คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : มิวะ ตอนต้น
ไดกิที่เข้ามาในห้องนอนของหญิงสาวโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น
โอบกอดร่างบางที่เข้าสู่ห้วงนิทราด้วยพลังของเขา ชายหนุ่มช้อนตัวของเธอขึ้นมาอุ้มไว้ และมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาจากการร้องไห้อ้อนวอนไม่ให้เขาลบความทรงจำของเธอไปจนสิ้น ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนัก เมื่อเขาได้รับรู้ว่าเธอเคยเป็นใครมาก่อน
“ข้าจะเอาเจ้าไปปล่อยไว้ที่ชายป่าดีไหม”เขากล่าวออกมาอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ
แต่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เหมือนกับว่าเขากำลังต่อสู้กับความคิดของตนเองอยู่ จนกระทั่งเขาอุ้มเธอให้ลงนอนบนฟูกนอน
และนั่งจ้องร่างบางอยู่อย่างนั้น
“เจ้าไม่อยากลืมข้าขนาดนั้นเลยรึ? ทำไมกัน? ทั้งๆที่การลืมมันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร
แต่ทำไมเจ้าต้องทำหน้าเช่นนั้น”เขาจ้องมองร่างบางอย่างต้องการคำตอบ
“ข้าสิต้องเป็นฝ่ายทรมาณ
เห็นเจ้าหลงลืมข้าไปตามกาลเวลา โดยที่ข้าถูกขังอยู่ในนี้ ข้าต้องทรมาณสิ
ไม่ใช่เจ้า”สุรเสียงที่แข็งกร้าวกล่าวออกมา เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอเลยสักนิดเดียวก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ข้าเกลียดเจ้าไม่ลง มายุ ทำไมคนที่ดูมีเหตุผลอย่างเจ้า ตอนนี้จึงทำตัวไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นและจ้องใบหน้านั้นอยู่นาน
เขานึกถึงเมื่อดวงตาของทั้งสองสบกัน
ความคิดที่เขาจะลบความทรงจำของเธอก็หายไปเสียทั้งหมด
ทำได้เพียงให้เธอนิทราเท่านั้น
“ข้าจะใจอ่อนกับเจ้าเป็นครั้งที่สองหรือมิวะ
ข้าจะทำเช่นไรกับเจ้าดี...แต่ยังไงเจ้าก็มีส่วน ทำให้ท่านแม่ของข้าตาย... ข้ามีท่านพ่อท่านแม่เพียงคนเดียว ข้าจะให้อภัยเจ้าได้ง่ายๆได้อย่างไรกัน”ไดกิพึมพำออกมา ก่อนจะถอนหายใจยาว และไม่รู้จะทำสิ่งใดต่อ
จนต้องมานั่งครุ่นคิดกับตนเอง
ถ้ามายุกล่าวว่าท่านแม่เป็นคนวางแผนเองทั้งหมด
ข้าจะเชื่อใจนางได้หรือไม่ แต่มายุก็ไม่เคยโกหกข้าหรือปิดบังเรื่องใด ข้าจะทำเช่นไรดี
หากปล่อยนางออกไปก็คงไม่รอดกลับมาแน่ มีคนหลายคนรอทำร้ายนางอยู่
และที่นางถูกทำร้ายก็เพราะข้า
ถ้าเป็นมายุล่ะก็ข้าไม่คิดมากหรอกที่จะให้นางอยู่ที่นี่ต่อ แต่ว่านางคือมิวะด้วยสิ
คนที่ทำชีวิตของข้าตกต่ำถึงเพียงนี้ก็เพราะนาง นางเป็นต้นเหตุให้ข้าเสียทุกอย่าง
ใครๆก็รู้ว่าข้าเกลียดนางขนาดไหน ทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับข้าเพียงนี้
ข้าจะทำให้นางต้องรับฟังคำสั่งของข้าเสียจนขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย
คงจะดีนางจะได้ไม่มีเวลาไปก่อเรื่องอะไรอีก
“จงมาเป็นลูกศิษย์ของข้าเสีย
ในวันพรุ่งนี้ข้าจะไม่กล่าวเรื่องนี้อีก
ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเรื่องในวันนี้ แต่ข้า...ก็อยากรู้ ว่าน้องสาวของข้ามีชีวิตได้อย่างมีความสุขหรือไม่ ข้าบอกไม่ได้ว่าข้าแค้นเจ้า เพราะสิ่งที่เจ้าทำ หรือสิ่งที่ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้กันแน่ ข้าควรรู้จักเจ้าดีกว่าใคร...ข้าเคยมั่นใจว่าเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น จนกระทั่งข้าได้ยินออกมาจากปากของเจ้าเอง แต่กลับมาวันนี้เจ้าบอกข้าว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดกันในเมื่อเวลาที่เจ้าควรจะพูดมันคือเวลาเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน...ไม่ใช่ตอนนี้”เขามองอีกฝ่าย
ก่อนจะค่อยๆลุกและเดินออกไปจากห้องนอนของหญิงสาว
ชายหนุ่มนั่งลงที่ระเบียงของห้องนอนของตน
และจ้องมองไปยังดวงจันทร์ที่สีเหลืองนวลกลมโตนักเขานั่งมองอยู่นานเช่นนั้น
และดื่มเหล้าสาเกเข้าไปจำนวนมาก แต่เขาดูไม่มึนเมาแต่อย่างไร
เขาหยิบจอกขึ้นมาและดื่มจนหมดอย่างรวดเร็วนัก และถอนหายใจยาวออกมา
“ข้าอยากรู้จริงๆว่าทำไมนางถึงทำอย่างนั้น และทำไมท่านแม่ถึงทำเช่นนั้น...ถ้าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง หรือว่า...ข้าเพียงโทษตนเองที่ปกป้องนางไม่ได้ จึงเลือกที่จะโทษและโยนความผิดบาปให้มิวะกันแน่”เขาพึมพำออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยนัก และนั่งมองดวงจันทร์ดวงนั้นต่อไปเรื่อยๆ และนึกถึงมายุขึ้นมา เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจอีกฝ่ายนัก รวมถึงตัวของเขาเอง ที่ต้องยอมใจอ่อนไปเสียทุกทีไดกิถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่งและนั่งจิบสาเกต่อไปเรื่อยๆ
ยามรุ่งสางนั้นมายุตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนกร้อง ดังก้องไปทั่วหุบเขา อากาศที่เย็นเริ่มทำให้เธอรู้สึกไม่อยากจะตื่นขึ้นมามากนัก ครั้นพอจะลืมตาก็ดันลืมตาไม่ขึ้นเสียอีกเพราะเรื่องราวเมื่อวานนี้ ที่แสนวุ่นวาย แต่เธอนึกย้อนกลับไปเมื่อคืนวาน และไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะกล่าวเรื่องมิวะออกไปแล้ว เรื่องที่ไดกิไม่ชอบเธออยู่แล้วนั้น มายุกลับไม่แปลกใจเท่า ทุกคนก็คงรู้เช่นกันว่าเขาเกลียดมนุษย์ขนาดไหน มีหรือหญิงที่ทำให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างไป เขาจะไม่มีความรู้สึกเกลียดเธอบ้างเลย หรือไม่เช่นนั้นหากเขารักมิวะมาก ก็คงต้องเกลียดมากเช่นกัน แต่เรื่องที่มายุสงสัยมากที่สุดคือทำไมเธอถึงยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้
ไม่นานนักเธอจึงลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ถะมัดทะแมงอย่างฮากามะ ก่อนจะพบว่ารอยฟกช้ำได้จากลงอย่างมากแล้ว
“เป็นเพราะยาที่อากาเนะทาให้สินะ หายเร็วจนน่าเหลือเชื่อเลย”เธอสำรวจรอยช้ำที่แขนทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงรีบมัดผมให้เรียบร้อย ก่อนจะออกไปจากห้อง และพบกับชายหนุ่มคู่กรณีที่กำลังเดินออกมาจากห้องพอดี มายุรีบหันหน้าไปทางอื่นมองนกมองไม้ไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่ค่อยสะดวกใจที่จะคุยกับอีกฝ่ายนัก ส่วนชายหนุ่มก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เสียจน
คาบูโตะกับทาโร่ถึงกับทำตัวไม่ถูก จนสุดท้ายหญิงสาวเป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้เสียเอง จึงกล่าวขอโทษ
“เมื่อวาน ดิฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ ดิฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ”เธอคำนับอีกฝ่าย แต่กลับไม่มีคำพูดใดเอ่ยขึ้นมา มายุจึงค่อยๆเงยหน้ามาดูว่าเขาไม่พอใจเรื่องใดหรือเปล่า แต่กลับพบใบหน้าที่ดูประหลาดใจกับเธอมากนัก จนเขาพูดไม่ออก
“เออ..อืม..เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องขอโทษข้าหรอก”ไดกิพูดตะกุกตะกัก ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยอมกล่าวขอโทษ
“ข้าเองก็ต้องขอโทษเจ้า คงทำให้เจ้ากลัวสินะเมื่อวานนี้ อย่าพูดถึงมันเลย”เขารีบตัดบท และกล่าวออกมา
“ถ้าเช่นนั้นเรารีบไปกันเถอะ”ชายหนุ่มเดินนำหญิงสาวออกจากคฤหาสน์ในทันที ร่างของคนทั้งสองเดินผ่านกลางป่าในยามเช้ามืด แสงสลัวๆในป่าใหญ่ก็ทำให้มายุคิดเตลิดไปถึงสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ จนลืมไปว่าผู้ที่เดินนำหน้านั้นก็ไม่ใช่มนุษย์แต่อย่างใด ทั้งสองเดินขึ้นเขาตั้งแต่รุ่งสางจนพระอาทิตย์ได้ขึ้นมาทางทิศตะวันออกแล้วและส่องแสงสว่างไสว แต่ก็ยังไม่ถึงที่หมายเสียทีหนึ่ง โดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา หญิงสาวที่เริ่มเหนื่อยล้าแต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปโดยไม่ปริปากบ่นแต่อย่างใด และใช้ยกแขนขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าที่เปียกโชก ก่อนจะเดินต่อ ส่วนไดกิเองก็เดินนำหน้าไปโดยไม่หันมามองอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้เดินทิ้งระยะห่างจากเธอมากนัก เสียงย่ำใบไม้แห้งของคนทั้งสองดังก้องไปทั่วป่า กระทั่งการาสุเทนกุอาวุโสจำนวนหกตนปรากฏตัวขึ้นเงาขนาดใหญ่นั้นบินอยู่กลางเวหา ทอดยาวไปที่พื้นด้านล่าง ทั้งสองเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างมิได้นัดหมาย ก่อนชายหนุ่มจะเดินมายืนบังเธอกับร่างทั้งหกที่ลงมายืนบนพื้นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“ท่านไดกิขอรับ พวกข้าสั่งให้ท่านไล่นางออกไปแล้วนะขอรับ
แล้วเหตุใดนางถึงยังอยู่ที่นี่ และยังเห็นใบหน้าของท่านได้อีก”การาสุเทนกุตนหนึ่งที่ร่างกายสูงใหญ่ กล่าวขึ้น
เขามีนามว่ามุระคาวะ และกล่าวด้วยเสียงอันดังก่อนจะถลึงตาใส่เธอที่อยู่ด้านหลังของปิศาจหนุ่ม
“ใช่ขอรับ ท่านไดกิต้องพานางออกไปเสีย ท่านไดกิสาบานกับข้าเรื่องนี้แล้วนะขอรับ ก็ต้องทำตามคำสาบานนั้น และยังต้องลบความทรงจำของนางด้วย”ทานากะที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มนั้นได้กล่าว
“ข้าทำผิดคำสาบานอย่างไร ท่านก็เห็นว่านางไม่มีที่ไปเหตุเพราะเคยช่วยงานของข้าเอาไว้ นางเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกท่านเช่นกัน ใยเมื่อนางมีปัญหา พวกท่านจึงละเลยนางเสียล่ะ”ไดกิกล่าวขึ้น
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกันเจ้าค่ะ มันหมดเวลาที่นางอยู่ที่นี่แล้วเจ้าค่ะ ลบความทรงจำของนางเสียเจ้าค่ะ”อายุมุกล่าวขึ้น
“นางเป็นลูกศิษย์ของข้า
นางต้องอยู่กับอาจารย์ของนาง เจ้าจะไล่นางไม่ได้แล้ว
และทั้งข้าและนางไม่ใช่คนรักกัน พวกท่านจะกระวนกระวายไปทำไม”ไดกิตอบอย่างยียวน ส่วนอีกฝ่ายถึงกับอึกอัก และมองหน้ากันตาเหลือก
“นางคือลูกศิษย์ของข้า ข้าจะสอนเทนกุซุโมะกับเพลงดาบให้นาง ป้องกันตัว”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ วิชาของเทนกุ ต้องให้เทนกุเรียนเท่านั้น”อายุมุเถียงเขากลับ
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเหล่านักบวชบนเขา จึงฝึกฝนเทนกุซุโมะได้ล่ะ ทำไมมิโกะที่แม้สายตานางจะย่ำแย่ยังถูกฝึกเพลงดาบจากเทนกุได้”ไดกิยืนกอดอก ส่วนมายุนั้นยืนฟังอยู่เงียบๆ แต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้
“พวกข้าแบ่งเบาภาระให้ท่านเพื่อให้ท่านฝึกฝนการรบ ไม่ใช่ให้ท่านมัวมาสอนวิชาให้คนนอกนะขอรับ”มุระคาวะกล่าวขึ้น
“แล้วการสอนของข้านั้นมิได้เป็นการฝึกฝนและทบทวนสิ่งที่ข้ารู้รึ”ชายหนุ่มตอกกลับ ถึงคำสาบานของพวกการาสุเทนกุ
“ท่านไดกินี่ล่ะก็ เคยบอกว่าไม่ชอบมนุษย์แท้ๆ ทำไมถึงรับนางมาเป็นศิษย์ได้”อายุมุตวาดแว๊ด จนกระทั่งมายุต้องกล่าวออกมา
“หากพวกท่านไม่ไว้ใจดิฉัน จะให้ดิฉันสาบานก็ได้ค่ะ”
“เจ้าไม่เกี่ยว!!มายุ!!”ไดกิรีบหันขวับมาบอก
“ถ้าข้าพูดอะไรให้พวกท่านไม่พอใจก็ต้องขออภัยด้วยขอรับ”จู่ๆไดกิก็ตัดบท
“รีบไปเสียเถอะมายุ”เขาเดินนำเธอไปอย่างรวดเร็ว มายุรีบคำนับการาสุเทนกุที่เหลือก่อนจะรีบวิ่งตามเขาขึ้นภูเขาไป แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ยังจับกลุ่มคุยอยู่ตรงนั้น
“ดูท่านไดกิสิ สนิทกับมนุษย์มากเกินไปแล้ว”ทานากะกล่าว
“ข้าว่าพวกเจ้ายุ่งกับชีวิตของท่านไดกิมากไปนะเจ้าคะ”การาสุเทนกุอีกตนผู้สวมชุดสมัยเฮอันกล่าวขึ้น
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้านะ อาโอะคิ”ร่างที่นิ่งเงียบอยู่นานแสนนานก็กล่าวขึ้น
“นี่เจ้า อาโอะคิ
มิโดริ ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นกัน”อายุมุโวยวายขึ้น
“เจ้าอายุมุน่ะ ความรักมันห้ามได้ที่ไหนกัน เจ้าห้ามไปก็เท่านั้น ไดกิเขาโตแล้วนะไม่ใช่เมื่อก่อน”อาโอะคิที่สวมชุดสีฟ้าเข้มกล่าวขึ้น
“นั่นสินะ… เขาโตจนควรจะมีลูกได้แล้ว อาโอะคิจังฉันอยากเล่นกับเด็กๆจังเลย”มิโดริผู้สวมชุดยูกาตะสีเขียวอ่อนหัวเราะคิกคักไม่สนใจอีกฝ่ายหนึ่งที่อารมณ์เสียนัก ก่อนจะมองไปพบกับร่างของการาสุเทนกุอีกตนที่ยืนนิ่งอยู่นานแล้ว
“ว่าไงล่ะ คิตะชิมะ
มีอะไรจะกล่าวไหม?”
“….”อีกฝ่ายไม่ตอบสิ่งใดกับเธอ จนอายุมุรู้สึกอารมณ์เสียมากขึ้นกว่าเดิมกับท่าทางของเหล่าการาสุเทนกุอาวุโสตนอื่นๆนัก
ไดกิพาเธอขึ้นมาด้านบนยอดเขาที่มีที่ราบโรยด้วยหินกรวด ขนาดกว้างใหญ่ เบื้องหน้ามีต้นโมมิจิอยู่ที่ขอบลานฝึกซ้อมที่บิดงอเสียจนใต้ต้นไม้นั้นสามารถนั่งเป็นที่นั่งได้สบายๆ เธอมองไปรอบๆอย่างสนอกสนใจ ส่วนชายหนุ่มก็เดินไปนั่งใต้ต้นไม้นั้นก่อนจะกล่าวขึ้น
“เจ้าห้ามคุยกับอายุมุเด็ดขาด นางร้ายกว่าที่เจ้าคิด เป็นจอมวางแผน นางไม่ค่อยชอบมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ดิฉันทราบแล้วค่ะ”มายุนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าเขาอย่างเรียบร้อย
“ใครใช้ให้เจ้านั่งกันล่ะ ไปแบกน้ำจากลำธารขึ้นมาที่นี่เสีย”เขาส่งถังน้ำที่วางอยู่ข้างๆให้ เสียมายุหน้าเหวอ เพราะแค่ขึ้นมาที่นี่ก็เหนื่อยแล้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“ค่ะ…อยากให้ดิฉันไปสักกี่รอบดีล่ะคะ”
“เจ้าช่างกล้าถามข้านัก เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำไหวสักกี่รอบกันเชียว”เขามองเธออย่างเย้ยหยันนัก
“สามรอบค่ะ”
“ช่างน้อยยิ่งนัก แต่ก็ไปเสียเถอะ แล้วข้าจะรอดู”ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายถือถังน้ำและลงไปจากเนินเขา ส่วนเขาเองก็หยิบไม้กระบองและลองเหวี่ยงไปมาดูอย่างรวดเร็ว แต่ในใจเขากลับคิดเรื่องมิวะกับมายุ และรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลเท่าใดนัก แต่เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะถามอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะเมื่อวานเธอก็ทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อย
ขณะที่กระบองไม้ถูกหวดอย่างเร็วผ่านอากาศไปจนเกิดเสียงนั้นและชายหนุ่มกำลังนึกถึงเรื่องบางสิ่งจนลืมไปเลยว่า เขามีคนที่ต้องคอยสอนอยู่ด้วย มายุตักน้ำขึ้นมาจนถึงบนเนินพร้อมกับหอบแฮก แค่รอบเดียวก็ไม่ไหวแล้ว สามรอบท่าทางจะมากเกินไป เธอดูเขาฝึกกระบองอยู่สักพักจนหายเหนื่อยแล้วค่อยกลับลงไปตักน้ำขึ้นมาใหม่ ส่วนชายหนุ่มนั้นก็กำลังกลุ้มใจเรื่องหญิงสาวจนไม่ได้สังเกตว่าเธอขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ในใจเขาเฝ้าถามว่าเขาเกลียดมิวะหรือไม่
“ข้าคงเกลียดนาง ยังไงนางก็ฆ่าแม่ของข้า แต่ถ้าที่มายุบอกไว้เป็นความจริงว่า ท่านแม่เป็นคนวางแผนเองล่ะก็ ข้าก็คงเกลียดนางอยู่ดีที่ไม่ห้ามท่านแม่…แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้โกรธเฉกเช่นวันแรกที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ข้าควรจะสงสัยเสียมากกว่าว่าทำไมท่านแม่ถึงอยากฆ่าตัวตาย…ทำไมกัน
ท่านแม่รักท่านพ่อหรือไม่ จึงได้ทำแบบนี้”ชายหนุ่มฝึกฝนไปเรื่อยๆจนกระทั่งเหงื่อของเขาโทรมกาย จนกระทั่งดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าช่วงฤดูหนาวก็ไม่ทำให้อากาศอุ่นขึ้นแต่อย่างใด
“ทำไมนางไม่กลับมาเสียที”ไดกิกำลังจะเดินลงไปตามอีกฝ่าย แต่ร่างของหญิงสาวก็ปรากฏตัวขึ้นพอดีพร้อมกับถังน้ำที่หนักอึ้ง
“ช้าเสียจริง…นี่สองรอบเองนะ อีกสักรอบเจ้ายังจะทำไหวไหม?”เขากล่าวขึ้น รอเธอลากถังน้ำนั่นมาจนในที่สุดก็ถึงบนเนินเสียที มายุลงไปนั่งหอบอยู่ที่พื้นอย่างหมดเรี่ยวหมดเเรง ก่อนจะส่ายหน้ายอมแพ้
“เจ้ายังประเมินกำลังตัวเองยังไม่ได้เลย และเจ้ามักจะทำเช่นนั้นมาตลอด ตั้งแต่ที่ข้าต้องให้ยันต์แก่เจ้าไป เจ้าไม่รู้สึกหรืออย่างไรว่าเจ้ารอดตายมาหลายครั้งแล้ว”เจาตำหนิอีกฝ่ายหนึ่ง
“นั่นนะสิคะ ท่านไดกิพูดถูก”เธอนั่งพิงต้นโมมิจิและหายใจแรงด้วยความเหนื่อยล้า
“แล้วทีนี้ถ้าข้าเป็นศัตรู เจ้าจะทำอย่างไร เจ้ามีแรงสู้ข้าไหวไหม หรือหนีข้าได้หรือเปล่า”ร่างนั้นสาวเท้าเข้ามาใกล้ แต่มายุยังนั่งหอบอยู่ที่เดิม
“ไม่ไหวใช่ไหมล่ะ…”มือใหญ่เชยคางอีกฝ่ายให้ขึ้นมามองหน้าของเขา
“งานก็ไม่ได้ตามที่คาด และยังเอาตัวเองไม่รอดอีก นี่แหละคือผลของการที่เจ้าทำอะไรเกินตัว โดยไม่ประเมินกำลังของตนเอง”
“ค่ะ”มายุเค้นพลังที่เหลือก่อนจะตอบ
“เจ้าทำไม่ได้ เจ้าต้องถูกลงโทษ…”
“คะ?”มายุตกใจ ตอนนี้เธอหมดเรี่ยวหมดแรงจนเดินไปไหนไม่ได้แล้ว ยังต้องถูกทำโทษอีก
“มายุ เจ้าบอกข้าเมื่อวานนี้ว่าเจ้าคือมิวะใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะอ่านความคิดของเจ้าเสียทั้งหมด ว่าเรื่องท่านแม่ของข้าความจริงนั้นเป็นเช่นไร… แน่นอนว่ามันคือการทรมาณมนุษย์อย่างหนึ่งเลยล่ะ แต่นี่คือบทลงโทษที่เจ้าต้องรับ”
“ฟังดูน่ากลัว..”มายุบ่นออกมา แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ก่อนมือใหญ่จะวางบนหน้าผากของเธอ มายุหลับตาลงเพราะไม่รู้ว่าจะต้องพบความรู้สึกแย่ๆหรือความเจ็บปวดเช่นไรบ้าง ฉับพลันสติของเธอก็ดับวูบลงไป มีเพียงความรู้สึกที่ว่างเปล่า ทั้งความเหนื่อยและความรู้สึกปวดร้าวตามตัวต่างๆหายไปจนสิ้น
มิวะลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังนั่งพิงกับร่างร่างหนึ่งอยู่ เธอหันมามองช้าๆก่อนจะพบเด็กหนุ่มที่แสนคุ้นเคยหันมามองเธอและยิ้มออกมา อย่างอ่อนโยน เด็กสาวจึงค่อยๆผละตัวออกจากอีกฝ่ายและหันไปมองทางอื่นรวมถึงยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าของเธอ ท้องฟ้าสีแสดของยามเย็นในฤดูร้อนนั้นทอแสงกระทบก้อนเมฆด้านบนจนเกิดเงาและสีสั้นเหลือบ แต่ดูเศร้ายิ่งนักเหมือนกับความโดดเดี่ยว
“ท่านพี่ ขออภัยที่เสียมารยาทเจ้าค่ะ”เธอกล่าวขึ้นมา และเขินอายนิดหน่อยที่เผลอหลับไปเสียได้
“ไม่หรอก เจ้าคอยดูแลท่านแม่อยู่เกือบทั้งวันทั้งคืนเลย ดูเหมือนท่านแม่คงอยากจะให้เจ้าคอยคุยเป็นเพื่อน จนเจ้าไม่มีเวลานอน”ฝ่ามือนั้นลูบหัวมิวะด้วยความเบามือ
“แต่ท่านพี่ ท่านแม่อาการไม่ค่อยดีเลยเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อบอกว่าท่านแม่เป็นมนุษย์ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เป็นปกตินี่นา ใช่หรือไม่
มิวะ”
“ก..ก็ ใช่ค่ะ”เธอตอบด้วยความลังเลนิดหน่อย แต่ก่อนที่เธอจะกล่าวสิ่งใดต่อ ไดกิก็ลุกขึ้นยืนเพราะได้เวลาที่เขาจะต้องไปแล้ว
“มิวะ ข้าฝากเจ้าดูแลท่านแม่ด้วย เดี๋ยวข้าจะต้องไปแล้ว”
“เจ้าค่ะ”ไดกิพยักหน้ากับคำตอบของเธอ
“ข้ารักเจ้านะ ดังนั้น
ข้าจะกลับมาฟังคำตอบของเจ้าให้ได้ในวันแต่งงานแน่นอน”เด็กหนุ่มยิ้มออกมา ก่อนจะหันหลังเดินจากไป เหลือเพียงมิวะที่ยังยืนมองอยู่เช่นนั้นและพยายามจะกล่าวอะไรสักอย่างออกมา แต่สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกไป
มิวะ
ลูกแม่ เจ้าเกิดมาในตระกูลแห่งนักรบแล้ว ชีวิตของเจ้านั้นจะพบกับความไม่แน่นอนยิ่งนัก แม้ว่าเจ้าจะต้องถูกส่งตัวไปให้ท่านไดเทนกุก็ตาม แต่เราเป็นอิสตรี ห้ามกล่าวคำว่ารักออกมาเด็ดขาด นอกเสียจากสามีเท่านั้นที่เจ้าสามารถกล่าวและสามารถรักเขาทั้งหัวใจได้
“ขอให้ท่านพี่ปลอดภัยด้วยเถอะ…”มิวะพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเดินตามทางเดินชั้นล่างจนไปถึงห้องห้องหนึ่งที่ไม่กว้างขวางนัก และมีกลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ว เธอนั่งลงหน้าประตูโชวจิ ก่อนจะใช้มือซ้ายเลื่อนประตูออกมาจนถึงกึ่งกลาง และใช้มือขวาผลักประตูไปจนเกือบสุด และค่อยคลานเข้าไป ก่อนจะหันหลังกลับมาปิดประตูจนเรียบร้อย เบื้องหน้าของเธอนั้น มีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่บนฟูกนอน ร่างนั้นค่อยๆหันมาหาเธอและพยายามใช้มืออันสั่นเทากวักเรียกอีกฝ่าย มิวะคลานเข้าไปหาในทันที
“ท่านแม่อาการดีขึ้นไหมเจ้าคะ”เธอถามขึ้น
“มิวะ…อาการมันไม่ดีขึ้นหรอก….แค่ก…ข้าแค่ชราลงเท่านั้น”
“แต่ท่านแม่ยังดูสวยอยู่เลยนะเจ้าคะ”เธอกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้
“ข้าดื่มยาเข้าไป แต่ว่ามันเพียงทำให้ภายนอกข้าดูไม่แก่ลงเท่านั้น แต่ไม่ช่วยในเรื่องอื่น ภายในตัวข้า
ร่างกายข้าแก่ลงเรื่อยๆ ข้าลุกไปไหนก็ไม่ไหวแล้ว มันทรมาณมากมิวะ คนอื่นๆที่ข้ารู้จักก็คงตายไปหมดแล้ว เหลือแต่ข้าเท่านั้น ทั้งท่านไดอิจิ และไดกิ นั้นไม่เข้าใจ ถึงอายุขัยของข้า ข้าตกลงทำพิธีผูกวิญญาณในวันแต่งงาน ที่ไดอิจิได้ยอมมอบชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาให้ข้า แต่ก็ไม่ได้ผล แม้ข้าจะอายุยืนยาวได้นับพันปี แต่ข้าคงทนไม่ไหวแล้ว…มิวะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะเข้าใจข้า”
“ท่านแม่พักก่อนนะเจ้าคะ ท่านแม่อยากทานยาอะไรข้าก็จะจัดหามาให้ หรือจะให้ข้าชงชาให้ก็ได้เจ้าค่ะ”มิวะกล่าวขึ้น
“มิวะ..”ร่างนั้นคว้ามือของเธอไว้
“เจ้าคะ?ท่านแม่”เธอพยายามกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น
“ข้าสงสารเจ้านัก ที่ต้องมาแต่งงานกับปิศาจ… อายุขัยของมนุษย์นั้นสั้นมากสำหรับพวกเขา ข้าเองก็หวังให้มีเพียงข้าเท่านั้นที่ประสบเคราะห์กรรมนี้”ดวงตากลมโตสีดำขลับมีแววประหลาดใจเมื่อได้ฟัง
“แล้วท่านแม่รักท่านไดอิจิหรือเปล่าคะ?”เธอถามขึ้น
“ข้าเผลอตกปากรับคำกับเขา เมื่อนานมาแล้ว…
มิวะ ข้าอยากเห็นดอกไม้ป่า เป็นดอกไม้ชนิกแรกที่ข้าเห็นเมื่อได้เข้ามาที่นี่ เจ้านำมาให้ข้าได้หรือไม่ ข้าเพียงหวนนึกถึงคืนวันที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเท่านั้น”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่อยากให้ข้าหาดอกไม้อะไรหรือเจ้าคะ?”
“ดอกไม้อะเซะโบะ”ยูมิโกะกล่าวขึ้น
“แต่เจ้าช่วยแอบนำมันเข้ามาได้ไหม ท่านไดอิจิไม่ชอบนัก เพราะกลัวข้าจะแพ้ละอองเกสร แต่ที่จริงแล้วข้าไม่เป็นไรหรอก ละอองเกสรนั้นทำอะไรข้าไม่ได้”เด็กสาวจึงขอตัวออกจากห้อง และรีบเดินทางเข้าป่าก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เด็กสาวมองหาดอกไม้ป่าสีขาว รูปทรงเหมือนกระดิ่งคว่ำไปเรื่อยๆตามทางแต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งความมืดเข้ามาเยือน แต่เธอก็พยายามมองหาดอกไม้นั้น จนกระทั่งเธอเห็นอยู่บนต้นไม้สูงจากเธอไม่มากนัก จึงพยายามเอื้อมมือไปเด็ดลงมา ดอกไม้สีขาวขนาดเล็กจำนวนมากดูสวยงามและแปลกตายิ่งนัก ก่อนมิวะจะรีบเดินทางกลับคฤหาสน์ในทันที พอดีกับเหล่าการาสุเทนกุที่ต้องออกไปสู้กับเหล่าเทพนั้น จึงไม่มีใครสนใจมิวะเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวรีบกลับเข้ามาในห้องเสียด้วยสภาพมอมแมมนัก ยูมิโกะที่เห็นก็ยิ้มออกมา
“ดีมากมิวะ ข้าฝากเจ้าวางไว้บนแจกันหน่อยสิ ข้าอยากจะดูดอกไม้นั้นนานๆ”
“เจ้าค่ะ”มิวะถือดอกไม้และมองไปรอบๆก็ไม่พบแจกันแต่อย่างใด
"ช่วงนี้ข้าฝันร้ายอยู่ตลอดเลยมิวะ มันทำให้ร่างกายของข้าทรุดลง"ยูมิโกะกล่าวออกมา ดวงตาสีดำจับจ้องที่เพดาน
"ท่านแม่ฝันว่ากระไรหรือเจ้าคะ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่เผื่อจะช่วยให้ท่านแม่สบายใจขึ้นได้เจ้าค่ะ"เธอกล่าวออกมา
"ข้าเพียงฝันเรื่องเก่าๆเท่านั้นและคิดว่าข้ามีส่วนทำให้เทพต้องบุกมาที่นี่ และยังมีส่วนทำให้ชาวบ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้ากับท่านไดอิจิควรจะรับผิดชอบเรื่องนี้แล้วชดใช้ด้วยชีวิตของเราทั้งสอง"
"ท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ"มิวะกุมมืออีกฝ่ายไว้แล้วมองด้วยความเป็นห่วงนัก
"แต่ก่อน ข้าเป็นมิโกะ เป็นบุตรีของนักบวช ข้าเป็นร่างทรงมาแต่กำเนิด และรู้ชะตาตนเองตั้งแต่ยังเยาว์ว่าสักวันข้าจะเป็นเครื่องสังเวยแก่เทพโอริว เพื่อปัดเป่าความแห้งแล้ง แต่ว่าครั้งหนึ่งที่ข้าได้พบกับไดอิจิ ตอนแรกข้าก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาเป็นถึงไดเทนกุ เขาเองก็มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาดาบเล่มหนึ่งที่เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ ข้าเองที่เป็นมิโกะจึงมีหน้าที่จะต้องนำดาบมาไว้ ณ ที่แห่งนี้และเขายังข่มขู่ข้าให้ข้ายอมเป็นเมียของเขา ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สามารถเดินไปถึงศาลเจ้าบนเขาได้ทันเวลา สุดท้ายแล้วข้าก็เลยต้องยอม หลังจากวันนั้นแล้วเขายังลักพาตัวข้ามาจากประรำพิธีบูชายัญและพามาอยู่ที่แห่งนี้"ร่างที่นอนซมหยุดกล่าวออกมาเพราะความเหนื่อยล้า แต่มิวะยังคงตั้งใจฟังอยู่เช่นนั้น
"การที่ข้าอยู่ที่นี่มันผิดบาปนัก เทพโอริวไม่มีพลังมากพอที่จะช่วยชาวบ้านให้มีชีวิตรอดพ้นจากความแห้งแล้งนั้นไปได้ มันเป็นความผิดของข้า"
"ท่านแม่อย่าได้โทษตนเองเลยเจ้าค่ะ"มิวะกล่าวออกมา เมื่อเห็นผู้ที่ตนนับถือเป็นมารดาโศกเศร้าเสียใจแล้วก็อดที่จะโศกเศร้าตามไปด้วยไม่ได้
"นั่นแหละเรื่องของข้าก่อนที่ข้าจะมาอยู่ที่นี่ มันผ่านมานานมากแล้วล่ะ แต่ช่วงนี้ข้ากลับฝันเห็นเรื่องราวในสนามรบที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ นั่นทำให้ข้าไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก"หญิงชรามองอีกฝ่ายที่ยังคงมองหาแจกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งยูมิโกะต้องกล่าวขึ้น
“ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เจ้าวางไว้เสีย และไปอาบน้ำล้างตัวให้เรียบร้อยเสียเถิด”หญิงผู้นั้นกล่าวออกมา
“เจ้าค่ะท่านแม่”เธอคำนับก่อนจะคลานออกไปจากห้อง โดยที่ไม่รู้เลยว่ายูมิโกะจงใจบอกให้เธอออกไป ระหว่างทางที่มิวะกำลังเดินมาตามทางเดินยาวนั้นก่อนจะสวนกับอายุมุอย่างพอดิบพอดี การาสุเทนกุตนนั้นหันไปมองร่างที่ดูมอมแมมอย่างสงสัย
“ตัวมอมแมมเช่นนี้จงรีบไปอาบน้ำเสียเถอะ”การาสุเทนกุตนนั้นกล่าวออกมา
“เจ้าค่ะท่านอายุมุ”เธอคำนับ
“ทำไมเจ้าถึงตัวมอมแมมเช่นนี้ล่ะ?”การาสุเทนกุหยุดถามอีกครั้ง ด้วยความสงสัย
“ข้าเดินเล่นในป่าเท่านั้นเจ้าค่ะ”มิวะไม่กล้าบอกอีกฝ่ายไปเนื่องจากท่านแม่ของเธอกำชับไว้ อายุมุที่ได้ยินนั้นจึงพยักหน้าแล้วเดินจากไป ไม่ทันไรเสียงแก้วตกแตกก็ดังขึ้นในห้อง อายุมุ
มิวะรวมถึงการาสุเทนกุที่อยู่บริเวณนั้นจึงรีบเข้าไปดูอาการของท่านยูมิโกะ มิวะที่รีบเข้าไปก็พบกับร่างที่นอนแน่นิ่งเสียแล้ว แต่ดอกไม้ที่เธอมอบให้ท่านยูมิโกะกลับถูกแช่ลงไปในเหยือกน้ำชา รวมถึงเศษดอกไม้อะเซะโบะในแก้วชาที่แตกกระจายอยู่ที่พื้น หญิงสาวถึงกับชะงักไป ส่วนอายุมุเองก็รีบเข้าไปดูแลอาการของยูมิโกะ และก็มีทีท่าตกใจอย่างมาก
“ไปตามท่านไดอิจิเร็วเข้า!!!”อายุมุสั่งการาสุเทนกุตนอื่นๆ ก่อนจะชี้ไปที่มิวะ
“จับมิวะไว้!! นางเป็นคนวางยาท่านยูมิโกะ!!”
ร่างของเธอถูกขังไว้ในห้องเก็บที่คับแคบของที่แสนมืดมิดในยามค่ำคืน มิวะที่ไม่รู้จะทำเช่นไรก็เดินวนไปวนมาอยู่นาน ก่อนจะนั่งลงและร้องไห้ขึ้นมาด้วยความสำนึกผิด น้ำตาของเธอไหลอาบแก้มและทำได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่อย่างนั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเธอถูกจับมาก็ไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นใดๆอีกและหวังว่าท่านแม่ของเธอจะปลอดภัย
“ข้าผิดเอง…ขอให้ท่านแม่ไม่เป็นอะไรด้วยเถอะ”มิวะปาดน้ำตา และก้มหน้าอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ช่องหน้าต่างบานเล็ก ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย
“ใครน่ะ?”มิวะถามขึ้น
“พวกข้าเองมิวะ อากาเนะ
คาบูโตะและทาโร่”อากาเนะกล่าวขึ้น
“พวกพี่นี่เอง”มิวะร้องไห้ออกมาอีกรอบ ด้วยความดีใจที่ในความมืดสนิทนี้ยังมีปิศาจทั้งสามเคียงข้าง
“มันเกิดอะไรขึ้นมิวะ ข้าได้ยินเรื่องของเจ้า แต่ข้าไม่เชื่อ”
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านแม่ใช้ให้ข้าไปนำดอกอะเซะโบะมา แล้วพอข้านำดอกไม้นั้นมาให้ ท่านแม่ก็บอกให้ข้าไปอาบน้ำล้างตัว…ข้าไม่รู้ว่าดอกไม้นั้นมีพิษ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านแม่ต้องทำเช่นนี้”เด็กสาวก้มหน้าร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง
“แล้วท่านแม่เป็นยังไงบ้าง?”เธอถามต่อ
“นางอาการหนัก ท่านไดอิจิจึงเข้าไปดูแลและสั่งห้ามทุกคนเข้าไปในห้องเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
“ข้าขอให้ท่านแม่ปลอดภัยด้วยเถิด”เธอสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรมิวะ พวกข้าจะช่วยเจ้าเอง…เจ้าใจเย็นๆก่อนนะ”ร่างทั้งสามคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอจนกระทั่งรุ่งสาง ก่อนทาโร่จะถูกอีกสองคนส่งให้ไปดูลาดเลาว่าไดกิกลับมาหรือยัง มิวะเองก็กระวนกระวายจนกระทั่งเวลาผ่านไปนานแสนนานจนเกือบเวลาเที่ยงวันขณะที่อากาเนะกับคาบูโตะกำลังบ่นถึงอีกฝ่ายนั้น ทาโร่ก็วิ่งตาตื่นกลับมา
“เป็นไงบ้างทาโร่”ทั้งสองรออย่างใจจดใจจ่อ ส่วนมิวะก็ทำได้เพียงเงี่ยหูฟังจากในห้องเก็บของเท่านั้น
“ท่านยูมิโกะตายแล้ว พร้อมกับท่านไดอิจิ ส่วนไดกิที่มาเห็นก็สติแตกไปเลย ตอนนี้ข้าวิ่งออกมาก่อน ดูเหมือนว่าไดกิจะแพ้เทพพวกนั้นด้วย ไม่รู้ว่าจะถูกสั่งประหารไหม”มิวะทรุดลงนั่งกับพื้นอีกครา ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้เสียสักอย่างเดียวนอกจากร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ความคิดเห็น