คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : คำสาปของอิซานามิ
หญิงสาวค่อยๆปรือตาขึ้นช้าๆ เมื่อแสงแดดที่ลอดเข้ามาในร่องกระดานไ้ม้เก่าๆ กระทบเข้ากับเปลือกตาของเธอ
พร้อมกับความรู้สึกปวดร้าวไปทั่วตัว
ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบไปมองรอบๆเมื่อสายตาของเธอค่อยหายพร่าเลือนเมื่อยามตื่นนอน
และพบว่าเธอนอนอยู่ในกระท่อมไม้เก่าๆ หลังหนึ่งที่แสนคุ้นตา มายุลืมตาตื่นขึ้นมามองฝ้าเพดานไม้ที่ผุพังอย่างประหลาดใจ ว่าเหตุใดเธอจึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำไมมันช่างทำให้เธอรู้สึกปวดศีรษะเช่นนี้กันนะ
หรือว่าฉันฝันไปทั้งหมดนะ
มายุรีบพยายามยันตัวลุกขึ้น
และมองไปรอบๆ
ก่อนจะรู้สึกถึงความหนักเหมือนมีอะไรที่รั้งเธอไว้ไม่ให้ลุกขึ้น
หญิงสาวหันไปมองและพบร่างที่นอนอยู่ข้างๆกำลังโอบกอดเธอไว้อยู่ ก่อนที่มายุจะได้กล่าวอะไร ชายหนุ่มผู้มีปีกสีดำขนาดใหญ่ก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ตื่นแล้วหรือ...”เขาลืมตาขึ้นมามองเธอ
และยันตัวลุกขึ้นนั่งในทันทีเหมือนกับว่าเมื่อสักครู่เขาไม่ได้กำลังนิทราอยู่
“ข้าให้เจ้านอนหนุนแขนของข้าทั้งคืน...ไม่รู้ว่าจะสบายเหมือนได้นอนบนที่นอนนุ่มๆที่คฤหาสน์หรือไม่”ไดกิกล่าวขึ้น
ก่อนเขาจะหลบตาของหญิงสาว เห็นได้ชัดเลยว่าเขากำลังมีบางสิ่งที่ไม่สบายใจ ก่อนไดกิจะกล่าวออกมาในที่สุด
“ข้าขอโทษ”เขากล่าวขึ้น
และสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยสีหน้าที่สำนึกผิดเป็นที่สุด
“ข้าขอโทษเรื่องพิธีที่ข้าได้ทำไป...”ไดกิกุมมือของเธอไว้
มายุที่ยังไม่ทันจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้เพียงฟังชายหนุ่มกล่าวโทษตนเอง
“ข้าน่าจะเฉลียวใจ...ข้าไม่น่าทำเช่นนั้นเลย”ดวงตาสีดำขลับฉายแววเศร้าสร้อยออกมาอย่างมาก เขากำลังโทษตัวเองอยู่อย่างนั้น และความผิดนี้เขามิอาจให้อภัยตนเองได้แม้แต่น้อย
“ท่านไดกิ
ทำอะไรหรือคะ? เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”เธอรีบกล่าว และมองเขาอย่างเป็นห่วง
ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมาทางเธอด้วยความเจ็บปวด เพียงมองอีกฝ่ายที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองแล้วไดกิก็หลับตาลงช้าๆเขาพยายามข่มความเศร้าและความกังวลไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเขาต้องทุกข์ทรมาณหัวใจมากเพียงใด
“ข้าทำพิธี....
โดยที่ข้าไม่รู้ว่าอายุขัยของข้าที่ให้เจ้านั้น
จะเป็นการส่งต่อคำสาปที่อิซานามิที่เคยสาปข้าเอาไว้แม้ว่าคำสาปนั้นจะทำอันตรายกับปิศาจอย่างข้ามิได้แต่เมื่อข้าทำพิธียกอายุขัยให้เจ้าแล้ว คำสาปที่ติดมาพร้อมกับอายุขัยของข้ามีผลกับเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์... และตอนนี้เจ้าถูกสาปไปเสียแล้ว...”ไดกิกล่าว
และย้อนความถึงช่วงเวลาที่เขา กับเซริวไปที่ศาลเจ้าของเทพอิซานากิ
และเขาได้สัมผัสกับทวนต้องคำสาปนั้น เป็นเหตุให้คำสาปนั้นติดมายังหญิงสาวด้วย
“ดิฉันจำไม่ได้เลย...”เธอจำเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้แม้แต่น้อยโดยเฉพาะหลังจากที่เธอล้มลงกลางงานพิธีแล้วก็จำสิ่งใดไม่ได้อีก แต่ดูเหมือนคำสาปนั้นจะร้ายแรงอยู่ เพราะอิซานามินั้นเป็นถึงเทพีแห่งความตาย นอกจากเทพอิซานากิผู้เป็นเทพแห่งการสร้างสรรพสิ่งแล้ว ก็ไม่มีเทพองค์ใดที่มีอำนาจเหนือทั้งสองอีก มือเรียวจับมือของไดกิแน่น แม้ว่าจะกังวลเรื่องคำสาปแต่เธอยังอยากให้ไดกิมีสีหน้าที่คลายทุกข์มากกว่านี้
“อย่างนั้นรึ?”เขามีสีหน้าที่บอกไม่ถูกนัก ส่วนมายุได้เพียงแต่พยักหน้า
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้างคะ เมื่อคืนเทพอิซานามิปรากฏตัวขึ้นหรือคะ”มายุถามไถ่อีกฝ่ายเพราะความอยากรู้และความกังวลใจ ไดกิพยักหน้ารับช้าๆ
“ใช่ นางมาที่นี่เมื่อคืนนี้...”
หญิงสาวล้มลงไปอยู่ที่พื้นไม้ของศาลเจ้าในทันทีหลังจากสำรอกออกมาเป็นโลหิตสีดำน่ารังเกียจ ตามด้วยชายหนุ่มที่เข้าไปประคองเธอด้วยความเป็นห่วงเขามองใบน้าของมายุที่ซีดเซียวจนเหมือนแผ่นกระดาษ เลือดสีดำทำชุดแต่งงานรวมถึงใบหน้าของเธอเปรอะเปื้อนดูน่ากลัวยิ่งนัก ร่างบางพยายามหอบหายใจหนักเหมือนประดุจจะขาดใจตายพร้อมด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนร่างกายของตนเป็นก้อนหินก็มิปาน มองไปรอบๆพิธีที่เกิดความโกลาหลวุ่นวาย
เหล่าการาสุเทนกุต่างแตกตื่นตกใจ รวมไปถึงเทพเซริวที่แทบจะรีบวิ่งออกไปจากศาลเจ้าในทันทีฉับพลันความวุ่นวายกลายเป็นความสงบนิ่งประดุจทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดเวลาไว้ แม้แต่การาสุเทนกุทั้งสองที่พยายามวิ่งเข้ามาก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง เหลือเพียงไดกิเท่านั้นที่ยังกอดเธอไว้แน่นแนบอกเขาด้วยความเป็นห่วงและรู้ได้ในทันทีว่ากำลังมีผู้ที่ไม่ได้รับเชิญมาที่นี่ ฉับพลันเงาในศาลเจ้าที่ทอดผ่านแสงเทียนนับร้อยเล่มก็วูบไหว
และกลายเป็นเงาที่ทอดไปยังผนังไม้ของศาลเจ้าปรากฏเงาดำของหญิงผู้หนึ่ง ชายหนุ่มรีบบังเธอไว้ด้านหลังของเขาในทันที เสียงหัวเราะที่น่าหวาดกลัวดังขึ้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ฮ่า”เจ้าของร่างที่ดูบิดเบี้ยวในชุดกิโมโนสีดำหัวเราะออกมา ร่างกายที่ซูบผอมและไม่สมบูรณ์ประดุจซากศพนั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว
“...ท...ท่านอิซานามิ”ไดกิแม้จะดูตกใจแต่ก็ยังปกป้องเธอไว้และไม่ขยับไปไหน ดวงตาเรียวสีดำจับจ้องผู้มาเยือนด้วยความตกใจ
“เจ้าเทนกุน่าสมเพช
ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว....เจ้าช่างโง่เขลา และประมาทเสียจริง...ดูสิว่าเจ้าทำอะไรกับคนรักของเจ้าลงไป...”เสียงแหบพร่ากล่าวขึ้น
ไดกิหันไปมองมายุที่กำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมาณอย่างตื่นตระหนก และทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เขาสำนึกในทุกสิ่งที่เธอพูดจาห้าวหาญใส่เทพีแห่งความตายแล้ว
“ท่านอิซานามิขอรับ
ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าต้องขออภัยท่านในสิ่งที่ข้าได้ทำลงไป
ตอนนี้ข้าสำนึกผิดแล้วขอรับ”ไดกิก้มลงคุกเข่าและคำนับอีกฝ่าย
และก้มหัวค้างไว้อยู่นานแทบเท้าเทพีแห่งความตาย ซึ่งเขาไม่เคยทำให้ใครเช่นนี้มาก่อน แต่อีกฝ่ายเพียงหัวเราะออกมา
“หมดความหยิ่งยโสแล้วสินะ
แต่เสียใจด้วยข้าไม่ถอนคำสาปให้หรอก อายุขัยของเจ้าและของนางกำลังจะแลกเปลี่ยนกัน
ให้เจ้ามีอายุสั้นลงครึ่งหนึ่ง และให้นางมีอายุยาวนานขึ้น และแบกรับคำสาปไว้
ให้นางกลายเป็นซากศพเดินได้ไร้ความงามใดๆ
ก็น่าจะเหมาะสมกับสิ่งที่เจ้าได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้าแล้ว”เทพแห่งตวามตายหัวเราะเยาะเทนกุเบื้องหน้า
“ม...ไม่นะ ท่านอิซานามิ ข้าผิดไปแล้ว ข้ายอมสละชีวิตของข้าเพื่อนาง ท่านอย่าได้ทรมาณนางเลยขอรับ มันเป็นความผิดของข้าผู้เดียวเท่านั้น ท่านลงโทษข้าเพียงคนเดียวเถิดขอรับ อย่าให้นางต้องทรมาณเช่นนี้เลยขอรับ ข้าขอร้องท่านอิซานามิโปรดมีเมตตากับนางด้วยเถิดขอรับ”ไดกิทำได้เพียงขอโทษขอโพยอีกฝ่าย
"ข้าไม่ทรมาณนางหรอกเจ้าเทนกุ เพราะนางจะตายลงในไม่ช้า...เจ้าช่วยนางไม่ได้ เหมือนที่อิซานากิก็ช่วยข้าไม่ได้!!!" มายุเองก็ค่อยๆขยับตัวอย่างยากลำบาก
เธอหยิบกรรไกรตัดด้ายที่เหน็บอยู่ในโอบิสีขาวของเธอด้วยมือที่สั่นเทา
และตัดด้ายสีแดง ในทันทีก่อนจะล้มลงไป อิซานามิดูการกระทำดังกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ก่อนจะสลายหายไปในที่สุด ชายหนุ่มรีบประคองหญิงสาวอย่างถะนุถนอม
“ม..มายุ...”เขารีบตรงมาประคองเธอเอาไว้
“ดิฉัน...ทำให้ท่านเสียอายุขัยไปมากกว่านี้ไม่ได้....”เธอกล่าวพร้อมกับสำลักโลหิตสีดำ
ไม่เหลือภาพของเจ้าสาวที่แสนสวยสง่าอีกต่อไปแล้ว
มีเพียงภาพที่น่ากลัวและสยดสยองแก่ผู้พบเห็นเท่านั้น ไดกิอุ้มเธอขึ้นมาอย่างเบามือ
“ข้าจะต้องล้างคำสาปให้ได้
มายุ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป”ไดกิกล่าวอย่างมั่นใจ และอุ้มเธอออกไปนอกศาลเจ้า หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว เหล่าการาสุอาวุโส รวมไปถึง อากาเนะ คาบูโตะ และทาโร่
ที่เพิ่งรู้สึกตัวและรีบเข้ามาหาไดกิด้วยความเป็นห่วง รวมถึงยูกิที่ได้แต่มองอย่างตกตะลึงเท่านั้น
“พวกข้าต้องขออภัยด้วยขอรับที่ทิ้งท่านไดกิไว้
ข..ข้ามันไม่ได้เรื่องจริงๆ”คาบูโตะโทษตัวเอง
“ข้าเองก็เช่นกันขอรับ”ทาโร่คำนับไดกิด้วยความสำนึกผิดเป็นอย่างมากแม้จะไม่ใช่ความผิดคนทั้งสองก็ตามที
“....”ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร
เขาเพียงกอดหญิงสาวไว้แน่น และเดินจากไปอย่างเงียบงัน อากาเนะรีบวิ่งตามไปติดๆ
และร้องเรียกชายหนุ่มแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมหยุดเดินเสียที จนกระทั่งมายุกล่าวขึ้น ร่างบางมองไปที่ทางที่ทอดยาวและหันกลับมาหาเขาด้วยความยากลำบาก
“ท..ท่านไดกิคะ..
ดิฉันไม่อยากกลับไปคฤหาสน์
ดิฉันไปในสภาพเช่นนี้คงทำคฤหาสน์ของท่านต้องเลอะแน่ค่ะ...”มายุกล่าวช้าๆ
“เจ้าห่วงตัวเองบ้างสิมายุ...
คฤหาสน์น่ะ มันก็แค่สิ่งของ แต่เจ้ามีชีวิต เจ้ามีความหมายกับข้านะ...”ไดกิกล่าวเหมือนจะตำหนิเธอ
“ท่านไดกิคะ... แต่ว่าให้ดิฉันพักที่กระท่อมได้ไหม?... อย่างน้อยดิฉันก็สบายใจกว่า... ”เธอกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา ยังไงก็ไม่พร้อมจะกลับไปในสภาพเช่นนี้
“แต่เจ้าเป็นภรรยาของข้า
ข้าจะให้เจ้าไปนอนในที่ซอมซ่อแบบนั้นได้ยังไงกัน
และอยู่ที่นั่นข้าจะดูแลเจ้าได้อย่างไร?” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความร้อนรน
“แต่ท่านก็เคยทำนะคะ
ท่านไดกิขอร้องเถอะค่ะ ให้ดิฉันได้อยู่ที่กระท่อมเถอะค่ะ ท่านไดกิ...ดิฉัน...อยากให้ที่คฤหาสน์....มีแต่ความทรงจำดีๆ ว่านั่นคือที่บ้านของฉัน...ของท่าน...ตอนนี้ดิฉันกำลังจะตาย...”ดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนลอยไปเสียทุกที
มายุกำลังจะสิ้นสติไปอีกในไม่ช้านี้แน่
“พอได้แล้วมายุ...”เขาถอนหายใจออกมา
แต่ก็เข้าใจว่าเธอคงจะสบายใจมากกว่าหากอยู่ที่กระท่อม ไดกิหยุดเดินลง
พอดีกับอากาเนะที่วิ่งไปหาทันท่วงที
“อากาเนะ
เจ้าที่เตรียมกระท่อมเสีย ข้ากับมายุจะนอนที่นั่น”
“คะ?....เจ้าค่ะ”เธอคำนับในทันที
โดยยังไม่ทันกล่าวธุระของตนเอง ก่อนจะรีบวิ่งไปเตรียมของในทันที
ส่วนมายุที่สงสัยระคนประหลาดใจกับคำตอบ
ค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่พร่ามัว
“ท....ทำไม...”
“ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว
เจ้าอยู่ที่ไหนข้าก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ”น้ำตาหยดใสๆไหลอาบแก้มหญิงสาวเมื่อได้ฟัง
ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความดีใจหรือเสียใจดี
ก่อนที่ร่างนั้นจะอ่อนแรงลงเพราะคำสาปจนสิ้นสติไป ในอ้อมกอดของคนรักของเธอ ไดกิกำชับร่างบางเอาไว้กลางทุ่งหิมะ ร่างที่นอนนิ่งไปในอ้อมกอดเขาได้สิ้นใจลงแล้ว เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
ไดกิโอบกอดมายุอย่างอ่อนโยน
เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ หญิงสาวกอดเขาแน่นเช่นกัน
ก่อนจะถูกริมฝีปากของชายหนุ่มประกบจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว
จนเธอผงะไปด้านหลังด้วยความเขินอาย ระคนกับความตกใจ
“ท..ท่านไดกิ
อย่าทำแบบนี้สิคะ ร่างกายดิฉันมันสกปรก
และก็ไม่ได้สวยเหมือนเดิมแล้วนะ”มายุเบือนหน้าหนีด้วยความอาย แต่มือใหญ่จับปลายคางให้เธอหันมามองเขา
“เจ้ายังสวยอยู่เสมอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อวาน คำสาปอะไรมันก็ไม่ทำให้เจ้าสวยงามน้อยลงได้หรอกเมื่อคืนข้าเปลี่ยนชุดกับเช็ดตัวให้เจ้าแล้ว เห็นไหมล่ะว่าตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อวาน เจ้าไม่เป็นอะไรหรอก มายุ”มายุที่ได้ฟังก็หน้าแดงด้วยความอาย แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ ก่อนจะกล่าวขอโทษชายหนุ่มออกมา
“ดิฉันต้องขอโทษท่านไดกิด้วยค่ะ
ที่ท่านต้องมาทนลำบากอยู่ในกระท่อมด้วย ทั้งๆที่เป็นวันแรกที่เราแต่งงานกันแท้ๆ”เธอมีใบหน้าที่สำนึกผิด
“ข้าบอกเจ้าไปแล้วไงว่าให้ข้าอยู่กับเจ้าก็พอแล้ว”มือใหญ่ลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพราะรู้ถึงการมาของอาคันตุกะตั้งแต่ไกล เขาไม่แปลกใจเท่าใดนักเซริวคงเอาเรื่องราวไปบอกจตุรเทพทุกคนแล้วทั้งๆที่เขาไม่อยากให้เหล่าเทพได้รับรู้เรื่องนี้เท่าใดนัก
“ซุซาคุกำลังมาที่นี่ ข้าต้องไปแล้ว
รอข้าอยู่ที่นี่นะ...ที่รัก”มายุเอามือปิดหน้าด้วยความเขินอายเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียก
เธอเช่นนั้น ไดกิยิ้มออกมาอย่างยียวน และเขาก็ดูมีความสุขที่ทำให้เธอยิ้มได้สักที ก่อนจะรีบออกไปจากกระท่อมในทันที มายุค่อยๆลดมือลงช้าๆหากเธอได้แต่งงานหับเขาอย่างราบรื่นทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้เป็นแน่ เมื่อเธอครุ่นคิดได้สักพักหนึ่ง ประตูกระท่อมไม้จึงเปิดออกพร้อมกับอากาเนะที่เข้ามาดูแลเธอตามคำสั่ง
“ท่านมายุเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ มีอาการใดๆหรือเปล่าเจ้าคะ”อากาเนะนั่งลงไม่ห่างจากเธอเท่าใดนักและถามออกมาด้วยสีหน้าที่อยากรู้
“ป...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”มายุตอบและรีบถามอีกฝ่าย ร่างบางจึงเข้าประเด็นในทันที
“คุณอากาเนะ...ดิฉันถูกคำสาปสินะคะ..
ดิฉันกำลังจะตายใช่ไหม”อากาเนะถึงกับชะงักไปและไม่ได้กล่าวอะไร
แต่มีสีหน้าที่สลดลง
“ท่านมายุ ข้าเสียใจมาก
ที่ท่านกับท่านไดกิต้องมาพบกับชะตากรรมเช่นนี้”เธอกอดมายุแน่นและร้องไห้โฮ แม้แต่อากาเนะก็ยังไม่กล้าบอกอะไรออกมาเกี่ยวกับคำสาปนั้น
“คุณอากาเนะใจเย็นๆก่อนนะคะ”กลายเป็นมายุต้องลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายเบาๆเพื่อปลอบใจ
ก่อนอากาเนะที่นึกขึ้นได้ว่าสาเหตุที่เธอมาหามายุ ก็รีบผละตัวออกในทันที
“ท่านอายุมุอยากมาพบ ท่านมายุเจ้าค่ะ
เมื่อเช้าท่านอายุมุไปที่ปราสาทแล้วไม่พบท่านทั้งสอง ท่านอายุมุโกรธมากเลยเจ้าค่ะ
และท่านอายุมุก็เลยให้ดิฉันพาท่านอายุมุมาหาท่านมายุ... ”
“พอแล้ว... เจ้านี่พูดมากเหลือเกินนะอากาเนะ
ข้ารออยู่นานแล้วนะ”เสียงที่คุ้นหูกล่าวขึ้นด้านนอก
หญิงเรือนผมดำจึงรีบไปเชิญการาสุเทนกุตนนั้นเข้ามา
มายุที่พบกำลังจะคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพ แต่กลับถูกอีกฝ่ายห้ามก่อน
“ท่านมายุจะทำอะไรน่ะ
ข้าต้องเป็นฝ่ายคำนับท่านต่างหาก”ร่างนั้นก้มลงคำนับเธอ มายุมองดูอย่างเกรงใจ
เพราะไม่เคยเป็นฝ่ายที่อีกฝ่ายต้องคำนับให้
“ดิฉันขอโทษที่ทำให้ท่านไดกิต้องวุ่นวายด้วยค่ะ”มายุรีบกล่าว
แต่อีกฝ่ายเพียงเบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจ
ก่อนจะกลับไปเป็นแววตาที่ปกติในชั่ววินาที
“ท่านนี่เหมือนท่านยูมิโกะ ท่านแม่ของท่านไดกิเลย
ชอบกล่าวว่าเป็นความผิดของตนเอง ที่ร่างกายอ่อนแอ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของนาง”อายุมุถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้นหรือคะ”มายุทำหน้าแหยๆ
ไม่รู้จะทำตัวยังไง
“ตอนนี้ท่านทำตัวให้สมกับเป็นภริยาของท่านไดกิและเป็นนายหญิงของพวกเราเถิดเจ้าค่ะ..." อายุมุกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“ค..ค่ะ”มายุพยายามนั่งให้ดูสุขุมมากที่สุด
เพื่อที่จะได้ไม่ถูกตำหนิอีก แต่ก่อนจะได้ตั้งตัว อายุมุก็คำนับให้เธออีกครา
จนมายุตกใจ แม้จะอยากจะเข้าไปประคองแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะบ่นไม่เลิกจน ต้องนั่งอยู่เฉยๆ
“ข้าต้องขอบคุณท่านมายุมากเจ้าค่ะ”
“ร...เรื่องอะไรหรือคะ”เธอกล่าวด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
“ขอบคุณ...ในเรื่องที่ท่านมายุใช้กรรไกรตัดด้ายแดงในพิธีทิ้งเจ้าค่ะ
เพราะถ้าท่านมายุไม่ทำ...ท่านไดกิคงจะเสียอายุขัยไปมากกว่านี้แน่ๆเจ้าค่ะ
ข้าจึงอยากมาขอบคุณ... ที่ท่านมายุได้ทำเช่นนั้นไป”อายุมุไม่อยากเชื่อตนเองว่าเธอจะต้องมาขอบคุณมนุษย์เบื้องหน้า
“ดิฉันเองก็ไม่ยอมให้ท่านไดกิต้องเสียอายุขัยให้ดิฉันหรอกค่ะ”ฉับพลันอายุมุก็ยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะกลับไปเป็นปกติในชั่ววินาที
“ท่านอายุมุคะ ดิฉันยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าคำสาป
มันจะส่งผลอะไรต่อดิฉันบ้างคะ”เมื่อมายุถามออกมา เธอมั่นใจว่าอายุมุต้องมีคำตอบที่ดีให้เธอได้อย่างแน่นอน และเธอต้องรู้ความจริงให้ได้
“ข้าจะบอกท่านก็ได้
แต่ห้ามบอกท่านไดกิเด็ดขาดว่าท่านมายุรู้เรื่องนี้แล้ว”อายุมุกล่าวออกมาด้วยเสียงอันเบา
“ค่ะ ดิฉันไม่บอกหรอกค่ะ”เธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“อย่างแรกข้าขอเล่าถึงจุดกำเนิดของคำสาปเสียก่อนนะเจ้าคะ ท่านอิซานามิ แม้เริ่มแรกจะเป็นมารดาของปีศาจทั้งปวง แต่เมื่อนางได้ตายลงและตกสู่แดนปรโลกแล้ว ก็มีร่างกายเน่าเปื่อย น่าเกลียดน่ากลัว เป็นซากศพเดินได้ แต่เทพอิซานากิ ผู้เป็นสามีและพี่ชายของนาง ตั้งใจว่าจะลงไปช่วยเหลือนางขึ้นมาให้ได้ จึงลงไปในถ้ำสู่ดินแดนปรโลก จนพบกับนาง ตอนแรก อิซานามิไล่ให้เขากลับไป แต่เขาปฏิเสธและชักชวนให้นางกลับไปกับเขาด้วย จนนางใจอ่อน อิซานากิจึงถือตะเกียงไปพบกับนาง และเมื่อแสงตะเกียงทำให้เขาเห็นใบหน้านางที่กลายเป็นซากศพน่ารังเกียจ อิซานากิเกิดความกลัว และวิ่งหนีออกมา ทำให้เทพอิซานามิโกรธมาก พยายามติดตามเขาไปด้านนอกปรโลก เทพอิซานากิโชคดีที่รอดพ้นมาได้และใช้หินปิดปากถ้ำเอาไว้ขังไม่ให้นางออกมาภายนอก แต่พลังบางส่วนของเทพอิซานามิยังเล็ดลอดออกมาได้ทัน และเกลียดอิซานากิ...นางเลยใช้ความโกรธแค้นของนาง สาปของใช้ต่างๆนา บนโลกใบนี้เพื่อระบายอารมณ์ และอยากให้มีคนเป็นเหมือนนาง ข้าเองก็ไม่ทราบแต่นางคงต้องการคนที่จะมาเข้าใจความรู้สึกของนางกระมังเจ้าคะ"อายุมุหยุดพูดสักพัก และเล่าเรื่องต่อ
"และคำสาปดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่ถูกสาปนั้นตายลงในทันที และกลายเป็นสิ่งที่เป็นของครึ่งๆกลางๆระหว่างปิศาจกับมนุษย์ คนที่ถูกคำสาปมีร่างกายที่มีก็เริ่มเน่าเปื่อยลงช้าๆอาจใช้เวลามากน้อยเท่าใดก็แล้วแต่ว่าผู้นั้นได้รับคำสาปไปมากเพียงใด ร่างกายบิดเบี้ยวน่ากลัว
จนกระทั่งร่างกายจะเน่าเปื่อยไปถึงหนังติดกระดูกเหมือนท่านอิซานามิ แต่เจ้าของร่างต้องทนทุกข์ทรมาณอย่างมากที่แม้ว่าตนเองจะถือว่าตายจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดใหม่ได้ไม่สมใจนึก เป็นเหมือนวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในร่างของตนเอง เฝ้าดูตนเองที่ค่อยเน่าเปื่อยไปอย่างทุกข์ทรมาณ...”มายุตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินจนรู้ว่าตนเองต้องหน้าซีดแน่นอน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นนี้
“แล้วท่านมายุเอง
ก็ได้รับอายุขัยบางส่วนจากท่านไดกิ ท่านมายุอาจอยู่ได้อีกหลายสิบปีจากนี้
แต่ต้องมีชีวิตในร่างเน่าเปื่อยนี้ไปเรื่อยๆ ไม่สิ....อายุขัยของท่านไดกิก็ไม่ช่วยแล้ว คนที่ถูกคำสาปจะเรียกว่าไม่มีวันแก่ตายเสียมากกว่าจนกว่าจะมีคนมาปลดปล่อยหรือจะฆ่าตัวตายด้วยเจตจำนงค์ของตนเอง...”อายุมุหยิบกระจกบานเล็ก
ส่งให้มายุ เธอหยิบขึ้นมาส่องใบหน้าของตน
“หรือหากพูดง่ายๆก็คือ ท่านมายุเป็นวิญญาณ
อาศัยอยู่ในร่างที่ตายไปแล้ว ตั้งแต่ในพิธีแต่งงานตั้งแต่เมื่อวาน
และวิญญาณจะต้องสิงสถิตในร่างนี้ แม้ร่างนั้นจะเน่าเปื่อยจนเหลือกระดูกจนขยับไม่ได้
วิญญาณก็ไปเกิดไม่ได้ หากท่านส่องกระจกดู จะเห็นว่าดวงตาของท่าน มันไร้แววของการมีชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”มายุที่ได้ฟัง
ก็คืนกระจกนั้นด้วยมืออันสั่นเทาคืนอายุมุไป เธอทำตัวไม่ถูก
ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไป แม้จะพยายามทำใจรับความจริงแล้ว แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายกล่าวออกมาเสียทั้งหมดเช่นนี้ก็อดที่จะหวาดกลัวไม่ได้ มือเรียวทาบลงบนอกของตนในทันที และพบกับความเงียบสงัดที่ตอบกลับมา
“ท่านมายุเจ้าคะ
ท่านไดกิต้องหาวิธีคลายคำสาปแน่นอนเจ้าค่ะ”อากาเนะรีบกล่าวขึ้นเพื่อให้กำลังใจ
“อากาเนะ... คำสาปนี้ไม่มีทางแก้ได้
จากในตำราที่พวกข้าเคยเขียนไว้
ไม่มีใครรอดพ้นจากคำสาปได้...เจ้าก็รู้ดี ไม่ต้องมามัวให้กำลังใจให้ท่านมายุเพ้อฝันไปว่าจะมีวันหาย ท่านมายุต้องยอมรับความจริงให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด”ทั้งสองที่ได้ฟังต่างนั่งนิ่งไม่ไหวติง
จนอายุมุกล่าวต่อ
“แต่ยังไงท่านไดกิก็ต้องหาวิธีมาแก้คำสาปให้เจ้าแน่ๆ
ข้าเชื่อเช่นนั้น แต่เจ้าต้องเตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนี้”กล่าวจบ
ร่างนั้นก็ลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปจากกระท่อม อากาเนะจึงเดินตามออกไปแต่มายุเรียกไว้ก่อน
“คุณอากาเนะ...สรุปตอนนี้ดิฉันเป็นอะไรคะ ถ้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว และก็ไม่ใช่ปิศาจด้วย”เธอถามขึ้นอย่างช้าๆ อีกฝ่ายนิ่งงันไปสักพัก
ก่อนจะกล่าวขึ้นโดยไม่หันมามองเธอ
“อมนุษย์ เจ้าค่ะ
ครึ่งมนุษย์ครึ่งปิศาจเจ้าค่ะ”เธอกล่าวและรีบออกไปจากกระท่อมในทันที
หญิงสาวได้แต่เพียงนั่งอยู่ตรงมุมห้องอย่างหมดอาลัยตายอยากเท่านั้น
ท่านไดกิจะรู้ไหมนะว่ามันไม่มีทางแก้คำสาปได้...อยากให้ท่านไดกิมาอยู่ที่นี่ตรงนี้จัง...อยากจะร้องไห้จะแย่อยู่แล้ว...แล้วฉันจะต้องทำยังไงต่อไปดี
“เพี๊ยะ!!!”ฝ่ามือเรียวของยูกิอนนะตบเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง
จนใบหน้าของชายหนุ่มหันไปอีกทาง แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อีกฝ่ายแต่อย่างใด
และเบื้องหลังมีหญิงสาวในชุดกิโมโนสีแดงสดมองดูอยู่อย่างเงียบๆ
โดยไม่ได้เข้าไปห้ามหญิงผมสั้นคนดังกล่าวที่เข้ามาในที่นี่อย่างอุจอาจมาถึงห้องทำงานที่อยู่บนคฤหาสน์ และยังทำร้ายผู้ที่อยู่เบื้องหน้าโดยไม่เกรงกลัวเขาที่เป็นปิศาจแต่อย่างใด
“อะไรกัน ไหนบอกจะดูแลเพื่อนฉันอย่างดีไง
ไอ้ปิศาจจมูกยาวนี่แค่วันเดียวเองนะเว้ย!!!”มือสองข้างกระชากคอเสื้อและเขย่าอีกฝ่ายอย่างแรง
แต่ไดกิไม่ได้ตอบโต้กลับ
“ทำไปจนกว่าเจ้าจะพอใจเลย อาโอยูกิ
ข้าผิดเองเรื่องนี้ข้าผิดเองแต่เพียงผู้เดียวเลย”ไดกิกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“แกนี่มัน!!! รู้งี้ตอนนั้นฆ่าแกให้ตายไปเลยดีกว่า!!!”อาโอยูกิโวยวายขึ้น
และคิดว่าตนไม่น่าหลงเชื่อกับคำพูดของไดกินักและยอมใจอ่อนให้ทั้งสองแต่งงานกัน ยูกิก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด บางทีถ้าเธอพยายามมากกว่านี้ให้มายุยอมออกไปกับเธอตั้งแต่ตอนนั้นจนได้ เพื่อนรักของเธอคงไม่มีจุดจบเช่นนี้
“นั่นสินะ
ถ้าเจ้าฆ่าข้าไปเลยตอนนั้นคงดีกว่านี้...”ซุซาคุที่ยืนมองทั้งสองอยู่สักพักจึงเข้ามาห้ามทั้งสอง
ร่างบางเดินเข้าไปหาอาโอยูกิ เพราะเธอเองก็มีหน้าที่ที่ต้องมาพูดคุยกับคนตรงหน้าเช่นกัน
“พอได้แล้วจ๊ะ อาโอยูกิจัง”ซุซาคุยิ้มหวานให้
แต่อาโอยูกิกลับร้อนจนเหงื่อตกจากพลังแห่งเปลวเพลิงของซุซาคุ จึงยอมปล่อยอีกฝ่ายโดยดีด้วยความเกรงกลัว ระคนกับความรู้สึกผิดตอนนี้เธอก็มีส่วนผิดที่ไม่ช่วยห้ามปรามคนทั้งสอง จนไม่มีอารมณ์จะตบตีเทนกุเบื้องหน้าแล้ว ทันทีที่วิหกเพลิงมายืนอยู่เบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มก็ลงไปคำนับแทบเท้าในทันที
“ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ”ไดกิถามขึ้น
“เจ้าก็รู้นี่ไดกิ คำสาปนี้ไม่มีวันสลายไป คนตายไปแล้วไม่มีวันฟื้นคืนมาได้ ข้าก็หมดทางจะช่วย... บางทีมันเป็นผลพวงที่พวกเจ้าฝืนชะตาลิขิต ปิศาจกับมนุษย์
บางที....คงไม่เหมาะสมกันจริงๆ”
“ไม่นะ...ข้าแค่รักนาง เราแค่รักกัน..เท่านั้น
มันผิดมหันต์เลยรึ”ชายหนุ่งทรุดนั่งลงด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาสีดำแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสออกมา
“ความรักไม่ได้ผิดหรอก...
ข้าสงสารเจ้ากับนางจริงๆ”ซุซาคุกล่าว ก่อนจะหันไปมองอาโอยูกิที่ยืนกอดอกอยู่ ก่อนจะเดินไปสงบสติอารมณ์ที่ระเบียง ไม่น่าเชื่อว่า
เธอจะอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยแต่ไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง แล้วยิ่งมายุเป็นอันตรายเพราะปิศาจเทนกุที่เธอชังนักหนาด้วย ก็ยิ่งทำให้โกรธไปใหญ่ นอกจากจะโกรธเขาแล้ว ยูกิก็โกรธตนเองอีกด้วย เธอครุ่นคิดอยู่กับตนเองอยู่นาน จนซุซาคุเดินมาคุยด้วย
“อาโอยูกิจัง เจ้าคงโมโหอยู่สินะ
มายุคงเป็นเพื่อนของเจ้าใช่ไหม”วิหกเพลิงเหยียดยิ้มออกมา
“ค่ะ เราเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก”ก่อนยูกิจะถามอีกฝ่ายหนึ่งในทันที
“แล้วไม่มีวิธีแก้ไข
หรือถอนคำสาปเลยหรอคะ ถ้าเป็นโลกมนุษย์ล่ะก็...”ยูกิพยายามหาวิธี
“ไม่มีหรอก แม้ฉันจะเป็นเทพประจำทิศ
แต่ก็ไม่มีพลังมากพอจะลบล้างคำสาปได้”ซุซาคุส่ายหน้าช้าๆ
ส่วนไดกิได้แต่ยืนฟังอยู่ห่างๆ แต่คราวนี้เขาก็มิได้เถียงอะไร
เพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตน ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเมื่อได้ฟัง
“แล้วถ้าเป็นเทพที่ระดับสูงกว่านี้
จะลบล้างคำสาปได้ไหมขอรับ”ไดกิถามขึ้น
“จะต้องสูงระดับไหนกัน
นี่เป็นคำสาปของท่านอิซานามิเลยนะ ถ้าไม่ใช่ท่านอิซานามิถอนคำสาปเองก็อาจจะพอมีท่านอิซานากิ
น่าจะพอลบล้างคำสาปได้”หญิงในชุดกิโมโนสีแดงมีสีหน้าครุ่นคิด
“แต่ว่าเทพเหล่านั้น
สำหรับข้าที่เป็นเพียงปิศาจก็ยังไม่เคยเห็นตัวตนจริงๆเลยนะขอรับ”ไดกิกล่าวออกมา เขายังไม่มั่นใจเสียด้วยซ้ำว่าวิหารเหล่านั้นอยู่แห่งใด
“ข้าที่เป็นเทพก็ยังไม่เคยเห็นเช่นกัน และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าเทพเหล่านั้นอยู่ที่ไหน
ข้าไม่มั่นใจว่าเทพโอริวจะรู้หรือไม่ เจ้าคงต้องลองไปถามดู”ซุซาคุให้คำแนะนำ ส่วนไดกิชะงักไปชั่วครู่กับมังกรทองนามโอริว แต่ตอนนี้เขาต้องตัดสินใจแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นท่านเทพโอริวอยู่แห่งไหนรึขอรับ”ชายหนุ่มถามขึ้น
“เทพมังกรทอง อยู่ที่วิหารกลางทะเล ข้าต้องนำเจ้าไปเอง”
“ขอรับ ขอบพระคุณขอรับ”เขาคำนับ
แม้หญิงสาวในชุดกิโมโนสีแดงจะรู้สึกดีที่ในที่สุดไดกิจะเลิกหยิ่งยโสได้สักที
แต่มันต้องไม่ใช่วิธีนี้สิ เธอเห็นตั้งแต่เขายังเยาว์
จนเปรียบเสมือนตนเองเป็นพี่สาว ถ้าไดกิต้องหดหู่ถึงขนาดนี้ เธอก็ทนดูไม่ได้แน่นอน
“วิหารอยู่ไกลมาก
เจ้าต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน... คิดให้ดีนะไดกิ
บางทีอาจจะนานเสียจนมายุอาจทนคำสาปได้ไม่ไหวหากคำสาปนั้นมันมากเกินกว่าร่างกายมนุษย์จะรับได้ หรือเจ้าจะอยู่ดูแลนางจนนาทีสุดท้าย
เจ้าต้องเลือกเอาไดกิ”ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อได้ฟัง เขาต้องเลือกสักอย่าง ทั้งกังวลสิ่งต่างๆที่ยังไม่เกิดขึ้น หากนางทนคำสาปไม่ไหวและกลายร่างอย่างที่เขาเคยได้ยินข่าวลือเช่นนั้นมาล่ะ หญิงทั้งสองต่างจ้องมองเขาเหมือนจะรอคอยคำตอบ ไดกิครุ่นคิดอยู่นาน
“ข้าต้องไป...ข้าไปแล้วก็อาจจะมีหวัง
แต่ถ้าข้าอยู่ที่นี่ก็เหมือนปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ยังไงระหว่างทางข้าจะพยายามหาทางรักษานางให้ได้ด้วย ข้าต้องทำทุกสิ่งอย่างเท่าที่ข้าจะทำได้ ข้าไม่ยอมเสียเวลาไปเปล่าๆหรอกขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องไปเสียเดี๋ยวนี้”วิหกเพลิงออกคำสั่ง
เสียงประตูไม้ดังเมื่อมีคนพยายามเปิดออก มายุที่นั่งอยู่ที่มุมห้องจึงค่อยๆ
เงยหน้าขึ้นมามองและพบกับชายหนุ่มที่รีบเข้ามา
หญิงสาวพยายามผุดลุกขึ้นและเดินไปหาเขาช้าๆ แต่ไดกิรีบเข้ามาประคองเธอ หญิงสาวอยากอดเขาเอาไว้จริงๆ จิตใจของเธอตอนนี้มันอยากได้คนที่คอยให้ที่พักพิงเหลือเกิน ทั้งหวาดกลัวและโศกเศร้าไปในที ขอแค่ชายหนุ่มอยู่ข้างเธอเช่นนี้เธอคงจะสบายใจขึ้นอีกมาก
“อย่าเดินเยอะนักสิมายุ”เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“ค่ะท่านไดกิ
ท่านไดกินั่งลงก่อนสิคะ”มายุนั่งลงที่พื้นกระดาน แต่อีกฝ่ายกลับดูร้อนรนอย่างน่าประหลาดนัก จนมายุรู้สึกได้
“มีอะไรหรือคะ?”เสียงใสถามเขาขึ้น มองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างต้องการคำตอบ
“ข้าจะหาวิธีรักษาเจ้าให้ได้ มายุ
ข้าจะต้องรีบไปหาคนที่จะช่วยเจ้าได้ เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ
ข้าจะรีบกลับมา ข้าอาจจะไปหลายวันหน่อย แต่ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าคนแรก”ชายหนุ่ม สวมกอดเธอ หญิงสาวหลับตาลงและสวมกอดเขากลับ
เพื่อจะจดจำอ้อมกอดของเขาให้ได้มากที่สุด แต่อีกฝ่ายรีบผละออกเพราะเขาต้องรีบไปแล้ว
“ถ้าเจ้าอยากไปอยู่ที่คฤหาสน์ก็บอกอากาเนะได้ตลอด นางจะดูแลเจ้าแทนข้าเองระหว่างที่ข้าไม่อยู่”เมื่อเขากล่าวและมีทีท่าว่าจะไปในทันทีทันใด มายุก็ไม่อาจรั้งไว้ได้
“ค่ะ”เมื่อเธอตอบ ชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าออกไป
มายุได้เพียงเดินไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า
ก่อนจะใช้มือรั้งของต่างๆในกระท่อมจนไปถึงประตู เมื่อเธอเปิดออกไปก็พบร่างของชายหนุ่มที่ทะยานอยู่กลางนภาอันแสนไกลโดยมีวิหกเพลิงคอยนำทางแล้ว
หญิงสาวเพียงมองอยู่ที่นี่เท่านั้นจนเขากับซุซาคุจะไปลับหายไป
หญิงสาวยืนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าใด เธออยากอยู่กับเขาเหลือเกินหรือใครก็ได้ที่เข้าใจเธอ
“ท่านไดกิ...”มายุพึมพำกับตนเอง
แม้คำสาปจะน่ากลัวอย่างไรแต่ถ้าไดกิพยายามขนาดนี้เธอก็ต้องหายอย่างแน่นอน
ขณะที่มองท้องฟ้าที่ครามสดใสอยู่นั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
“เขาคงไปหลายวันอยู่นะมายุ”เธอหันขวับไปมองอีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นยูกิที่เพิ่งจะเดินมาถึงเข้ามาทักทาย
“ยูกิ?”หญิงสาวดูตื่นตกใจอย่างมากที่เห็นเพื่อนของเธอ
ทั้งความรู้สึกคิดถึงและความรู้สึกที่ชวนหวาดระแวงจากการพบกันครั้งที่แล้วก็ยังทำให้เธอไม่มั่นใจนักว่าอยู่ดีว่า เพื่อนของเธอรู้เรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ รวมถึงไดกิด้วย และทำไมถึงเข้าออกที่แห่งนี้บ่อยๆจนเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“ทำไมทำหน้าสงสัยอย่างนั้น ฉันเพื่อนเธอนะ
หรือลืมกันแล้ว”ยูกิพูดหยอกอีกฝ่ายหนึ่ง
“ป...เปล่านะ”มายุส่ายหน้า แต่อีกฝ่ายยิ้มออกมา
“ได้ข่าวว่าไม่สบายเลยมาหาเฉยๆน่ะ
อาการเป็นไงบ้าง?”หญิงผมสั้นถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ก็ดี ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”มายุตอบปัดไป ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลนัก อย่างน้อยมียูกิช่วยพูดคุยเป็นเพื่อนตอนนี้ก็ช่วยลดความเศร้าโศกลงได้ดีเช่นกัน
“อย่างนั้นหรอ
แล้วทำไมมาอยู่ในบ้านเล็กๆแบบนี้ล่ะ ทำไมไม่พักในคฤหาสน์ล่ะ
มันน่าจะดีกับเธอมากกว่านะ”เพื่อนของเธอมองไปรอบๆบ้านไม้เก่าๆ และพยายามชักจูงให้มายุไปอยู่ที่คฤหาสน์ให้ได้
“อ..อย่างนั้นหรอ ฉันป่วยน่ะเลยอยากมาอยู่เงียบๆ”
“อะไรของเธอน่ะ เข้าใจยากชะมัด”เพื่อสาวของเธอเกาหัวแกรกๆ มือที่เย็นเฉียบจับมือของเธอเอาไว้แต่ดูเหมือนมายุจะไม่สะทกสะท้านกับความเย็นนั้น
"ไปเถอะมายุ ไปอยู่ที่คฤหาสน์กัน ที่นั่นมีเตาไฟอุ่นๆ อย่างน้อยเธอจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง"ยูกิอนนะเบื้องหน้าคะยั้นคะยอ และนั่นทำให้มายุเอะใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลมองหิมะเบื้องหน้า ก่อนจะเดินผ่านยูกิไปและย่ำลงบนพื้นหิมะในทันทีโดยไม่ทันได้ใส่รองเท้า หญิงผมสั้นมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจในการกระทำนั้น
"เธอทำอะไรน่ะ มายุ"ยูกิถามขึ้น
"ฉัน...ฉันเพิ่งจะรู้ตัวว่าฉันไม่มีความรู้สึก..."มายุกล่าวออกมา เมื่อตนเองย่ำเท้าลงไปในหิมะเธอกลับไม่รู้สึกหนาวเย็นแต่อย่างใด หากเป็นความรู้สึกอบอุ่นเธอก็คงไม่อาจรับรู้ได้เช่นกัน ส่วนยูกิที่มองอีกฝ่านก็รีบดึงมายุเข้าไปในกระท่อมให้ได้ในทันที
"มายุ เข้ามาก่อนเดี๋ยวถูกน้ำแข็งกัดพอดี"ยูกิเป็นฝ่ายลากเธอให้กลับไปอยู่ในกระท่อม จากนั้นความเงัยบจึงเข้าครอบงำคนทั้งสองสักพัก จนมายุที่ยังสงใสว่ายูกิเป็นปิศาจหรือไม่จึงลองถามไถ่ออกมา
“แล้วเธอเข้ามาที่นี่ได้หรอ
ไม่มีใครว่าหรอกหรอ”หญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มถามขึ้น
“ก็ไม่มีนะ ทุกคนดูปกติดี
เอาเป็นว่าฉันจะมาเยี่ยมบ่อยๆแล้วกัน”ยูกิรีบตัดบท
เพราะเธอไม่อยากให้เพื่อนสนิทของเธอรู้ว่าเธอไม่ใช่มนุษย์และเธอเองก็ไม่ยอมรับว่าเป็นยูกิอนนะสักหน่อย
มียูกิอนนะที่ไหนไปโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงปริญญาตรีบ้าง ยังทำงานกับมนุษย์
อาศัยอยู่ในเมืองมาตลอด ไม่มีทางที่เธอจะเป็นยูกิอนนะแน่นอน แค่เป็นมนุษย์ที่รอบตัวมีแต่ปิศาจก็พอแล้ว
“ว่าแต่ ยูกิ นี่ผิวดูขาวจริงๆนะ
เป็นยูกิอนนะหรือเปล่า”จู่ๆมายุก็ถามขึ้น จนทำอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้ง
ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อ
“นั่นสินะ ยูกิเป็นโรคภูมิแพ้
หน้าร้อนจะผื่นขึ้นทั้งตัวเลย ยูกิคงเหมาะกับหน้าหนาวมากกว่า สมแล้วที่ชื่อยูกิ”มายุพยายามคาดคั้นอีกฝ่ายหนึ่งให้ยอมรับออกมา
“อะไรกัน
ยูกิอนนะอะไร ไม่เห็นรู้จักเลย”เธอรีบตัดบท
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าข้ออ้างของเธอนั้นไม่สมเหตุสมผลเสียเลย
“อ...อะ แล้วชื่อยูกิของฉัน แปลว่า ความกล้าหาญ
ไม่ใช่ยูกิที่แปลว่าหิมะสักหน่อย”ยูกิรู้ตัวว่าแม้จะกล่าวเช่นนั้นออกไป มายุต้องรู้แน่นอน ข้ออ้างของเธอมันไม่มีอะไรสมเหตุสมผลสักอย่างเดียว
“จ้า จ้า”มายุรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายทำตัวผิดปกติ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“....”เพื่อนสาวของเธอไม่ตอบคำถามนี้แต่อย่างใด ยูกินึกไม่ออกแล้วว่าต้องหาข้ออ้างอย่างไรดี สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามเสียดื้อๆ
“...”มายุจึงเงียบลงเช่นกันอยู่สักพักหนึ่ง ยูกิเพียงถอนหายใจออกมา และลาเธอกลับไป
“ขอโทษด้วยแล้วกันช่วงนี้งานยุ่งน่ะ
เอาไว้วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะ”
“แล้วเจอกัน”มายุโบกมือให้อีกฝ่าย
ก่อนจะมองดูเพื่อนของเธอเดินจากไปเช่นกัน ความรู้สึกโดดเดี่ยวจึงเข้ามาครอบงำ เธอ
หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างโศกเศร้า วันนี้มันช่างแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิงที่เต็มไปด้วยความสุขสมหวัง เธอได้เป็นเจ้าสาวไม่ทันไรก็มาเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับเธอเช่นนี้ คำสาปนั้นถ้าไม่มีวันหายเธอจะทำเช่นไรต่อไปดี
ความคิดเห็น