คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : การประลอง
ท่ามกลางสวนในคฤหาสน์ยามปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้น ดอกไม้ใบหญ้าที่เริ่มเหี่ยวเฉายามสัมผัสความหนาวเย็นที่ใกล้จะมาถึงในไม่ช้านี้ กลับถูกเซริวเทพประจำทิศตะวันออกเด็ดดึงอย่างไม่ใยดีเท่าใดนัก มายุได้เพียงแต่มองเขาถึง ที่เล่าวีรกรรมของท่านอาจารย์ของเธออย่างหมดเปลือกพร้อมตกตะลึกในเรื่องราวที่เขาได้เล่าออกมาและมองเขาฉีกทึ้งใบไม้ในสวนของปิศาจเทนกุไปเรื่อยๆโดยไม่อาจห้ามเซริวได้แต่อย่างใด เธอยืนฟังเทพมังกรฟ้าผู้สวมชุดคาริกินุสีน้ำเงินเข้มว่ากล่าวอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นประดุจเธอไปถามเขาอย่างถูกจุด และชายผู้มีดวงตาสีเงินได้ต่อว่าปิศาจตนนั้นอย่างยาวเหยียดจนเขาดูเหมือนกับชายแก่ที่ขี้บ่นคนหนึ่ง โดยที่มายุได้แต่นิ่งฟังเรื่องเทพีแห่งความตายที่อาจารย์ผู้ฝึกวิชาของตนได้พบเจอมา
“เจ้าไดกิน่ะ เคยไปถกเถียงกับอิซานามิจนนางโกรธเสียยกใหญ่ โชคดีที่คำสาปของนางมันไม่มีผลกับปิศาจ เขาเลยได้ใจ
โต้เถียงกับนางเสียไม่เลิก ขนาดข้าเองเป็นเทพ ข้ายังไม่กล้าเถียงนางเลย”มายุนั้นรู้สึกตกใจอย่างยิ่งจนหน้าซีด เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าไดกิจะไม่กลัวใครเลยเสียขนาดนี้
“ม..มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ?”เธอถามขึ้น
“เมื่อปีก่อน ข้าขอกำลังของไดกิให้ไปหาทวนโบราณของเทพอิซานากิ ผู้เป็นเทพแห่งชีวิตและเป็นพี่ชายและสามีของเทพอิซานามิ….”
เทพมังกรฟ้าทะยานอย่างสง่างามกลางเวหาเบื้องล่างมีเพียงพงไพรสีเขียวขจียามฤดูคิมหันต์ เสียงจักกะจั่นร้องดังก้องไปทั่วบริเวณพื้นเบื้องล่าง พร้อมกับความร้อนระอุจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน พร้อมกับชายหนุ่มผู้มีปีกสีดำบินตามมาไม่ห่างนัก ร่างของเขาสวมชุดนักพรตภูเขา ไปยังกลางป่าพงไพรที่รกชัฏ ร่างของทั้งสองนั้นค่อยๆลงมาที่พื้นดินกลางป่า และเบื้องหน้าของชายทั้งสองมีศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่ผุพังใกล้จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ประตูของศาลเจ้านั้นเก่าและผุพังลงด้วยไม่มีใครมาคอยบูรณะ จนมองเห็นทวนขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นเทพอิซานากิถืออยู่อย่างน่าเกรงขามอยู่ด้านใน แต่ทั้งสองกับชะงักเมื่อทวนนั้นมีพลังบางอย่างที่น่ากลัวนักจนน่าขนลุกขนพอง
“นั่นเป็นทวนของเทพอิซานากิ ที่เราตามหา..”มังกรฟ้ากล่าวออกมา
“ขอรับ”ไดกิกล่าวออกมาแทนคำตอบว่า แม้เซริวไม่บอกเขาก็รู้
“แต่ทวนนั้นถูกคำสาปแช่งของเทพแห่งความตายอิซานามิ ท่าทางนางคงจะแค้นเทพอิซานากิมาก...”
“ท่านอิซานากิคงจะกลัวนางสินะขอรับ จนถึงกับไม่กล้ามาที่นี่เอง”เซริวถึงกับกระแอมเป็นสัญญาณเตือนไม่ให้ไดกิกล่าวเช่นนั้น เพราะเทพทั้งสองถือว่าเป็นเทพชั้นสูง เป็นทั้งเทพผู้ให้กำเนิด และเทพแห่งความตาย ที่มีพลังไม่สิ้นสุด
“เจ้าเป็นแค่ปิศาจนะ หัดระวังคำพูดที่โอหังของเจ้าบ้าง”ดวงตาสีเงินมองอีกฝ่ายอย่างตำหนิ
“ขออภัยขอรับ”เขาคำนับ แต่เซริวก็เข้าใจว่าเขาพูดด้วยนิสัยของเทนกุ ที่คงแก้ไม่มีทางหายแน่นอน ก่อนจะเดินเข้าไปเบื้องหน้าทวนนั้น
“เราไม่ควรสัมผัสทวนโดยตรง เพราะข้าไม่รู้ว่านางจะสาปอะไรไว้”
“ข้าคิดว่านางสาปแช่งไว้ ไม่ให้มนุษย์ขโมยทวนไปเท่านั้นขอรับ เหมือนที่นางทำเป็นปกติ”ไดกิไม่มีสีหน้าทุกข์ร้อนใจแต่อย่างใด และดูเหมือนจะไม่หวาดกลัวพลังเบื้องหน้าเสียด้วย
“แล้วเจ้ามั่นใจรึ?”เทพมังกรฟ้าถึงกับถามอีกฝ่าย
“หากนางแช่งให้ข้ากลายเป็นอมนุษย์ คำสาปนั้นก็ย่อมไม่มีผลต่อปิศาจอย่างข้าอยู่แล้วขอรับ”ไดกิกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัว จนอีกฝ่ายเริ่มจะหมั่นไส้เขาไปในที
“ก็แล้วแต่เจ้า เอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้ามั่นใจนัก เป็นคนหยิบทวนเสีย หากเจ้าไม่เป็นอะไรข้าจะให้งานเอกสารเจ้าน้อยลง”เซริวยื่นข้อเสนอทันทีและคิดว่าคงไม่มีใครอยากสัมผัสทวนที่เต็มไปด้วยคำสาปอย่างแน่นอน
“ข้าขอพลังของข้าคืนได้ไหมขอรับ”ไดกิหันมาต่อรองกับเขาอย่างไม่ลังเล
“ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมได้ ตอนนี้เจ้ามีพลังหนึ่งในสาม งั้นข้าให้เจ้ามีพลังครึ่งนึงจากพลังที่เจ้ามีทั้งหมด”แม้ถึงตอนนี้เซริวก็ยังเชื่อสุดหัวใจว่าไม่มีใครที่จะบ้าบิ่นขนาดนั้นอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องหน้าซีดลงเมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย
“ขอรับ”เขากล่าว ก่อนจะเดินไปอย่างมั่นใจ และหยิบทวนนั้นออกมาจากรูปปั้น ฉับพลันเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอย่างโหยหวน ก่อนเงาของรูปปั้นอิซานากินั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเงาของสตรีผู้หนึ่ง
“ท…ท่านอิซานามิ”เซริวคำนับอีกฝ่าย ส่วนชายหนุ่มยังถือทวนอยู่จึงเพียงโค้งคำนับเท่านั้น ก่อนเงาดำนั้นจะกล่าวขึ้น
“พวกเจ้ามาขโมยทวนของอดีตสามีของข้ารึ?”เสียงสตรีที่แหบแห้งและเย็นยะเยือกกล่าวขึ้น
“ข้ามิได้มาขโมยขอรับ ข้าแค่นำทวนไปคืนท่านอิซานากิ ตามที่ได้รับคำสั่งเท่านั้นขอรับ”เซริวกล่าว
“ยังไงเสีย เจ้าก็จะต้องได้รับคำสาปจากข้า ให้เจ้ากลายเป็นซากศพที่เริ่มเน่าเปื่อยลงช้าๆที่ยังมีชีวิตอยู่แบบที่ข้าเป็น…”
“คำสาปของท่านมิอาจทำอะไรข้าที่เป็นปิศาจอยู่แล้วขอรับ”ไดกิกล่าวขึ้น
“หึ!!
เจ้าช่างมั่นใจเสียเหลือเกินนะเจ้าเทนกุ เจ้าประมาทมากเกินไป แล้วสักวันเจ้าจะได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของคำสาปของข้า”
“แล้วข้าจะรอดูขอรับ”เขาตอบอย่างยียวน ขณะที่เทพมังกรฟ้ายังคงคำนับแทบเท้าของเทพีแห่งความตายก็ตาม เซริวถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ถ้าวันไหนเจ้าพลาดพลั้งขึ้นมาล่ะก็ อย่ามาอ้อนวอนข้าแล้วกัน…”เมื่อกล่าวจบเงานั้นก็จางหายไป เมื่อปิศาจอย่างเขาสัมผัสทวนแล้ว คำสาปที่สาปไว้ก็พลันสลายหายไปจนสิ้น
“เจ้านี่มัน…”เซริวอยากจะต่อว่าอีกฝ่ายเสียทีหนึ่งเขาลุกขึ้นมาปัดฝุ่นผงให้เรียบร้อยและก็รับทวนมาถือเอาไว้ ก่อนทั้งสองจะบินขึ้นไปหายไปบนฟ้าสีฟ้าอันกว้างใหญ่
ทิ้งศาลเจ้าเก่าผุพังไว้เบื้องหลัง
ไดกิเองก็ต้องการพลังของตนกลับมาจนไม่สนใจว่าตนจะได้รับอันตรายหรือไม่
และนั่นอาจเป็นจุดอ่อนที่อาจจะทำให้เขาลำบากได้ในภายหลังในที่สุด
“ท่านไดกินี่ไม่กลัวใครเลยจริงๆค่ะ”มายุถึงกับตะลึงกับวีรกรรมของอีกฝ่าย เมื่อเธอได้ฟังเรื่องเล่าจากเทพมังกรฟ้าอย่างละเอียดจนเห็นภาพ
“เจ้านั่นก็เป็นเช่นนั้นแหละ มันเป็นนิสัยของเทนกุ”เซริวกล่าวอย่างปลงๆ
“ท่านเซริวกล่าว ถึงข้าหรือขอรับ”เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น มายุหันขวับไปมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เทพประจำทิศตะวันออกกลับเฉยเมยเสีย เพราะเขารู้มาตั้งนานแล้วและตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
“ใช่ ข้ากำลังเล่าวีรกรรมของเจ้าให้ลูกศิษย์ของเจ้าฟัง”มังกรฟ้ายอมรับอย่างง่ายดาย
“ท่านเทพเซริวมีเหตุอันใดมาพบข้าหรือขอรับ”ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างหญิงสาวกับเทพมังกรฟ้า
“ข้าจะมาดูว่าเจ้าพร้อมทำสงครามหรือไม่ ถ้าเจ้าไม่พร้อมนัก จะเรียกให้พวกข้ามาช่วยได้นะ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน…เอาเป็นว่าทำงานให้ข้าต่ออีกสักร้อยปีแล้วกัน”ดวงตาสีเงินนั้นมองเหยียดอีกฝ่าย
“ข้าไม่เรียกพวกท่านหรอกขอรับ”ไดกิรีบกล่าว เทพเซริวจึงพยักเพยิดกับหญิงสาว
“เจ้านี่ก็เป็นแบบนี้แหละ”ชายผู้นั้นหัวเราะออกมา
“ท่านเซริวมีธุระอะไรกับนางรึ? หากไม่มีเชิญท่านไปดูที่ซ้อมรบทางทิศเหนือเถิดขอรับ”ไดกิรีบผายมือเชิญอีกฝ่ายให้ไปเสีย
“เจ้าหวงนางรึ? ข้ายังคุยกับนางไม่เสร็จธุระ”เขายิ้มเหยียดออกมา ส่วนอีกฝ่ายกลับกำหมัดแน่น
“เปล่าขอรับ… เพียงแต่นางช่างถามข้ากลัวท่านจะรำคาญนางเท่านั้น”ไดกิมองไปทางอื่น
“หากเช่นนั้นข้าจะมีของบางอย่างให้เจ้า แต่อย่าให้ไดกิเห็นเด็ดขาด และใช้มันในเวลาที่สำคัญจริงๆ เพียงแต่ครั้งนี้ข้ายังไม่ได้เตรียมมาให้เจ้า ไว้คราวหน้าแล้วกัน”ไดกิมองผู้กล่าวอย่างเคลือบแคลงแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เมื่อร่างนั้นกล่าวจบ เขาจึงหันมามองไดกิอย่างยียวน
“ธุระข้าเสร็จแล้ว เจ้าพาไปสิ”ไดกิคำนับและมองมายุเหมือนจะตำหนิเธอก่อนจะเดินนำเซริวจนหายลับตาไป มายุเพียงกลืนน้ำลายเอื๊อกเพราะว่าเธอคงโดนเอ็ดอย่างแน่นอน เมื่อนั้นหญิงสาวจึงเดินขึ้นไปบนห้องของท่านไดกิและลงมือจัดเตรียมของต่างๆให้เรียบร้อย รวมถึงผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอย่างเรียบร้อย
“หวังว่าจะช่วยให้โดนด่าน้อยลงนะ”มายุกล่าวขึ้นกับตนเอง และถอนหายใจออกมา พอดีกับอากาเนะที่เข้ามาเพื่อจัดของ เธอชะงักและมองไปรอบๆ
“ท่านมายุทำให้หมดแล้วหรือคะ??”เธอถามขึ้นเหมือนไม่ต้องการคำตอบนัก ส่วนมายุพยักหน้าช้าๆ ก่อนหญิงรับใช้จะนึกเรื่องสำคัญได้
“ท่านมายุ ข้าได้ยินมาว่าท่านคือมิวะหรือเจ้าคะ”มายุพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนอีกฝ่ายจะโผเข้ากอดเธอแน่นด้วยความคิดถึงยิ่งนักจนมายุเกือบจะล้มกลิ้งไปอยู่ที่พื้น
“แต่ท่านไดกิก็ยังไม่ชอบดิฉันอยู่ดี แม้ว่าเขาจะรู้ความจริงแล้วว่ามิวะไม่ได้เป็นคนวางยาท่านยูมิโกะก็ตามคุณอากาเนะดิฉันคงต้องยอมแพ้แล้วค่ะ...”มายุหัวเราแฮะๆกลบเกลื่อน
“อย่าเศร้าไปเลยท่านมายุถ้าตอนที่ท่านเป็นมิวะท่านทำได้ ท่านมายุก็ต้องทำได้”
“ไม่ค่ะ ท่านไดกิอธิบายให้ฟังแล้วค่ะ ดิฉันผิดเองที่เกิดเป็นมนุษย์…แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าชอบได้ดิฉันก็ตัดใจได้เช่นกัน ท่านไดกิมีเมตตาให้ดิฉันอยู่ที่นี่ต่อ ดิฉันเต็มใจเป็นลูกศิษย์ของท่านไดกิค่ะ ยังไงท่านไดกิก็เป็นผู้ที่มีพระคุณต่อฉันมากๆเลยค่ะ”
“ท่านมายุนี่เข้มแข็งนะเจ้าคะ เหมือนกับท่านมิวะเลย ท่านมิวะกับข้าเราสนิทกันจนเหมือนพี่น้อง ข้าดีใจที่ท่านกลับมาที่นี่เจ้าค่ะ แม้ว่าข้าจะเศร้าใจที่ท่านมิวะต้องอยู่กับผู้ชายเลวๆคนนั้น แต่ว่าในตอนนี้ถ้าเป็นท่านมายุแล้ว ก็คงสามารถทำสิ่งต่างๆได้ตามใจแล้วสินะคะ”อากาเนะกุมมืออีกฝ่ายไว้
"จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้ค่ะ แต่ว่าดิฉันเพียงรู้เรื่องของมิวะเท่านั้นนะคะ อย่าให้ถึงขนาดที่คิดว่าดิฉันเป็นมิวะกลับมาเกิดเลยค่ะ"
"อย่าถ่อมตัวเลยเจ้าค่ะท่านมายุ ถ้ามีความทรงจำ ก็แปลว่าท่านมายุต้องเคยเป็นท่านมิวะแน่นอนเลยเจ้าค่ะ"มายุพยักหน้ารับและยิ้มออกมา แม้จะไม่มีความรู้สึกของมิวะที่ส่งต่อมาถึงเธอ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายดีใจขนาดนั้นก็อดมีความสุขไม่ได้ ก่อนจะนึกถึงเรื่องราวเมื่อวันที่คาบูโตะกับอากาเนะเกือบจะถูกมนุษย์ผู้นั้นทำร้าย
“ว่าแต่คุณคาบูโตะตอนนั้นเป็นอะไรมากไหมคะ”
“คาบูโตะถูกยิงด้วยคันศรเงินเจ้าค่ะ มันทำให้พลังของคาบูโตะหายไปมากโชคดีที่ข้ารักษาทัน แต่หลังจากนั้นที่ท่านไดกิรู้ว่าเขาถูกซามูไรคนหนึ่งทำร้าย จึงกางเขตอาคม ไม่ให้คนภายนอกมองเห็นภายในได้ แม้กระทั่งเสียงก็ไม่อาจเล็ดลอดออกไปได้เจ้าค่ะ”
“และเพราะเช่นนั้น คุณคาบูโตะจึงเกลียดมนุษย์นัก”มายุกล่าวออกมา
“ใช่เจ้าค่ะ พลังที่มีมานับหลายร้อยปี กลับหายไปเกือบหมดสิ้น
เขาจะเกลียดมนุษย์ก็คงเป็นเรื่องปกติน่ะเจ้าค่ะ”
“งั้นดิฉันฝากขอโทษคุณคาบูโตะได้ไหมคะ”มายุกล่าวขึ้น แต่เสียงหนึ่งดังออกมาจากภายนอกห้องนั่นคือการาสุเทนกุที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้โกรธเจ้า...เจ้าไม่ผิด แต่ข้านั้นเกลียดชายผู้นั้นที่คิดว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่เกินใคร ทั้งทำร้ายข้า และยังทำร้ายเจ้าอีก ทั้งๆที่เจ้าเป็นภริยาของเขาคนนั้น ตลกเสียจริง...แบบนั้นจะเรียกว่ารักได้รึ”
"ไม่ทราบเช่นกันค่ะคนอย่างนั้นไม่สมควรได้รับความรักจากใครเลยมากกว่าค่ะ แต่ถ้าจะให้พูดว่ามิวะทำถูกหรือไม่ในวันที่เธอแอบออกมาพบพวกคุณ ก็คงกล่าวได้ว่าเธอไม่ถูกนัก แต่เขาก็ไม่ควรจะทำถึงขั้นทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อระบายอารมณ์...แต่ก็นั่นแหละค่ะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว"มายุอธิบายออกมาตามความรู้สึกของตน
“ข้าเองก็ยินดีนักที่เจ้ากลับมา ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะตั้งจิตได้มั่นขนาดที่จะกลับมาเกิดใหม่จนได้พบท่านไดกิอีกครั้ง ท่าทางท่านไดกิคงหนีเจ้าไม่พ้นแน่”เสียงของทาโร่ดังขึ้น เมื่อการาสุเทนกุที่เหลือได้ฟังก็หัวเราะคิกคักออกมา
"นั่นสินะทาโร่ บางทีท่านมายุคงเกิดมาเพื่อท่านไดกิอย่างแน่นอน ขอให้ท่านไดกิยอมรับความรู้สึกตนเองโดยเร็วด้วยเถิด ข้าเชื่อว่าท่านไดกิต้องยอมเปิดใจให้ท่านมายุสักวันหนึ่งเจ้าค่ะ"อากาเนะกล่าวออกมา แต่ร่างบางที่นั่งฟังก็ถึงกับใบหน้าแดงแป็ดด้วยความอายจนต้องเอามือขึ้นมาปิดหน้าตนเอง ไม่นานนักเสียงกระพือปีกนั้นก็ดังมาแต่ไกล อากาเนะจึงรีบออกจากห้องนอนใหญ่ของชายหนุ่มในทันที
“ท่านมายุเจ้าคะ ฝากดูแลท่านไดกิอย่างดีด้วยนะเจ้าคะ”เสียงประตูปิดลงและเสียงกึ่งเดินกึ่งวิ่งได้ห่างออกไปเรื่อยๆ พอดีกับร่างกำยำที่บินลงมายืนอยู่ระเบียงห้อง
คนที่นี่เขาไม่เข้าออกทางประตูบ้างเลยหรอ?
เมื่อเขาก้าวเข้ามา มายุจึงถือผ้าชุบน้ำไปให้เขา ร่างนั้นหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าอย่างลวกๆและคืนเธอโดยไม่กล่าวสิ่งใด มายุรับผ้าคืนมา ก่อนจะถามอีกฝ่าย
“ท่านไดกิจะให้ดิฉันนวดบ่าให้เหมือนเดิมไหมคะ”เธอกล่าวขึ้น แต่เขายังเงียบกริบอยู่สักพักก่อนจะจ้องมองเธอเขม็ง
“เจ้ากำลังมีอะไรปิดบังข้า มายุ
บอกข้ามาเสียว่าเซริวกล่าวกับเจ้าว่าอะไร?”มายุยืนนิ่งไป ไม่นึกว่าเรื่องที่เธอจะคุยกับเทพมังกรฟ้าจะทำให้เขาขุ่นเคืองเช่นนี้
“ดิฉันเพียงรู้ว่า ท่านเซริวจะนำอะไรบางอย่างมามอบให้ดิฉันค่ะ แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่าคืออะไรค่ะ”เธอตอบออกมาตามตรง
“เช่นนั้นรึ? ข้าเห็นเจ้าคุยกับเขาอยู่นานเสียนาน”ไดกิไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่ทราบจริงๆค่ะ”มายุกล่าวด้วยความสำนึกผิด แต่เธอไม่รู้จริงๆ สุดท้ายเขาจึงนั่งลงที่ปลายเตียงหันไปมองภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอกห้องและถอนหายใจออกมาจึงค่อยชวนคุยเรื่องอื่น
“วันนี้ข้าเห็นว่าเจ้ายกถังน้ำได้สามครั้งตามที่เจ้าตั้งใจไว้ได้ และข้าก็เห็นว่าเจ้ามีความพยายามแล้ว วันรุ่งขึ้นข้าจะฝึกเพลงดาบให้เจ้าก่อน”
“ค่ะท่านอาจารย์ งั้นดิฉันจะนวดบ่าให้ท่านไดกินะคะ”มายุพยายามจะง้ออีกฝ่ายอย่างเต็มที่ และเดินไปนั่งลงบนเตียงและบีบนวดอีกฝ่ายอย่างเช่นเคย เคยเพียงมองหญิงสาวด้วยสีหน้าที่ขัดเคืองเท่านั้น จนมายุเงยหน้ามาพบพอดี
“ท..ท่านไดกิมีอะไรหรือคะ?”มายุค่อยๆถัดตัวออกช้าๆ ด้วยความสงสัย และจึงรีบกล่าว
“ท่านไดกิต้องเชื่อใจดิฉันค่ะ มันไม่มีอะไรจริงๆนะคะ”ชายหนุ่มเองจึงเงียบลงไป
“ครั้งนี้ข้าจะเชื่อใจเจ้าก็แล้วกัน”เขากล่าวออกมาด้วยร้ำเสียงที่ราบเรียบ มายุรู้ได้เลยทันทีว่าเขายังอารมณ์ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่กล้าตื๊ออีกฝ่ายต่อ
หลายวันต่อมานั้นหลังจากที่ไดกิต้องมานั่งประชุมกันข้ามวันข้ามคืนกับพวกการาสุเทนกุนั้น
ชายหนุ่มฝึกฝนหญิงสาวอย่างหนักตั้งแต่ท่ายืนและท่าจับดาบ ที่ชายหนุ่มคอยกำกับเธออย่างละเอียดว่าต้องทำอย่างไรบ้างร่างกำยำค่อยๆโอบหญิงสาวและจับมือของเธอให้อยู่กับที่ ทว่าเขานั้นยังไม่ทันได้สอนเพลงดาบแก่เธอ ไดกิจึงสอนถึงวิธีตั้งรับมากกว่าการเป็นฝ่ายทะลวงเข้าไป ด้วยเหตุผลหนึ่งคือเธอเองก็แค่อยากจะป้องกันตัวเองให้ได้เท่านั้น ส่วนเวลาของเขาเองก็เหลือลดน้อยลงเช่นกันและต้องรีบฝึกการรบอย่างจริงๆจัง จนกระทั่งต้องพาหญิงสาวไปนั่งดูเขาฝึกซ้อม ซึ่งเมื่อคราวแรกการาสุเทนกุตนอื่นก็ประหลาดใจอย่างมาก แต่หญิงสาวเพียงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว จนไม่มีใครสามารถกล่าวได้ว่าเธอเป็นคนสร้างปัญหา เพียงแต่หญิงสาวที่คอยติดตามเขาก็รู้ถึงแรงกดดันนัก และไม่นานนักสารท้ารบก็มาถึง ขณะที่เหยี่ยวตัวหนึ่งได้มาหย่อนม้วนกระดาษ และบินหายไปในทันที ไดกิรับสารนั้นมาอ่านก่อนจะฉีกทิ้งอย่างไม่ใยดี ท่ามกลางเสียงโห่ร้องกึกก้องของการาสุเทนกุทั้งหลาย
“ทัพในครั้งนี้ข้าจะรบกับคุโระเฮะบิ คุโระโทะริ คุโระเฮียว และจะนำชัยแก่พวกเราให้จงได้!!!”
“คุโระเฮะบิ…”ความหลังที่เธอถูกชายผู้มีเรือนผมสีขาวก็ผุดขึ้น และรู้สึกโกรธแค้นและกลัวนักจนเก็บอาการไม่ได้จนเธอต้องลุกขึ้นมายืนกอดอกและเดินไปมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่อสรพิษจูบเธอเข้าให้แล้วก็ยิ่งโมโหนัก อาจารย์หนุ่มของเธอสังเกตเห็นพอดี แต่เขายังต้องมีหน้าที่อยู่เช่นกัน จึงไม่ได้เข้ามาถามไถ่ จนเธอเดินหายไปด้านหลังของเพิงผ้าใบสีขาวขนาดใหญ่ที่เอาไว้พักของไดกิ เธอพบเห็นดาบเคนโด้ไม้ ที่เธอเอาไว้ซ้อมเป็นประจำ จึงหยิบขึ้นมาและซ้อมเพลงดาบไปเรื่อยๆ แต่สมาธิของเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ดาบเลยสักนิดเดียวเพราะความโกรธเมื่อยามนึกถึงแม้กระทั่งชื่อของปิศาจตนนั้นก็ตาม
คอยดูเถอะ อยากจะตีให้หัวแบะจริงๆเลย ถ้าไม่ติดว่าฉันเป็นมนุษย์แล้วล่ะก็นะ แต่ว่า...นั่นน่ะจูบแรกของฉันเลยนะ จูบแรกของฉันแทนที่จะได้จูบกับคนที่ฉันรักแท้ๆ ต้องไปจูบเจ้าคุโระเฮะบิ...น่าขยะแขยงชะมัด แบบนี้มันล่วงละเมิดทางเพศชัดๆ
เสียงดาบฟาดฟันผ่านอากาศดังขึ้นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเงาๆหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเธอ และในจังหวะที่หญิงสาวเงื้อดาบจะฟันไปข้างหน้า มือใหญ่ก็เอื้อมมาจับที่ปลายดาบไม้ทันที มายุรีบหันไปมองก่อนจะพบชายหนุ่ม ก่อนเธอจะคำนับอีกฝ่าย
“ความโกรธไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดในการต่อสู้ มีแต่โทษเสียมากกว่า..”ไดกิกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ค่ะ ท่านไดกิ”มายุคอตกเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ตอนต่อสู้เจ้าต้องมีสมาธิกับข้อมือของคู่ต่อสู้เท่านั้น ข้อมืออยู่ที่ใดใบดาบก็อยู่ที่นั่น ดังนั้นสิ่งอื่นที่เขายั่วยุให้โมโหก็อย่าไปสนใจ”ชายหนุ่มสอนสั่งเธอ
“ค่ะท่านไดกิ”
“อยากลองประลองที่ลานกับข้าไหม?”มายุนิ่งไปเมื่อได้ฟัง เธอคงแพ้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแน่นอน ต่อหน้าธารกำนัลคนอื่นๆด้วย
“เจ้าเป็นลูกศิษย์ข้า เจ้านำสิ่งที่ข้าสอนไปมาใช้เสีย ข้าจะออมแรงเสียหน่อยก็แล้วกัน”
“ค..ค่ะ”มายุตอบตกลง ไม่รู้จะดีใจหรือไม่ที่เขาบอกจะออมมือให้เธอ หญิงสาวผู้สาวกางเกงฮากามะสีน้ำเงินจึงกล่าวตกลงและเดินไปที่ลานเบื้องหน้า เมื่อทั้งสองปรากฏตัวขึ้น เหล่าการาสุเทนกุจึงหยุดซ้อม และมานั่งชมรอบๆลาน
“ทำไมถึงไม่ซ้อมกันต่อไปล่ะ น่าอายจะตาย!!!”มายุบ่นออกมาเบาๆ
“ไม่หรอก ทุกคนอยากรู้ว่าลูกศิษย์ข้ามีความสามารถเพียงใดก็เท่านั้นเอง ถ้าเช่นนั้น
ข้าจะเป็นฝ่ายบุก เจ้าเองก็ตั้งรับให้ดีล่ะ ก็คิดเสียว่าเหมือนกับที่ข้าสอนเจ้าทุกครั้ง”มายุมั่นใจขึ้นมาได้บ้าง เธอไปยืนอยู่ที่กลางลานดิน ฝั่งซ้าย
ส่วนอาจารย์ของเธอนั้นอยู่อีกฟาก ก่อนทั้งสองจะคำนับ เธอและเขาต่างเหน็บดาบไม้ไว้ข้างลำตัว แล้วแต่สถานการณ์ในการว่าควรจะใช้ดาบหรือไม่
“ไม่มีสิ่งใดตายตัวหรอก สำหรับเจ้าเอาตัวให้รอดก็พอแล้ว”เขากล่าวขึ้น ก่อนแววตานั้นจะแปรเปลี่ยนไป รวมถึงท่าทางที่ดูจริงจังยิ่งนัก ไม่เหมือนเมื่อสักครู่
จะออมมือจริงหรือเปล่าเนี่ย มองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อขนาดนั้น เริ่มกลัวแล้วเนี่ย….
มายุเองก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม แค่ยังไม่เริ่ม เธอก็เกร็งจนเหงื่อตกแล้ว แต่ดวงตายังคอยจ้องมองท่าทางของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาอาจารย์ของเธอชัดดาบไม้ออกมาจากฝักอย่างรวดเร็วสองมือของเขาจับเข้าที่ด้ามดาบและค่อยๆก้าวเข้ามา หญิงสาวจึงค่อยๆชัดดาบออกมาจากฝักเพื่อเตรียมพร้อม และเงื้อมือฟันลงมาตรงๆ มายุเบี่ยงตัวหลบและใช้ดาบไม้จี้ที่คออีกฝ่ายแต่เธอก็ชะงักลงเพราะตอนซ้อมเธอก็เว้นระยะไว้เพียงเท่านี้และลืมตัวไปว่ากำลังประลองอยู่ แต่ทันใดนั้น แขนที่แข็งแกร่งก็กระแทกเข้ากับมายุจนล้มลง เธอพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่ดาบไม้ของชายหนุ่มกดลงมาที่ไหล่ของมายุจนเธอต้องนอนเหยียดกับพื้น
“การประลองเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้าเจ็บ ยังไงเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็จงแสดงฝีมือที่เจ้ามีทั้งหมดออกมาเสีย!!
“ค่ะ!!”ปิศาจหนุ่มเดินกลับไปที่เดิม และดูอีกฝ่ายลุกขึ้นมาปัดฝุ่นที่เธอล้มนิดหน่อย ก่อนจะพุ่งเข้ามาและฟาดฟันคมดาบลงมาตรงๆ มายุที่ยังไม่เข้าที่ดีนัก เธอจึงยกดาบขึ้นมาป้องกันด้วยเอียงไปทางซ้ายของตน โดยที่จับด้ามดาบคนละทางกับเมื่อครู่ ดาบไม้ของชายหนุ่มจึงเฉไปจากเดิม เปิดทางให้มายุโต้กลับ หญิงสาวรีบตวัดดาบเล็งไปที่คอของอีกฝ่ายในทันที
ฉับพลันมือใหญ่ที่ปล่อยดาบออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ปัดมือของเธอ จนวิธีดาบแฉลบไปไม่ถูกผู้ใดเลย และมือของชายหนุ่มก็คว้าเข้าที่ข้อมืออีกฝ่าย ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนเธอมองไม่ทัน มายุรู้สึกตัวอีกทีก็ลงไปนอนอยู่พื้นเพราะถูกเขาจับทุ่มแล้ว ดีที่อีกฝ่ายยังเห็นเธอเป็นมนุษย์อยู่บ้างจึงออมแรงเอาไว้ไม่เช่นนั้นเธอคงหลังหักเป็นแน่
“เจ้าทำตามที่ข้าสอนได้ดีมาก มาลองอีกสักครั้งหนึ่ง”ไดกิยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจในตัวอีกฝ่าย
“เมื่อกี้มันคือ..?”มายุกำลังสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก
“เจ้าไม่รู้ตัวรึว่าเจ้าโดนอะไร”เขาหัวเราะออกมาเมื่อได้ฟัง และอธิบายสั้นๆ
“นั่นคือเทนกุซุโมะ”
มายุเดินกลับไป ยืนประจำที่อีกครั้งหนึ่ง ไม่แปลกใจที่ทำไมอีกฝ่ายต่อสู้เก่งนัก ก่อนเธอพยายามนึกถึงการซ้อมของเขาที่เธอมานั่งดูอยู่หลายวันแต่ก็ต้องจำใจเพราะ ยังไงเธอก็ทำไม่ได้เพราะไม่เคยลองฝึกถึงขั้นนั้น ดวงตากลมโตจ้องไปที่อีกฝ่าย คราวนี้เขารีบตรงเข้ามาและเงื้อมือขึ้นจะฟาดฟันเธอ มายุแทงดาบไม้สวนไปในทันทีเมื่อเขาเปิดช่องว่างบริเวณลำตัว แต่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบเขาก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนจะหมุนตัวพร้อมกับดาบที่จะกลับมาฟาดฟันเธอจากด้านขวา มายุรีบยกดาบรับการโจมตีอย่างรวดเร็ว จนมายุรู้สึกถึงลมที่พัดหวนอย่างน่าประหลาดฉับพลันดาบของทั้งสองก็กระทบกันอย่างแรงเสียจนมายุเซ แต่เธอก็ยังยืนหยัดรับดาบไม้เล่มนั้นที่กดลงมาอย่างแรง
“ดีมากที่ตั้งรับเพลงดาบได้ เจ้าทำข้าประหลาดใจมาก หูตาเจ้าช่างไวกว่าที่ข้าคิดโดยแท้ แต่ยอมแพ้เสียเถิด มายุ”เขาแสยะยิ้มออกมา ดูทั้งดีใจที่ศิษย์รักของเขาเก่งขึ้น หรือสนุกสนานกับการไล่ต้อนอีกฝ่ายก็ไม่อาจทราบได้
“ไม่ค่ะ”เธอตอบสั้นๆออกมา เพราะหญิงสาวยังถือว่าเธอสู้ได้อยู่ และอยากรู้ความสามารถของตนมากกว่านี้ ดวงตาดำขลับมีแววประหลาดใจปนกับดุดันมากขึ้นนัก เมื่ออีกฝ่ายขัดคำสั่ง
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้ารึ!! งั้นข้าจะทำให้เห็นว่ายังไงเจ้าก็ต้องยอมแพ้อยู่ดี”ใบดาบนั้นกดลงเสียหญิงสาวต้องคุกเข่าเพื่อยันอีกฝ่ายไว้
ไม่เอาๆๆๆ ไม่อยากแพ้แบบนี้เพราะเรามีแรงน้อยกว่า คิดสิคิดว่าควรทำยังไงต่อไปดี
“จะไม่ยอมเด็ดขาดเลยค่ะ…. ถ้าแบบนี้ยังไงคนที่มีกำลังน้อยกว่าก็แพ้น่ะสิ….”มายุกัดฟันพูดออกมา นึกถึงเรื่องต่างๆที่เธอพบเจอมา ก็ชวนให้อดโมโหและน้อยใจไม่ได้ที่เธอมีเรี่ยวแรงสู้ใครเขาไม่ได้บ้างเลย ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบอีกครั้งหนึ่งจนไดกิเซเพราะดาบนั้นปักลงไปอยู่กับพื้นแทน ส่วนหญิงสาวเองก็แตกตื่นตกใจเสียจึงล้มลุกคลุกคลานไปอีกฟากหนึ่งของสนามและตั้งรับอีกฝ่าย
“ช่างดื้อรั้นยิ่งนัก!!”เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง จนมายุเองก็เริ่มกลัว
“ท่านอาจารย์คะ ดิฉันไม่มีเจตนาจะขัดคำสั่งแต่อย่างใดค่ะ”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นด้วยความกลัว แม้แต่ขาของเธอ มือของเธอก็ยังสั่นไปด้วยจากการหลบเมื่อสักครู่
“ท่านอาจารย์คะ ดิฉันยอมแพ้แล้วค่ะ”เธอกล่าวขึ้นเมื่อไดกิสาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนเธอถอยหลังไปนิดหน่อย แต่ยังถือดาบอยู่ มายุเหลือบไปมองขอบสนามของลานประลอง หากเธอก้ามพ้นจากเขตนี้แล้ว การประลองควรจะจบลงในทันที เธอมองสลับกับอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนมายุจะรีบก้าวถอยหลังให้คร่อมอยู่บนเชือกที่กั้นเขตไว้ทันที
"ดิฉันแพ้แล้วนะ ท่านไดกิ"เธอรีบกล่าวออกมาในทันที
“นี่ไม่ใช่การประลองแล้ว แต่ข้าจะต้องทำโทษและสั่งสอนเจ้าเสียบ้าง ยังไงเจ้าก็ยังต้องแพ้ข้าอยู่วันยันค่ำ เจ้าอาจสู้กับคนได้ แต่ไม่ใช่กับปิศาจ!!!”ไดกิตั้งท่าอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้าครั้งนี้ข้าไม่ออมมือให้ ก็อย่ามาร้องไห้งอแงเสียก็แล้วกัน!!!”เขาตะคอกออกมา แต่ใบหน้านั้นก็ยิ่งเหยียดยิ้มมากกว่าเดิม
ตายแน่ๆๆๆๆ ทำไงดีๆๆๆ เตรียมตั้งรับไว้ก็แล้วกัน
ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วขณะที่มายุยังไม่ทันได้ตั้งรับ และฟาดฟันดาบใส่ร่างบาง หญิงสาวพลาดท่าก้าวถอยหลังและเท้าของเธอก็เกี่ยวกับเชือกกั้นเขตจนเสียหลัก ชายหนุ่มใช้ดาบไม้แทงโดยเล็งไปที่กลางลำตัวของอีกฝ่ายแต่เมื่อเธอล้มลงใบดาบนั้นก็จ่อมาตรงใบหน้าของเธอพอดิบพอดี มายุมองเห็นภาพสโลว์โมชั่น แต่ร่างกายเธอก็ทำอะไรไม่ได้ เสียนอกจากขาของเธอนั้นอ่อนแรงจนทรุดไปอยู่ที่พื้นด้วยความตกใจและเบี่ยงตัวพร้อมกับยกแขนขึ้นมาบังใบหน้าของตนไม่ให้โดนดาบไม้ ใบดาบนั้นเฉียดศีรษะเธอไปเพียงนิดเดียว เพราะไดกิที่ดูตกใจกับท่าทีของอีกฝ่ายจึงเบี่ยงใบดาบออก ก่อนลมพายุกันแรงกล้าจะออกมาทางปลายดาบนั้น แต่ก็ไม่ทันการณ์ หลังจากนั้นทุกอย่างเงียบกริบลง จนเหมือนการาสุเทนกุตนอื่นๆเองก็ดูจะตกใจกับสิ่งที่เกินขึ้นเบื้องหน้า ไดกิเองก็ถึงกับหน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกระทำสิ่งที่เป็นอันตรายแก่อีกฝ่ายมากจนเกินไป ส่วนหญิงสาวยังนอนขดอยู่ที่พื้นด้วยความตกใจกลัว
“ท่านอาจารย์ ดิฉันขอโทษค่ะๆๆๆ”มายุยังเอามือปิดหน้าและกล่าวเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา ไดกิทิ้งดาบไม้ลงกับพื้นก่อนจะรีบเข้าไปตรวจดูใบหน้าอีกฝ่ายรวมถึงร่างกายด้วย
“เจ้าบาดเจ็บอะไรไหมมายุ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”ชายหนุ่มประคองเธอขึ้นมา ดูบาดแผลแต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไร แต่เมื่อประคองเธอขึ้นมาแล้ว ผมของหญิงสาว ก็ขาดสะบั้นจนดูไม่ได้ จากคมดาบพายุนั้น
“ผมของเจ้า มายุ…”หญิงสาวเพียงลูบเส้นผมของตัวเอง เบาๆ
ก่อนจะพบว่าเส้นผมบางส่วนของเธอร่วงออกมา มายุใช้มือปิดหน้าของตน ก่อนจะวิ่งหนีออกไปจากลานประลองในทันที
“ขอโทษค่ะ อาจารย์
ดิฉันผิดเองค่ะ ดิฉันสมควรลงโทษเช่นนี้แล้วค่ะ”เธอกล่าวโดยไม่หันมามองเบื้องหลัง คาบูโตะกับทาโร่ที่นั่งอยู่ขอบสนามนั้นก็ถึงกับตกใจ และจึงลุกขึ้นมากันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ซ้อมกันต่อเสียเถอะ พักกันนานเกินไปแล้ว!!! อย่าขี้เกียจ!!!””คาบูโตะกล่าวขึ้น และเดินไล่การาสุเทนกุตนอื่นๆ เมื่อพวกนั้นลุกขึ้นไปซ้อมกันต่อ
“ท่านไดกิเพิ่งจะประลองมา ไปพักสักหน่อยเถิดขอรับ”คาบูโตะกล่าวขึ้น ไดกิจึงเดินกลับไปโดยที่หยิบกองเส้นผมสีน้ำตาลของหญิงสาวไปด้วย
ในเพิงที่พักขนาดใหญ่ที่ปูด้วยผ้าขาว ที่เป็นที่พักของผู้นำของเหล่าเทนกุที่ภายในนั้นมีฟูกนอน รวมถึงเครื่องใช้จำเป็น และมีม่านกั้นให้มีที่พักของลูกศิษย์ของเขาที่ต้องคอยติดตามไปเสียทุกที่นั้น มายุนั่งมองกระจกบานเล็กในส่วนของเธอนั้นและมองทรงผมที่เว้าแหว่งของเธอ หญิงสาวถอนหายใจออกมาเพราะทรงผมที่ไว้ยาวจนกลางหลัง กลับดูไม่เป็นทรง เธอนั่งอยู่เบื้องหน้ากระจกอยู่เป็นเวลานาน
“ยังไงฉันก็เป็นฝ่ายดื้อดึงเองตั้งแต่แรก…”มายุนึกโทษตัวเอง ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ผมแหว่งขนาดนี้ มันน่าอายชะมัด….”ร่างบางเอามือปิดหน้าตนเองอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นร่างของคู่กรณีเมื่อครู่ก็เข้ามาในเพิง มายุนิ่งฟังเสียงนั้นเดินเข้ามาใกล้ และวางสิ่งหนึ่งลงที่โต๊ะไม้ของเขา มายุชะโงกหน้าออกไปมองร่างนั้นอย่างระแวดระวัง เพราไม่มั่นใจว่าเขาอารมณ์เย็นแล้วจริงๆหรือยัง
“ดิฉันขอโทษค่ะ ท่านอาจารย์ไดกิ”เธอรีบกล่าวขึ้น ด้วยสีหน้าที่สำนึกผิด ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งรีบเดินเข้ามาดูเธออย่างละเอียด
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าไม่บาดเจ็บอะไรจริงๆใช่ไหม”ไดกิกล่าวด้วยความเป็นห่วง แต่มายุเพียงมองลงต่ำไม่กล้าจ้องหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น
“ข้าขอโทษเรื่องผมของเจ้า”ฝ่ามือใหญ่ลูบเส้นผมของเธอ
“ไม่ค่ะ ท่านไดกิห้ามกล่าวคำขอโทษออกมาค่ะ ให้พวกเขาคิดเสียว่าท่านไดกิตั้งใจลงโทษดิฉันเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้วค่ะ หากท่านไดกิกล่าวขอโทษดิฉัน จะมีคนเคลือบแคลงถึงฝีมือของท่านไดกิได้ค่ะ”มายุกล่าวออกมา
“ทำไม..เจ้า ไม่เคยโกรธข้าเลยรึไง ทั้งที่ข้าทำเจ้าเจ็บปวดมามากมายขนาดนี้?”ชายหนุ่มถามขึ้น สีหน้าของเขาช่างดูงุนงงยิ่งนัก
“ถ้าท่านไดกิสงสัย ดิฉันก็จะตอบให้ค่ะ เพราะดิฉันเป็นเพียงลูกศิษย์ของท่านไดกิเท่านั้นค่ะ ท่านไดกิที่เป็นอาจารย์จะต้องสั่งสอนดิฉัน ส่วนการลงโทษ...บางทีก็สมควรแล้วกับที่ดิฉันดื้อดึงไปค่ะ”
“ถ้าหากเจ้าไม่ได้เป็นลูกศิษย์ข้า เจ้าจะโกรธไหม?”
“โกรธค่ะ และจะโกรธมากด้วย ผู้หญิงต้องอยากสวยงามเป็นธรรมดา ดิฉันเองก็เช่นกัน แต่ท่านกลับตัดผมของดิฉันออกอย่างไม่ใยดีต่อหน้าคนอื่น ดิฉันก็ต้องโกรธค่ะและเรื่องที่ยิ่งกว่านั้นคือท่านไดกิจะทำร้ายดิฉันค่ะ ถ้าดิฉันถูกพลังของท่านขึ้นมา จะเป็นเช่นไร…
แต่ท่านไดกิสบายใจได้ค่ะ ดิฉันรู้ดีว่าดิฉันอยู่ในฐานะอะไรมีสิทธิทำอะไรบ้าง ดิฉันจึงไม่อาจโกรธท่านไดกิค่ะ” กล่าวจบ มายุจึงหยิบมีดสั้นออกมาเพื่อจะตัดผมมือเรียวรวบผมให้แน่น ก่อนจะนำใบมีดคมตัดออก
“อย่าตัดเลยมายุ ผมของเจ้าเพียงเสียไปส่วนเดียวเท่านั้น ข้าจะให้อากาเนะมาตัดผมให้เจ้าดีกว่า”มือใหญ่คว้าฝ่ามือเรียวไว้และค่อยลดมีดลงช้าๆ ก่อนจะกระซิบข้างหูอีกฝ่าย
“ข้ารู้สึกผิดจากใจจริง ขอให้เจ้าช่วยรับคำขอโทษของข้าด้วย มายุ
ข้าไม่ตั้งใจจะทำร้ายเจ้าเช่นนั้น หากเจ้ากลัวคนอื่นจะสงสัยในตัวข้า ข้ายิ่งต้องรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น ที่เจ้าคอยปกป้องข้าเช่นนี้ ขอบคุณเจ้ามาก มายุ” มือของเขาค่อยๆลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเบามือ
“ก…ก็ได้ค่ะ”หญิงสาวตอบด้วยเสียงสั่น ก่อนร่างนั้นจะเดินกลับไปจัดของบนโต๊ะทำงาน เธอถอนหายใจออกมาเพราะแค่เพียงไม่กี่คำเธอกลับหายโกรธเขาเป็นปลิดทิ้งเสียแล้ว
ทางด้านชายหนุ่มนั้นกลับมาที่โต๊ะทำงานของตน เขามองเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย และถอนหายใจออกมา ก่อนจะหยิบห่อผ้ากำมะหยี่ใบเล็ก ขึ้นมาและวางเส้นผมของเธอไปอย่างเบามือก่อนจะใช้เส้นด้ายผูกไว้และนำผ้าชิ้นเล็กมาห่อกับนำเชือกมามัดให้แน่น เขาจ้องมองห่อผ้าขนาดเล็กในอุ้งมือเขาก่อนจะหลับตาลงช้าๆด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด
“ข้าเกือบทำร้ายเจ้าไปแล้ว ถ้าข้าทำเจ้าบาดเจ็บ ข้าคง…”ใบหน้าของเขาดูจะเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ อยู่สักพักเพื่อทำใจให้สงบ ยังไงอีกฝ่ายก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ที่ไร้เรี่ยวแรงอะไรจะต่อกรกับเขาอยู่ดี
ความคิดเห็น