คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ดาบปราบมาร ตอนต้น
และในที่สุดวันที่จะเกิดสุริยุปราคาหรือราวๆสองอาทิตย์ถัดมาก็ได้มาถึง แสงตะวันค่อยๆฉายแสงเมื่อพ้นยอดเขาเมื่อยามเช้า มายุค่อยๆปรือตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งบนฟูกนอนในห้องนอนห้องใหญ่ห้องเดิมที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอจับจ้องไปที่วิวทิวทัศน์ด้านนอกระเบียง วันนี้จะเป็นวันเกือบสุดท้ายเสียแล้วที่เธออยู่ที่นี่ มายุแอบใจหายนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหากตนเองออกไปจะได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมอากาเนะอย่างที่เธอพูดหรือไม่ เมื่อนั่งนึกอยู่สักพักเธอก็ค่อยๆลุกขึ้นมาแต่งตัว
“วันนี้ต้องไปที่ถ้ำ ควรจะแต่งตัวทะมัดทะแมง...”เธอพึมพำกับตัวเอง
“ใส่กางเกงดีไหมนะ…ฮากามะน่าจะมีอยู่”เธอค่อยเปิดลิ้นชักแล้วค้นไปเรื่อยๆจนพบกับ ฮากามะ
สีส้มอมชมพูดูสวยงามอยู่เกือบจะล่างสุดของลิ้นชัก
“แกร๊บ”เมื่อหญิงสาวพยายามหยิบออกมา เนื้อผ้าที่เก่ามากก็ขาดออก และแทบจะสลายเป็นขุยผงไปเสีย
“แย่แล้ว!!”มายรู้สึกผิด ก่อนจะค่อยๆคลี่ออกมาดูด้วยความสงสัยเพื่อดูว่าเธอทำขาดส่วนไหนบ้าง
“เก่าจริงๆเลยนะเนี่ย กรอบจนจะเป็นกระดาษอยู่แล้ว”เธอพึมพำกับตนเอง พอดีกับอากาเนะที่เข้ามาเพื่อปลุกเธอพอดิบพอดี เมื่ออีกฝ่ายเห็นฮากามะนั้นก็ถึงกับตกใจ
“ท่านมายุ ท่านมายุเจอฮากามะนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“ก็อยู่ในตู้ลิ้นชักนี้นี่คะ”อากาเนะค่อยๆก้มลงมาดูอย่างพิจารณา อย่างไม่เชื่อว่าฮากามะตัวนี้จะอยู่ในตู้นี้ได้
“ถ้าข้าจำไม่ผิดนะท่านมายุ ฮากามะนี้อายุเกือบจะแปดร้อยปีแล้วเจ้าค่ะ”
“แปดร้อยเลยหรอ… คุณอากาเนะ คือตอนที่ดิฉันหยิบออกมา ดิฉันทำฮากามะขาดค่ะ ดิฉันขอโทษด้วยค่ะ”มายุรู้สึกผิดกับสิ่งที่เธอได้ทำไป
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ของมันก็เสื่อมลงตามเวลาเจ้าค่ะ ท่านไดกิคงไม่ได้บอกให้พวกการาสุเทนกุเอาของเก่าๆออกไปตอนสั่งให้มาจัดห้องแน่เลย หรือไม่ท่านไดกิก็คงลืมไปแล้ว...”อากาเนะมองกางเกงฮากามะอย่างพิจารณาอยู่สักพักหนึ่ง
“วันนี้เป็นวันที่ท่านมายุต้องไปนำดาบออกมาสินะเจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านมายุควรจะใส่ฮากามะน่าจะสะดวกที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะหยิบฮากามะตัวใหม่ให้นะเจ้าคะ”อากาเนะพับฮากามะนั้นและนำออกไปจากห้อง ไม่นานนักเธอก็ถือผ้าที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยมาให้
“นี่ค่ะท่านมายุ เดี๋ยวดิฉันช่วยแต่งตัวให้นะคะ”หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ
ชายหนุ่มยืนรอเธออยู่ด้านล่างของคฤหาสน์ ทางเดินยาวนั้นโล่งที่ดูเงียบเหงา คฤหาสน์หลังใหญ่แต่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้จะมีเครื่องใช้มากมายแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเคลื่อนย้ายสิ่งใดๆออกไป คงเพราะเขาอาจจะนึกถึงคนที่เคยอยู่ที่นี่กับเขาก็เป็นได้ เขาเพียงจำได้เลือนลางว่าที่นี่เคยมีชีวิตชีวามากเพียงใด เจ้าของหน้ากากสีแดงนั้นกำลังคำนึงถึงเรื่องราวเก่าๆอยู่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา การาสุเทนกุทั้งสองที่คอยรับใช้ จึงถามขึ้น
“ท่านไดกิ เป็นอะไรหรือขอรับ”ทาโร่ถามขึ้น
“หรือว่ามนุษย์ผู้นั้น ก่อเรื่องอะไรอีกขอรับ”คาบูโตะสันนิฐานออกมาในทันที
“ไม่ใช่หรอก แค่ข้านึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเท่านั้น”
“ขอรับ”ทั้งสองกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน ไดกิกำลังนึกถึงเวลาที่ตนเคยวิ่งเล่นกับเหล่าสหายของตน เมื่อยังเยาว์แต่ตอนนี้เขามีหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่ง จะคุยกับเหล่าสหายที่แม้ว่าจะยังอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา แต่ก็ไม่สามารถกลับไปคุยอย่างสนิทสนมได้เช่นเดิมแล้ว ปิศาจทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังเองก็เข้าใจดี ส่วนคาบูโตะเองนั้นกลับมีสายตาที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนจะได้กล่าวอะไรนั้น อากานะได้พามายุลงมาพบกับไดกิพอดิบพอดี มายุสวมฮากามะม่วงเข้ม กับเสื้อสีบานเย็น วันนี้เธอรวบผมหางม้าไว้อย่างเรียบร้อย
“เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้”ปิศาจเทนกุกล่าวขึ้น มายุหันไปมองบริเวณรอบๆอย่างสนใจ เพราะถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องเท่านั้น
“คฤหาสน์นี้สวยมากเลยค่ะท่านไดกิ”มายุมองไปรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เดินออกมาเห็นภายนอกห้องที่มากกว่าการออกไปที่ห้องทำงานของเขาเมื่อคราวก่อน เธอเห็นเข้าไปในห้องโถงที่ถูกปูด้วยเสื่อทาทามิจนเต็มพื้นที่ห้อง แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่าเพื่อใช้ในงานประชุมหรืองานพิธีเท่านั้น
นี่เป็นห้องรับแขกสินะ รวมถึงห้องประชุมด้วย ดูคลาสสิคมากเลย แต่ก็แปลกตาดีเหมือนกัน ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นสักเท่าไหร่คฤหาสน์แห่งนี้คงเก่าสุดๆไปเลย
เมื่อเธอกำลังมองไปทั่วอย่างสนอกสนใจนั้น การาสุเทนกุตนหนึ่งผู้สวมชุดนักพรตภูเขาคล้ายไดกิได้ปรากฏตัวขึ้น ในมือของเขามีไม้เท้าช่วยพยุงอยู่ เหล่าการาสุเทนกุรวมถึงไดกินั้น ต่างค้อมตัวด้วยความเคารพ
“ท่านยามะคาวะ ข้าขอคำนับ”ไดกิกล่าว มายุที่เห็นทุกคนคำนับ ตนก็เลยคำนับตามไปด้วยแม้จะไม่ทราบว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด
“ข้าแค่จะมาดูว่า พวกเจ้าช่วยมนุษย์ไว้ นี่คงเป็นนางสินะ”เสียงสั่นเครือด้วยความชรานั้น ถามขึ้น
ก่อนจะพิจารณาดู
“เจ้ามีนามว่ามายุสินะ”เจ้าของเสียงที่สั่นเครือหันมาพิจารณาหญิงสาวเบื้องหน้า
“ใช่ค่ะ”
“นามของเจ้าช่างไพเราะนัก วีรกรรมของเจ้าก็เช่นกันเป็นที่กล่าวขานกันมากนัก เทนกุอย่างพวกเราชื่นชมผู้ที่กล้าต่อกรกับทรราชย์นัก ได้มาเห็นมนุษย์ผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแล้ว ข้าเองก็รู้สึกประหม่าไปด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”การาสุเทนกุชรากล่าวขึ้น มายุที่ดูงุนงงก็มองหาคนที่จะช่วยอธิบายให้เธอฟัง
“นี่คือท่านยามะคาวะ เป็นหนึ่งในการาสุเทนกุผู้มีอาวุโสสูงสุด และ มีบริวารนับหนึ่งหมื่นตัว”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เอ..แต่ว่า.. บริวาร?”เธอสงสัย
“บริวารของข้าคือเหล่าอีกาทั้งหลาย แม้พวกเราจะอยู่แต่ที่นี่ก็ยังทำให้พวกเรารู้เรื่องต่างๆได้ เจ้าคงนึกว่าข้าชราลงแล้วนอนพักอยู่บ้านเฉยๆล่ะสิไดกิ แต่ไม่ใช่เลย”ยามะคาวะกล่าวขึ้น ไดกิได้แต่นิ่งฟัง โดยไม่มีใครรู้ว่าภายใต้หน้ากากนั้นเขาจะประหลาดใจหรือเปล่า
“แต่ข้าแก่เกินไปที่จะมาที่นี่บ่อยๆ ข้าจึงคิดว่าค่อยมาวันนี้เพื่อคุยกับเจ้าเลยทีเดียว”
“ค่ะท่าน”มายุตั้งใจรับฟังอีกฝ่ายหนึ่ง
“และเมื่อเช้านี้ อีกาตัวหนึ่งได้มาบอกข้า ว่าหญิงที่เจ้าต้องการจะช่วยนั้น นางตายเสียแล้วล่ะ”
“คะ??!!”มายุตกใจอย่างยิ่ง
“ทำไมล่ะคะ? มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”หญิงสาวมีสีหน้าที่ทั้งตกใจ ผิดหวังและเศร้าใจระคนกัน
“ข้าไม่อาจทราบได้ เรื่องมันเกิดหลังตะวันตกดินไปแล้ว สายตาของเหล่าอีกานั้นแม้จะมีมาก แต่ก็มืดบอดเมื่อยามค่ำคืน”มายุฟังด้วยความเศร้าใจ เธอมีสีหน่าที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“แต่อย่างไรก็ตาม หากเจ้ายังไม่อยากยอมแพ้ ข้าก็จะส่งบริวารของข้าตามไปดูแล พวกเขาสามารถบอกได้ว่าภยันอันตรายจะมาถึงเมื่อใด หรือหากเจ้าอยากหาที่พำนักก็อยู่ที่นี่เสียก็ได้”
“ขอบคุณท่านยามะคาวะมากๆค่ะ แต่ว่ายังไงดิฉันก็ต้องกลับไปค่ะ เพียงได้มาพักรักษาตัว ดิฉันก็เกรงใจแล้วค่ะ”เธอคำนับ ชายชราเบื้องหน้าเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น ก่อนหญิงสาวจะกล่าวออกมา
“ทำไม เจ้าเคสุเกะถึงต้องโหดร้ายกันขนาดนี้ เธอเป็นแค่แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการความยุติธรรมให้ลูกตนเองเท่านั้น แล้วตอนนี้...มันคงเป็นความผิดของดิฉันที่พยายามดึงดัน.."มายุน้ำตาคลอเบ้าแต่ก็พยายามไม่ร้องไห้ออกมา
ชีวิตของเรามันมีค่าแค่ค่าจ้างของพวกชั่วพวกนั้น... เคสุเกะ...เพื่อตำแหน่งหน้าที่การงานแล้ว กี่ชีวิตที่ต้องเสียไป มันมีค่าแค่เพียงผักปลาหรอ
"มันเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เมื่อเจ้าพยายามช่วยนางเต็มที่แล้ว เจ้าก็ต้องยอมรับให้ได้"เธอพยักหน้ารับช้าๆ ส่วนการาสุเทนกุชราเห็นดังนั้นจึงขอตัวกลับเสีย
“ตอนนี้มันถึงเวลานอนพักของข้าแล้วข้าต้องขอตัวก่อน”พูดจบเขาก็ค่อยๆเดินจากไปอย่างเชื่องช้า ทุกคนต่างคำนับเขาเสียอีกทีหนึ่ง ไดกิหันมาหามายุ
“พวกเราควรจะไปกันได้แล้ว อีกไม่นานนักก็จะเกิดสุริยุปราคา หากไม่รีบจะไปไม่ทันกาล”ชายหนุ่มกล่าวออกมา แม้จะเห็นสีหน้าของเธอแต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจนัก
“ขอรับ!!”ทาโร่กับคาบูโตะกล่าวพร้อมกัน
“ข้าไปกับมายุ พวกเจ้าต้องรออยู่ที่นี่”ทั้งสองตาเบิกโพลงที่ถูกอีกฝ่ายห้ามไม่ให้ไป
“แต่ว่าท่านไดกิ”ทั้งสองอึกอัก
และทำท่าอยากจะติดตามเขาไปด้วย
“ดาบคามินาริอันตรายเกินกว่าพวกเจ้าจะเข้าใกล้ได้ พวกเจ้าอยู่ที่นี่แหละดีแล้ว”ปิศาจเทนกุกล่าวขึ้น
“ข...ขอรับ”ทั้งสองทำเสียงที่มีแววผิดหวังนัก ไม่เคยคิดว่าตนเองจะถูกห้ามเช่นนี้ ส่วนไดกินั้นหยิบห่อผ้ากำมะหยี่ขึ้นมาและส่งให้มายุ
“ข้ากับเจ้าไปกันสองคนดังนั้นข้าต้องวานให้เจ้าถือห่อผ้านี้ไประหว่างเดินทาง ตอนที่ข้าจะพาเจ้าไปที่ถ้ำที่อยู่ในป่า”หญิงสาวรับห่อผ้านั้นมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอคงจะถูกอุ้มเหมือนกระสอบข้าวสารแน่นอน แต่เธอไม่มีสิทธิโวยวายอีกฝ่ายที่ช่วยชีวิตเธอไว้ หญิงสาวเดินตามชายหนุ่มไปนอกคฤหาสน์
“คงรู้นะว่าข้าจะอุ้มเจ้าไปที่นั่น”ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมาที่เธอ
“ค...ค่ะ”หญิงสาวตอบด้วยความกลัว ไม่รู้ว่าจะทำใจได้เช่นไร อีกฝ่ายย่างสามขุมมาหา และใช้มือช้อนเธอขึ้นมาอุ้มไว้ มายุคล้องคออีกฝ่ายเพราะกลัวตกโดยอัตโนมัติ
“ดิฉันนึกว่าท่านจะอุ้มดิฉันแบบคราวที่แล้วเสียอีก”
“เจ้าอยากให้ข้าอุ้มแบบนั้นไหมล่ะ”ไดกิหัวเราะในลำคอ
“ไม่ค่ะ”
พูดไม่ทันจบ ปีกสีดำก็สยายออกและ เทนกุนั้นก็พาเธอทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวมองดูเหล่าผู้ที่ยืนมองดูเธอ แต่กลับสะดุดตากับคาบูโตะที่ชอบทำหน้าบึ้งและโวยวายใส่เธอตลอดเวลา
“ท่านไดกิคะ คาบูโตะเขาไม่ชอบมนุษย์ใช่ไหมคะ”
“คาบูโตะน่ะหรอ เขาก็เคยถูกมนุษย์ทำร้ายน่ะ”
“อ๋อ ดิฉันก็ว่า เขาชอบว่ามนุษย์ ดิฉันเองก็เลยโดนไปด้วย”เธอพูดขึ้นตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
“…แต่คิดอีกทีมนุษย์บางคนก็สมควรโดนเกลียดนะคะ”ร่างบางกล่าวขึ้นมา ไดกิเงียบลงสักพักก่อนจะกล่าวออกมา
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเจ้าคาบูโตะที่ต่อสู้เก่งกาจ ใช้คาถาอาคมได้ แปลงร่างเป็นมนุษย์ก็ได้ เหตุใดจึงถูกทำร้ายได้ แต่ตัวคาบูโตะเองก็ไม่ได้บอกถึงสาเหตุ บางทีคาบูโตะอาจจะเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเองก็ได้”
“ตอนแรกดิฉันก็คิดว่า เพราะดิฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ก็ค่อยโล่งใจหน่อยค่ะ” มายุพูดจบก็ดูวิวทิวทัศน์ยามเช้าที่สวยงาม คราวนี้มายุไม่กลัวเสียเท่าไหร่ เพราะไม่ถูกอุ้มแบบห้อยหัวเหมือนคราวก่อน และได้มองไปรอบๆ เป็นมุมที่เธอจะไม่ได้มีวันเห็นที่ไหนอีก เธอมองไปเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้น
ถ้ากลับไปแล้ว เวลาที่อยู่ที่นี่คงจะเหมือนฝันไป บางทีกลับคราวนี้ฉันคงถูกฆ่าปิดปากเป็นแน่... แต่ว่าอย่างน้อยฉันก็ต้องพยายามให้เต็มที่จนถึงที่สุด
“ที่นี่สวยมากๆเลยคะ”
“ข้าเห็นเจ้าชมอยู่ตลอด มีอะไรที่เจ้าคิดว่าไม่สวยบ้างไหม?”
“ไม่มีเลยค่ะ”มายุตอบ และหันมามองอีกฝ่าย ดวงตาของทั้งสองสบกัน แต่ไดกิเพียงเงยหน้าขึ้นไปมองเบื้องหน้าเช่นเดิม
มายุเองจึงหันกลับไปมองภาพวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า
แต่ก็ยังหวาดกลัวอยู่บ้าง จึงกอดคอของอีกฝ่ายไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เจ้าต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลยรึ ข้าอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเสียงหัวใจของเจ้าเลย”
“จ...จริงหรอคะ!!!”มายุดันแก้มแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ฮึ!!…ถ้าข้าบินผาดโผนกว่านี้ เจ้าไม่หัวใจวายไปก่อนรึ”อีกฝ่ายหัวเราะออกมา
“อย่าเลยค่ะท่านไดกิ”มายุหัวเราะร่วนตอบอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ภายใต้ใบหน้าที่กำลังหัวเราะกลบเกลื่อนอยู่นั้นกำลังกรีดร้องด้วยความกลัวและหวังว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น ก่อนจะมองออกไปที่กลางป่า
“และปิศาจตนอื่นๆ รวมถึงเทพ
เขาอยู่ที่ไหนกันคะ แล้วเขาหลบจากมนุษย์ได้ยังไงหรือคะ ท่านไดกิ”มายุถามคำถามที่เธอสงสัยอยู่ในใจ
“แต่ก่อนนั้นปิศาจจะมักอาศัยอยู่บนป่าบนภูเขา บางส่วนก็คลุกคลีกับมนุษย์ แต่ว่ามนุษย์น่ะมีจำนวนมากขึ้น และก็มีความรู้มากยิ่งขึ้น จนถึงจุดหนึ่งที่ปิศาจเริ่มกลับมารวมกลุ่มอยู่ในโลกปิศาจ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ และสร้างเมืองปิศาจขึ้น พร้อมกับใช้อาคมที่มนุษย์จะไม่สามารถมองเห็นได้ อยู่กลางป่าลึกทางตอนเหนือจากที่นี่ จะเหลือแต่ข้าที่ยังอยู่ที่นี่ ส่วนเหล่าเทพนั้นก็กระจายตัวอยู่ที่ต่างๆ ในที่มนุษย์เข้าไปไม่ถึงอยู่แล้ว จึงไม่ลำบากมากนัก”เขาอธิบาย แม้หญิงสาวจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็พยักหน้าออกมา
“แล้วท่านไดกิจะไปอยู่ในเมืองนั้นไหมคะ”
“ถ้ามนุษย์ไม่ได้มารุกรานแถวนี้ ข้าก็คงจะไม่ต้องย้าย แม้จะเคยมีเทนกุที่ฆ่ามนุษย์ไปบ้าง
แต่ข้ารู้ดีว่าถ้าข้าทำเช่นนั้นแล้ว เรื่องคงไม่จบง่ายๆ การย้ายไปจากที่แห่งนี้จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด”
“เพราะแบบนั้นท่านไดกิเลยไม่ค่อยชอบมนุษย์สินะคะ”เธอถามเขา
ไดกิก้มลงมามองเธอ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก และ
เขาพาเธอข้ามภูเขามาอีกสักพัก ที่เบื้องล่างมีเพียงป่าเท่านั้น
“เจ้าเห็นภูเขาที่อยู่ไกลลิบนั่นไหม?”มายุมองตามไปและเห็นเงาของภูเขาที่ดูเลือนลางด้วยสภาพอากาศ
“เห็นค่ะ”แม้เธอจะต้องเพ่งสายตาอยู่สักพักแต่เห็นในที่สุด
“นั่นแหละที่สิ้นสุดอาณาเขตของข้า ข้าไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ เพราะมนุษย์คนหนึ่ง…”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปนด้วยความเศร้า หญิงสาวหันมามองที่เขาด้วยความเป็นห่วง และเป็นอีกครั้งที่ดวงตาของทั้งคู่สบตากัน เธอมองเข้าไปข้างในจนเห็นดวงตาที่แฝงความเศร้าอยู่ในนั้น สายตาที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดและทรมาน ก่อนที่เขาจะหันไปมองทางอื่นอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ทันที่เธอจะกล่าวอะไร ไดกิก็พูดตัดบทเสียก่อน
“พวกเราใกล้มาถึงแล้ว ถ้ำนั้นอยู่ในป่าลึกเราต้องเดินต่ออีกสักพัก จนจะถึงถ้ำศักดิ์สิทธิ์”ชายหนุ่มค่อยๆบินให้ต่ำลงจนถึงพื้นและค่อยๆให้อีกฝ่ายลงมายืนที่พื้นอย่างเบามือ
ในป่านั้นมีต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นกันอย่างเบียดเสียด จนแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาไม่ถึงพื้นดิน มายุเห็นทางเดินที่ทำคล้ายกับบันไดไปตามเนินเขา ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนมาล่าขุมทรัพย์ก็แล่นเข้ามา ขณะที่เธอดูตื่นเต้นนั้น ไดกิที่อยู่ด้านหลังของเธอได้กล่าวขึ้น
“ข้าจะพาเจ้าเข้าไปในถ้ำ และเมื่อเจ้าพบดาบคามินาริแล้ว ให้เจ้าใช้ผ้ากำมะหยี่ห่อเอาไว้ และติดยันต์ที่ข้าทำเอาไว้ ให้ทั่วดาบคามินาริ”หญิงสาวตรวจดูอุปกรณ์ต่างๆที่เธอได้รับก่อนจะทวนคำสั่งของเขาอีกครั้งให้เข้าใจตรงกัน จากนั้นเธอจึงเดินตามชายหนุ่มขึ้นไปยังบันไดที่ทอดยาว เธอเดินตามเขาไปติดๆ ที่ทว่าเส้นทางนั้นกลับยาวกว่าที่คิดเสียจนเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเริ่มทิ้งระยะห่างกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วดาบนั้นมีประโยชน์อะไรหรือคะ? ในเมื่อเทพใช้ไม่ได้ ปิศาจก็ใช้ไม่ได้ มีแต่ผู้หญิงพรหมจรรย์เท่านั้นที่ใช้ได้เท่านั้นล่ะคะ”
“แท้จริงแล้วดาบนั้นมิได้มีไว้เพื่อการฆ่าฟันกัน แต่เป็นแท่งเหล็กบริสุทธิ์ ที่ผ่านพิธีกรรมนับหนึ่งร้อยสิบเอ็ดอย่าง ทำไว้เพื่อส่งมอบให้หัวหน้าขององเมียวจิเมื่อพันกว่าปีก่อนแต่เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป เหล่าขุนนาง
นักรบ จนไปถึงโชกุนต่างต้องการแท่งเหล็กนั้น หัวหน้าองเมียวจิจึงได้สั่งให้คนสนิท นำเหล็กนั้นไปตีเป็นดาบ และมอบให้มิโกะคนหนึ่งเดินทางมาที่ถ้ำนี้เพื่อที่จะเก็บดาบไว้เป็นความลับ เพราะหากตกไปอยู่ในมือของใครสักคน โลกคงจะเสียสมดุลอย่างแน่นอน” เขาอธิบายอย่างยืดยาว นี่คงเป็นบทสนทนาที่ไดกิพูดมากขนาดที่สุด ตั้งแต่มายุอยู่ที่นี่
“ท่านไดกิรู้เรื่องนี้เยอะจังเลยค่ะ ท่านไดกิเคยเห็นดาบจริงๆไหมคะ?”
“ข้าไม่เคย ข้าเพียงได้ยินคนเล่ามาเท่านั้น ดาบนั้นอยู่ที่นี่ก่อนข้าจะเกิดเสียอีก”
“ถ้าเช่นนั้นท่านไดกิอายุเท่าไหร่หรือคะ?”เธอถามอย่างสงสัย
“ก็เกือบๆพันปี”มายุอ้าปากค้างกับอายุของอีกฝ่าย
วัตถุโบราณชัดๆ ถ้าเป็นมนุษย์ตายแล้วเกิดใหม่กี่รอบแล้วก็ไม่รู้
“ถ้าเช่นนั้นดาบคามินาริก็มาอยู่ที่นี่ก่อนท่านไดกิเกิดไม่นานสินะคะ”
“ใช่แล้ว...เพียงไม่กี่ปีหรอก”เขาเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ มายุพยายามตะกายบันไดที่อยู่สูงครึ่งแข้งของเธอให้ได้ จนมายุเริ่มจะปีนไม่ไหวแล้ว
“ทำไมคนโบราณถึงทำบันไดชันจัง”เธอบ่นกับตนเอง ด้วยความเหนื่อยล้า ปิศาจหนุ่มเพียงหันกลับมามองอีกฝ่ายหนึ่ง
“มนุษย์ไม่ได้สร้างที่นี่... แต่ท่านพ่อของข้าที่เป็นไดเทนกุสร้างเอาไว้”
“ถ้าเช่นนั้น มิโกะคนนั้นขึ้นไปถึงถ้ำนั้นได้อย่างไรคะ หรือเธอคนนั้นต้องแข็งแรงมากแน่ๆเลยค่ะ”มายุพยายามเดินขึ้นไปต่อโดยไม่สนใจไดกิที่หยุดเดินระหว่างทางไปแล้ว
“ท่านพ่อเคยบอกวิธีไว้ ว่า…”เขาดูครุ่นคิดว่าจะบอกดีหรือไม่
“ว่าอะไรหรือคะ?”มายุค่อยๆหันกลับมา พร้อมกับหอบแฮ่ก
“ข้าว่าข้าไม่บอกเจ้าเสียจะดีกว่า... เดินต่อไปแบบนี้นี่แหละ”เขายิ้มออกมาอย่างยียวนภายใต้หน้ากากสีแดงสด
“ท่านบอกดิฉันเถอะค่ะ หรือมีวิธีไหนบ้างคะที่จะทำให้ไปถึงได้”
“นั่นสินะ เจ้าช้าขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันสุริยุปราคาพอดี…งั้นข้าจะบอกเจ้าแล้วกันว่าพ่อข้าบอกกับมิโกะผู้นั้นว่าอะไร”ดวงตาสุกใสจ้องมองที่อีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ รอฟังคำตอบ
“พ่อของข้ายื่นข้อเสนอให้นาง บอกว่า
ถ้าอยากจะขึ้นไปให้ถึงถ้ำนั้น เจ้าจะต้องแต่งงานกับข้า แล้วท่านพ่อก็อุ้มนางขึ้นไป”
“โอ้โห ท่านพ่อของคุณร้ายไม่เบาเลย”เธอกล่าว
ส่วนอีกฝ่ายขำออกมา ตอนนี้เธอไม่เหลือร่อยรอยแห่งความเศร้าแล้ว
ถ้างั้นก็แปลว่ามิโกะคือแม่ของไดกิสินะ ที่แท้แม่ของเขาก็เป็นมนุษย์นี่นาหรือว่าคงจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง เราอย่าไปยุ่งเลยเสียดีกว่า
“ท่านไดกิคะ?”ในที่สุดหญิงสาวก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ที่จะทำให้เธอขึ้นไปถึงบันไดได้อย่างรวดเร็ว
“มีอะไรรึ?”
“แล้วท่านไดกิ บังคับลมพายุได้ใช่ไหมคะ ถ้าเช่นนั้นช่วยทำให้ดิฉันตัวเบาขึ้นหน่อยได้ไหมคะ”เธอเสนอขึ้นมา
“ได้สิ”ปิศาจผู้มีเรือนผมสีดำหยิบพัดขนนกขึ้นมา โบก
ไม่นานนักมายุรู้สึกว่าเธอตัวเบาขึ้นจนเท้าเกือบจะลอยยกจากพื้น ก่อนจะลองเดินขึ้นบันไดดูก็พบว่าเธอแทบจะไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด
“ได้ผลจริงๆด้วยค่ะ พวกเรารีบไปกันเธอเถอะค่ะ”มายุขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วเสียจนนำหน้าไดกิไปเสียแล้ว อีกฝ่ายเพียงเดินตามเธอไปเท่านั้น
“ท่านไดกิเอง บางทีก็ดูใจดีนะคะ”
“แล้วเหตุใดจึงต้องบอกข้า และข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่ได้ใจดีแต่อย่างใด เจ้าไม่คิดบ้างรึว่าข้าช่วยเจ้าเพราะต้องการมนุษย์มาเพื่อการนี้อยู่ก่อนแล้ว”เขากล่าวออกมา
“ท่านไดกิช่วยดิฉันไว้ ทั้งช่วยชีวิต และก็ช่วยจากอะมาโนะจาคุ เท่านี้ท่านไดกิก็มีบุญคุณกับดิฉันมากมายจนตอบแทนไม่ได้แล้วค่ะ และท่านไดกิเองก็บอกเมื่อตอนที่ดิฉันขอไม่ให้อ่านความคิดเองว่า ดิฉันห้ามเก็บอะไรไว้เป็นความลับค่ะ”
“แต่ข้าก็เชื่อใจเจ้าแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องบอกข้าทุกเรื่องหรอก”
“แต่ดิฉันก็อยากจะบอกค่ะ….และก็...หลังจากนี้ดิฉันคงจะกลับไป ก็คงไม่ได้พบกับคุณอากาเนะอีก อาจจะรวมถึงท่านไดกิด้วย ดิฉันรู้ว่าท่านไดกิคงไม่อยากให้ดิฉันกลับมาที่นี่อีก…แต่ดิฉันอยากจะจดจำเอาไว้ว่าครั้งหนึ่งได้มาอยู่ที่นี่เจอสิ่งแปลกใหม่มากมาย ที่ดิฉันไม่เคยรู้”
“พอเถอะ…
อย่าได้กล่าวอะไรอีกเลย”ชายผู้สวมหน้ากากนั้นรีบก้มหน้าและเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านไดกิ..ดิฉันตามไม่ทันแล้วค่ะ” แม้เธอจะรีบเดินตามก็ไม่ทัน จนกระทั่งล้มคะมำไปกับขั้นบันได อีกฝ่ายเพียงหันมามองอยู่ไกลๆเท่านั้น
“ข้าน่ะ มีหน้าที่ที่ต้องทำเช่นกัน ดังนั้นรีบมาเสียเถอะ”เสียงนั้นกล่าวออกมา ก่อนจะเดินไปโดยไม่หันมาช่วยเธอ และกล่าวขึ้นมา
“เจ้าจะมาที่นี่เพื่อพบอากาเนะก็ย่อมได้ ข้าไม่ห้ามเจ้า…”
“ขอบคุณค่ะท่านไดกิ”ร่างบางยิ้มออกมา
มายุเดินตามเขาไปเรื่อยๆ สุดทางของบันไดเบื้องหน้านั้น เธอยังไม่พบกับจุดสิ้นสุดเสียที หญิงสาวจึงค่อยๆเดิน เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าทำไมบันไดถึงยาวขนาดนั้น หากเธอพลาดละก็คงจะกลิ้งลงเขาไปอย่างแน่นอน
“ทำไมกัน อย่าบอกนะว่าเจ้าเหนื่อยแล้ว”ชายผู้เดินนำหน้าเธอกล่าวขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะ แต่ว่าทำยังไงก็เหมือนไม่ถึงที่ปลายบันไดเสียทีค่ะ”
“งั้นให้ข้าอุ้มเจ้าไปน่าจะเร็วกว่านะ”ชายหนุ่มเอื้อมมือมาทำท่าเหมือนจะอุ้มเธอ ทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงัก แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ชายหนุ่มพาไปเพราะคงจะไปถึงเร็วกว่าที่เธอเดินอยู่มากโข
“ค...ค่ะ”มายุที่ใจเต้นรัวก็ค่อยตอบตกลง เขาเริ่มกางปีกและก็บินเลียบกับพื้นบันไดไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ตลอดทางที่ดูเหมือนว่าบันไดนั้นไม่มีที่สิ้นสุด จนหลายนาทีผ่านไปก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงแต่อย่างใด
บางทีไดกิก็ดูเท่เหมือนกันนะ…นี่เราคิดอะไรเนี่ย เขาเป็นปิศาจนะ แล้วยังไม่ชอบมนุษย์อีก เราจะชมเขาทำไมกันล่ะในเมื่อปกติแล้วเขายังไม่ชมเราเลยนี่นา มีแต่คอยว่าอยู่ตลอดก็เท่านั้น
“หนทางช่างไกลจริงๆนะคะ”ดวงตาสีน้ำตาลจเองมองไปที่ขั้นบันไดด้านหน้า
“ก็เพราะว่าท่านพ่อนั่นแหละ อยากให้มิโกะคนนั้นเขายอมตกลงให้จนได้ จึงสร้างบันไดหนึ่งหมื่นขั้น”
“หนึ่งหมื่นขั้นเลยหรือคะ ทำไมไม่บอกดิฉันก่อนคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินกัน”
“ก็เจ้าไม่ถามข้าเอง”ไดกิจอมยียวนได้กลับมาแล้ว มายุถึงกับถอนหายใจและเงียบไป จนกระทั่งเบื้องหน้าของพวกเขาประกฏขั้นสุดท้ายของบันได มายุดีใจที่ในที่สุดเธอได้มาถึงเสียที เมื่อไดกิปล่อยเธอลง หญิงสาวรีบกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย และเบื้องหน้าของเธอเป็นศาลเจ้าเก่าที่ผุพังตามกาลเวลา จนเหมือนว่าหากมีลมวูบใหญ่พัดมา ศาลเจ้านั้นจะลงมาถล่มได้ทุกเมื่อ เธอถึงกับถอยกรูดเพราะความน่ากลัวของมัน
“ศาลเจ้านี่น่าจะสร้างทับปากถ้ำไว้ เราต้องเดินผ่านเข้าไป”ชายหนุ่มเดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว ส่วนมายุเพียงค่อยๆเดินไปทีละก้าวเท่านั้นด้วยความกังวล ทุกก้าวที่เธอเหยียบลงไปนั้นจะมีเสียงไม้กระดาษลั่น ข้างหน้านั้น เธอเห็นว่าเป็นปากถ้ำ ขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็พอให้คนสองคนเข้าไปได้สะดวก มายุมองไปรอบๆด้วยเพราะไม่กล้าไว้วางใจสักเท่าไหร่ ว่าจะมีอะไรที่เธอคาดไม่ถึงโผล่มาไหม
“มาเดินนำหน้าข้ามา”เสียงไดกิกล่าวขึ้น มายุถึงกับหันขวับเพราะตนเองกลัวอยู่แล้ว แต่กลับต้องไปเดินอยู่ข้างหน้าเขา
“ทางตรงนี้มันผุ หากข้าปล่อยเจ้าให้เดินคนเดียวและเดินตามหลังข้า เจ้าคงตกไปในช่องนั้นแน่ๆ”เขามองที่พื้นที่โหว่เป็นรู ไม่ห่างจากที่ตนยืนอยู่นัก
“ค่ะท่านไดกิ”มายุค่อยๆเดินไป พลันสายตาก็พบเข้ากับบางสิ่งที่เลื้อยผ่านไปต่อหน้าต่อตา
“งู!!”พูดแล้วเธอก็แทบจะกระโดดไปกอดผู้ที่อยู่ข้างๆในทันที
“ท่านไดกิคะ งูค่ะงูตัวใหญ่มากเลย!!!”เธอเกาะชายเสื้อเขาแน่น แต่อีกฝ่ายเพียงถอนหายใจออกมา
“นี่ในป่า ยังไงก็ต้องมีงูอยู่แล้ว เจ้าจะกลัวไปทำไมกัน”เขากล่าวออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“แค่ตกใจเพราะกลัวโดนกัดค่ะ”เธอกล่าวออกมา เพราะมายุไม่ใช่คนที่กลัวงูขนาดนั้น แค่กลัวถูกกัดแล้วที่นี่ไม่มียารักษาพิษงูแน่นอน
“แล้างูไม่กลัวเจ้าบ้างรึ? ดูสิมันเลื้อยหนีไปแล้ว”งูที่มีลำตัวยาวสีน้ำตาลค่อยๆเลื้อยหนีไปอีกทางหนึ่งจนเข้าพงหญ้าไป มายุที่ค่อยหายตกใจจึง เริ่มจะเดินนำอีกครั้งด้วยความกล้าๆกลัวๆ เมื่อนั้นแสงอาทิตย์ค่อยลับแสงลงเพราะเงาจากดวงจันทร์ที่เริ่มซ้อนทับกันนั้น ก็ยิ่งทำให้เธอมองไม่เห็นทางเข้าไปใหญ่ หญิงสาวค่อยๆคลำหาทางไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าถ้ำนั้นมีความเย็นและชื้นมาก เธอได้ยินเสียงหยดน้ำที่ก้องไปทั่ว
เมื่อเดินไปอีกไม่ไกลนักก็พบว่าถ้ำนั้นมีบันไดวนเพื่อลงไปด้านล่าง
“ไปสิ นี่ใกล้เวลามากแล้วนะ”เสียงของผู้ที่อยู่ข้างหลังกดดันเธอ มายุที่มองไม่ค่อยเห็นจึงคว้าปลายแขนเสื้ออีกฝ่ายเพราะกลัวตกบันได ส่วนอีกมือหนึ่งก็ค่อยๆก้าวลงบันไดวน ที่เป็นเพียงแผ่นหินที่ยื่นออกมาจากผนังถ้ำต่อกันจนเป็นบันไดวนไปเบื้องล่างเท่านั้น โดยที่เธอก็มองแทบจะไม่เห็นทาง
“ท่านไดกิคะ ดิฉันมองไม่เห็นทางเลยค่ะ”มายุพูดขึ้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมืดลงไม่ต่างจากการหลับตาแต่อย่างใด
“สายตามนุษย์ช่างย่ำแย่นัก เช่นนั้นข้านำก็ได้ แต่เจ้าต้องอยู่ใกล้ๆข้าเข้าไว้ เวลาใส่หน้ากากแล้วข้ามองไม่ถนัด”ปิศาจผู้มีปีกสีดำกล่าวขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นท่านไดกิก็ถอดหน้ากากออกเถอะค่ะ ยังไงดิฉันก็มองไม่เห็นท่านอยู่ดีค่ะ”ไดกิมองท่าทางที่มายุพยายามคลำหาทางก็เชื่อ สุดท้ายเขาจึงถอดหน้ากากออกเสีย
“ตามมาทางนี้”ดวงตาเรียวสีดำจ้องมาทางหญิงสาวที่พยายามก้าวมาตามเสียง ฉับพลันที่เธอเหยียบลงบนบันไดนั้น พื้นหินก็ดันถล่มลงมา อย่างน่าประหลาดทั้งที่ไดกิที่ตัวหนักกว่ายืนอยู่กลับไม่เป็นอะไร
หรือเพราะฝีมือใครบางคน
“มายุ!!”ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมือพยายามคว้าอีกฝ่ายเอาไว้
“ท่านไดกิ!!”หญิงสาวพยายามคว้าอีกฝ่ายหนึ่งทว่าไม่ทัน ก่อนที่เธอจะตกลงไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง ไดกิที่เห็นดังนั้นจึงรีบ กางปีกและบินลงไปหาอีกฝ่ายหนึ่งในความมืดประดุจยามรัตติกาลที่ไร้ความสว่างใดๆในทันทีอย่างไม่ลังเล ของเงามืดที่คืบคลานเข้ามาปกคลุมดวงอาทิตย์สีแดงบนท้องฟ้าเมื่อถึงยามสุริยุปราคาคืบคลานเข้ามาเยือน
ความคิดเห็น