คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : มรสุม
น้ำตกกลางป่าที่มีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็สวยงามเป็นอย่างมาก น้ำที่ใสประดุจกระจกมีใบเมเปิ้ลและใบแปะก๊วยลอยอยู่ หากดูไม่ดีก็คงมองไม่เห็นน้ำและนึกว่าใบไม้เหล่านั้นกำลังลอยอยู่บนพื้นแน่นอน น้ำตกที่ตกลงมายังเบื้องล่างก่อให้เกิดเสียงที่ฟังแล้วผ่อนคลายนัก ต้นไม้ยามใบไม้ร่วงมีทั้งสีแดงและสีเหลืองสลับกันไปก็ยิ่งดูน่าชม ภาพบรรยากาศของน้ำตกที่สวยงามราวกับภาพวาดนั้น น่าแปลกที่กลับดูเงียบเชียบอย่างผิดปกติเธอได้ยินเพียงเสียงน้ำตกเท่านั้นแต่กลับไม่มีสัตว์ป่าหรือแมลงเลย แม้แต่เสียงของนกร้องเธอก็ยังไม่ได้ยิน หญิงสาวมองไปรอบๆก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น น้ำตกที่มีสายน้ำไหลเย็น เมื่อไหลลงมายังแอ่งน้ำเบื้องล่างแล้วก็ไหลเอื่อยๆ
กลายเป็นลำธารกลางป่าไปรวมกับลำธารที่สายใหญ่กว่านี้
“ท่านไดกิคะทำไมที่นี่ถึงเงียบจังเลยคะ”บางทีเสียงที่เงียบกริบมากเกินไปก็ทำให้ดูวังเวงเช่นกัน
“
เจ้าไม่ชอบรึ?”
“บางทีดิฉันคงจะไม่ชินค่ะ”
“ข้าไม่มั่นใจว่าจะมีใครเข้ามาไหม ก็เลยกางเขตอาคมไว้”หญิงสาวแปลกใจกับคำตอบ แบบนี้ก็มีเพียงเธอกับเขาล่ะสิ แต่ทำไมต้องทำให้เป็นความลับอย่างนั้นด้วย และพลังอะไรต่างๆนาๆที่ชายหนุ่มมีนั้นเธอเองก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
“ตอนนี้ข้าไม่ได้สวมหน้ากากตอนคุยกับเจ้า ข้ากังวลว่าจะมีใครมาเจอ”ไดกิอธิบายออกมา
“แต่ว่าคุณอากาเนะก็ทราบแล้วนะคะ”
“ข้าหมายถึงคนอื่นน่ะ...เจ้ารู้ไหมตอนที่เทพเซริวมารับดาบคามินาริ เขาได้ต่อว่าข้า ว่าทำให้มนุษย์ต้องมาพบเจอกับอันตราย ข้าเองก็รู้สึกผิดนะที่ ปกป้องเจ้าไม่ได้ และยังมาทำให้เจ้าบาดเจ็บหนักอีก”
“ไม่เป็นไรนี่คะ ท่านไดกิก็ช่วยดิฉันนะคะ”เธอกล่าวออกมา และไม่ได้โกรธเคืองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ข้าคิดว่า…ข้าน่าจะทำเครื่องรางให้เจ้า ตอนที่เจ้ากลับไป เจ้าจะได้ปลอดภัย”ชายหนุ่มหยิบใบเมเปิ้ลสีแดงสดขึ้นมาวางไว้บนมือ
“ใบโมมิจิ นี้เจ้าอาจจะเห็นว่ามันก็เหมือนใบไม้ธรรมดาๆ แต่ว่าข้าอยากให้เจ้าคิดว่ามันเป็นใบไม้ที่อยู่ในอาณาเขตของข้า”ไดกิท่องคาถาออกมา ไม่นานนักบนใบเมเปิ้ลก็ปรากฏตัวอักษรโบราณขนาดเล็ก เป็นแถวยาว
ก่อนจะส่งให้มายุ
“ข...ขอบคุณค่ะ”เธอรับมาดูอย่างพิจารณา และรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก เหมือนได้ดูมายากล ในโลกนี้คงมีเรื่องหลายเรื่องที่เธอไม่เคยรู้อย่างแน่นอน
“แค่นี้ดิฉันก็ใจชื้นขึ้นเยอะแล้วค่ะ”มายุเก็บใบไม้นั้นไว้อย่างดี และกล่าวออกมา
“ท่านไดกิใจดีจริงๆเลยนะคะ”
“ไม่หรอก…ข้าไม่ได้ใจดีเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะกับมนุษย์ ข้าน่าถือว่าใจร้ายที่สุดเสียด้วยซ้ำ”ไดกิหลบตาอีกฝ่าย และพึมพำกับตนเอง
“มายุ…ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้า และเป็นเรื่องสำคัญนัก จึงได้มาคุยกับเจ้าในที่ห่างไกลเช่นนี้”เจ้าของดวงตาสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“อะไรหรือคะท่านไดกิ”มายุสงสัยขึ้นมา
“ที่จริงข้าต้องการกางเขตอาคมเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้เรื่องที่เราจะคุยกัน โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโส”
“ท่านยามะคาวะน่ะหรือคะ?”
“ไม่ใช่หรอก การาสุเทนกุอาวุโส มีอยู่ทั้งหมดเก้าตน แม้ข้าจะเป็นเหมือนผู้นำก็จริง แต่การทำงานของข้านั้นจะต้องมีเหล่าผู้อาวุโสของการาสุเทนกุคอยกำกับดูแล และพวกเขาไม่ค่อยชอบมนุษย์เท่าไหร่นัก...ที่จริงข้าก็ไม่ได้ชอบมนุษย์ แต่เจ้าอาจจะถือว่าเป็นข้อยกเว้น”มายุพยักหน้าทำความเข้าใจ
พวกเทนกุนี่มีการแบ่งแยกอำนาจกันด้วย อยากรู้จังว่ามีแบ่งแยกเป็นสามฝ่ายเหมือนของมนุษย์ไหม
หรือจะมีแค่สองนะ แล้วใครมีหน้าที่ทำอะไรกันบ้างล่ะ
“แล้วดิฉันทำอะไรผิดหรือคะ?”เธอรีบถามขึ้นเพราะ
อาจทำสิ่งที่ไม่ถูกใจเหล่าผู้อาวุโสลงไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
“ไม่ใช่หรอก เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ว่าพวกเขาเป็นคนบอกให้ข้ารีบพาเจ้ากลับไปเสีย”เขากล่าวออกมา
“ดิฉันเข้าใจค่ะ ว่าพวกเขาคงไม่อยากให้มีคนนอกมาอยู่ที่นี่”มายุยอมรับอย่างโดยดีว่าเธอคือคนนอก
“ไม่ใช่!!
พวกเขาจะตั้งกฏใหม่ ให้ข้าลบความทรงจำของเจ้าเสีย”หญิงสาวตกตะลึงเมื่อได้ฟัง
“แ...แต่ดิฉัน ไม่สิ…พวกเขารู้เรื่องที่ดิฉันเห็นใบหน้าของท่านหรือคะ”
“ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นข้าก็จะต้องลบความจำของเจ้า”ไดกิก้าวย่างสามขุมเข้ามาหา แต่มายุกลับผงะออกเพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น
“กฏนี้ออกมาใช้บังคับย้อนหลังไม่ได้นะคะ!!”เธอรีบกล่าวออกมาพยายามปกป้องสิทธิของตนให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่จู่ๆจะมาลบความทรงจำของเธอง่ายๆแบบนี้
มายุไม่มีทางยอมเด็ดขาดแม้จะรู้ว่าเถียงอีกฝ่ายไม่ได้ก็ตาม แต่เธอต้องห้ามเขาไว้
“แต่ที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ อย่าเอาสิ่งที่เจ้ารู้มาใช้ที่นี่”ไดกิกอดอกตนเอง และตำหนิอีกฝ่าย
“ท่านไดกิคิดดีๆก่อนนะคะ ถ้าออกกฏเช่นนี้ได้ ต่อไปถ้าเหล่าผู้อาวุโสอาจจะบอกว่า ที่ท่านไดกิเคยถอดหน้ากากให้มนุษย์เห็นก็เป็นความผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านทำก่อนมีกฏออกมา ท่านไม่รู้ว่าในอนาคตมันจะผิด แล้วแบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมเลยนะคะ อย่างน้อยก็ช่วยบอกให้รู้หน่อยว่ากฏนี้จะเริ่มใช้เมื่อไหร่ ดิฉันจะได้รีบออกไปตอนกฏยังไม่ทันเริ่มใช้”เธอกล่าวออกมาเสียทั้งหมดเท่าที่จะนึกออก
ยังไงเขากับเหล่าการาสุเทนกุก็คานอำนาจกัน เขามีสิทธิตัดสินใจได้
ซึ่งเธอต้องโน้มน้าวเขาให้เห็นด้วยเท่านั้น
“เจ้านี่เถียงเก่งเสียจริง แต่ที่เจ้าพูดก็น่าคิด”ชายหนุ่มครุ่นคิด และกล่าวขึ้น
“ข้าก็ไม่ได้อยากลบความทรงจำของเจ้านัก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ไปบอกคนอื่นว่าพบเห็นปิศาจ และมันก็เปลืองพลังข้าเสียเปล่า แต่ข้าจะลองอธิบายดูให้พวกเขาฟังก็แล้วกัน ตอนนี้ข้าจะต้องให้เจ้ารีบกลับไปในวันนี้ได้ยิ่งดี อาจจะลำบากเจ้ามากไปหน่อยแต่ถ้าเจ้ายังอยากจดจำภาพทิวทัศน์ของที่นี่
รวมถึงอากาเนะ หรือสิ่งแปลกๆที่เจ้าเจอก็ออกไปเสีย มิเช่นนั้นเจ้าจะจำอะไรไม่ได้เลย”
“ค...ค่ะ”มายุตกปากรับคำ อย่างดิบดี
“ข้าจะบอกให้อากาเนะรีบเตรียมของให้เจ้าในทันที”กล่าวจบเขาก็หยิบใบโมมิจิขึ้นมาไว้บนฝ่ามือ ไม่นานนักใบไม้นั้นก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า ทวนกระแสลมจนลับสายตาไป
“อันนั้นคือ?”มายุสงสัยในสิ่งที่เขาทำ
“ก็คล้ายๆกับการส่งข้อความของมนุษย์แหละ”
“ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ”เธอพยักหน้ารับ และถามอีกฝ่ายขึ้น
“ท่านไดกิคะ...การลบความทรงจำมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
“…ไม่หรอก เจ้าจะไม่เจ็บปวดอะไร เพียงแต่จำเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้เท่านั้น…”เขาพูดจบ
ทั้งสองนิ่งเงียบไปเสียบรรยากาศเริ่มอึดอัดจนในที่สุดชายหนุ่มจึงหยิบใบไม้ใบหนึ่งขึ้นมาเป่าเป็นเสียงเพลงอันไพเราะ มายุลงนั่งฟังอยู่ข้างๆอย่างสนอกสนใจ แต่เสียงเพลงนั้นดูโดดเดี่ยวและอ้างว้างแถมยังจะดูเศร้าสร้อยด้วย ระหว่างที่รออากาเนะนำข้าวของมาให้
“เสียงเพลงของท่านไดกิไพเราะ มากเลยค่ะ
แต่กลับดูเศร้าสร้อย”
“เจ้ายังดูออกเลยรึ?”เขากล่าวขึ้น
“ถ้าเลือกได้เจ้าอยากอยู่ที่นี่หรือไม่ มายุ”เขาเหมือนจะกล่าวออกมาโดยไม่ต้องการคำตอบ แต่หัวใจของเธอจู่ๆก็เต้นโครมครามขึ้นมาเมื่อถูกอีกฝ่ายถามขึ้น ประดุจโดนขอแต่งงานก็ไม่ปาน หญิงสาวต้องไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปทันที แม้เธอจะรู้สึกชอบอีกฝ่ายมากกว่าแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ต่อไปอีกเพราะเธอไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไปอีกแล้ว
“ดิฉันเองก็ตอบไม่ได้ค่ะ”
“….”ชายหนุ่มเงียบลงไปเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขาไม่มีสีหน้าที่เศร้าสร้อยแต่อย่างใด บางทีเขาแค่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ก็เท่านั้น
“ถ้าจะให้ดิฉันตอบ ดิฉันคงตอบว่าแม้ดิฉันจะชอบที่นี่มาก แต่ยังไงดิฉันก็ต้องกลับไปค่ะ”เธอพยายามจะตอบให้ดูรักษาน้ำใจอีกฝ่ายมากที่สุด
“เพียงแค่เจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะออกไป ข้าก็โล่งใจ”ไดกิเพียงหลับตาลงและถอนหายใจออกมา ส่วนมายุมีสีหน้าที่ดูจะงุนงง และเขาก็กล่าวขึ้นมา ตอนแรกเธอนึกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจฟังอยู่เสียอีก
“ข้าแค่นึกกลัวว่าหากไม่ถามว่าเจ้าคิดอย่างไรกับที่นี่แล้วข้าจะมาเสียใจภายหลัง”เขาพึมพำกับตนเองและนึกถึงความหลังของตนจนความเงียบก็เข้ามาปกคลุมเสียอีกครั้งหนึ่ง และเขาก็เป็นคนทำลายความเงียบนั้น
“ถ้าเจ้าถูกคนพวกนั้นทำร้ายอีก เจ้าอาจไม่โชคดีเหมือนคราวนี้”ในที่สุดไดกิกล่าวขึ้นจนทำลายความเงียบจนสิ้น
“ดิฉันมีเครื่องรางของท่านไดกิแล้ว ดิฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”มายุพูดด้วยความมั่นใจ
“ข้าพอรู้ว่าเจ้า กำลังต่อสู้กับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ข้าขอให้เจ้าทำให้สำเร็จจงได้”
“นั่นสินะคะ”มายุยังคงครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะเธอเองก็เกือบไร้หนทางใดๆแล้ว ก่อนจะค่อยๆใช้ความคิดของตนค้นหาทางที่จะลากเจ้าเคสุเกะมาให้รับโทษจนได้ และพึมพำออกมา
“เราต้องไปล่ารายชื่อ...ใช่แล้ว เรามีความรู้อยู่นี่นา เราแค่ล่ารายชื่อและช่วยชาวบ้านทำเอกสารไปยื่นฟ้องต่อศาล เดี๋ยวศาลก็จะจัดทนายให้ ส่วนตัวเราเอง ก็พอรู้อยู่ว่าเจ้านั่นต้องมีส่วนได้เสียเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทที่ทำโรงงานของสารเคมี เราก็ฟ้องศาลอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก…”จู่ๆความคิดของเธอก็พรั่งพรูออกมา พร้อมกับความดีใจนัก แม้จะรู้ว่าหนทางมันยากลำบาก แต่หากเธอสามารถชนะคดีได้ ก็อาจจะทำให้เธอฟ้องคดีเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตว่าความอีกยังไงเขาก็ต้องใช้อำนาจในตำแหน่งเล่นงานเธอแน่นอน และหากเธอชนะ เธอจะได้ชีวิตของตนเองคืนกลับมา
“ถ้าเจ้านึกออกว่าจะทำเช่นใดต่อไปก็ดีแล้ว”เขากล่าวขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ถ้าเจ้าจะกลับเมื่อไรก็บอก”
“ค่ะ งั้นขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ”หญิงสาวมองภาพบรรยากาศเบื้องหน้าอย่างมีความสุข และหันมามองอีกฝ่ายหนึ่ง
ขอเก็บภาพที่เหมือนฝันนี้ไว้เยอะๆแล้วกัน เผื่อว่าฉันจะไม่ได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีก รวมถึงเขาที่ช่วยชีวิตฉันไว้ด้วย เผื่อว่าตอนตายจะได้นึกถึงที่สวยๆงามๆแบบนี้
“เจ้านี่พูดถึงความตายได้หน้าตาเฉยเสียจริง”ไดกิเดินเข้ามาใกล้
“ท...ท่านไดกิอ่านใจฉันหรือคะ?”อีกฝ่ายตกใจอย่างมาก หากเขารู้ความคิดของเธอล่ะ มันช่างน่าอายจะตายไป
“เปล่า แต่ความรู้สึกของข้าบอกเช่นนั้นจากท่าทางของเจ้า สีหน้าของเจ้า นั้นชัดเจนเสียข้าไม่ต้องอ่านใจของเจ้า”เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนเขาจะแสยะยิ้มออกมา
"ท่านไดกิโกหกชัดๆเลยนะคะ"เธอตำหนิอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาแอบฟังความคิดเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ไม่สำคัญแล้วเมื่อเธอจะกลับไป
“แล้วเจ้าชอบข้าหรือไม่?”หญิงสาวถึงกับผงะ และรีบบอกปัดในทันที
“ไม่ค่ะๆ”เธอส่ายหัวรัวๆ แต่อีกฝ่ายไม่คิดเช่นนั้น
แท้จริงแล้วเขากำลังอ่านใจของมายุอยู่อย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ และรู้สึกได้ว่าความคิดกับท่าทางของเธอมันสวนทางกัน นางกำลังโกหกเขา
แต่ไม่ใช่เรื่องของไดกิที่จะมาทะเลาะกับมายุเช่นนี้
“ถ้าอยากให้ข้าชอบเจ้า ชาติหน้าก็อย่าเกิดเป็นมนุษย์ล่ะ”ไดกิหัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าปิศาจเขาไม่สอนมารยาทเรื่องการห้ามอ่านใจคนอื่นหรืออย่างไรกัน
“เทนกุตนอื่นก็นิสัยประมาณนี้สินะคะ”มายุถึงกับถอนหายใจยาว ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะแอบปลื้มกับปิศาจจอมหยิ่งยโสนี้ได้ แต่เธอเองก็ดันหน้าชาด้วยความอายจากคำพูดของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ดันรู้ถึงความรู้สึกของเธอแล้ว
“ถ้าดิฉันเกิดเป็นสุนัข ท่านไดกิจะชอบไหมคะ?”เธอต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย
“ก็ยังดีกว่ามนุษย์”เขาพูดได้หน้าตาเฉย จนอีกฝ่ายถึงกับตกตะลึง เขาเกลียดมนุษย์จริงๆ และคงเกลียดเธอด้วยถึงกล่าวเช่นนี้ออกมา จนร่างบางคิดว่าตนเองไม่น่าต่อปากต่อคำกับเขาเลย
“อะไรของท่านเนี่ย”หญิงสาวถึงกับเกาศีรษะแกรกๆ เจ็บใจที่ถูกว่านัก
“ข้ามีความหลัง กับผู้หญิงคนนั้น
เจ้าคงได้ยินที่คุโระเฮะบิกล่าวแล้วสิว่าที่นี่เคยมีมนุษย์อยู่ นางเป็นคนชั่วร้าย จิตใจอำมหิต
เห็นร่างตัวเล็กๆเช่นนั้น นางทำให้ทั้งท่านพ่อท่านแม่ของข้าตาย พอออกไปจากที่นี่แล้วนางก็ไม่ได้สำนึกผิดอะไรนัก นางหนีไปแต่งงานใหม่เสียด้วยซ้ำ...ส่วนความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า
ข้าชื่นชมเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้ามีบางส่วนที่คล้ายนางมากเกินไป...”หญิงสาวนิ่งไป นี่คือเขากำลังปฏิเสธฉันสินะ… ทั้งๆที่ฉันยังไม่ได้เอ่ยปากสารภาพออกไปเลยเนี่ยนะ
โอ้โห นี่จบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยแฮะ อะไรจะรวดเร็วปานนั้นกัน
“ค่ะ”เธอตอบเพียงสั้นๆ ไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนายังไงแล้วเมื่ออีกฝ่ายขัดเธอเสียทุกช่องทาง
“ดิฉันก็…ชอบมนุษย์ด้วยกันมากกว่าค่ะ”มายุกล่าวออกมาแน่นอนว่ามนุษย์อย่างเธอก็ย่อมเหมาะสมกับมนุษย์ด้วยกันสิ แค่ตอนนี้เธอหวั่นไหวที่เขาคอยช่วยและทำดีกับเธอเท่านั้น
ทำเป็นพูดไป ฉันก็สวยในระดับหนึ่งนะ มีคนมาจีบฉันตั้งเยอะแยะ แค่ฉันปฏิเสธไปทั้งหมดก็เท่านั้นเองมนุษย์มีตั้งกี่ร้อยล้านคนในนั้นก็ต้องมีคนที่จะเป็นสามีของฉันแน่นอน อย่างฉันไม่มีทางไม่ขึ้นคานแน่ๆ คอยดูเถอะกลับไปครั้งนี้จะหนีไปแต่งงานแล้วนะ แล้วอย่ามาง้อล่ะ
มายุคิดในใจ แน่นอนว่าตอนนี้เธอก็ไม่สนแล้วว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไรอยู่ ไดกิเพียงยิ้มออกมา ก่อนจะสวมหน้ากากเทนกุสีแดงสด และเดินจากไป มายุรีบเดินตามไปติดๆ โดยที่ทั้งสองไม่มีใครกล่าวสิ่งใดอีก จึงเดินตามเขาเข้าไปในป่าเรื่อยๆ ที่สองข้างตามเต็มไปด้วยใบไม้สีแดงสีส้ม และสีเหลืองสลับกันไป ร่างบางเดินตามไปในทางที่ไม่คุ้นเคยนัก แต่ก็ไม่ได้ถามอีกฝ่าย เพราะบรรยากาศมาคุเสียเหลือเกิน แต่บางทีมายุอาจจะคิดไปคนเดียวเสียเท่านั้น ไม่นานนักเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาแต่ไกล หญิงสาวมองขึ้นไปบนฟ้าก็พบก้อนเมฆสีเทาก้อนใหญ่ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเมื่อสักครู่นั้น ท้องฟ้ายังสว่างสดใสอยู่เลย
“เจ้าไม่ถามแล้วหรือว่าข้าจะพาเจ้าไปไหน”ไดกิกล่าวขึ้นโดยที่ไม่หันมามองเธอ หญิงสาวเพียงเดินคอตกแต่ก็ไม่ได้กล่าวเช่นใดตอบอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะความรู้สึกที่ทั้งขายหน้า และอารมณ์ที่ไม่ดีนักที่พยายามเก็บงำเอาไว้ ไหนบรรยากาศมันช่างอึมครึมชวนให้อารมณ์เสียมากกว่าเดิมอีก
“ปกติเจ้าถามข้าไม่หยุด แต่ทำไมคราวนี้ถึงเงียบไปล่ะ”ต้นเสียงหันมามองหญิงสาวที่เดินตามมา มายุจ้องเข้าไปในดวงตาของปิศาจเทนกุ เมื่อทั้งสองสบตากัน ไดกิก็หันกลับไปเดินต่อ ก่อนที่หยาดฝนจะค่อยๆตกลงมา กระทบกับใบไม้แห้งที่อยู่ที่พื้นจนเกิดเสียงดังเป๊าะแป๊ะ แต่ทั้งสองก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆโดยไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น กระทั่งไม่ไกลนักมีคนคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหาทั้งสองอย่างกระหืดกระหอบ นั่นคืออากาเนะที่คอยแบกของๆมายุมาสมทบกับคนทั้งสอง
“ท...ท่านไดกิคะ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”อากาเนะคำนับอีกฝ่าย
“ไปส่งท่านมายุของเจ้าเสีย”เขาสั่งด้วยเสียงที่เรียบจนไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้าค่ะ ท่านไดกิ”อากาเนะเดินมาหาหญิงสาว
“ทางนี้เจ้าค่ะ”อากาเนะเดินนำอีกฝ่ายไป ก่อนจะหันมามองนายท่านของตนที่ไม่ได้เดินตามมาด้วย แต่เพียงชั่วครู่อากาเนะก็หันกลับไปและนำมายุเดินไปในป่าเรื่อยๆ หญิงสาวเองหันมามองไดกิ ก่อนจะคำนับอีกทีหนึ่งและเดินจากไปจนลับตาเขา ชายหนุ่มเพียงยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น
“ท่านมายุคะเราต้องรีบไปก่อนที่ฝนจะตกนะเจ้าคะ”เธอพาอีกฝ่ายเดินขึ้นภูเขาไป หญิงสาวเดินตามไปเรื่อยๆก่อนจะหันไปมองที่เบื้องหลังแต่ก็ไม่พบอีกฝ่ายหนึ่ง เธอจึงหันหลังกลับและเดินไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ท่านมายุเจ้าคะ ท่านมายุจะมาเยี่ยมข้าอีกไหม”
“ท่านไดกิเขาบอกว่า พวกการาสุเทนกุอาวุโสจะลบความจำของดิฉัน หากดิฉันกลับมาค่ะ”อากาเนะที่เดินนำหน้าถึงกับสะอึกสะอื้นออกมา เมื่อได้ฟังมายุกล่าว
“ทำไมกัน ท่านมายุผิดอะไร ท่านมายุช่วยพวกเราไว้นะ ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย”อากาเนะถึงกับตะโกนโหวกเหวกไปตามทาง จนอีกฝ่ายตกใจกับท่าทางดังกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอกคุณอากาเนะ เขามีเหตุผลของเขา ดิฉันถือว่าเป็นคนนอก เขาจะไม่ชอบก็ไม่แปลกหรอกค่ะ”หญิงสาวพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเลิกงอแงเสียที
“ท...ท่านมายุ ฮือๆๆๆ”หญิงในชุดคนใช้สมัยเฮอันถึงกับร้องไห้ออกมา
ดูโศกเศร้าเสียใจอย่างจนมายุยังประหลาดใจยิ่งนัก
ทางด้านหนึ่งที่ชายหนุ่มหยุดยืนมองทั้งสองเดินจนลับสายตาไปนั้น ก็ค่อยๆถอดหน้ากากของตนออกเสียและพิจารณาดูใบหน้าสีแดงที่ดูน่ากลัวน่าเกรงขามนั้นอย่างพิจารณา ใบหน้าชายผู้มีอายุ พร้อมกับจมูกที่ยาวออกมา และทำหน้าตาน่ากลัว เพื่อจะใช้ขู่และปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของเขา รวมถึงความรู้สึก…ที่แท้จริงด้วย
“นี่คือสิ่งที่เจ้าเห็นข้ามาตลอดสินะ มายุ”ไดกิยืนจ้องหน้ากากดังกล่าวอยู่นานเสียจนการาสุเทนกุจำนวนสองตนบินลงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว โดยตนหนึ่งสวมชุดนักพรตภูเขา อีกตนหนึ่งสวมชุดกิโมโนของสตรี
“ไดกิ นางอยู่ที่ไหน?”เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้เขาหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนชายหนุ่มจะคำนับอีกฝ่าย
“นางกลับไปแล้วขอรับ”ไดกิตอบออกมา
“ท่านปล่อยให้นางออกไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ?”การาสุเทนกุอีกตนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ท่านออกกฏให้ข้าลบความทรงจำนางแล้วรึ เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่อง?”ชายหนุ่มทำเป็นไม่รู้เรื่อง
ตีหน้าซื่อใส่การาสุเทนกุหญิงชายสองตน
“เจ้าจงใจชัดๆ….”แต่ก่อนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะกล่าวขึ้น ก็ถูกการาสุเทนกุผู้สวมกิโมโนยกมือขึ้นห้าม
“ทานากะข้ามิได้จะต้องการให้เจ้ามาหาเรื่องทะเลาะกับเขา”เสียงสตรีวัยกลางคนของร่างที่สวมกิโมโนกล่าวขึ้น
“ขอรับท่านอายุมุ”
“ท่านไดกิท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”อายุมุกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังนัก และมีแววตาตำหนิอีกฝ่ายที่ปล่อยร่างบางออกไปอย่างง่ายดาย
“ทำเช่นไรหรือท่านอายุมุ”ไดกิยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างนั้น
“พานางหนีไงเจ้าคะ ท่านไดกิจะไม่ทำตามกฎในเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”เสียงนั้นตวาดแว๊ดขึ้น ดังไปทั่วบริเวณ
“ท่านอายุมุเองยังคิดว่ากฎนั้นยังถือว่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วเหตุใดข้าถึงต้องทำตาม”เขากอดอกตนเองและกล่าวกับอีกฝ่าย
“ท่านไดกิเจ้าคะ!!”อายุมุแทบจะถลึงตาใส่กับคำตอบยียวนของอีกฝ่าย
“พวกท่านมีเวลาหลายร้อยปีก่อนที่นางจะเข้ามาที่นี่ แต่กลับจงใจมาเปลี่ยนกฎเสียตอนนี้ จะให้ข้าคิดอย่างไร”ไดกิยืนกอดอกอยู่สักพักก่อนจะกล่าวต่อ
“นางช่วยพวกท่านรวมทั้งข้าด้วย”ชายหนุ่มเริ่มจะอารมณ์เสีย
“นางเป็นแค่มนุษย์ที่ผ่านมาในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตของท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ เหมือนกับมิโกะผู้นั้น และอดีตคู่หมั้นของท่าน”อายุมุกล่าวขึ้นประดุจจี้ถูกจุดอีกฝ่ายหนึ่ง
“ถ้าเช่นนั้น…เลือดครึ่งหนึ่งในตัวของข้า มันคงไม่มีความหมาย อย่างนั้นล่ะสิ!!!!”เขามีสีหน้าที่ขุ่นเคืองยิ่งนักเมื่อได้ฟัง
ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องพูดเรื่องที่ชวนปวดใจเช่นนี้ต่อหน้าเขานัก
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ค่ะ ท่านไดกิ….”ทั้งสองรีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อมและกลัวเกรงผู้ที่อยู่เบื้องหน้านัก
“ถ้าเช่นนั้นหากการที่ข้าเกิดจากไดเทนกุกับมนุษย์มันก็คงเป็นเรื่องวิปลาสมากสินะ”กล่าวจบนั้นลมพายุลูกใหญ่ก็พัดถล่มรอบข้าง การาสุเทนกุทั้งสองรีบคุกเข่าขอโทษและอ้อนวอนให้เขาหยุด
“ท่านไดกิคะกรุณาใจเย็นลงก่อนนะเจ้าคะ”ทั้งสองตกใจกลัวเพราะไม่คิดว่าเขาจะใช้พลังที่เพิ่งได้มา
จะทำร้ายคนทั้งสองในไม่ช้านี้
“ท่านไดกิขอรับ กรุณาไว้ชีวิตพวกเราด้วยขอรับ”หลังจากที่ทั้งสองร้องขอชีวิตได้ไม่นานนักชายหนุ่มก็ใจเย็นลง แม้แต่เขาเองก็ดูตกใจกับพลังที่ตนมี ก่อนจะมองฝ่ามือที่สั่นเทาของตน เพราะเขาเกือบจะฆ่าอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ชั่ววูบไปแล้ว
โดยที่เขาไม่ตั้งใจนัก
“ท...ท่านไดกิเจ้าคะ พวกข้าแค่กลัวว่าท่านจะจากไปเหมือนกับท่านไดอิจิ กรุณายกโทษให้พวกข้าด้วยที่กล่าวโดยไม่ทันคิด แต่เหล่าการาสุเทนกุเหลือเพียงแต่ท่านไดกิเท่านั้นเจ้าค่ะ จะลงดาบแก่พวกข้าก็ได้หากท่านไดกิจะทำให้ท่านไดกิพอใจ”อายุมุกล่าวออกมา
จนทานากะหันขวับมามองอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนี้
“ข้าต้องขอโทษพวกท่านจริงๆขอรับ ทั้งที่พวกการาสุเทนกุชุบเลี้ยงข้ามาตั้งแต่ที่ท่านพ่อ ท่านแม่เสียไป คอยสอนข้าทุกอย่าง แต่ในวันนี้ข้ากลับ….”ชายหนุ่มคุกเข่าและคำนับอีกฝ่ายเพราะรู้สึกผิดนัก
ที่ปล่อยให้ความโทสะครอบงำตนชั่วขณะ
“ท่านไดกิอย่าโทษตัวเองเลยขอรับ”ทานากะกล่าวขึ้น
“เพียงแต่ท่านไดกิสัตย์สาบานว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อเหล่าการาสุเทนกุเท่านั้นเจ้าค่ะ เรื่องอื่นใดพวกข้าก็จะไม่ห้ามแล้วเจ้าค่ะ
เกือบหนึ่งพันปีมานี้
ท่านไดกิยังยังไม่ได้เข้าพิธีรับตำแหน่งผู้ปกครองอย่างถูกต้องตามประเพณีสักทีหนึ่ง
ท่านไดกิกรุณาเข้าร่วมพิธีด้วยเถิดเจ้าค่ะ
หากท่านไดกิอยากจะไถ่โทษในสิ่งที่ตนทำลงไปเมื่อครู่นี้ ข้าจะไม่ขอสิ่งใดอีกเจ้าค่ะ”อายุมุกล่าวขึ้นเพื่อเป็นข้อต่อรอง ทานากะเมื่อได้ยินก็ถึงกับตกตะลึงเสียเอง และก็เข้าใจในทันทีว่าทำไม เหล่าการาสุเทนกุอาวุโสจึงส่งอายุมุมาเพื่อเจรจากับไดกิ เพราะอายุมุเป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตน จนกระทั่งสามารถกุเรื่องต่างๆขึ้นมาหลอกได้ เฉพาะเรื่องที่จะออกกฏลบความทรงจำของมายุ และจี้จุดอีกฝ่ายหนึ่งอย่างตั้งใจ ก็เป็นแผนของนางทั้งสิ้น
“ขอรับ”กล่าวจบไดกิก็รีบกางปีกสีดำของตนออก และทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที เขายอมยังการเข้ารับทำพิธีอย่างไม่มีเงื่อนไขและเหมือนว่าจะไม่คิดมากในเรื่องนั้นเสียด้วย
จากนั้น อายุมุค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆและมองไดกิที่รีบบินหายไป
“ท่านอายุมุข้าก็นึกว่าท่านจะออกกฎนั้นจริงๆ”ทานากะกล่าวขึ้น
“เจ้าอย่าหลงกลง่ายๆสิ ยังไงท่านไดกิก็รับปากแล้วว่าจะสาบาน งานของเราสำเร็จลงแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้นข้าไม่ขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แม้ว่าข้าจะไม่ชอบมนุษย์ก็ตาม”
“สมกับเป็นท่านอายุมุขอรับ”ทานากะชื่นชม
อากาเนะเดินไปจนเกือบถึงที่หมาย เธอหันหน้ามามองมายุเป็นระยะ ว่าหญิงชาวมนุษย์ยังเดินพอไหวไหม ส่วนหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาเดินไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่กล่าวแม้แต่คำเดียว เสียงทั้งสองเดินย่ำใบไม้แห้งดังขึ้นมาตลอดทาง จนกระทั่งอากาเนะหยุดอยู่บนเนินเขา
“ท่านมายุคะ นี่สุดอาณาเขตที่ข้าจะออกไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรอคะ?”หญิงสาวมองไปรอบๆ ที่เธอไม่อาจเห็นความแตกต่างระหว่างในอาณาเขตกับนอกอาณาเขตแต่อย่างใด
“คุณอากาเนะทราบได้อย่างไรคะว่าอาณาเขตอยู่ตรงนี้คะ”
“มนุษย์จะมองไม่เห็นสินะเจ้าคะ แต่ว่าพวกเรามองเห็นว่ามีกำแพงอยู่เจ้าค่ะ กำแพงที่ใสเหมือนแก้วและก็มีอักขระเต็มสีขาวตัวเล็กเต็มไปหมดเจ้าค่ะ”อากาเนะเอามือทาบให้ดูและเหมือนกับฝ่ามือของเธอจะทะลุไปอีกฝั่งไม่ได้
“แบบนี้ก็แปลว่า ดิฉันเข้าออกได้ตามสบายเลยสินะคะ”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ถูกเจ้าค่ะ”
“แต่ว่าเมื่อท่านมายุออกไปแล้ว ท่านมายุจะมองไม่เห็นข้านะเจ้าคะ”
“อย่างนั้นหรอ?”เธอพึมพำกับตนเอง และเอามือสัมผัสแต่กลับไม่รู้สึกว่าโดนเข้ากับกำแพงที่ว่านั่นแต่อย่างใด
“นี่คือพลังของเทพเจ้าค่ะ”คำนี้ฉุกให้เธอสงสัยนัก เธอได้ยินมาจากท่านไดกินัก
แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจเสียทั้งหมด
แต่จะให้ถามอะไรเพิ่มก็คงไม่สำคัญนักเพราะเธอจะต้องไปแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นดิฉันคงจะต้องไปแล้วค่ะ”
“ข้าจะคิดถึงท่านมายุนะเจ้าคะ”อากาเนะจะร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง หญิงสาวเลยต้องปลอบใจอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรนะคะ คุณอากาเนะ”อากาเนะร้องไห้ออกมา และส่งของต่างๆคืนให้มายุได้แก่กระเป๋าเอกสาร
เสื้อผ้าต่างๆ รองเท้าส้นสูง
มายุยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง
เธอส่งกระเป๋าเอกสารคืนอากาเนะ
“ดิฉันไม่มีอะไรจะให้คุณอากาเนะเลยค่ะ
มีเพียงกระเป๋าเอกสารใบนี้เท่านั้น แต่เสื้อมันเปื้อนเลือดดิฉัน
ฉะนั้นดิฉันคงเอาให้คุณไม่ได้ค่ะ”มายุหยิบเสื้อไปแล้วกะว่าคงจะนำไปเป็นหลักฐานด้วย และหยิบเอกสารที่สำคัญๆออกมาจากกระเป๋านั้นเพื่อนำติดตัวไว้ด้วย
ก่อนจะเห็นสมุดไดอารี่ของเธอที่ตั้งใจลงมือเขียนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ
ก่อนจะทิ้งเอาไว้ในกระเป๋าเอกสารนั้นและส่งคืนอากาเนะ
“ถือว่าเป็นของดูต่างหน้าแล้วกันนะคะ”อากาเนะรีบรับมาด้วยความซาบซึ้งใจ เธอแทบจะร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง
มายุจะนำพวกหลักฐานต่างๆที่เธอพบนั้นติดตัวไปด้วย
รวมถึงกระเป๋าเงิน เมื่อจัดของให้ดีแล้ว
ร่างบางจึงร่ำลาอีกฝ่ายหนึ่ง
“ไว้พบกันใหม่นะเจ้าคะ”อากาเนะออกมา หญิงสาวยืนนิ่งสักพักก่อนจะตัดสินใจเดินไปเบื้องหน้า พอดีกับร่างหนึ่งที่รีบโผบินลงมาอย่างรวดเร็ว
“มา—“หญิงสาวหันกลับไปมองด้านหลังของตน แต่กลับพบกับความว่างเปล่าเท่านั้น อีกฝากหนึ่งของกำแพงนั้น ไดกิลงมายืนอยู่เบื้องหลังของเธอไม่ไกลนัก มือข้างหนึ่งของเขาทาบเข้ากับกำแพงกระจกหนาทึบที่กั้นเธอกับเขาให้แยกจากกันไว้
“มายุ…”ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่าย ที่เรียกเธอช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เขามองร่างเบื้องหน้าที่หันกลับมาอย่างสงสัยเหมือนกับได้ยินเสียงชั่วแวบหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินแล้ว
“ข้าขอให้เจ้าปลอดภัย…”เขามาไม่ทันจะกล่าวล่ำลาอีกฝ่าย และไม่อยากเชื่อว่าบทสนทนาที่น่าอึดอัดนั้นจะเป็นบทสนทนาสุดท้ายของเขาและเธอ
เขามองมายุที่ดูเหมือนมีอะไรที่หนักใจนัก ก่อนเธอจะกล่าวออกมา
“ขอโทษนะคุณอากาเนะ…บางทีดิฉันคงจะไม่ได้กลับมาแล้วล่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่อาจจะทำให้คุณอากาเนะเป็นห่วงมากกว่าเดิม เพราะดิฉันอาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้…เวลาที่อยู่ที่นี่ฉันมีความสุขมากเลยนะคะ ที่ดิฉันบอกไปเพราะไม่อยากให้คุณอากาเนะตั้งความหวังว่าดิฉันจะกลับมาที่นี่”มายุยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าคนที่อยู่อีกฝากของกำแพงจะได้ยินหรือไม่
“และก็ขอบคุณมากนะคะที่คอยดูแลฉันมาตลอด และก็ฝากบอกลาท่านไดกิด้วยนะคะ”มายุโบกมือลาก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
“ฮืออออ ท่านมายุ”อากาเนะถึงกับบ่อน้ำตาแตกอีกครั้งเมื่อได้ฟัง ฉับพลันหยาดฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา จนกลบเสียงร้องไห้ของเธอไปสิ้น ไดกิเพียงยืนนิ่งอยู่เท่านั้นมองดูอีกฝ่ายจนลับสายตาไป
“หากเจ้าไม่กลับมา…ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าหรอกมายุ เจ้ามีหน้าที่ของเจ้า ข้าก็ขอให้เจ้าปลอดภัย”ไดกิยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้นไม่ไปไหนและคงรู้สึกผิดอยู่ในใจ จนกระทั่งทั้งสองต่างเปียกปอนไปด้วยหยาดฝนห่าใหญ่
หญิงสาวเดินลงมาตามทางบนเขาไปเรื่อยๆ พร้อมกับมีอีกาตัวหนึ่งเดินนำหน้าของเธอเหมือนกับจะคอยนำทางให้มายุออกจากป่ายามใบไม้ร่วง เธอเดินย่ำใบไม้แห้งไปตามทางจนเกิดเสียงดังไปทั่วป่าที่เงียบสงัดอยู่หลายสิบนาทีจนหญิงสาวได้พบกับป้ายรถประจำทางที่เธอเคยถูกลากลงมาจากรถบัส จึงใช้เหรียญที่อยู่ในกระเป๋าเงินหยอดตู้โทรศัพท์สาธารณะในทันที ด้วยเบอร์โทรศัพท์ของคนที่เธอคุ้นเคย ไม่นานนักปลายสายก็รับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน
นากาชิมะ ยูกิ
ที่ปรึกษากฏหมายค่ะ”เสียงปลายสายรับโทรศัพท์ขึ้น
“ยูกิ นี่มายุเองนะ”มายุกล่าวออกมาแต่ก็ยังไม่วายระหวาดระแวงรอบข้างที่อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
“มายุ?”อีกฝ่ายกล่าวด้วยความไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าฟังผิดไปหรือไม่จนเธอต้องถามซ้ำ
“ใช่มายุจริงๆหรอ?”เสียงปลายสายนั้นดีใจมาก อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ใช่สิ ช่วยมารับฉันหน่อยสิ”มายุกล่าวออกมา
“มายุ เธอยังไม่ตาย จริงหรอเนี่ย!!!
ตลอดเวลาเธอหายไปไหนมา”อีกฝ่ายดูตกใจอย่างมาก
“เรื่องมันยาว เธอมารับฉันก่อนสิยูกิ”
“ได้สิ แล้วเธออยู่ไหน?”อีกฝ่ายตอบทันทีโดยไม่รอช้า
“ที่ป้ายรถบัส บนทางหลวง420”มายุมองไปที่ป้ายสีขาวที่บอกเลขถนน
“เธอไปทำอะไรแถวนั้น?”ยุกิสงสัยอย่างมากที่อีกฝ่ายอยู่แถวนั้น
“เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังนะ”มายุที่ยังไม่อยากจะกล่าวอะไรมากนักจึงบอกไปก่อน เธอคงต้องดัดแปลงเรื่องเสียนิดหน่อยแล้วล่ะมั้งเพื่อไม่ให้เพื่อนของเธอตกใจ
“งั้นรออยู่แถวนั้นก่อนนะ จะรีบไปรับจะไปถึงอีกสักสองชั่วโมง”พูดจบยูกิได้วางสายไปในทันที หญิงสาวจึงรอเพื่อนสนิทของเธออย่างใจจดใจจ่อ
ปราสาทขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าลึก ที่เงียบสงัดเสียจนดูเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ ร่างของชายผู้มีเรือนผมสีขาว ค่อยๆเดินกลับมาที่ปราสาทนั้น ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บหนัก ทว่าก่อนที่จะได้เข้าไปร่างของคุโระเฮียวได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา และยืนกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์นักที่อีกฝ่ายทำงานพลาด
“เจ้าพลาดสินะ”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“ขอโทษจริงๆขอรับท่านคุโระเฮียว”เขามองด้วยความสำนึกผิดอย่างที่สุด
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงมา ตอนนี้”ปิศาจตนนั้นกล่าวออกมา เพราะคุโระเฮะบิได้หายตัวไปนานนับสัปดาห์กว่าจะกลับมาที่นี่
“ข...ข้าได้รับบาดเจ็บหนักและไม่มีพลังมากพอที่จะฟื้นฟูร่างกายได้ เพราะดาบคามินาริขอรับ ข้าจึงต้องจำศีลอยู่หลายวัน”อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เมื่อฟังข้อแก้ตัวของอีกฝ่าย
“เข้าไปรักษาตัวเสีย…”อีกฝ่ายคำนับก่อนจะเดินเข้าหายไปในปราสาท
“ไดกิ!! ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องรบกับเจ้าอย่างไม่มีทางเลือกแล้ว…”ชายผู้มีดวงตาสีเหลืองส่องสว่างพึมพำกับตนเอง ในดวงตานั้นไร้ความกลัวใดๆทั้งสิ้น เมฆหมอกแห่งความวุ่นวายนั้นเองได้คืนคลานเข้ามาช้าๆ ใครที่บังอาจขวางทางคุโระเฮียวผู้นี้มันต้องพบเจอแต่ความพินาศ
ความคิดเห็น