คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : พิธีกรรม
มายุขึ้นไปนั่งบนรถเก๋งญี่ปุ่นสี่ประตูสีเงิน ที่เพื่อนสาวขับรถมารับเธอที่อีกฝ่ายหนึ่งถึงกับขับรถข้ามจังหวัดมาในทันทีและตื่นเต้นตกใจและสงสัยที่มายุหายไปอย่างเป็นปริศนามานานนับเกือบสามเดือน ซึ่งจู่ๆเธอก็กลับมา โดยปลอดภัยดี แต่ก่อนที่มายุจะได้กล่าวอะไรนั้น ยูกิก็ชิงถามขึ้นมาก่อนด้วยความเป็นห่วง
“มายุเธอหายไปไหนมา ทุกคนนึกว่าเธอตายไปแล้ว!!?”ยูกิถามขึ้นพร้อมกับขับรถออกไปตามถนนเส้นเล็กที่ตัดผ่านภูเขาท้องถนนที่เลี้ยวคดไปมานั้นทำให้เธอต้องจดจ่อกับเส้นทาง แต่ก็หันมามองชุดยูกาตะอย่างสงสัย
“บนเขาน่ะ…”มายุยังหันกลับไปมองภูเขาลูกนั้น และหยุดลงสักพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“มีบ้านคนอยู่น่ะแถวนั้นพอดีน่ะ และเขารู้จักเส้นทางในป่าดี เลยช่วยฉันหนีจากพวกลูกสมุนของ เจ้า
เคสุเกะ น่ะสิ”
“หรอ!!??
ไม่น่าเชื่อ แล้วเธอได้รับบาดเจ็บไหมเนี่ย”ดวงตาสีดำมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเป็นห่วง
“ก็ถูกไล่ยิงน่ะ”มายุควักห่อผ้าที่มีกระสุนนัดหนึ่งที่เปื้อนเลือดออกมา
“…ฉันถูกยิงเข้าที่หลัง”
“ให้ตายสิ!!...น่ากลัวจริงๆ แต่เธออาการดีขึ้นแล้วใช่ไหม เธอดูไม่เป็นอะไรเลย”ยูกิทั้งมองทางสลับกับผู้ที่นั่งด้านข้างคนขับ
“ก็หายแล้วล่ะ ยูกิไม่ต้องห่วงนะ”เธอยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายโล่งใจ
“แต่เธอรู้ไหมว่า ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหนเลย แม้แต่กล้องวงจรปิดก็ถูกทำลายหมด พวกมันไม่กลัวกฎหมายบ้างรึไง?”ยูกิสาธยายออกมาด้วยความขุ่นเคือง ก่อนยูกิจะกล่าวออกมา
“แล้วก็…เรื่องใบอนุญาตว่าความของเธอน่ะ..”
“ฉันรู้แล้ว ฉันไม่ได้ไปในวันที่กรรมการเขาจะสอบฉันใช่ไหมล่ะ ยังไงก็ต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว…”มายุพูดขึ้น
และมองไปทางอื่น และถามต่อ
“แล้วผู้หญิงคนนั้น เธอตายแล้วใช่ไหม?”มายุมีแววตาที่ดูสลดลงเมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ เรื่องนั้นมีคนต้องสังเวยไปกี่ชีวิตกันจึงจะมีความยุติธรรมเกิดขึ้นมาได้
“ใช่…
เธอถูกสันนิฐานว่าฆ่าตัวตาย แต่ว่าผลชันสูตรอื่นยังไม่ออก ก็เลยไม่รู้ว่าจะเธอฆ่าตัวตายจริงหรือไม่”
“ถ้ามันเป็นเพราะฉันล่ะ…”มายุก้มหน้าและนึกโทษตัวเอง ว่าหากเธอฆ่าตัวตายจริงๆล่ะ เพราะว่าไม่มีใครให้ความยุติธรรมกับเธอได้แล้ว
“มายุ มันไม่ใช่ความผิดเธอนะ เธอพยายามแล้วนะ”
“ขอบใจนะ”
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อ?”ยูกิถามขึ้น และกำลังคิดว่ามายุน่าจะหนีไปหลบอยู่ต่างจังหวัด หรือไม่ก็ต่างประเทศเพื่อจะหลบอีกฝ่ายหนึ่งพ้นได้
“ยังไงเจ้าเคสุเกะก็ต้องโดนโทษอะไรบ้างแหละ”ร่างบางกล่าวออกมาด้วยสายตาที่แน่วแน่
“นี่เธอยังไม่เลิกความคิดนี้อีกหรอ?”อีกฝ่ายถลึงตาใส่มายุ แทบจะขึ้นเสียงใส่มายุ
“เจ้านั่นทำชีวิตฉันพัง ฉันก็ต้องทำให้ชีวิตมันพังได้…”มายุหันกลับมาบอกยูกิด้วยความมั่นใจ
“ถ้าอย่างนั้นเธอจะทำอะไร ฟ้องอาญา? ฟ้องแพ่ง? ฟ้องศาลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง?”
“ถูกต้อง”ร่างที่สวมยูกาตะพยักหน้ารับ และอธิบายต่อ
“แล้วชาวบ้านคนอื่นก็อาจจะยังฟ้องอีก…”
“เธอคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นหรอ…และเธอก็ไม่ใช่ทนายแล้วนะ”ยูกิค้านอีกฝ่ายหนึ่งสุดชีวิต
“ก็ต้องลองดูก่อน…ยูกิฉันขอชาร์ตมือถือแปปนึงนะ”หญิงสาวนำสายชาร์ตมาต่อในรถ และสักพักเมื่อโทรศัพท์เปิดขึ้นได้ มายุจึงโทรหา เบอร์โทรของชาวบ้านที่เธอจดบันทึกไว้ออกมา เธอคุยกับอีกฝ่ายอยู่สักพักและเปลี่ยนหมายเลขไปเรื่อยๆ มายุพูดกับคนนับสิบคนแต่ก็มีคำตอบไม่ต่างกันนัก จนเธอจะวางสายสุกท้ายที่เธอโทรไป ด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง
“เป็นไงล่ะ…”อีกฝ่ายถามเพราะรู้คำตอบของคนปลายสายอยู่แล้ว
“ก็…เขาบอกว่าเขากลัวเจ้าเคสุเกะ แล้วก็เชื่อว่าหญิงคนนั้นถูกฆาตกรรมอำพราง”
“แล้วทีนี้เธอจะทำอย่างไรต่อ?”
“ฉันก็ฟ้องมันยังไงล่ะ มันจะฆ่าฉันนะ!!”มายุมีสีหน้าที่หงุดหงิดนัก เธออยากเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งจริงๆ
“เธอคงได้หายไปอีกรอบแน่ๆเลยมายุ เพราะโทษมันหนักกว่าเรื่องการปล่อยน้ำเสียอยู่หลายขุมเลยนะ ไอ้ข้อหาพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเนี่ย!!!”
“ฉันก็คิดแบบนั้นแหละยูกิ…”เธอถอนหายใจออกมา
“ถ้างั้นอย่าทำเลยมายุ ที่เธอรอดมาได้ก็ปาฎิหารย์แล้ว”
“…แต่ฉันทนไม่ได้ ยูกิ
ถ้าจะปล่อยให้มันยังคงลอยนวล อย่างนี้เราจะมีกฎหมายไว้ทำไม หากยังมีคนที่อยู่นอกเหนือกฎหมายได้ ฉะนั้นฉันต้องทำ”
“งั้นฉันจะคอยเอาใจช่วยนะ”ยูกิยอมแพ้อีกฝ่ายและขับรถต่อไป เพื่อจะพามายุไปส่งที่บ้านของเธอ ระหว่างนั้นยูกิเองก็ยังมีสีหน้ากังวลมากนัก เพราะเป็นห่วง อีกฝ่ายหนึ่ง เสียงจนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อออออออออ”
“เธอไม่รอดแน่ๆ พอเถอะน่ามายุ ไม่มีใบอนุญาตว่าความ แต่เธอยังทำงานอื่นได้นะ อย่างฉันยังไงล่ะ อย่างน้อยก็เห็นแก่ที่ฉันเป็นห่วงหน่อยก็ดีนะ”ยูกิไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้ที่อีกฝ่ายยังคงดึงดันไม่เลิก
“ฉันก็กลัวแหละยูกิ แต่ฉันตัดสินใจแล้วนี่นา”
“แล้วเธอป้องตัวเองได้บ้างไหมล่ะ”มายุส่ายหน้าก่อนจะกล่าวต่อ
“ยิงธนูพอได้บ้างเพราะเคยอยู่ชมรมยิงธนูตอนมัธยม ถ้าคล้ายๆกันก็คงถือว่ายิงปืนเป็นได้แหละ”มายุมีสีหน้าครุ่นคิดนัก
“ปืน??
กฏหมายญี่ปุ่นเขาไม่ให้เธอครอบครองปืนง่ายๆหรอกนะ”ยูกิกล่าวออกมาโดยที่ตนเองยังมองเส้นทางเบื้องหน้าอยู่
“แต่ก็นั่นแหละฉันไม่มีปืนหรอก”มายุตอบเสียงอ่อย พอคิดดูดีๆแล้ว เธอก็ป้องกันตัวไม่เป็นเลย
“แต่ว่า…แม้ว่ากฏหมาย จะควบคุมให้คนธรรมดาใช้ปืนไรเฟิลกับลูกซองล่าสัตว์ก็เถอะ แต่ว่า
ไอ้พวกที่ยิงฉันมันใช้ปืนลูกโม่ น่าแปลกดีไหมล่ะ?
มันต้องเป็นปืนเถื่อนแน่ๆเลย”มายุอธิบายออกมายืดยาว
“ฉันว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ ขนาดพวกยากูซ่ายังไม่อยากพกปืนกันเลยนะ…”
“ยูกิล่ะก็ มันไม่ธรรมดามาตั้งแต่รุ่นพี่ที่สำนักงานทนายความหายตัวไปแล้วล่ะ”ยูกิที่ได้ฟังก็นึกขึ้นมาได้ ถึงข่าวดังเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา
“มายุ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วน่ะ มีคนพบศพรุ่นพี่ของเธอแล้วล่ะ ที่กองขยะ
ได้ยินว่าถูกหั่นศพด้วย….มายุ
เธอยอมแพ้เถอะ ถือว่าฉันขอร้องล่ะ”
“ไม่หรอก…ฉันเชื่อว่าฉันจะไม่เป็นไร”มายุหยิบใบโมมิจิขึ้นมาพิจารณาและภาวนา
ขอให้ฉันปลอดภัยด้วยเถอะ…ยังไงก็อยากจะไปพบเขาอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนยูกิที่เห็นว่าคงห้ามอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆจึงเงียบลง และก็ภาวนาในใจเช่นกันว่าขอให้เพื่อนของเธอปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆนาๆด้วยเถิด อย่าให้ตายตั้งแต่อายุยังน้อยๆเช่นนี้เลย หากเป็นไปได้ก็ขอให้เธอยอมไปทำงานอย่างอื่นแทน และมีคนอื่นจัดการเคสุเกะ ใครก็ได้ที่จะไม่ใช่มายุเด็ดขาด อย่าให้เพื่อนของเธอต้องกลายเป็นบุคคลสาบสูญเลย
อีกทางด้านหนึ่งของภูเขาลูกนั้นกลางป่าเขาลำเนาไพรในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้แห้งที่ทับถมกันบนพื้น กับพายุฝนที่มาผิดฤดูทำให้อากาศรอบข้างนั้นหนาวสั่น ร่างของคนทั้งสองต่างเดินกลับด้วยความเปียกปอน เพราะพายุที่โหมกระหน่ำเสียจนมองไม่เห็นทางเบื้องหน้า ทัศนวิสัยนั้นแทบจะเป็นศูนย์ ไม่นานนักเสียงเรียกหาชายหนุ่มก็ดังขึ้น ร่างสองร่างที่บินอยู่บนอาศัยอย่างทุลักทุเลด้วยแรงลมจนเกือบจะทรงตัวไม่ได้ ก็ได้กล่าวขึ้น
“ท่านไดกิขอรับ!!”คาบูโตะกับทาโร่ ทั้งสองต่างกล่าวเรียกแทบจะพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะลงมาคุกเข่าต่อผู้อยู่เบื้องหน้าของตน
“ท่านไดกิขอรับ เหล่าการาสุเทนกุอาวุโสบอกว่าท่านจะทำพิธีรับตำแหน่งผู้ปกครองหรือขอรับ?”ทาโร่กล่าวขึ้น
“ใช่”เขากล่าวขึ้น อากาเนะมีสีหน้าตกใจกับคำตอบนั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ควรประกาศในที่ประชุมใหญ่
รวมถึงให้การาสุเทนกุทุกตนได้ทราบ แต่เธอไม่รู้
“ทำไมหรือเจ้าคะ ทำไมข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง?!!”อากาเนะมองสลับทั้งสองฝ่าย
“ข้ารับปากไว้แล้ว ยังไงข้าก็ต้องทำ แม้ข้าจะเห็นว่าพิธีนี้มันเสียเวลาเปล่าก็ตาม”เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ จนผ่านลูกสมุนคนสนิทของเขาทั้งสองไป
“แต่ว่าท่าน…”คาบูโตะกล่าวขึ้น พร้อมกับเดินตามอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวต่อ
“ท่านเป็นคนที่ตั้งใจทำงานนะขอรับ คิดเสียว่าเป็นสิ่งที่พวกข้าอยากมอบให้ท่านก็แล้วกันขอรับ”
“…นั่นสิขอรับ…”คราวนี้ทาโร่เสริม
“ข้าคิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้ปกครองสักนิดเลย
ข้ามัวแต่ทำงานของเซริว มิเคยได้ปกครองดูแลพวกเจ้าจริงๆเลยสักครั้ง
จะให้ข้ามีสีหน้ายินดีที่ได้รับตำแหน่งทั้งที่ข้าทำตัวแบบนี้มันก็กระไรอยู่ และก็...ข้ามันอ่อนแอจะตายไป ข้าผ่านพิธีกรรมในการรับตำแหน่งไม่ได้แน่ พวกเจ้าก็รู้ว่าข้ามีเรื่องอะไรให้กังวลใจอยู่ตลอดนานนับหลายร้อยปี”เขาอธิบายออกมา
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะท่านไดกิเจ้าคะ ท่านไดกิทำงานอยู่ในห้องทำงานเกือบตลอดทั้งวัน มีเวลานอนพักก็ไม่เท่าไหร่ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้องเลยเจ้าค่ะ
แถมท่านไดกิยังทำงานหนักเพื่อจะให้พวกเรามีอิสระอีกครั้ง
ท่านไดกิไม่มีทางเป็นผู้นำที่แย่หรอกนะคะ พวกข้าต้องยินดีเสียอีกที่มีท่านคอยทำงานหนักขนาดนี้ ส่วนพิธีกรรม..พวกข้าไม่รู้จะช่วยท่านไดกิอย่างไรดีเจ้าค่ะ แต่คิดว่าท่านไดกิต้องผ่านพ้นไปได้แน่เจ้าค่ะ”อากาเนะกล่าว ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ก่อนข้าคอยปกป้องเขามาตลอดประดุจน้องชายของข้า แต่ตอนนี้เขากลับปกป้องดูแลเราทั้งหมด…ช่างน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก”เพียงแต่ไดกิยังมีสีหน้าที่เรียบเฉยนัก
“แล้วพวกเจ้ารู้ไหมว่าพิธีเริ่มขึ้นเมื่อใด”เขาถามไถ่ขึ้น ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยยินดีนัก
แล้วรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังพิธีนี้อย่างแน่นอน
“ข้าไม่ทราบขอรับ แต่คงจะจัดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ขอรับ”คาบูโตะกล่าวขึ้น
เมื่อเขากลับมาที่คฤหาสน์โบราณหลังใหญ่ก็พบว่าทุกคนต่างมารอพบเขาอยู่แล้วอยุ่ในห้องโถงใหญ่ทางปีกขวาของคฤหาสน์ ด้วยความที่ไดกิรู้สึกไม่อยากให้เหล่าผู้อาวุโสรอนาน เขาจึงเข้ามานั่งทั้งที่ที่ตัวยังคงเปียกปอนด้วยน้ำฝนก่อนจะคำนับผู้ที่อยู่เบื้องหน้าทั้งเก้า การาสุอาวุโสทั้งหลายจ้องมองเขา ก่อนยามะคาวะจะกล่าวออกมาในทันที
“พวกข้าได้ตกลงกันแล้วท่านไดกิ
ด้วยเสียงส่วนใหญ่นั้น เห็นว่าท่านไดกิต้องเข้าร่วมพิธีเข้าสู่ตำแหน่งผู้ปกครอง
อย่างเป็นทางการได้แล้ว และพิธีจะเริ่มขึ้น ในวันพรุ่งนี้ขอรับ”
“วันพรุ่งนี้เลยรึขอรับ?!”ไดกิกล่าวด้วยความสงสัยระคนกับตกใจกับคำตอบที่ได้รับเขายังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย ที่ในขณะนี้เขาได้นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าการาสุเทนกุอาวุโสนับเก้าชีวิต ที่นั่งเรียงตามลำดับชั้น และผู้ที่นั่งอยู่สูงที่สุดคือท่านยามะคาวะ ในห้องโถงขนาดใหญ่ในคฤหาสน์
“ใช่แล้ว ท่านไดกิ
แท้จริงพวกเราอยากให้ท่านเข้าทำพิธีนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเลยสักที แต่ในวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี”ยามะคาวะได้กล่าวขึ้น
“โอกาสอันดีหรือขอรับ?”ชายหนุ่มประหลาดใจนัก และยิ่งสงสัยว่าจะมีบางสิ่งแอบแฝงอยู่
ยิ่งเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้ว คงไม่พ้นมีเรื่องมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน
“ใช่แล้ว…แต่ก่อนอื่นข้าก็ต้องขออภัยที่พวกเราเข้ามานั่งในคฤหาสน์ของท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน”ยามะคาวะค่อยๆคำนับ ส่วนไดกิเองก็คำนับอีกฝ่ายกลับอย่างนอบน้อม
“พวกข้าคิดดูแล้ว ท่านไดกิเองก็โตขึ้นมากทีเดียว ตั้งแต่ท่านมารับตำแหน่งแทนท่านไดอิจิจากตอนนั้น…”อีกฝ่ายยังนิ่งเงียบ รอฟังอายุมุกล่าวออกมา
“ข้าดีใจที่ในที่สุดท่านก็ยอมใจอ่อนตกปากรับคำว่าจะเข้าร่วมพิธีจนได้เจ้าค่ะ”
“พวกท่านมีอะไรแอบแฝงนอกจากการจัดพิธีนี้หรือไม่ขอรับ
เหตุใดต้องรีบจัด? เหตุใดต้องมาจัดในช่วงนี้
ที่เพิ่งจะมีมนุษย์เข้ามาในอาณาเขตของข้า”ชายหนุ่มมองหาคำตอบจากผู้อาวุโสทั้งเก้าตนอย่างสงสัยและคาดคั้นอีกฝ่ายหนึ่ง
“เมื่อท่านได้พามนุษย์นั้นเข้ามา พวกข้าจึงกังวลนัก เพราะเช่นนั้นท่านไดกิ จะต้องสาบานต่อหน้าพวกข้าเจ้าค่ะ
ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อปกครองการาสุเทนกุ อย่างที่ท่านไดกิได้ตกปากรับคำกับข้าและทานากะไปเจ้าค่ะ …”เธอกล่าว
“ท่านกลัวข้าจะทำสิ่งใดกัน
ข้ามิเข้าใจ”ไดกิงุนงงยิ่งนัก ก่อนจะกล่าวออกมาให้อีกฝ่ายได้เข้าใจและคลายข้อสงสัย
“พวกท่านคิดว่าข้าจะสามารถรักมนุษย์ได้อีกรึ หลังจากที่ข้าพบเจอมาตลอดเวลาที่ผ่านมามันเกินกว่าข้าจะยอมรับได้ มนุษย์นั้นอ่อนแอ คิดถึงแต่ตนเองเท่านั้น ข้าไม่ไปหลงรักนางผู้นั้นเสียหรอก ยังไงเสียมนุษย์ก็ย่อมต้องคู่กับมนุษย์ ปิศาจอย่างข้าก็ต้องมี”
“แต่ข้ากลับไม่เห็นด้วย”ยามะคาวะค่อยๆลุกขึ้นยืนและเดินช้าๆเข้ามาหาอีกฝ่าย แต่เขาก็ต้องยอมรับกับเสียงส่วนมาก
“ท่านเป็นถึงกับไดเทนกุนะ แม้ท่านจะคิดว่าไม่ใช่มาตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ข้ารู้ดีว่าท่านไดกิสามารถเป็นไดเทนกุที่น่านับถือได้ หากท่านจะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ท่านต้องต่อสู้กับบาดแผลของท่าน หากมันทำให้ท่านรอดชีวิตมาได้ มันจะทำให้เจ้าแกร่งขึ้น
บาดแผลที่ท่านไดกิเคยพบเจอนั้นมันเจ็บปวดและทุกข์ทรมาณมาก”คำพูดนั้นถึงกับทำให้ท่านไดกิได้ครุ่นคิด
“บาดแผลนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบาดแผลจากการสู้รบแลอาวุธ แต่รวมถึงบาดแผลภายในจิตใจของท่านด้วย เรื่องความรัก
เจ้าจะรักกับใครก็ได้ พวกข้าไม่มีสิทธิไปห้ามท่าน”ก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้ามิคิดว่าหญิงนางนั้น จะเป็นอย่างที่ท่านไดกิกล่าว นางนั้นอ่อนแอจริงหรือ? หรือเห็นแก่ตนเอง? ท่านลองตรองดู ข้ามิได้ห้ามไม่ให้ท่านเกลียดนาง แต่ท่านจะมีอคติจนสายตามืดบอดไม่ได้”ร่างของผู้อาวุโสค่อยๆเดินกลับไปที่ที่นั่งของตนพอๆกับอายุมุที่รีบกล่าวแทรกขึ้นมา
“ท่านยามะคาวะ?! เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น!?”
“ข้ากล่าว…มิได้หมายถึงแต่เจ้าไดกิเสียแต่คนเดียวหรอก ใครจะรับก็รับไป”อายุมุถึงกับเงียบลง และไม่รู้จะถกเถียงอย่างไรต่อไปดี
“ท่านยามะคาวะ แต่พวกเรายังเกรงกลัวมนุษย์ยิ่งนัก ขนาดมิวะที่พวกเราเชื่อใจนักหนา
ก็ยังฆ่าท่านไดอิจิ กับท่านยูมิโกะได้ลงคอ จะเชื่อใจนางได้รึ”ทานากะกล่าวขึ้น
“ช่างปะไรพวกเจ้าเกรงกลัวหรือไม่นั้น พรุ่งนี้ท่านไดกิยังไงก็ต้องเข้าพิธีอยู่ดี แต่ที่ข้ากล่าวนั้นข้าหมายถึงว่าเจ้าอย่าไปยุ่งกับไดกิมากนักเลย จะให้เขาเป็นหุ่นเชิดของพวกเจ้ารึ? ที่ท่านไดกิเรียกพวกเจ้าว่าท่านก็ดีแค่ไหนแล้ว ท่านไดกิเป็นถึงไดเทนกุ แต่ยังเห็นว่าพวกเจ้าคอยสั่งสอนการงานต่างๆ จึงให้ความนับถือ พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ตัวดีว่าตนนั้นควรอยู่ในฐานะไหน…”ท่านผู้อาวุโสกล่าวขึ้น
“ท่านยามะคาวะขอรับ...”เสียงของการาสุเทนกุตนหนึ่งกระซิบเรียกให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตนยังมีบอกอย่างสำคัญยิ่งกว่าการมานั่งเถียงกันเองชายชราจึงวกกลับมากล่าวเรื่องธุระของตน
“ท่านไดกิเอง ในวันพรุ่งนี้ท่านจะต้องเตรียมตัวและจิตใจให้พร้อมเสียก่อน ท่านจะต้องล้างตัวก่อนจะเข้าพิธีในช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและห้ามทานอาหารใดๆทั้งสิ้น และนั่งภาวนาในห้องจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน และเมื่อยามดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ท่านต้องนั่งบนบัลลังค์ และกล่าวคำสาบานเสีย จากนั้นท่านจะต้องดื่มสาเกหนึ่งจอกนั้นที่พวกข้าเตรียมไว้ให้เป็นอันจบพิธี”
“ฟังดูง่ายกว่าที่คิดนะขอรับ”เขากล่าวขึ้น
“แต่สิ่งที่ยากสุดคือจิตใจที่แน่วแน่ของท่าน ที่มีความตั้งใจจะทำให้คำสัตย์สาบานของท่านนั้นเป็นจริง”ยามะคาวะกล่าวขึ้น เมื่อกล่าวจบแล้ว ผู้ชรานั้นได้บอกให้การาสุเทนกุตนอื่นๆไปคุยกันต่อที่ศาลาไม้กลางป่า จะได้ไม่รบกวนไดกิ การาสุเทนกุทั้งเก้าคำนับไดเทนกุหนุ่มก่อนจะรีบออกจากห้องโถงนั้นไปเสียจนหมด ส่วนทุกคนนั้นเมื่อทราบถึงข่าวคราวเรื่องพิธีในวันพรุ่งนี้แล้วก็ต่างเตรียมการอย่างวุ่นวาย เสียชายหนุ่มจะเรียกใช้ใครมิได้เลย เมื่อเขานึกขึ้นได้นั้น ฝนฟ้าคะนองด้านนอกได้หยุดตกไปเสียแล้ว หยาดฝนที่ตกช่วงใกล้ฤดูหนาวนั้นคงจะแปลกตายิ่งนัก แต่ว่าเขารู้ดีว่าเมื่อครู่นั้น หยาดพิรุณได้เกิดมาจากพลังของเขา แล้วเหตุใดเขาจึงควบคุมพลังเช่นนั้นมิได้เล่า ตั้งแต่เมื่อเขาได้คุยกับหญิงสาว จนไปถึงลมพายุฝนที่เขาเกือบจะทำร้ายผู้อาวุโสทั้งสองอีกต่างหาก เหตุใดเรื่องเช่นนี้จึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มสงสัย หรือพลังที่ได้รับกลับคืนมานั้น ช่างยิ่งใหญ่และรุนแรงกว่าที่เขาคาดไว้นัก ปิศาจหนุ่มที่เปียกปอนนั้นได้เดินขึ้นไปบนห้อง และจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกโชกเสีย และในใจของเขาได้นึกถึงคำพูดของการาสุเทนกุผู้ถือไม้เท้าที่เขาได้สนทนาไปเมื่อครู่
“พวกท่านคิดว่าข้าจะสามารถรักมนุษย์ได้อีกรึ
หลังจากที่ข้าพบเจอมาตลอดเวลาที่ผ่านมามันเกินกว่าข้าจะยอมรับได้ มนุษย์นั้นอ่อนแอ คิดถึงแต่ตนเองเท่านั้น
ข้าไม่ไปรักนางผู้นั้นเสียหรอก ยังไงเสียมนุษย์ก็ย่อมต้องคู่กับมนุษย์ ปิศาจอย่างข้าก็ต้องมีชายหนุ่มเมื่อเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้วจึงค่อยหย่อนตัวนั่งที่ปลายเตียงของตน แลครุ่นคิดต่อ
ข้ามิได้ชอบเจ้าเลย มายุ
ทั้งที่เจ้าก็รู้ตัวเองดีว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก ใยจึงพยายามมาพูดคุยกับข้านัก เหมือนจะสงสัยและอยากรู้ไปเสียทุกเรื่อง จนบางครั้งข้าก็คิดว่าเจ้าใส่ใจข้า เจ้าวางแผนจะทำอะไรกัน…และยังกล่าวว่าจะไม่กลับมาเสียที่นี่อีก แต่ข้าก็รู้ดี มนุษย์อย่างเจ้าไม่นานก็หลงลืมเรื่องนี้เสีย ไม่เหมือนพวกข้าที่มีอายุยาวนานกว่าเจ้านัก และ…ในบางทีเจ้าก็คล้ายกับนางผู้นั้นเลย ทั้งหน้าตาและคำพูดบางคำ นั่นทำให้ ข้ารู้สึกขยะแขยงเจ้าไปในที ทั้งที่นางนั่นเป็นคนทำให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าตายแท้ๆ
“แล้วข้าจะทำใจให้ชอบมนุษย์ ได้เยี่ยงไรล่ะ ข้าเสียทุกคนไปเพราะนางคนเดียว…”ไดกิพึมพำกับตนเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต่างจากนาง คือเจ้ากล้าถามข้า กล้าบอกข้าในเรื่องต่างๆ และฟังข้าในเรื่องต่างๆ มิใช่ฟังแล้วก็ผ่านเลยไปแบบนางและนั่นเป็นสิ่งที่ข้าเรียกหาจากนางไม่ได้เลย... แต่คราวนี้เจ้าก็ผิดคำสัญญาจนได้ เพียงก้าวเดียวที่เจ้าก้าวออกไปจากอาณาเขตข้า เจ้าก็กลับคำเสียแล้ว และเช่นนี้จะให้ข้าเชื่อเจ้าได้เช่นไรกัน
ไดกิเพียงมองออกไปนอกระเบียงเท่านั้นอยู่นานสองนานเท่านั้น และยังคงครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆต่อไป แต่ทว่าไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องคิดถึงมนุษย์นั้นเสียจนได้ จนชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมาแม้จะเข้าใจสาเหตุที่อีกฝ่ายจะไม่กลับมาก็ตาม แต่นั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยอยากจะคิดถึงเรื่องนั้น
“แต่ถ้าให้คิดว่าเจ้าจะออกไปตาย…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดเช่นไรที่ทำให้ข้าพอจะสบายใจได้บ้าง” ร่าของเขาล้มนอนลงบนเตียง เขาเองก็ควรจะนอนเสียตอนนี้เพราะพรุ่งนี้มีพิธีสำคัญรออยู่ แม้ว่าเขาจะยังไม่ง่วงก็ตาม แต่จิตใจที่ว้าวุ่นเช่นนี้เขาเองก็ไม่มีสมาธิที่จะทำงานเช่นกัน ดวงตาสีดำขลับจ้องมองฝ้าเพดานอยู่เสียนาน และพลิกตัวไปมาเพราะไม่อาจทนนอนในสภาพนี้ได้
“แบบนี้จะเหมือนว่าข้าไล่นางหรือเปล่านะ ถ้านางเป็นอะไรขึ้นมา ก็เพราะข้าแท้ๆเลย หวังว่ายันต์ที่ข้ามอบให้จะพอปัดเป่าภยันตรายได้บ้าง”
ไดกินั่งคิดนอนคิดอยู่นานเสียจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ทั้งลุกขึ้นนั่ง เดินไปมารอบๆห้อง รวมถึงลงไปนอนบนเตียงของเขาแต่ก็ไม่สามารถสงบใจได้ เมื่อคิดว่าหากอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร หากเธอตาย….เหมือนแม่ของเขา ที่จากไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาก็คงรับไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งเขาไม่รั้งเธอไว้แล้วด้วย นี่คือบาปของเขาที่จะติดตามตัวเขาไปอีกนานจนวันสุดท้ายของชีวิต ชายหนุ่มเองมัวแต่คิดเรื่องอีกฝ่ายจนมิได้สนใจ งานพิธีในวันรุ่งขึ้นเลย จนกระทั่งเขารู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงนกร้องด้านนอกเสียแล้ว ไม่นานนักเสียงของหญิงเรือนผมสีดำก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง
“ท่านไดกิเจ้าคะ ถึงเวลาที่ท่านต้องไปอาบน้ำที่ด้านหลังม่านน้ำตกแล้วเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวข้าจะตามไป อากาเนะ”
“มิได้เจ้าค่ะ ท่านไดกิควรจะออกมาตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”ชายหนุ่มค่อยสวมเสื้อคลุมและเดินไปที่ระเบียง ก่อนจะพบว่า
เหล่าการาสุเทนกุตนอื่นๆในหมู่บ้านออกมายืนรอด้วยความอยากรู้และจับกลุ่มคุยกัน
งานพิธีนี้มันสำคัญขนาดนั้นเลยรึ ข้าไม่นึกว่าทุกคนจะตื่นตาตื่นใจขนาดนี้
ชายหนุ่มจึงเปิดประตูห้องไป และพบกับอากาเนะที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น
“ท่านไดกิตามข้ามานะเจ้าคะ”เธอเดินนำเขาลงไปที่ด้านล่าง และนำเขาไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ที่มีขบวนการาสุเทนกุรอเขาอยู่ มีการาสุเทนกุตนหนึ่งคอยกางร่มไว้ให้ และอีกตนหนึ่งด้านหลังสุดถือเสื้อผ้าที่พับอย่างเรียบร้อยของท่านไดกิ
และยังมีการาสุเทนกุสองคู่ที่ถือดอกไม้อยู่หน้าขบวน ไดกิที่เห็นถึงกับหันกลับมาถามอากาเนะ
“พิธีนี้ ปกติจะไม่จัดยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่รึ แต่แบบนี้มันเหมือน…”
“ท่านไดกิเจ้าคะ อย่าถามให้มากความเลยเจ้าค่ะ เพราะข้าก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ”อากาเนะรีบกล่าว ไดกิที่มิได้คำตอบจึงต้องทำตามพิธีไปเสียก่อน
“ท่านต้องเดินไปนะเจ้าคะ”อากาเนะย้ำกับเขาอีกทีหนึ่ง ชายหนุ่มเพียงพยักหน้า และออกเดินเสีย ไม่นานนัก ทั้งคาบูโตะกับทาโร่ที่กระหืดระหอบออกมาก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าหญิงผู้สวมชุดเฮอันเสีย
“ท่านไดกิไปแล้วรึ?”ทาโร่รีบกล่าว
“ใช่แล้ว”
“และทำไมเจ้าไม่รีบปลุกข้า ทั้งๆที่ข้านอนอยู่ข้างๆเจ้าแท้ๆ”คาบูโตะรีบโวยวายขึ้น
“ก็พวกเจ้าไม่มีหน้าที่ใดในพิธีนี้เลยนะ แล้วเจ้า!!
คาบูโตะ ทิ้งลูกๆไว้ที่กระท่อมอีกแล้วรึ?”อากาเนะแผดเสียงใส่
“ม…ไม่ๆๆๆ ข้าฝากเด็กๆไว้กับท่านป้าข้างบ้านแล้วว!!!”คาบูโตะรีบตอบ
“อ๋อ...งั้นรึ ก็แล้วไป”อากาเนะหันหลังกลับไปมองยังท้ายขบวนนั้น พอดีกับอายุมุที่เดินตามหาทั้งสามอยู่อย่างพอดิบพอดี
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่เสียเอง…ข้ากำลังสงสัยว่าคนสนิทอย่างพวกเจ้าจะไปสุมหัวกันอยู่ที่ไหน”
“ท่านอายุมุขอรับ ทำไมถึงต้องมาจัดงานในเร็ววันเช่นนี้ขอรับ”ทาโร่ถามขึ้น
“ก็พิธีเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ปกครองอย่างเป็นทางการยังไงล่ะ เจ้าสงสัยอะไรรึ?”เธอตอบด้วยเสียงที่ยียวน ก่อนจะกล่าวต่อ
“เพราะว่าพวกข้านั้นสำนึกในการทำหน้าที่ของไดกิมาตลอด…”
“???”ทั้งสามคนต่างงุนงง
“พวกเจ้าลืมไปแล้วรึว่าท่านไดกิยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการมาจะหนึ่งพันปีแล้ว
พวกข้าเหล่าการาสุเทนกุเองก็ต้องให้สัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านไดกิ และคอยช่วยเหลือท่านไดกิในภายภาคหน้าตลอดไป พวกข้าแม้จะไม่ได้มาพบท่านไดกิทุกวันแต่ก็รู้ดีว่าท่านไดกิทำงานหนักขนาดไหน ถึงกับว่าท่านไดกินอนเพียงวันละสองชั่วโมงมาตลอดเกือบจะห้าร้อยปี พวกข้าก็รู้ดี ดังนั้นมิใช่ท่านไดกิเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องแบกภาระนี้ แต่ก็เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้อาวุโสด้วย ที่จะต้องมาช่วยแบ่งเบาภาระท่านไดกิ” ทั้งสามร้องอ๋อ พร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย
เกือบลืมไปแล้วว่าเขายังไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำอย่างเป็นทางการ
เพราะช่วงที่ท่านไดกิขึ้นมาเป็นผู้ปกครองของการาสุเทนกุนั้นก็มีเรื่องลำบากมากมาย
จนทุกคนเกือบจะหลงลืมไปหมดแล้ว
“ท่านไดกิบ่ายเบี่ยงมาตลอด ตลอดห้าร้อยปี พวกข้าถามไถ่ตลอด แต่เขา…คิดว่าเป็นหน้าที่เขาเท่านั้นที่ต้องแบกภาระที่เกิดขึ้น
และเขาก็เป็นพวกไม่ชอบพิธีรีตองอยู่แล้วด้วย จึงปฏิเสธพวกข้าอยู่ร่ำไป…และโชคดีที่นางมนุษย์ผู้นั้นได้เข้ามา นางเป็นตัวที่ทำให้แผนของพวกเราสำเร็จ”อายุมุหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อนึกถึงแผนการอันล้ำลึกของตน
“ง...งั้นแปลว่าแท้จริงแล้วท่านก็ไม่ได้เกลียดมนุษย์หรือเจ้าคะ?”อากาเนะถาม
เพราะนางเป็นการาสุเทนกุที่กล้าออกปากเลยว่าไม่ชอบมนุษย์เท่าใดนัก
“เปล่า ข้าเกลียดมนุษย์ แต่เรื่องนี้ต้องขอบคุณนาง...”กล่าวจบนางก็เดินอย่างนวยนาดจากทั้งสามตนไป จนที่เหลืออยู่ยืนมองตาปริบๆอย่างงุนงง
ความคิดเห็น