คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : มิวะ ตอนปลาย
ที่ลานดินกว้างกลางป่าที่เอาไว้ฝึกซ้อมการต่อสู้ ไดกิกำลังนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ยามบ่ายคล้อย โดยที่ลูกศิษย์ของตนกำลังถูกเขาอ่านความทรงจำของนางอยู่แทนการลงโทษที่มายุฝึกซ้อมได้ไม่ดีนัก แม้ชายหนุ่มที่อ่านความคิดของร่างบางจะทราบถึงเรื่องราวทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังต้องการจะรับรู้เรื่องราวของมิวะต่อไปอีก มายุที่นอนหลับตาอยู่เธอเองก็เห็นภาพช่วงชีวิตของเด็กสาวเมื่อหลายร้อยปีก่อนเช่นกัน แต่ไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องราวต่อจากนี้แล้ว
"ท่านไดกิ พอเถอะค่ะ"มายุพึมพำออกมา ยังไงเขาก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้เป็นคนวางยามารดาของชายหนุ่มจนถึงแก่ความตายจริงๆ และเธอก็ไม่อาจรู้ถึงเหตุผลที่ท่านยูมิโกะทำเช่นนั้นได้เลย
"ไม่ได้ ข้ากำลังลงโทษเจ้าอยู่ ข้าจะขอดูชีวิตของนางอีกสักพักหนึ่ง เจ้าไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้า!!"เขากล่าวออกมาด้วยเสียงที่แข็งกร้าว
"แ..แต่ว่า..."เธอกล่าวออกมา และไม่อาจต้านทานอีกฝ่ายที่มีพลังอำนาจเหนือเธอได้ ในที่สุดมายุจึงยอมให้เขาดูความทรงจำของตนต่อไปโดยที่เธอไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
มิวะอยู่ในห้องเก็บของแคบๆที่นี่มาสองวันแล้วและทั้งสองวันเต็มนั้นเหล่าการาสุเทนกุมักจะเข้ามาสอบสวนเธออยู่แทบจะตลอดเวลา
จนร่างกายเริ่มจะทนไม่ไหวนักจากความเหนื่อยล้า ไม่ว่าจะปฏิเสธสักเท่าใดก็ไม่มีใครฟังเธอทั้งสิ้น การาสุเทนกุน้อยทั้งสามจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างจริงจัง
พวกเขาต้องหาทางช่วยมิวะให้ได้ ใครๆก็รู้ว่านางเป็นคนจิตใจดี
ไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน และเริ่มพูดคุยเรื่องจะพาท่านมิวะหลบหนีไปเสียจากที่นี่
ไม่เช่นนั้นนางต้องถูกประหารอย่างแน่นอน ทั้งสามคุยกันอยู่ด้านหลังห้องเก็บของ
ซึ่งเด็กสาวเองก็ได้ยินทุกอย่าง
“พวกเราช่วยท่านมิวะหนีดีไหม?”ทั้งสามเริ่มคุยกัน
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ให้ข้าตายตกไปตามกันน่าจะดีเสียกว่าเจ้าค่ะ
ท่านแม่ตายเพราะข้า ข้าควรจะถูกลงโทษ”มิวะกล่าวออกมา
“หรือท่านแม่ปรารถนาอยากให้พวกเราไปอยู่ในโลกของวิญญาณด้วยกัน”เธอพึมพำกับตนเอง การาสุเทนกุทั้งสามก็มีสีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อได้ยิน
“ข้าขอแค่ให้ท่านพี่ไม่ถูกประหารด้วยเถิดเจ้าค่ะ”เธอสวดมนต์ภาวนา จนกระทั่งเวลาผ่านไป ที่ทั้งสามยังคอยหาข้าวปลาอาหารมาให้เธอบ้าง แต่มิวะก็แทบจะไม่แตะเลย
“ให้ข้าตายไปเสียคงจะดีกว่า ข้าฆ่าท่านแม่ของข้า…”ร่างบางโทษตนเองอยู่เช่นนั้น
“ท่านไม่ได้ทำนะขอรับ ท่านยูมิโกะนำไปดื่มเองมิใช่รึ”เสียงคาบูโตะกล่าวขึ้น พยายามใช้เหตุผลกับนาง
“ข้าเองก็อยากคิดเช่นนั้นค่ะพี่คาบูโตะ”กล่าวจบ
เสียงของทั้งสามก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มิวะจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องเก็บของเสีย เบื้องหน้าของเธอที่แสงสว่างสาดส่องเข้ามานั้นมีการาสุเทนกุสองตนเดินเข้ามา นั้นคือมุราคาวะกับทานากะ
“ข้าจะมาสอบสวนเจ้า มิวะ
เหตุใดถึงทำเรื่องจิตใจหยาบช้าได้ลงคอ”มิวะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า เธอไม่
แม้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อเธอเลย เขาคงรอแต่คำรับสารภาพของเธอเท่านั้น
แต่มิวะยังกล่าวออกมาตามความจริง
“ข้าไม่ได้ทำเจ้าค่ะ”เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
“เจ้าโกหก เหตุใดจึงปากแข็งกัน แต่เจ้าเป็นคนที่ทำให้ท่านไดอิจิตาย ยังไงก็ถูกประหารอยู่ดี”
“ถ้าเช่นนั้นก็ประหารข้าเลยเจ้าค่ะ”มิวะยอมรับผิดทุกอย่าง
เพราะเธอเองก็มีส่วนทำให้ท่านไดอิจิตายด้วย
“ปากดีนัก!!! ไว้ให้ท่านไดกิเป็นคนถามเจ้าเองแล้วกัน”มิวะเมื่อได้ฟังก็สบายใจนัก เมื่อพบว่าท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่ ร่างของการาสุเทนกุทั้งสองนั้นเดินเข้ามาและจับเธอใส่ตรวนเสีย ก่อนจะพาไปยังที่ที่หนึ่ง ร่างบางที่ถูกคุมตัวนั้นจึงเดินตามไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่าในป่าลึกนั้นมีห้องห้องหนึ่งที่คล้ายกับกระท่อม แต่กลับดูวังเวงมากนัก
“ที่นี่คือ?”
“ห้องตัดสินและห้องประหารของเจ้ายังไงล่ะ”กล่าวจบก็พาร่างบางเดินเข้าไปในห้องทันที ร่างบางที่เนื้อตัวมอมแมมและถูกใส่ตรวนนั้นถูกพามายังห้องห้องหนึ่ง ที่ไม่มีหน้าต่างใดๆ เด็กสาวมองไปรอบๆก็พบกับการาสุเทนกุอาวุโสทั้งเก้าตนนั่งอยู่รอบห้อง รวมถึงคู่หมั้นของเธอที่ยืนอยู่ตรงกลาง มิวะคุกเข่าลงที่พื้นก่อนจะคำนับอีกฝ่ายหนึ่ง
“ขอคารวะท่านไดกิเจ้าค่ะ”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยยิ่งนัก แต่ไม่กล้าพอที่จะมองหน้าอีกฝ่าย เพราะสิ่งที่เธอทำไปกลายเป็นความผิดมหันต์จนไม่อาจให้อภัยได้
“ข้ามีเรื่องที่จะถามเจ้า ก่อนที่ข้าจะลงโทษเจ้าเสีย ว่าเจ้าได้วางยาท่านแม่ของข้าใช่หรือไม่?”เด็กหนุ่มถามขึ้นในทันที เพราะอยากจะทราบคำตอบเสียทุกอย่างโดยเร็ว
“ใช่เจ้าค่ะ”เธอนิ่งไปสักพัก ก่อนเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เพราไม่รู้จะทำอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเธอคนเดียวเท่านั้นมิวะก้มหน้าลงเมื่อกล่าวจบและพยายามจะกลั้นน้ำตา ไดกิเงียบลงไปสักพักหนึ่ง เด็กสาวรู้ดีว่าเขาคงจะเจ็บใจและผิดหวังในตัวเธอขนาดไหน
“…เจ้า ทำไปทำไมกัน?”เขาถามขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับกำหมัดแน่น ส่วนมิวะก็ก้มหน้าอยู่เช่นนั้น
“เจ้าทำไปทำไมกัน มิวะ
เจ้าตอบข้าสิ!!!!!”เขาตะโกนลั่น
“...ท่านพี่กรุณาประหารข้าเถอะเจ้าค่ะ”เธอคำนับเธอกล่าวด้วยความรู้สึกผิด ยังไงก็เพราะเธอเป็นตัวการอยู่ดี จะตอบสิ่งใดไปเธอก็ไม่พ้นถูกประหารอย่างแน่นอน เมื่อนั้นการาสุเทนกุอาวุโสนามมูระคาวะได้กล่าวขึ้น
“ท่านไดกิ ท่านถามไปนางก็ไม่ตอบหรอกขอรับ พวกข้าพยายามถามมาแล้ว”ชายหนุ่มยืนนิ่งกับคำตอบอยู่อย่างนั้น จนเขาหมดความอดทน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังกล่าวอะไรอยู่!!!”ไดกิตะคอกกลับหญิงสาวเบื้องหน้า
“ข้าทราบดีเจ้าค่ะ… ข้าเป็นคนนำดอกไม้พิษนั้นให้ท่านแม่เองกับมือเจ้าค่ะ….แต่ข้ามิได้ตั้งใจ เจ้าค่ะ..”มิวะร้องห่มร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่อายุมุรีบกล่าวขึ้น
“แต่ท่านไดกิเจ้าคะ เศษดอกอะเซะโบะที่ข้าพบนั้นอยู่ในถ้วยชาเจ้าค่ะ แปลว่าท่านยูมิโกะได้ดื่มเข้าไปเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าเป็นคนใส่ดอกอะเซะโบะลงไปในถ้วยชารึ?”เขาถามขึ้นอีกครา มิวะที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเขานั้นเธอได้แต่เพียงคิดคำนึงสิ่งที่เกิดขึ้นมา
ท่านแม่ต้องการให้พวกเราตายกันหมดจริงๆสินะเจ้าคะ ท่านคงหวังให้ท่านพี่ตายลงในสนามรบ และให้ข้าถูกประหาร เช่นนั้นหรือไม่เจ้าคะ? แต่ข้าเป็นคนก่อเรื่องขึ้น ข้านั้นควรจะตายตกไปตามกันกับท่านแม่เจ้าค่ะ ให้ข้าชดใช้เรื่องราวนี้ด้วยชีวิตข้า เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของท่านแม่ไว้จะดีกว่า…ยังไงข้าก็ไม่เหลือศักดิ์ศรีอันใดเเล้ว เป็นเพียงนักโทษที่ยังไงเขาก็จะประหารข้าอยู่ดี
“เจ้าค่ะ”
มิวะกลั้นใจตอบออกมา
เพราะตนเองก็เหนื่อยและทรมาณกับการถูกสอบสวนมานานติดต่อกันหลายสิบชั่วโมงแล้ว พอดีกับทานากะที่รอเวลานี้อยู่แล้ว
“ท่านไดกิขอรับ…หากท่านไม่มีอะไรสงสัยคาใจแล้ว ก็ต้องลงโทษนางเสียขอรับ ยังไงก็ต้องลงโทษนางเท่านั้นขอรับ”เขาส่งมอบดาบคาตานะให้เทนกุ เด็กหนุ่มรับมา ชักดาบออกจากฝัก และชี้ไปทางเธอ มิวะหลับตาลงช้าๆ
หากท่านพี่จะประหารข้า ก็จงบั่นคอข้าด้วยความเกลียดเถิดเจ้าค่ะ…ข้าน่ะทำถูกแล้วใช่ไหม?
ร่างบางนั่งหลับตาอย่างจำนน แต่เวลาผ่านไปสักพัก ก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเธอ จนมิวะค่อยๆลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่าย และนั่นคือตอนที่ดวงตาของทั้งสองที่สบกัน และนั่นทำให้ ไดกิถึงกับอยู่นิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งการาสุเทนกุต่างเรียกสติของเขา
“หากท่านไดกิไม่ทำ ท่านจะเสียการปกครองนะขอรับ ท่านไดกิเป็นผู้นำแล้วต้องมีความเด็ดขาดขอรับ กรุณาตัดสินความผิดของนางเถิดขอรับ”เสียงยามะคาวะกล่าวขึ้น แต่ไดกิกลับปักดาบลงบนพื่นไม้อย่างสิ้นสุดความอดทน จนดาบนั้นปักอยู่ไม่ห่างเธอมากนัก
“เจ้ารู้ไหมว่าทำข้าเสียใจขนาดไหน…”เขากล่าว
และก้มลงไปกระชากร่างของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ร่างบางถูกกระชากจนตัวลอย ก่อนจะถูกฝ่ามือของไดกิตบเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง จนมิวะนั้นล้มลงไปที่พื้นอีกครั้ง รอยแดงบนแก้มปรากฏเห็นชัดด้วยผิวขาวนวลของอีกฝ่าย ดวงตาสีดำจับจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายที่ทำร้ายเธอ ก่อนเลือดกำเดาจะไหลออกมาจากทางจมูกจนหยดลงกระทบพื้น คนอื่นๆต่างตกตะลึงกับการกระทำของเขา หญิงสาวนั้นกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเดียวเธอเพียงมองค้างไปที่อีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
ทำไมกัน…
“นั่นมิใช่โทษที่นางควรได้รับนะขอรับ นางฆ่าท่านไดอิจิ กฎนั้นได้บอกไว้ชัดแล้วว่าใครฆ่าผู้นำของเรา ต้องถูกประหารนะขอรับ”อีกเสียงหนึ่งท้วงขึ้น แต่ก็ถูกอีกฝ่ายขัดขึ้น
“เจ้าอาจฆ่าท่านแม่ข้า แต่มิได้ฆ่าท่านพ่อของข้า ท่านพ่อตายเพราะคำสาบาน..ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าแม้แต่น้อย ฉะนั้นข้าจักโบยเจ้า แลพาไปประจานเสีย จากนั้นก็เนรเทศเจ้าออกจากดินแดนนี้และอย่าได้กลับมาอีก”
“แต่ว่า..”การาสุเทนกุอาวุโสตกตะลึง
“พวกท่านก็อย่าลืม เรื่องนี้แท้จริงแล้ว…เป็นเรื่องของมนุษย์ นางแค่ฆ่ามนุษย์อีกคนที่อยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์นี้เท่านั้น มิได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย ที่ข้าลงโทษนาง ถือว่ารุนแรงเกินจากกฎที่พวกท่านวางเสียอีก”
“ท่านมองได้ขาดและชัดเจนมากขอรับ”ยามะคาวะกล่าวและคำนับ เหล่าเทนกุตนอื่นจึงคำนับตาม ส่วนชายหนุ่มเพียงยืนหันหลังให้เธอ และถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินออกไปโดยไม่ไม่หันกลับมามองเธอ มิวะได้เพียงแต่มองตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น ตอนนี้เธอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ท่านพี่พยายามช่วยข้าสินะเจ้าคะ
มิวะที่ถูกเนรเทศออกไปนั้นได้กล่าวร่ำลากับพี่ๆทั้งสามของเธอ และตั้งแต่วันนั้นเธอก็ยังไม่พบท่านพี่เลย ดวงตาของเธอมีแววเศร้า จนกระทั่งทั้งสามได้กล่าวขึ้น
“มิวะ ขอให้เจ้าโชคดีนะ”อากาเนะปาดน้ำตา ไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไร การาสุเทนกุร่างใหญ่ก็พาเธอออกไปที่เขตแดน
“จงออกไปเสียและอย่ากลับเข้ามาที่นี่อีก”
“ลาก่อนนะ”มิวะกล่าว ก่อนจะเดินจากไป โดยมีอีกาตัวหนึ่งนำทางให้จนเธอออกจากป่า หญิงสาวหันกลับมามองภูเขาลูกนั้นอย่างอาลัยอาวรก่อนจะตัดใจเดินจากไป เธอเดินไปตามทางในป่าอยู่นาน และมีเกี้ยวมารอรับมิวะอยู่ที่ชายป่า
มิวะเห็นตั้งแต่ไกล และรู้สึกเศร้าใจนักจนน้ำตาหยดใสไหลรินออกมา
ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ
ที่ทำให้ตระกูลของท่านต้องเสียชื่อเสียงเพราะข้า
ข้านั้นโง่เขลานัก ทำให้พวกท่านต้องถูกตำหนิเอาได้ว่า มีลูกสาวเช่นนี้ ข้ากลายเป็นเพียงผู้หญิงชั้นต่ำที่มีตำหนิเท่านั้น
คงไม่มีใครอยากจะแต่งงานกับลูกแน่ ข้าขอโทษ...ที่ทำให้ตระกูลรุ่งเรืองไม่ได้
มิวะหรี่ตาลงด้วยความโศกเศร้า
ทั้งชีวิตของเธอนั้น โชคดีที่เกิดมาสวยสดงดงาม
ความสวยนี้จะทำให้ท่านพ่อท่านแม่ได้อยู่อย่างสบาย
แต่เธอกลับพลาดโอกาสนั้นไปเสียได้ กลายเป็นหญิงคู่หมั้นที่ถูกชายทิ้ง
จะต้องทนฟังคำดูถูกอีกมากแน่นอน
ร่างบางเดินต่อไปอย่างเงียบงันด้วยความเจ็บปวดใจอย่างเป็นที่สุด
หลายปีผ่านไปมิวะที่กลายเป็นหญิงสาวที่งดงามนั้น ถูกชายทั้งแผ่นดินหมายตาไว้ แต่คนที่มาเป็นสามีของเธอคือซามูไรวัยกลางคนที่ร่างกายสูงใหญ่นัก ที่เป็นถึงผู้มีพระคุณของท่านพ่อของเธอ มิวะในวัยยี่สิบปีนั้นเองก็ถูกจับให้แต่งงานกับชายที่แก่ราวพ่อของเธออย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็เพื่อรักษาเกียรติและการงานของท่านพ่อ มิวะยังคงเขียนจดหมายให้พี่ๆทั้งสามของเธอ และให้อีกาตัวหนึ่งนำกลับไปส่งให้อยู่เสมอจนกระทั่งวันแต่งงานที่เธอได้ย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่กว่าเดิมมากนัก ด้วยสามีของเธอเป็นถึงชายที่อยู่ในแนวหน้าของสงครามเกนเพย์ จึงได้รับการแต่งตั้งและทรัพย์สินมากมายเมื่อยามสงครามฝ่ายของตนได้ชนะพวกไทระ แม้ว่าคฤหาสน์นั้นจะยิ่งใหญ่และกว้างขวางเพียงใด มีคนรับใช้จำนวนมากขนาดไหน แต่มิวะเองก็ไม่ได้ตื่นตานัก จึงพยายามหาทางบ่ายเบี่ยงไม่ไปที่คฤหาสน์ดังกล่าว แต่ในที่สุดเมื่อวันแต่งงานมาถึง หญิงสาวจึงต้องจำใจเดินทางออกมาจากบ้าน พร้องกับคำสั่งสอนของมารดาที่ได้กล่าวไว้เป็นสิ่งสุดท้าย
มิวะ
เจ้าจะต้องออกเรือนแล้ว แม้ว่าเจ้าจะคิดถึงที่นี่เพียงใด เจ้าก็จะกลับมาเหยียบที่นี่อีกไม่ได้ หากเจ้าแต่งงานแล้ว เจ้าจะถือเป็นคนของตระกูลสามีของเจ้า และต้องตัดขาดกับครอบครัวของเจ้าเสีย
มิวะจึงเดินทางจากมาด้วยความใจหายแต่หากท่านพ่อท่านแม่สบายใจนางก็พร้อมยินดีที่จะทำโดยไม่มีข้อโต้เถียงและหวังไว้ว่าทางฝ่ายสามีของเธอจะต้อนรับอย่างดี จนกระทั่งไปถึงเธอก็พบกับชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าท่านพ่อของเธอต้อนรับอยู่ ใบหน้าที่ดูดุดันและหนวดเคราที่ยาวนั้นเริ่มมีสีขาวจากความชรานัก มิวะคำนับเขาอย่างนอบน้อมก่อนชายผู้นั้นจะพาเธอเข้าไปในคฤหาสน์และพูดคุยกันเล็กน้อยถึงพิธีสมรสในวันรุ่งขึ้น ก่อนเขาจะทิ้งเธอไว้ที่คฤหาสน์นั้น และต้องรีบไปประชุมกับไดเมียวผู้ครองนครต่อไป มิวะค่อยดูสบายใจขึ้นมาหน่อยที่เขาดูแลเธออย่างดี
ทว่าในวันรุ่งขึ้นขณะที่เธอแต่งตัวชุดกิโมโนสีชมพูที่ซ้อนทับกันหลายชั้นเพื่อเข้าพิธีสมรสนั้นเพิ่งจะเสร็จสิ้น ระหว่างที่คนรับใช้หลายคนกำลังง่วนกับการทำผมให้เธอ มิวะได้ใช้เวลาว่างนั้นเขียนจดหมายถึงพี่ทั้งสามที่เธอเคารพนั้น ซามูไรที่สวมคิรุกินุสีดำ ผู้นั้นได้พบนกกาตัวหนึ่งที่มักจะติดตามเธอเพื่อรับจดหมาย และรู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังจะทำ
“เจ้าทำอะไรน่ะมิวะ!!!”เสียงที่แข็งกร้าวดังขึ้น เสียคนรับใช้นั้นตกใจและคุกเข่าคำนับลงกับพื้น
“ส่งจดหมายให้ใครรึ? เจ้ายังติดต่อกับไอ้ปิศาจพวกนั้นอยู่รึ อย่าหาว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเคยไปอยู่กับพวกนั้นในฐานะอะไร!!”
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกเจ้าค่ะ”มิวะคำนับ
ก่อนจะถูกมือใหญ่เชยคางขึ้นมา
“จงสำเหนียกไว้เสีย…ถ้าเจ้าไม่สวย ข้าก็ไม่เอาเจ้ามาเป็นเมียหรอก”มิวะเพียงนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น จนอีกฝ่ายลงมือฉีกทึ้งจดหมายของเธอจนเหลือเพียงเศษกระดาษ และออกจากห้องไป หญิงสาวทำได้เพียงโกยเศษกระดาษมาไว้บนฝ่ามือที่สั่นเทาเท่านั้น
เวลากลางคืนนั้นเข้ามาถึง มิวะเพียงหลบอยู่ในห้องของตนเงียบๆ เพราะกลัวจะถูกอีกฝ่ายพบนัก เธออยากจะหนีไปเสียจากที่นี่แต่ก็ทำไม่ได้ ฉับพลันร่างใหญ่ก็เปิดประตูเข้ามา และจ้องมองเธอที่นั่งอยู่ที่มุมห้อง อย่างหงุดหงิด
“ข้าเรียกหาเจ้า ทำไมจึงไม่ตอบข้า?”
“ข้าไม่ได้ยินเจ้าค่ะ ข้าขอโทษท่านด้วยเจ้าค่ะ”มิวะตัวสั่นเทาด้วยความเกรงกลัวอีกฝ่าย
เธอเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆเท่านั้น ปกป้องตนเองก็ไม่ได้
“โกหก!!!
ข้าเรียกตั้งหลายรอบ เจ้าไม่อยากเข้าหอกับข้าล่ะสิ อย่านึกว่าข้าไม่รู้ เจ้าคิดถึงชายอื่นอยู่รึ?”มือใหญ่จับเข้าที่ใบหน้าของเธออย่างแรง จนเธอดูจะเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ปล่อย และต่อว่าเธอต่อ
“คิดว่าข้ามันแก่ล่ะสิ ไม่ได้ครึ่งของปิศาจเทนกุนั่นหรอก”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ”มิวะรีบกล่าวขึ้น
“เจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรอีก อยากหนีข้าดีนัก ข้าก็จะทำเจ้าเสียตรงนี้!!!”มือใหญ่กดหญิงสาวลงกับพื้นอย่างแรง และเริ่มถอดเสื้ออีกฝ่ายหนึ่ง มิวะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจและพยายามจะดิ้นให้หลุดแต่ก็สู้แรงของนักรบไม่ได้
“ข้าคือสามีของเจ้า เจ้าจะขัดขืนข้าไม่ได้!!”ร่างของมิวะจึงหยุดดิ้นลงเพราะจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ตอนนี้เธอจะต้องยอมอีกฝ่ายอย่างเดียวเท่านั้น
และไม่มีใครช่วยเธอได้จากชายผู้นี้
“เจ้าค่ะ”เธอตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแล้วหลับตาลง
“ข้าเป็นผัวเจ้า เจ้าต้องมองหน้าข้า!!!”หญิงสาวค่อยๆหันหน้ามามองด้วยความกลัว ก่อนริมฝีปากจะถูกกระกบจูบอย่างดูดดื่ม แต่เธอกลับมีสีหน้าที่บอกไม่ถูกนัก มือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างกาย แต่มิวะกลับดูจะขยะแขยงเสียมากกว่า ก่อนร่างกำยำจะขึ้นคร่อมเธอไว้
“ข้าอยากได้ลูกชาย เจ้าจงมีลูกชายให้ข้าเสีย!!!”
“เ..เจ้าค่ะ”เธอตอบด้วยตัวที่สั่นเทาและต้องยอมรับความจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ร่างใหญ่โถมทาบทับบนร่างของเธอ ไม่น่านักความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นเข้ามา หญิงสาวได้แต่กัดฟันไม่ให้ร้องออกมาเท่านั้น ความรู้สึกที่แสนสาหัสนี้ทำให้หัวใจของเธอแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ นึกถึงจดหมายฉบับนี้ที่เธอได้เขียงลงไป แต่ไม่มีโอกาสได้ส่งไปถึงอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว น้ำตาหยดใสๆของเธอไหลอาบแก้มออกมา ที่เธอหมดโอกาสความรู้สึกที่แท้จริงให้เขาที่อยู่ไกลแสนไกลได้รับรู้แล้ว
เมื่อยามเช้ามาถึงก็เหมือนนรกที่เธอประสบพบได้สิ้นสุดลงแล้ว แสงอาทิตย์ในสาดส่องมากระทบกับคฤหาสน์ไม้หลังใหญ่ที่เธอไม่คุ้นเคยนัก หญิงสาวค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งและกอดกองเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ย ร่างกายของเธอนั้นบอบช้ำไปทั่ว ใครจะไปรู้ว่านักรบที่เก่งกาจและดูสูงศักดิ์จะปฏิบัติต่อสตรีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้
“เจ้ารักข้าไหม?”เสียงนั้นถามขึ้นเมื่อเขากำลังลุกไปแต่งตัว ส่วนหญิงสาวเองก็กอดเสื้อผ้าของตนเองไว้แน่น ไม่มีเสียงสะอื้นหรือหยดน้ำตาแล้ว มีเพียงความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในใจของเธอเท่านั้น มิวะเหยียดยิ้มออกมา
“ข้ารักสามีของข้าเจ้าค่ะ ข้ารักท่าน”อีกฝ่ายยิ้มกริ่มอย่างมีชัยเมื่อได้ฟัง รู้สึกถึงชัยชนะที่ตนได้มาครอบครอง ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไปปล่อยให้หญิงสาวสวมเสื้อผ้าที่เขาเป็นคนถอดให้เอง
ข้าต้องทำเพื่อวงศ์ตระกูล เกียรติยศของตระกูล…ข้าถึงต้องแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รัก หลับนอนกับคนที่ข้าไม่ได้รัก และจะต้องอุ้มท้องเด็กที่เกิดจากคนที่ข้าไม่ได้รักอีกหรือ
มิวะพึมพำกับตนเอง พอดีกับอีกาตัวเดิมที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาในคฤหาสน์พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่งมิวะรีบนำจดหมายมาอ่าน
ท่านมิวะ พวกข้ารู้ว่าท่านมิวะต้องแต่งงานกับคนที่ท่านไม่ได้รัก และรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก ข้าอยากจะพาท่านมิวะหนี มาที่ศาลเจ้าเทพเจ้าเซริว ตอนบ่าย –อากาเนะ
มิวะเพียงถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าจะไปได้หรือไม่ แต่ก็อยากจะพูดคุยกับการาสุเทนกุทั้งสามเหลือเกิน มิวะจึงมองไปรอบๆ เมื่อสามีของนางออกจากบ้านไป เธอจึงรีบเตรียมตัวออกไปในทันที
“ท่านหญิงมิวะไปไหนเจ้าคะ”หญิงรับใช้ถามเธอขึ้น เมื่อเห็นดังนั้น
“ข้าจะไปขอพรที่ศาลเจ้า ให้ข้าได้ลูกชาย แต่ไปไม่นานหรอก ข้าจะรีบกลับ”
“เจ้าค่ะ”หญิงรับใช้คำนับ
“ให้เตรียมเกี้ยวไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง ข้าเคยได้ยินมาว่า จะต้องเดินไปทางเท้าด้วยตนเอง คนเดียวเท่านั้นจึงจะดี”มิวะรีบเดินออกจากคฤหาสน์ไป คฤหาสน์หลังใหญ่นี้อยู่เมืองกิฟุ ที่ห่างไกลนัก มิวะจึงควรจะรีบเดินทางเสียตอนนี้ หากจะไปให้ทันตอนบ่ายและจ่ายเงินถุงใหญ่ให้รถลากเพื่อพาเธอไปให้ถึงที่หมายได้ทัน หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อจนกระทั่งรถลากมาถึงทันเวลาพอดี เธอก้าวลงมาจากรถและมองขึ้นไปบนบันไดสูงชัน ที่ทอดยาวขึ้นไปบนยอดเขา ก่อนรถลากจะจากไปทิ้งให้เธอต้องมาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ก่อนเธอจะเดินขึ้นไปด้านบน และหวังว่าจะพบกับอากาเนะ เมื่อเดินขึ้นไปที่จนถึงกลางทาง เธอก็ต้องชะงักลงเมื่อเหมือนมีกระจกใสกั้นเอาไว้
“พี่อากาเนะ!!”มิวะเรียกอีกฝ่ายหนึ่ง และทันใดนั้นอากาเนะกับคาบูโตะก็ปรากฏตัวขึ้น อีกฟากหนึ่ง
“มิวะ ท่านปลอดภัยดีไหม?”อากาเนะรีบเข้าไปหาแต่ก็ชนเข้ากับกำแพงอย่างจัง และทั้งสองพยายามนำมือมาทาบไว้
“มิวะเจ้าโตขึ้นมากเลย”อากาเนะร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึง
“เจ้าถูกเนรเทศ เจ้าจึงเข้ามาในนี้ไม่ได้ ส่วนพวกข้าเองก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน”คาบูโตะกล่าวขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพานางหนีได้อย่างไรกัน?”อากาเนะกล่าว
“พี่อากาเนะ ข้าหนีไม่ได้เจ้าค่ะ เขาคนนั้นคือสามีของข้านะเจ้าคะ”
“แต่เจ้าไม่ได้รักเขานะมิวะ เจ้ารักไดกิไม่ใช่หรือ แม้เจ้าจะไม่เคยพูดออกมาก็ตาม แต่ข้าก็รู้สึกได้ ท่านไดกิเองก็…”อากาเนะหยุดพูดไป เพราะเธอดันไม่มั่นใจว่าเขายังจะรู้สึกเช่นไรกับมิวะ เพราะหลังจากวันนั้น เขาก็ไม่พูดถึงหรือตอบคำถามใดๆที่เกี่ยวกับเธออีก
“…แต่ข้าเชื่อว่าท่านไดกิเองก็รักท่านมิวะ”อากาเนะกล่าวด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย แต่อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าช้าๆเท่านั้น
“พี่อากาเนะ ข้ามีสามีแล้ว และก็จะต้องมีลูก…กับเขา
ข้าหนีไปไหนไม่ได้จริงๆ พี่อากาเนะไม่เข้าใจ ข้านั้นมีหน้าที่เพื่อเกียรติของตระกูล หากข้าหนีไป
ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็จะตกที่นั่งลำบาก ลูกสาวอย่างข้า ทำได้เพียงตกแต่งเข้าบ้านของผู้ชายเท่านั้น ข้าโชคดีที่ท่านพี่เมตตาข้า แต่ครั้งนี้ข้าคงไม่โชคดีเช่นนั้นแล้ว”
“ไม่นะ มิวะ ถ้าข้าเพียงขอให้ท่านไดกิให้อภัย…ท่านก็เข้ามาอยู่กับข้าได้”
“พี่อากาเนะคะ ข้าไม่มีหน้าจะเข้าไปอยู่หรอกเจ้าค่ะ ข้าทำผิดมหันต์คงจะมองหน้าใครเขาไม่ได้”อากาเนะร้องไห้งอแงเสียคาบูโตะต้องเข้ามาปลอบ
“ท่านไดกิสบายดีไหมเจ้าคะ ข้าแค่อยากมาถามไถ่เท่านั้น”มิวะจึงหันไปถามคาบูโตะ
“สบายดี แต่พวกข้าเองก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
“เช่นนั้นหรือคะ?”มิวะหรี่ตาลงด้วยความเศร้าสร้อย รู้สึกได้ว่าท่านพี่ของเธอต้องโดดเดี่ยวมากแน่ๆ
“พี่คาบูโตะ ข้ามีอะไรอยากจะฝากบอกท่านพี่ได้ไหม…ว่าข้า…”ขณะเธอยังกล่าวไม่จบ ลูกธนูได้พุ่งเข้ามาหวังจะปักคนที่อยู่เบื้องหน้า
“อากาเนะระวัง!!!”คาบูโตะรีบดึงอากาเนะให้พ้นวิถี แต่ตนเองกลับถูกกระสุนปักเข้าที่แขนอย่างจังก่อนจะสบถออกมา
“ไอ้มนุษย์ชั้นต่ำเอ๊ย!!”อากาเนะนั้นตกใจสุดขีดรีบเข้ามาดูบาดแผลของเขา ส่วนมิวะหันขวับไปมองในทันทีก็พบกับซามูไรผู้เป็นสามีของนาง
“คาบูโตะ
เจ้าบาดเจ็บ!!!”อากาเนะกรีดร้องออกมา
“ข้าบาดเจ็บเอง
ก็ยังดีกว่าให้เจ้าบาดเจ็บอากาเนะ”ร่างนั้นกล่าวออกมา ก่อนอากาเนะจะช่วยพยุงคาบูโตะ
“เจ้าจะหนีข้าไปรึ เจ้าพึ่งแต่งงานกับข้าได้คืนเดียว ก็จะกลับไปกับพวกปิศาจชั้นต่ำ ที่คอยมาขโมยของเหลือของคนอื่นเขากินหรือยังไง?”กล่าวเสร็จเขาก็ง้างธนูขึ้นมาและเตรียมยิง
“อ..อะไรกัน ทำไมเลือดข้าไม่หยุดไหล…หรือว่ากระสุนเงิน?!!”คาบูโตะรู้สึกได้ถึงพลังปิศาจที่เริ่มจะสลายไป
อย่างรวดเร็ว
“ถูกต้องแล้ว ข้าต้องเตรียมของไว้ไล่ปิศาจอย่างพวกแกนี่แหละ ดูเหมือนจะได้ผลดีจริง”
“พวกพี่หนีไป!!”มิวะสั่ง และถลาเข้าไปกอดเอวอีกฝ่ายแน่นและรีบกล่าวต่อ
“ข้าไม่ได้หนีเจ้าค่ะ หากท่านจะลงโทษ ก็ลงโทษข้าเพียงคนเดียวเถอะเจ้าค่ะ ข้าขอร้องล่ะเจ้าค่ะ”มือใหญ่สะบัดเธอออกจนหญิงสาวล้มลงไปกับพื้นแต่กว่าจะหันกลับมา การาสุเทนกุทั้งสองก็ได้หายไปแล้ว
“อีนังแพศยา จะมาหาชู้หรือยังไง เจ้าเป็นของข้าไปแล้ว และต้องเป็นของข้าคนเดียวไปจนวันตายของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิเลือก!!!”มือใหญ่ทุบตีเธอไม่หยุด จนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นป้อง
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”เธอร้องลั่นอยู่อย่างนั้น จนเขาทุบตีเธอจนพอใจ และลากเธอลงไปบันไดเบื้องล่างโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะล้มลุกคลุกคลานอย่างใด จนเนื้อตัวของเธอถลอกปอกเปิก ไปทั่ว
ผิวที่ขาวเนียนก็พลันมีบาดแผลจนหมดสวย
ครั้นพอกลับไปถึงคฤหาสน์แล้ว เขาก็ลงมือทุบตีร่างบางไม่ยั้งมือ เพื่อระบายอารมณ์
ภาพทั้งหลายมืดลง
และปรากฏเห็นเวลาหลายปีผ่านไปมิวะจนเธออายุใกล้สามสิบนั้น นางมีเพียงบุตรสาวคนหนึ่งเท่านั้น และนั่นทำให้สามีของนางขุ่นเคืองยิ่งนักที่มิได้ลูกชาย ถึงขนาดแต่งงานกับหญิงอีกสามสี่คนเพื่อให้ได้บุตรชายมาเชยชมให้สมใจ แต่ร่างบางก็ไม่ได้สนใจนักเขาจะมีภริยาอีกมากเท่าใดเธอก็ไม่สนใจเพราะมันไม่มีความหมายอะไรกับเธอทั้งนั้น มิวะก็ยังคอยดูแลเขาไม่ห่างนัก แม้ว่าทุกวันเธอจะมีแผลฟกช้ำมากขึ้นก็ตาม แต่เธอต้องทำหน้าที่ภรรยาของเธอต่อไปจนกระทั่งวันหนึ่งที่ มีข่าวคราวไม่ค่อยดีจากในสนามรบเท่าใดนัก ว่าทัพของสามีของเธอจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงคราม นั่นเป็นวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มเมื่อมิวะทราบข่าวจากผู้ส่งสาร เธอเพียงนั่งนิ่งและไม่ได้มีความหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่เพียงหันมามองเด็กน้อยที่หลับอยู่บนตักของเธอ
“เด็กน้อยที่น่าสงสาร เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากบิดาของเจ้าพ่ายแพ้แก่ศัตรู ข้าจะต้องฆ่าเจ้าเสียเพื่อไม่ให้เจ้าถูกจับไปเป็นตัวประกัน….”มือเรียวลูบศีรษะของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน
“ถ้าเจ้าตื่นมาไม่พบข้าเจ้าจะร้องไห้งอแงหรือไม่กันนะ?”เธอพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเรียกคนรับใช้หญิงผู้หนึ่งเข้ามา
“พาลูกของข้าไปเสีย”
“ท..ท่านหญิงมิวะ?”อีกฝ่ายสงสัย
“ข้าฆ่านางไม่ลง พานางหนีไปเสีย…ตอนนี้!!
พานางหนีไปให้ไกลที่สุดเสียแต่ตอนนี้…”เธอกล่าวด้วยเสียงที่เข้มแข็ง
“เจ้าค่ะ”ร่างของเธอคำนับ และอุ้มเด็กน้อยออกไปในทันที มิวะเพียงถอนหายใจยาวออกมา
“ข้าจะไปที่มิยะ ช่วยเตรียมรถให้ข้าที”เธอสั่งก่อนจะเดินไปแต่งตัวอย่างหญิงผู้สูงศักดิ์ ดูสง่างามยิ่งนัก และเริ่มเดินทางในทันที ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานนั้น เธอได้หลับตาลงช้า และนั่งนิ่งอยู่เป็นเวลานาน โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา จนถึงที่ศาลเจ้าขนาดใหญ่ ร่างของเธอก้าวลงมาอย่างสง่างาม และเดินตรงไปยังเบื้องหน้า และก้มลงคำนับที่ศาลเจ้า
“มิยะเจ้าคะ ข้าจะต้องไปแล้วเจ้าค่ะ เวลาของข้านั้นคงมาถึงแล้ว หากในวันหนึ่งที่ข้าได้กลับมาที่นี่ ขอให้ข้าคำนึงถึงเรื่องราวต่างๆที่ข้ามีความสุข และหากโชคชะตาของข้าทำให้พบกับท่านพี่อีกครั้ง ขอให้ข้าภักดีและซื่อสัตย์ต่อท่านอย่างที่ข้าจะพึงทำได้ ”เธอคำนับอยู่นานจนกระทั่งลุกขึ้นนั่ง
“ข้าอยากบอกท่านพี่ว่า ตอนนี้ข้าได้เติบใหญ่มากขึ้นกว่าตอนนั้น และในตอนนี้ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าข้าไม่ได้รักท่านพี่อีกต่อไปแล้ว
เหลือเพียงความทรงจำของข้าที่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดเท่านั้น ที่จะติดตามข้าไปถึงโลกวิญญาณ ที่เป็นเรื่องเดียวที่ข้าอยากจะจำได้เท่านั้น ข้านึกเสียใจเช่นกันที่ไม่อาจคว้าความสุขเดียวของข้าได้ แต่ว่า…เพราะเรื่องราวที่ผ่านมา จึงมีข้าในวันนี้ และข้าจะไม่ยอมตายแบบไร้ศักดิ์ศรีเด็ดขาด”เธอลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินกลับไป เพียงแต่เธอหยุดมองบรรยากาศรอบๆที่เธอหวนนึกถึงยามเป็นเด็ก หยิบพัดขึ้นมาปิดไม่ให้เห็นริมฝีปากของตน ก่อนจะยิ้มมุมปากและเดินจากไป เมื่อยามทิวาลาลับขอบท้องฟ้ามิวะได้กลับมาที่คฤหาสน์ขนาดใหญ่ของเธอ พร้อมเดินผ่านคนรับใช้นับสิบที่คอยคุกเข่าตามทางเดิน
“เตรียมชุดที่สวยที่สุดให้ข้า ข้าจะทำพิธี
จิไก ก่อนตะวันจะขึ้น”
“เจ้าค่ะ”คนใช้ต่างรับทราบทั่วกัน ดวงตาสีดำขลับของเธอนั้น ไม่มีทีท่าจะหวาดกลัวที่จะเข้าพิธีแต่อย่างใด มิวะเดินไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อชำระล้างร่างกายให้สะอาด
เพื่อเตรียมตัวกับพิธีดังกล่าว
ร่างของหญิงสาวสวมเสื้อกิโมโนสิบสองชั้นที่มีสีตัดกันอย่างสวยงาม ใบหน้าที่แต่งแต้มจนดูสวยงามของมิวะนั้นไม่มีแววความโศกเศร้าปนอยู่ เธอออกมานั่งคุกเข่าที่ระเบียง เขียนบทกลอนออกมาบทหนึ่ง และมองขึ้นไปยังยอดเขาไกลๆที่เกือบมองไม่เห็นในความมืดมิด ด้านข้างกายของเธอมีดาบสั้นไอคุชิเหน็บไว้ที่โอบิของเธอ แสงจากพระจันทร์ที่สุกสว่างนั้นทำให้พื้นที่โดยรอบสว่างสไสว แต่ดอกไม้ทั้งสวนก็ต้องหุบลงมิได้บานรับแสงจันทร์ที่สวยงาม
“ข้าก็เหมือนกับดอกไม้พวกนี้”เธอยิ้มออกมา
“ชีวิตข้าช่างสั้นนัก ท่านยูมิโกะเองก็คงพยายามบอกข้า แต่ตอนนั้นข้ายังเยาว์นัก ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งข้าจะต้องออกจากที่นั่น หากข้าไปพบท่านพี่ตอนนี้ ข้าคงจะแก่กว่าท่านพี่เสียแล้วล่ะ มนุษย์กับปิศาจมันเป็นเช่นนี้เอง บางทีท่านพี่คงลืมข้าไปแล้วหรือไม่ก็เกลียดข้ามากแน่ๆ แต่ถึงกระนั้น คำพูดที่ท่านไดกิเคยได้กล่าวกับข้า ข้าจะจดจำไว้ตลอด แม้ข้าจะกล่าวออกมาไม่ได้ แต่ข้าก็เคยรู้สึกเช่นนั้นข้าเพียงเสียดายที่ข้าไม่เคยบอกกับท่านให้ท่านดีใจเลยสักครั้งเมื่อข้ามีโอกาส”เธอกล่าวขึ้นมา ก่อนจะจ้องพระจันทร์ดวงกลมโตที่มีลายกระต่ายตำข้าว สุกสว่างบนท้องฟ้าที่มืดมิด ก่อนมือเรียวจะหยิบผ้าขึ้นมาพันรอบเข่าของเธอไว้แน่นหนาแบบที่บุตรีของซามูไรถูกฝึกมาเพื่อการนี้มาหลายคราเพื่อพิธีที่แสนมีเกียรติเช่นนี้ ก่อนจะค่อยๆหยิบมีดออกมาจากฝัก เธอมองใบมีดที่คมกริบนั้น ที่สะท้อนเห็นใบหน้าของเธอ คราวนี้มิวะมองอยู่สักพักและพึมพำกับตนเอง
“ข้าใจอำมหิตไม่พอ ที่จะฆ่าเด็กน้อยผู้นั้น แม้ว่าข้าจะไม่ได้ผูกพันธ์อะไรกับนางก็ตาม ข้าเป็นภรรยาที่ไม่อาจรักษาเกียรติยศของตระกูลของท่านได้ ด้วยการไว้ชีวิตนาง จงให้ข้ารับโทษทัณฑ์และกอบกู้เกียรติยศของท่านแต่เพียงผู้เดียวเถอะ”ใบมีดแหลมคมจรดอยู่ที่คอของเธอ และกดให้ใบมีดที่คมกริบปาดคอตัวเองเสียอย่างไม่ลังเล โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว แต่ร่างของเธอยังไม่ล้มลงเพราะผ้าที่ผูกไว้ที่ขาของตน เธอค่อยๆหลับตาลง นึกถึงเวลาที่มีความสุขที่สุด เวลาที่เธอยังเยาว์วัยที่ห้อมล้อมไปด้วยท่านพี่ และเหล่าการาสุเทนกุทั้งสามตนที่คอยดูแลเธอเสมอและยังอยู่ข้างๆเธอในวันที่เธอไม่มีใคร ก่อนร่างนั้นจะนั่งนิ่งไป โลหิตที่ไหลรินย้อมกิโมโนของเธอให้เป็นสีแดงฉานจนเปียกชุ่ม พร้อมกับมีดที่หลุดจากมือเรียวของเธอจนกระทบกับพื้นไม้กระดาน ไม่นานนักร่างของเธอก็กระตุกหลายครั้งก่อนร่างของมิวะจะนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น อย่างโดดเดี่ยว ใบหน้างามที่หลับตาสนิทนั้น หากไม่มีใครเห็นเลือดที่เปียกชุ่มชุดกิโมโน ก็คงคิดว่าเธอเพียงกำลังนิทราอยู่เท่านั้น และพิธีจิไกก็ได้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์อย่างที่มันควรจะเป็น
ความคิดเห็น