนอากาเนะที่นึกขึ้นได้ว่าสาเหตุที่เธอมาหามายุ ก็รีบผละตัวออกในทันที

    “ท่านอายุมุอยากมาพบ ท่านมายุเจ้าค่ะ เมื่อเช้าท่านอายุมุไปที่ปราสาทแล้วไม่พบท่านทั้งสอง ท่านอายุมุโกรธมากเลยเจ้าค่ะ และท่านอายุมุก็เลยให้ดิฉันพาท่านอายุมุมาหาท่านมายุ... ”

    “พอแล้ว... เจ้านี่พูดมากเหลือเกินนะอากาเนะ ข้ารออยู่นานแล้วนะ”เสียงที่คุ้นหูกล่าวขึ้นด้านนอก หญิงเรือนผมดำจึงรีบไปเชิญการาสุเทนกุตนนั้นเข้ามา มายุที่พบกำลังจะคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพ แต่กลับถูกอีกฝ่ายห้ามก่อน

    “ท่านมายุจะทำอะไรน่ะ ข้าต้องเป็นฝ่ายคำนับท่านต่างหาก”ร่างนั้นก้มลงคำนับเธอ มายุมองดูอย่างเกรงใจ เพราะไม่เคยเป็นฝ่ายที่อีกฝ่ายต้องคำนับให้

    “ดิฉันขอโทษที่ทำให้ท่านไดกิต้องวุ่นวายด้วยค่ะ”มายุรีบกล่าว แต่อีกฝ่ายเพียงเบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจ ก่อนจะกลับไปเป็นแววตาที่ปกติในชั่ววินาที

    “ท่านนี่เหมือนท่านยูมิโกะ ท่านแม่ของท่านไดกิเลย ชอบกล่าวว่าเป็นความผิดของตนเอง ที่ร่างกายอ่อนแอ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของนาง”อายุมุถอนหายใจออกมา

    “เช่นนั้นหรือคะ”มายุทำหน้าแหยๆ ไม่รู้จะทำตัวยังไง

    “ตอนนี้ท่านทำตัวให้สมกับเป็นภริยาของท่านไดกิและเป็นนายหญิงของพวกเราเถิดเจ้าค่ะ..." อายุมุกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว

    “ค..ค่ะ”มายุพยายามนั่งให้ดูสุขุมมากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ถูกตำหนิอีก แต่ก่อนจะได้ตั้งตัว อายุมุก็คำนับให้เธออีกครา จนมายุตกใจ แม้จะอยากจะเข้าไปประคองแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะบ่นไม่เลิกจน ต้องนั่งอยู่เฉยๆ

    “ข้าต้องขอบคุณท่านมายุมากเจ้าค่ะ”

    “ร...เรื่องอะไรหรือคะ”เธอกล่าวด้วยสีหน้าที่แปลกใจ 

    “ขอบคุณ...ในเรื่องที่ท่านมายุใช้กรรไกรตัดด้ายแดงในพิธีทิ้งเจ้าค่ะ เพราะถ้าท่านมายุไม่ทำ...ท่านไดกิคงจะเสียอายุขัยไปมากกว่านี้แน่ๆเจ้าค่ะ ข้าจึงอยากมาขอบคุณ... ที่ท่านมายุได้ทำเช่นนั้นไป”อายุมุไม่อยากเชื่อตนเองว่าเธอจะต้องมาขอบคุณมนุษย์​เบื้องหน้า​

    “ดิฉันเองก็ไม่ยอมให้ท่านไดกิต้องเสียอายุขัยให้ดิฉันหรอกค่ะ”ฉับพลันอายุมุก็ยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะกลับไปเป็นปกติในชั่ววินาที

    “ท่านอายุมุคะ ดิฉันยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าคำสาป มันจะส่งผลอะไรต่อดิฉันบ้างคะ”เมื่อมายุถามออกมา เธอมั่นใจว่าอายุมุต้องมีคำตอบที่ดีให้เธอได้อย่างแน่นอน และเธอต้องรู้ความจริงให้ได้

    “ข้าจะบอกท่านก็ได้ แต่ห้ามบอกท่านไดกิเด็ดขาดว่าท่านมายุรู้เรื่องนี้แล้ว”อายุมุกล่าวออกมาด้วยเสียงอันเบา

    “ค่ะ ดิฉันไม่บอกหรอกค่ะ”เธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

    “อย่างแรกข้าขอเล่าถึงจุดกำเนิดของคำสาปเสียก่อนนะเจ้าคะ ท่านอิซานามิ แม้เริ่มแรกจะเป็นมารดาของปีศาจทั้งปวง แต่เมื่อนางได้ตายลงและตกสู่แดนปรโลกแล้ว ก็มีร่างกายเน่าเปื่อย น่าเกลียดน่ากลัว เป็นซากศพเดินได้ แต่เทพอิซานากิ ผู้เป็นสามีและพี่ชายของนาง ตั้งใจว่าจะลงไปช่วยเหลือนางขึ้นมาให้ได้ จึงลงไปในถ้ำสู่ดินแดนปรโลก จนพบกับนาง ตอนแรก อิซานามิไล่ให้เขากลับไป แต่เขาปฏิเสธและชักชวนให้นางกลับไปกับเขาด้วย จนนางใจอ่อน อิซานากิจึงถือตะเกียงไปพบกับนาง และเมื่อแสงตะเกียงทำให้เขาเห็นใบหน้านางที่กลายเป็นซากศพน่ารังเกียจ อิซานากิเกิดความกลัว และวิ่งหนีออกมา ทำให้เทพอิซานามิโกรธมาก พยายามติดตามเขาไปด้านนอกปรโลก เทพอิซานากิโชคดีที่รอดพ้นมาได้และใช้หินปิดปากถ้ำเอาไว้ขังไม่ให้นางออกมาภายนอก แต่พลังบางส่วนของเทพอิซานามิยังเล็ดลอดออกมาได้ทัน และเกลียดอิซานากิ...นางเลยใช้ความโกรธแค้นของนาง สาปของใช้ต่างๆนา บนโลกใบนี้เพื่อระบายอารมณ์ และอยากให้มีคนเป็นเหมือนนาง ข้าเองก็ไม่ทราบแต่นางคงต้องการคนที่จะมาเข้าใจความรู้สึกของนางกระมังเจ้าคะ"อายุมุหยุดพูดสักพัก และเล่าเรื่องต่อ

     "และคำสาปดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่ถูกสาปนั้นตายลงในทันที และกลายเป็นสิ่งที่เป็นของครึ่งๆกลางๆระหว่างปิศาจกับมนุษย์ คนที่ถูกคำสาปมีร่างกายที่มีก็เริ่มเน่าเปื่อยลงช้าๆอาจใช้เวลามากน้อยเท่าใดก็แล้วแต่ว่าผู้นั้นได้รับคำสาปไปมากเพียงใด ร่างกายบิดเบี้ยวน่ากลัว จนกระทั่งร่างกายจะเน่าเปื่อยไปถึงหนังติดกระดูกเหมือนท่านอิซานามิ แต่เจ้าของร่างต้องทนทุกข์ทรมาณอย่างมากที่แม้ว่าตนเองจะถือว่าตายจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดใหม่ได้ไม่สมใจนึก เป็นเหมือนวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในร่างของตนเอง เฝ้าดูตนเองที่ค่อยเน่าเปื่อยไปอย่างทุกข์ทรมาณ...”มายุตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินจนรู้ว่าตนเองต้องหน้าซีดแน่นอน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นนี้

    “แล้วท่านมายุเอง ก็ได้รับอายุขัยบางส่วนจากท่านไดกิ ท่านมายุอาจอยู่ได้อีกหลายสิบปีจากนี้ แต่ต้องมีชีวิตในร่างเน่าเปื่อยนี้ไปเรื่อยๆ ไม่สิ....อายุขัยของท่านไดกิก็ไม่ช่วยแล้ว คนที่ถูกคำสาปจะเรียกว่าไม่มีวันแก่ตายเสียมากกว่าจนกว่าจะมีคนมาปลดปล่อยหรือจะฆ่าตัวตายด้วยเจตจำนงค์ของตนเอง...”อายุมุหยิบกระจกบานเล็ก ส่งให้มายุ เธอหยิบขึ้นมาส่องใบหน้าของตน

    “หรือหากพูดง่ายๆก็คือ ท่านมายุเป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างที่ตายไปแล้ว ตั้งแต่ในพิธีแต่งงานตั้งแต่เมื่อวาน และวิญญาณจะต้องสิงสถิตในร่างนี้ แม้ร่างนั้นจะเน่าเปื่อยจนเหลือกระดูกจนขยับไม่ได้ วิญญาณก็ไปเกิดไม่ได้ หากท่านส่องกระจกดู จะเห็นว่าดวงตาของท่าน มันไร้แววของการมีชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”มายุที่ได้ฟัง ก็คืนกระจกนั้นด้วยมืออันสั่นเทาคืนอายุมุไป เธอทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไป แม้จะพยายามทำใจรับความจริงแล้ว แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายกล่าวออกมาเสียทั้งหมดเช่นนี้ก็อดที่จะหวาดกลัวไม่ได้ มือเรียวทาบลงบนอกของตนในทันที และพบกับความเงียบสงัดที่ตอบกลับมา

    “ท่านมายุเจ้าคะ ท่านไดกิต้องหาวิธีคลายคำสาปแน่นอนเจ้าค่ะ”อากาเนะรีบกล่าวขึ้นเพื่อให้กำลังใจ

    “อากาเนะ... คำสาปนี้ไม่มีทางแก้ได้ จากในตำราที่พวกข้าเคยเขียนไว้ ไม่มีใครรอดพ้นจากคำสาปได้...เจ้าก็รู้ดี ไม่ต้องมามัวให้กำลังใจให้ท่านมายุเพ้อฝันไปว่าจะมีวันหาย ท่านมายุต้องยอมรับความจริงให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด”ทั้งสองที่ได้ฟังต่างนั่งนิ่งไม่ไหวติง จนอายุมุกล่าวต่อ

    “แต่ยังไงท่านไดกิก็ต้องหาวิธีมาแก้คำสาปให้เจ้าแน่ๆ ข้าเชื่อเช่นนั้น แต่เจ้าต้องเตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนี้”กล่าวจบ ร่างนั้นก็ลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปจากกระท่อม อากาเนะจึงเดินตามออกไปแต่มายุเรียกไว้ก่อน

    “คุณอากาเนะ...สรุปตอนนี้ดิฉันเป็นอะไรคะ ถ้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว และก็ไม่ใช่ปิศาจด้วย”เธอถามขึ้นอย่างช้าๆ อีกฝ่ายนิ่งงันไปสักพัก ก่อนจะกล่าวขึ้นโดยไม่หันมามองเธอ 

    “อมนุษย์ เจ้าค่ะ ครึ่งมนุษย์ครึ่งปิศาจเจ้าค่ะ”เธอกล่าวและรีบออกไปจากกระท่อมในทันที หญิงสาวได้แต่เพียงนั่งอยู่ตรงมุมห้องอย่างหมดอาลัยตายอยากเท่านั้น

    ท่านไดกิจะรู้ไหมนะว่ามันไม่มีทางแก้คำสาปได้...อยากให้ท่านไดกิมาอยู่ที่นี่ตรงนี้จัง...อยากจะร้องไห้จะแย่อยู่แล้ว...แล้วฉันจะต้องทำยังไงต่อไปดี

     

    “เพี๊ยะ!!!”ฝ่ามือเรียวของยูกิอนนะตบเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง จนใบหน้าของชายหนุ่มหันไปอีกทาง แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อีกฝ่ายแต่อย่างใด และเบื้องหลังมีหญิงสาวในชุดกิโมโนสีแดงสดมองดูอยู่อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เข้าไปห้ามหญิงผมสั้นคนดังกล่าวที่เข้ามาในที่นี่อย่างอุจอาจมาถึงห้องทำงานที่อยู่บนคฤหาสน์ และยังทำร้ายผู้ที่อยู่เบื้องหน้าโดยไม่เกรงกลัวเขาที่เป็นปิศาจแต่อย่างใด

    “อะไรกัน ไหนบอกจะดูแลเพื่อนฉันอย่างดีไง ไอ้ปิศาจจมูกยาวนี่แค่วันเดียวเองนะเว้ย!!!”มือสองข้างกระชากคอเสื้อและเขย่าอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ไดกิไม่ได้ตอบโต้กลับ

    “ทำไปจนกว่าเจ้าจะพอใจเลย อาโอยูกิ ข้าผิดเองเรื่องนี้ข้าผิดเองแต่เพียงผู้เดียวเลย”ไดกิกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

    “แกนี่มัน!!! รู้งี้ตอนนั้นฆ่าแกให้ตายไปเลยดีกว่า!!!”อาโอยูกิโวยวายขึ้น และคิดว่าตนไม่น่าหลงเชื่อกับคำพูดของไดกินักและยอมใจอ่อนให้ทั้งสองแต่งงานกัน ยูกิก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด บางทีถ้าเธอพยายามมากกว่านี้ให้มายุยอมออกไปกับเธอตั้งแต่ตอนนั้นจนได้ เพื่อนรักของเธอคงไม่มีจุดจบเช่นนี้

    “นั่นสินะ ถ้าเจ้าฆ่าข้าไปเลยตอนนั้นคงดีกว่านี้...”ซุซาคุที่ยืนมองทั้งสองอยู่สักพักจึงเข้ามาห้ามทั้งสอง ร่างบางเดินเข้าไปหาอาโอยูกิ เพราะเธอเองก็มีหน้าที่ที่ต้องมาพูดคุยกับคนตรงหน้าเช่นกัน

    “พอได้แล้วจ๊ะ อาโอยูกิจัง”ซุซาคุยิ้มหวานให้ แต่อาโอยูกิกลับร้อนจนเหงื่อตกจากพลังแห่งเปลวเพลิงของซุซาคุ จึงยอมปล่อยอีกฝ่ายโดยดีด้วยความเกรงกลัว ระคนกับความรู้สึกผิดตอนนี้เธอก็มีส่วนผิดที่ไม่ช่วยห้ามปรามคนทั้งสอง จนไม่มีอารมณ์จะตบตีเทนกุเบื้องหน้าแล้ว ทันทีที่วิหกเพลิงมายืนอยู่เบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มก็ลงไปคำนับแทบเท้าในทันที อาโอยูกิถึงกับเหวอที่เห็นภาพดังกล่าว

    “ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ”ไดกิถามขึ้น 

    “เจ้าก็รู้นี่ไดกิ คำสาปนี้ไม่มีวันสลายไป คนตายไปแล้วไม่มีวันฟื้นคืนมาได้ ข้าก็หมดทางจะช่วย... บางทีมันเป็นผลพวงที่พวกเจ้าฝืนชะตาลิขิต ปิศาจกับมนุษย์ บางที....คงไม่เหมาะสมกันจริงๆ”

    “ไม่นะ...ข้าแค่รักนาง เราแค่รักกัน..เท่านั้น มันผิดมหันต์เลยรึ”ชายหนุ่งทรุดนั่งลงด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาสีดำแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสออกมา

    “ความรักไม่ได้ผิดหรอก... ข้าสงสารเจ้ากับนางจริงๆ”ซุซาคุกล่าว ก่อนจะหันไปมองอาโอยูกิที่ยืนกอดอกอยู่ ก่อนจะเดินไปสงบสติอารมณ์ที่ระเบียง  ไม่น่าเชื่อว่า เธอจะอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยแต่ไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง  แล้วยิ่งมายุเป็นอันตรายเพราะปิศาจเทนกุที่เธอชังนักหนาด้วย ก็ยิ่งทำให้โกรธไปใหญ่ นอกจากจะโกรธเขาแล้ว ยูกิก็โกรธตนเองอีกด้วย เธอครุ่นคิดอยู่กับตนเองอยู่นาน จนซุซาคุเดินมาคุยด้วย

    “อาโอยูกิจัง เจ้าคงโมโหอยู่สินะ มายุคงเป็นเพื่อนของเจ้าใช่ไหม”วิหกเพลิงเหยียดยิ้มออกมา

    “ค่ะ เราเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก”ก่อนยูกิจะถามอีกฝ่ายหนึ่งในทันที

     “แล้วไม่มีวิธีแก้ไข หรือถอนคำสาปเลยหรอคะ ถ้าเป็นโลกมนุษย์ล่ะก็...”ยูกิพยายามหาวิธี

    “ไม่มีหรอก แม้ฉันจะเป็นเทพประจำทิศ แต่ก็ไม่มีพลังมากพอจะลบล้างคำสาปได้”ซุซาคุส่ายหน้าช้าๆ ส่วนไดกิได้แต่ยืนฟังอยู่ห่างๆ แต่คราวนี้เขาก็มิได้เถียงอะไร เพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตน  ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเมื่อได้ฟัง

    “แล้วถ้าเป็นเทพที่ระดับสูงกว่านี้ จะลบล้างคำสาปได้ไหมขอรับ”ไดกิถามขึ้น

    “จะต้องสูงระดับไหนกัน นี่เป็นคำสาปของท่านอิซานามิเลยนะ ถ้าไม่ใช่ท่านอิซานามิถอนคำสาปเองก็อาจจะพอมีท่านอิซานากิ น่าจะพอลบล้างคำสาปได้”หญิงในชุดกิโมโนสีแดงมีสีหน้าครุ่นคิด

    “แต่ว่าเทพเหล่านั้น สำหรับข้าที่เป็นเพียงปิศาจก็ยังไม่เคยเห็นตัวตนจริงๆเลยนะขอรับ”ไดกิกล่าวออกมา เขายังไม่มั่นใจเสียด้วยซ้ำว่าวิหารเหล่านั้นอยู่แห่งใด

    “ข้าที่เป็นเทพก็ยังไม่เคยเห็นเช่นกัน และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าเทพเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ข้าไม่มั่นใจว่าเทพโอริวจะรู้หรือไม่ เจ้าคงต้องลองไปถามดู”ซุซาคุให้คำแนะนำ ส่วนไดกิชะงักไปชั่วครู่กับมังกรทองนามโอริว แต่ตอนนี้เขาต้องตัดสินใจแล้ว

    “ถ้าเช่นนั้นท่านเทพโอริวอยู่แห่งไหนรึขอรับ”ชายหนุ่มถามขึ้น

    “เทพมังกรทอง อยู่ที่วิหารกลางทะเล  ข้าต้องนำเจ้าไปเอง”

    “ขอรับ ขอบพระคุณขอรับ”เขาคำนับ แม้หญิงสาวในชุดกิโมโนสีแดงจะรู้สึกดีที่ในที่สุดไดกิจะเลิกหยิ่งยโสได้สักที แต่มันต้องไม่ใช่วิธีนี้สิ เธอเห็นตั้งแต่เขายังเยาว์ จนเปรียบเสมือนตนเองเป็นพี่สาว ถ้าไดกิต้องหดหู่ถึงขนาดนี้ เธอก็ทนดูไม่ได้แน่นอน

    “วิหารอยู่ไกลมาก เจ้าต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน... คิดให้ดีนะไดกิ บางทีอาจจะนานเสียจนมายุอาจทนคำสาปได้ไม่ไหวหากคำสาปนั้นมันมากเกินกว่าร่างกายมนุษย์จะรับได้ หรือเจ้าจะอยู่ดูแลนางจนนาทีสุดท้าย เจ้าต้องเลือกเอาไดกิ”ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อได้ฟัง เขาต้องเลือกสักอย่าง ทั้งกังวลสิ่งต่างๆที่ยังไม่เกิดขึ้น หากนางทนคำสาปไม่ไหวและกลายร่างอย่างที่เขาเคยได้ยินข่าวลือเช่นนั้นมาล่ะ หญิงทั้งสองต่างจ้องมองเขาเหมือนจะรอคอยคำตอบ ไดกิครุ่นคิดอยู่นาน

    “ข้าต้องไป...ข้าไปแล้วก็อาจจะมีหวัง แต่ถ้าข้าอยู่ที่นี่ก็เหมือนปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ยังไงระหว่างทางข้าจะพยายามหาทางรักษานางให้ได้ด้วย ข้าต้องทำทุกสิ่งอย่างเท่าที่ข้าจะทำได้ ข้าไม่ยอมเสียเวลาไปเปล่าๆหรอกขอรับ”

    “ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องไปเสียเดี๋ยวนี้”วิหกเพลิงออกคำสั่ง



    เสียงประตูไม้ดังเมื่อมีคนพยายามเปิดออก มายุที่นั่งอยู่ที่มุมห้องจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองและพบกับชายหนุ่มที่รีบเข้ามา หญิงสาวพยายามผุดลุกขึ้นและเดินไปหาเขาช้าๆ แต่ไดกิรีบเข้ามาประคองเธอ หญิงสาวอยากอดเขาเอาไว้จริงๆ จิตใจของเธอตอนนี้มันอยากได้คนที่คอยให้ที่พักพิงเหลือเกิน ทั้งหวาดกลัวและโศกเศร้าไปในที ขอแค่ชายหนุ่มอยู่ข้างเธอเช่นนี้เธอคงจะสบายใจขึ้นอีกมาก

    “อย่าเดินเยอะนักสิมายุ”เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

    “ค่ะท่านไดกิ ท่านไดกินั่งลงก่อนสิคะ”มายุนั่งลงที่พื้นกระดาน แต่อีกฝ่ายกลับดูร้อนรนอย่างน่าประหลาดนัก จนมายุรู้สึกได้

    “มีอะไรหรือคะ?”เสียงใสถามเขาขึ้น มองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างต้องการคำตอบ

    “ข้าจะหาวิธีรักษาเจ้าให้ได้ มายุ ข้าจะต้องรีบไปหาคนที่จะช่วยเจ้าได้ เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าจะรีบกลับมา ข้าอาจจะไปหลายวันหน่อย แต่ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าคนแรก”ชายหนุ่ม สวมกอดเธอ หญิงสาวหลับตาลงและสวมกอดเขากลับ เพื่อจะจดจำอ้อมกอดของเขาให้ได้มากที่สุด แต่อีกฝ่ายรีบผละออกเพราะเขาต้องรีบไปแล้ว

    “ถ้าเจ้าอยากไปอยู่ที่คฤหาสน์ก็บอกอากาเนะได้ตลอด นางจะดูแลเจ้าแทนข้าเองระหว่างที่ข้าไม่อยู่”เมื่อเขากล่าวและมีทีท่าว่าจะไปในทันทีทันใด มายุก็ไม่อาจรั้งไว้ได้

    “ค่ะ”เมื่อเธอตอบ ชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าออกไป มายุได้เพียงเดินไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า ก่อนจะใช้มือรั้งของต่างๆในกระท่อมจนไปถึงประตู เมื่อเธอเปิดออกไปก็พบร่างของชายหนุ่มที่ทะยานอยู่กลางนภาอันแสนไกลโดยมีวิหกเพลิงคอยนำทางแล้ว หญิงสาวเพียงมองอยู่ที่นี่เท่านั้นจนเขากับซุซาคุจะไปลับหายไป หญิงสาวยืนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าใด เธออยากอยู่กับเขาเหลือเกินหรือใครก็ได้ที่เข้าใจเธอ

    “ท่านไดกิ...”มายุพึมพำกับตนเอง แม้คำสาปจะน่ากลัวอย่างไรแต่ถ้าไดกิพยายามขนาดนี้เธอก็ต้องหายอย่างแน่นอน ขณะที่มองท้องฟ้าที่ครามสดใสอยู่นั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

    “เขาคงไปหลายวันอยู่นะมายุ”เธอหันขวับไปมองอีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นยูกิที่เพิ่งจะเดินมาถึงเข้ามาทักทาย

    “ยูกิ?”หญิงสาวดูตื่นตกใจอย่างมากที่เห็นเพื่อนของเธอ ทั้งความรู้สึกคิดถึงและความรู้สึกที่ชวนหวาดระแวงจากการพบกันครั้งที่แล้วก็ยังทำให้เธอไม่มั่นใจนักว่าอยู่ดีว่า เพื่อนของเธอรู้เรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ รวมถึงไดกิด้วย และทำไมถึงเข้าออกที่แห่งนี้บ่อยๆจนเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

    “ทำไมทำหน้าสงสัยอย่างนั้น ฉันเพื่อนเธอนะ หรือลืมกันแล้ว”ยูกิพูดหยอกอีกฝ่ายหนึ่ง 

    “ป...เปล่านะ”มายุส่ายหน้า แต่อีกฝ่ายยิ้มออกมา

    “ได้ข่าวว่าไม่สบายเลยมาหาเฉยๆน่ะ อาการเป็นไงบ้าง?”หญิงผมสั้นถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

    “ก็ดี ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”มายุตอบปัดไป ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลนัก อย่างน้อยมียูกิช่วยพูดคุยเป็นเพื่อนตอนนี้ก็ช่วยลดความเศร้าโศกลงได้ดีเช่นกัน

    “อย่างนั้นหรอ แล้วทำไมมาอยู่ในบ้านเล็กๆแบบนี้ล่ะ ทำไมไม่พักในคฤหาสน์ล่ะ มันน่าจะดีกับเธอมากกว่านะ”เพื่อนของเธอมองไปรอบๆบ้านไม้เก่าๆ และพยายามชักจูงให้มายุไปอยู่ที่คฤหาสน์ให้ได้

    “อ..อย่างนั้นหรอ ฉันป่วยน่ะเลยอยากมาอยู่เงียบๆ”

    “อะไรของเธอน่ะ เข้าใจยากชะมัด”เพื่อสาวของเธอเกาหัวแกรกๆ มือที่เย็นเฉียบจับมือของเธอเอาไว้แต่ดูเหมือนมายุจะไม่สะทกสะท้านกับความเย็นนั้น

    "ไปเถอะมายุ ไปอยู่ที่คฤหาสน์กัน ที่นั่นมีเตาไฟอุ่นๆ อย่างน้อยเธอจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง"ยูกิอนนะเบื้องหน้าคะยั้นคะยอ และนั่นทำให้มายุเอะใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลมองหิมะเบื้องหน้า ก่อนจะเดินผ่านยูกิไปและย่ำลงบนพื้นหิมะในทันทีโดยไม่ทันได้ใส่รองเท้า หญิงผมสั้นมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจในการกระทำนั้น

    "เธอทำอะไรน่ะ มายุ"ยูกิถามขึ้น

    "ฉัน...ฉันเพิ่งจะรู้ตัวว่าฉันไม่มีความรู้สึก..."มายุกล่าวออกมา เมื่อตนเองย่ำเท้าลงไปในหิมะเธอกลับไม่รู้สึกหนาวเย็นแต่อย่างใด หากเป็นความรู้สึกอบอุ่นเธอก็คงไม่อาจรับรู้ได้เช่นกัน ส่วนยูกิที่มองอีกฝ่านก็รีบดึงมายุเข้าไปในกระท่อมให้ได้ในทันที

    "มายุ เข้ามาก่อนเดี๋ยวถูกน้ำแข็งกัดพอดี"ยูกิเป็นฝ่ายลากเธอให้กลับไปอยู่ในกระท่อม จากนั้นความเงัยบจึงเข้าครอบงำคนทั้งสองสักพัก จนมายุที่ยังสงใสว่ายูกิเป็นปิศาจหรือไม่จึงลองถามไถ่ออกมา 

    “แล้วเธอเข้ามาที่นี่ได้หรอ ไม่มีใครว่าหรอกหรอ”หญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มถามขึ้น

    “ก็ไม่มีนะ ทุกคนดูปกติดี เอาเป็นว่าฉันจะมาเยี่ยมบ่อยๆแล้วกัน”ยูกิรีบตัดบท เพราะเธอไม่อยากให้เพื่อนสนิทของเธอรู้ว่าเธอไม่ใช่มนุษย์และเธอเองก็ไม่ยอมรับว่าเป็นยูกิอนนะสักหน่อย มียูกิอนนะที่ไหนไปโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงปริญญาตรีบ้าง ยังทำงานกับมนุษย์ อาศัยอยู่ในเมืองมาตลอด ไม่มีทางที่เธอจะเป็นยูกิอนนะแน่นอน แค่เป็นมนุษย์ที่รอบตัวมีแต่ปิศาจก็พอแล้ว

    “ว่าแต่ ยูกิ นี่ผิวดูขาวจริงๆนะ เป็นยูกิอนนะหรือเปล่า”จู่ๆมายุก็ถามขึ้น จนทำอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้ง ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อ

    “นั่นสินะ ยูกิเป็นโรคภูมิแพ้ หน้าร้อนจะผื่นขึ้นทั้งตัวเลย ยูกิคงเหมาะกับหน้าหนาวมากกว่า สมแล้วที่ชื่อยูกิ”มายุพยายามคาดคั้นอีกฝ่ายหนึ่งให้ยอมรับออกมา

    “อะไรกัน  ยูกิอนนะอะไร ไม่เห็นรู้จักเลย”เธอรีบตัดบท ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าข้ออ้างของเธอนั้นไม่สมเหตุสมผลเสียเลย

    “อ...อะ แล้วชื่อยูกิของฉัน แปลว่า ความกล้าหาญ ไม่ใช่ยูกิที่แปลว่าหิมะสักหน่อย”ยูกิรู้ตัวว่าแม้จะกล่าวเช่นนั้นออกไป มายุต้องรู้แน่นอน ข้ออ้างของเธอมันไม่มีอะไรสมเหตุสมผลสักอย่างเดียว

    “จ้า จ้า”มายุรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายทำตัวผิดปกติ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

    “....”เพื่อนสาวของเธอไม่ตอบคำถามนี้แต่อย่างใด ยูกินึกไม่ออกแล้วว่าต้องหาข้ออ้างอย่างไรดี สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามเสียดื้อๆ

    “...”มายุจึงเงียบลงเช่นกันอยู่สักพักหนึ่ง ยูกิเพียงถอนหายใจออกมา และลาเธอกลับไป

    “ขอโทษด้วยแล้วกันช่วงนี้งานยุ่งน่ะ เอาไว้วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะ”

    “แล้วเจอกัน”มายุโบกมือให้อีกฝ่าย ก่อนจะมองดูเพื่อนของเธอเดินจากไปเช่นกัน ความรู้สึกโดดเดี่ยวจึงเข้ามาครอบงำ เธอ หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างโศกเศร้า วันนี้มันช่างแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิงที่เต็มไปด้วยความสุขสมหวัง เธอได้เป็นเจ้าสาวไม่ทันไรก็มาเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับเธอเช่นนี้ คำสาปนั้นถ้าไม่มีวันหายเธอจะทำเช่นไรต่อไปดี



     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×