คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ศาลเจ้าอัตสึตะ
เวลาได้ผ่านไปหลายฤดูกาล จนวนมาครบเวลาสองปีเต็ม บรรยากาศภายในเมืองมนุษย์ที่เต็มไปด้วยตึกที่สูงตระหง่านมากมายอันดูไร้ชีวิตชีวานัก ปลายใบไม้ร่วงที่ใกล้เข้าฤดูหนาวเต็มที อากาศที่หนาวเย็นทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสวมเสื้อโค้ทหนา จอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ฉายภาพผู้ประกาศข่าวภาคสนามที่กำลังยืนรออยู่หน้าศาลท้องถิ่น เหล่าผู้คนที่เดินขวักไขว่กันไปมานั้น มีร่างบางร่างหนึ่งที่เงยหน้าขึ้นมามองจอโทรทัศน์ ก่อนจะขยับแว่นตาดำของตนเมื่อ เห็นนักข่าวได้สัมภาษณ์กับหญิงผู้หนึ่งที่มีดวงตาสีน้ำตาล และเรือนผมยาว ร่างนั้นหยุดดูอย่างสนใจก่อนจะเลียริมฝีปากของตน ประดุจว่าเธอพบเหยื่ออันโอชะแล้ว
“ซ่อนตัวเก่งดีนะ คงได้เครื่องรางช่วยเอาไว้ล่ะสิ แต่วันนี้ฉันจะหาตัวของเจ้าให้เจอจงได้”หญิงผู้นั้นเดินหายไปท่ามกลางฝูงชนในเมืองนาโกย่า อีกฝั่งหนึ่งของเมืองนั้น กล้องนับสิบตัวจับภาพไปที่หญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังตอบคำถามของนักข่าวอยู่ด้านหน้าอาคารศาลขนาดใหญ่
“รู้สึกอย่างไรบ้างคะ ที่คุณมายุชนะคดีในศาลชั้นต้น และจะทำเช่นไรต่อไปคะ?”นักข่าวสาวถามขึ้น
“ก็..รู้สึกดีใจมากค่ะ เพราะตอนนี้ศาลได้ตัดสินคดีอาญาแล้วนะคะ ว่าคุณเคสุเกะเขาเป็นคนจ้างวาน ให้มีคนมาพยายามฆ่าดิฉันค่ะ จากนี้ไปไม่นานคดีแพ่งก็น่าจะมีคำพิพากษาเช่นกันค่ะ”เธอตอบอย่างฉะฉาน
“และคุณมายุ คิดว่าฝั่งคุณเคสุเกะที่ตอนนี้เป็นอดีตรัฐมนตรีไปแล้ว จะมีการอุทธรณ์ไหมคะ?”
“ดิฉันคิดว่ามีนะคะ เขาคงไม่ยอมง่ายๆค่ะ แต่ดิฉันและทางฝั่งอัยการก็พร้อมที่จะสู้ต่อเหมือนกันค่ะ”มายุตอบ และไม่นานนักเธอจึงขอตัวกลับ ก่อนจะรีบก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเก๋งสี่ประตูที่เพื่อนสนิทของเธอขับมารับอย่างรวดเร็วและรีบออกตัวไป หญิงสาวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกยิ่งนัก
“ขอบคุณที่มารับตรงเวลานะ”มายุขอบคุณยูกิ
“ไม่มีปัญหา”สาวผมสั้นสีดำกล่าว
“มันไม่เลิกตามล่าฉันแน่นอนเลย ยูกิ
สองปีที่ผ่านมาฉันต้องคอยหลบหลีกและพยายามเดินทางตลอดไม่อยู่กับที่นานเกินไป จนตอนนี้ฉันยังไม่ได้กลับบ้านเลยสักครั้งเดียว เงินก็แทบจะไม่เหลือแล้ว หรือฉันควรไปอาศัยศาลเจ้าอยู่ดีล่ะ”มายุกล่าว
“แล้วเธอจะทำอย่างไร?”ยูกิถามขึ้น
“ไม่รู้สิ ก็คงต้องหนีต่อไป โชคดีที่การเป็นทนายมันได้เงินดี และฉันใช้เงินประหยัดด้วย แต่อีกไม่นานฉันคงไม่เหลือเงินเข้าพักตามบ้านพักรายวันแล้วล่ะ พอถึงตอนนั้นก็ไม่รู้จะหนีไปไหนแล้วเหมือนกัน”มายุกล่าว
"ตลกเสียจริง เธอเป็นเหยื่อนะ กลับต้องมาหลบๆซ่อนๆอีก มันดีแล้วหรอ"ยูกิพึมพำออกมา ก่อนมายุจะมองไปที่ถนนเบื้องหน้า ก่อนจะเห็นป้ายบอกทางไปศาลเจ้าอัตสึตะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“ฉันขอแวะเข้าไปไหว้ศาลเจ้าได้ไหม ยูกิ?
รู้สึกตอนนี้ฉันมาถึงทางตันแล้วล่ะ ถ้าขอพรแล้วอาจจะพบเจอทางออกที่ดีขึ้นก็ได้นะ”มายุกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
“ถ้าไม่นานนักก็ได้”ยูกิตกลงและขับรถต่อไปเรื่อยๆอยู่สิบกว่านาทีจน พบประตูศาลเจ้าขนาดใหญ่ จึงพยายามหาจอด ก่อนจะนึกบางอย่างได้
“แล้ว…เอ่อศาลเจ้าที่เธอเคยพยายามจะหาน่ะ หาเจอหรือยัง?”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ยูกิกล่าวเช่นนี้ขึ้น
“ยังเลย ฉันพยายามหาในเน็ตแล้ว แต่ไม่รู้ว่าต้องเขียนด้วยคันจิตัวไหนน่ะสิ เลยหาไม่เจอสักที”เธอบ่นขึ้นมา
“แต่มีอยู่จริงๆใช่ไหม?”อีกฝ่ายถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ
“ก็…ต้องมีสิ มีคนเคยเล่าให้ฉันฟัง”ยูกิพยักหน้ารับทราบก่อนจะขับรถวนสักสองรอบแต่ก็ไม่พบที่จอดเสียที ที่จอดรถที่นี่ช่างเล็กเสียเหลือเกิน ไม่เพียงพอกับคนจำนวนมากที่มาศาลเจ้าแห่งนี้ที่ดูเหมือนจะใหญ่ที่สุดในนาโกย่า
“มายุเธอลงไปก่อน เดี๋ยวถ้าฉันเจอที่จอดได้แล้วจะตามไปนะ”หญิงสาวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะลงจากรถ เธอมองไปรอบๆก็พบเสาโทริอิที่เป็นทางเข้าศาลเจ้าอยู่ข้างสะพานลอย เสาโทริอิไม้นั้นมีขนาดใหญ่มหึมา และรอบๆข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายเต็มไปหมดดูร่มรื่นนัก มายุจึงเดินเข้าไปตามทางเข้า และดูเหมือนคุณป้าสองคนจะเป็นคนแถวนี้ เธอจึงแอบเดินตามไปเรื่อยๆเพราะกลัวจะหลงทาง ระหว่างนั้นเสียงเจื้อยแจ้วของคนข้างหน้าก็ดังขึ้นตลอดทางตามนิสัยของคนช่างคุย
“เธอมาที่นี่บ่อยไหม?”หญิงเบื้องหน้าถามคู่สนทนาของเธอขึ้น
“ไม่เลยจ๊ะ แต่ก่อนก็มาบ่อยนะ เพราะใกล้บ้าน แต่ช่วงนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ปวดเนื้อตัวไปหมดเพราะแก่ลง นานๆก็เลยมาที่นี่สักที แต่ได้ยินว่าเธอมานาโกย่าพอดี ก็เลยอยากจะพามาน่ะ ที่นี่เป็นศาลเจ้าเก่าแก่เลยนะ เขาเก็บดาบคุซานางิไว้ที่นี่ด้วย”
“เอ๋…จริงหรอ แต่วันนี้ฉันคงไม่มีเวลามาดูอะไรขนาดนั้นน่ะ น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกฉันก็สงสัยนะ ที่เธอบอกว่าจะพามาที่นี่ ฉันดันรู้จักแค่ชื่อศาลเจ้าอัตสึตะเนี่ยละสิ ก็เลยนึกว่านาโกย่ามีศาลเจ้าเก่าอยู่หลายที”
“อ้าว นี่ฉันทำเธอเข้าใจผิดหรอ ขอโทษนะ พอดีว่ามันเป็นชื่อที่คนท้องถิ่นเรียกน่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย”หญิงวัยกลางคนทั้งสองคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“เอ้อ…แล้ว เธอพูดชื่อนั้นอีกรอบได้ไหม? คราวนี้ฉันจะพยายามจำให้ได้แล้ว”
“อัตสึตะ ซามะ
น่ะหรอ ฉันจำไม่ได้แล้วว่าบอกชื่อไหนไป หรือว่า
มิยะ กันนะ”ร่างของหญิงสาวถึงกับหยุดเดินในทันทีเมื่อได้ยินชื่อ จู่ๆหัวใจของเธอก็สั่นระรัวขึ้นมา และครุ่นคิดปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“มีจริงๆด้วยหรอ มิยะ
ฉันนึกว่าฉันฝันไปเท่านั้น…ไม่น่าเชื่อเลย ฉันไม่เคยมานาโกย่าแท้ๆ…นี่มันเรื่องจริงด้วยสินะ”หญิงสาวรีบเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ เพราะอยากรู้เรื่องราวต่างๆ อย่างน่าตื่นเต้น เธอเดินตามทางมาเรื่อยๆจนพบกับ บ่อน้ำที่ไว้ล้างมือ เธอใช้มือขวาจับกระบวยขึ้นมาล้างมือซ้าย และค่อยล้างมือขวา เทน้ำลงบนฝ่ามือเพื่อล้างปาก ก่อนจะใช้น้ำที่เหลือในกระบวยล้างมือซ้ายจนหมด ก่อนจะเดินตรงเรื่อยๆจนมาพบเสาโทริอิอีกหนึ่งเสา และเธอก็พบตัวศาลเจ้าอัตสึตะอยู่เบื้องหน้า โดยที่ไม่รู้ว่ามีใครหลายคนแอบตามเธอมา ชั่วขณะหนึ่งที่มายุรู้สึกว่าถูกจ้องมอง เธอจึงหันขวับไปมอง แต่ก็พบกับยูกิที่เดินมาอย่างกระหืดกระหอบเพราะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก
“ไกลชะมัด”อีกฝ่ายบ่นอุบ
“ยูกิ พวกเราเข้าไปไหว้กัน”กล่าวจบทั้งสองโค้งคำนับ และปรบมือสองครั้ง ก่อนจะขอพร
“ขอให้เพื่อนฉันปลอดภัยไม่ตายโหงด้วยเถอะ”ยูกิอธิษฐาน
ด้วยสีหน้าอันเหนื่อยหน่ายในความดื้อดึงของอีกฝ่าย
“ขอให้ดิฉันได้รู้เรื่องราวของผู้หญิงที่ปรากฏในความฝันด้วยค่ะ”มายุกล่าวในใจ ลืมไปเสียสนิทว่าเธอตั้งใจมาที่นี่เพราะขอพรให้เธอปลอดภัย ฉับพลัน
มายุก็เห็นเด็กสาวเบื้องหน้ากำลังก้มลงคำนับศาลเจ้าอย่างนอบน้อมหญิงเบื้องหน้าเธอที่กำลังหันหลังให้มายุนั้น สวมเสื้อหญิงสูงศักดิ์ที่ได้กล่าววาจาบางอย่าง
“มิยะเจ้าคะ ข้าจะต้องไปแล้วเจ้าค่ะ เวลาของข้านั้นคงมาถึงแล้ว หากในวันหนึ่งที่ข้าได้กลับมาที่นี่ ขอให้ข้าคำนึงถึงเรื่องราวต่างๆที่ข้ามีความสุข และหากโชคชะตาของข้าทำให้พบกับท่านพี่อีกครั้ง ขอให้ข้าภักดีและซื่อสัตย์ต่อท่านอย่างที่ข้าจะพึงทำได้... ”เธอคำนับอยู่นานจนกระทั่งลุกขึ้นนั่ง กล่าวจบร่างนั้นหันกลับมา เป็นครั้งแรกที่มายุได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
นั่นฉัน?
ไม่ใช่สิแค่คล้ายๆ เท่านั้น
ก่อนอีกฝ่ายจะเดินเข้ามา มายุที่ตกใจจึงล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ยูกิที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ก่อนจะคิดในใจว่า ที่เธออธิษฐานไปเมื่อครู่คงไม่ได้ผลเป็นแน่ ร่างบางค่อยๆลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นที่ติดตามเสื้อของเธอ
“โยนเหรียญกันเถอะ”ยูกิชวนก่อนจะหยิบเหรียญห้าเยนโยนลงกล่องบริจาคเบื้องหน้าเธอ มายุเองก็ก็หยิบเหรียญห้าเยนและโยนลงกล่องเช่นกัน
“แป๊ก!!”เหรียญนั้นกระเด้งออกมานอกกล่อง ยูกิที่เป็นคนโยนถึงกับหน้าเสียเพราะเหรียญดันกระทบกับไม้ ที่วางกั้นไว้เป็นซี่ๆด้านบนกล่องบริจาคจนกระเด้งออก ส่วนมายุถึงกับเงียบกริบ เพราะดูเหมือนคำอวยพรของยูกิจะไม่เป็นจริง แม้เธอจะไม่รู้ว่าขออะไรเพราะไม่ทันได้ตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายขอพร แต่หน้าของยูกินี่ถึงกับซีดลงจนเห็นได้ชัด จากนั้นภาพและความทรงจำต่างๆก็พรั่งพรูเข้ามาหามายุ จนเธอยืนนิ่งแทบจะแข็งเป็นหิน ขณะอีกฝ่ายเดินเอาเหรียญไปหย่อนลงกล่องบริจาคและเดินกลับมา มายุก็ยังไม่ขยับไปไหน
“มายุ เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวที่นี่จะปิดแล้วนะ”อีกฝ่ายเมื่อถูกเรียก จึงได้สติขึ้นมา
ฉันจำได้แล้ว….เรื่องราวทั้งหมด... ทำไมกัน
เรื่องแบบนี้ฉันจะอยากจำไปทำไมกันนะ
ร่างบางจึงได้สติกลับมาเพราะเสียงเรียกขานของเพื่อนสาวของเธอ
และประติดประต่อเรื่องราวคำพูดของยูกิที่กล่าวไว้ก่อนหน้า และไหลตามน้ำไป
“ได้สิ กลับกัน…”มายุเดินคอตกตามอีกฝ่ายไป จนยูกิถึงกับสงสัยขึ้นมา เมื่อเห็นมายุที่มีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
“มายุ เธอเป็นอะไร?”
“….เปล่า แค่เดินเยอะเกินไปแล้วเหนื่อยเท่านั้น”เธอตอบเบาๆ
ในหัวมีแต่ความสงสัยว่า เธอจะจำเรื่องราวต่างๆไปทำไมกัน แต่ถ้าเธอจำได้ก็แปลว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้น หรือเคยเป็นผู้หญิงคนนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง
“ฉันมาทำไมเนี่ย…”มายุถึงกับถามตัวเองออกมา บางอย่างเมื่อได้รู้ความจริงแล้ว
เลือกไม่รู้จะดีเสียกว่า มายุที่นึกถึงเรื่องราวต่างๆก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน
ความอยากรู้หายไปหมดสิ้น
เหลือแต่ความสงสัยในตนเองว่าทำไมเธอถึงต้องเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องที่น่าปวดหัวเช่นนี้ด้วย
เธอเดินตามยูกิไปเรื่อยๆจนถึงลานจอดรถ ที่ไม่ใหญ่นัก เวลานี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว จึงมีเพียงรถไม่กี่คันคือรถเก๋งสี่ประตูของยูกิ กับรถตู้สีดำคันใหญ่คันหนึ่งที่บังเอิญมาจอดข้างๆ แม้จะมีที่ว่างมากมายก็ตาม ทั้งสองหยุดกึกก่อนจะมองหน้ากัน
“รถคันนั้น…”มายุกล่าว
“คิดเหมือนกันใช่ไหม?”ยูกิกล่าว
ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ก็ลงมาจากรถสามคน
พร้อมกับปืนพกและชี้มาที่ทั้งสอง
“ใจเย็นๆก่อนนะ พื้นที่ในศาลเจ้า พวกแกก็ไม่เว้นหรอ”ยูกิกล่าวขึ้น และยกมือขึ้นให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนไม่มีอาวุธในทันที
“หุบปากเสีย แกไม่เกี่ยว
เจ้านายฉันมีธุระกับอีนี่ ซ่อนตัวเก่งดีนัก คราวนี้แกหนีไม่พ้นแล้ว”เขาถือปืนเข้ามาใกล้มายุ ฉับพลัน
มือเรียวของยูกิก็เข้าจับข้อมืออีกฝ่ายบิดอย่างแรง และกระทุ้งเข่าเข้าที่ท้องอีกฝ่าย จนปืนหล่นลงพื้น มายุรีบคว้าปืนขึ้นมา ชี้ไปที่อีกฝ่าย ส่วนยูกิก็คร่อมอีกฝ่ายก่อนจะต่อยชายผู้นั้นสลบไปในหมัดเดียว
“อย่าเข้ามา!!”มายุแผดเสียงใส่อีกฝ่ายและชี้ปืนไปทางชายสองคนที่เหลือ จนเขาชูมือขึ้น แต่ยูกิยังพุ่งเข้าไปทุ่มอีกฝ่ายลงกับพื้น ก่อนจะเตะก้านคอชายอีกคนหนึ่งจนสลบเหมือดไปทั้งคู่
“รีบหนีกัน!!”ยูกิหันมาบอก อีกฝ่ายพยักหน้าและรีบค้นตัวอีกฝ่ายว่ายมีอาวุธหลงเหลือไหม ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถไป
“หนีไปไหนดี!!!”มายุที่กำลังตกใจถามขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกัน!!”หญิงสาวรีบขับรถออกไปที่ถนนใหญ่ และเลี้ยวขวาที่แยกไฟแดง ก่อนจะข้ามรางรถไฟไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวมองกระจกข้างและเห็นรถตู้สีดำอีกคันตามมา
“ยูกิระวังด้วย!!!”มายุร้องบอก ดวงตาสีดำของหญิงสาวผมสั้นเหลือบมองรถที่ขับตามมาติดๆ ก่อนจะเลี้ยวไปตามถนนเลียบรถไฟด้วยใจระทึก จนกระทั่งรถตู้สีดำอีกคันที่ขับสวนมาในเลนท์ข้างๆขับมาปาดหน้าเธอ ยูกิรีบเหยียบเบรคจนทั้งสองคนหัวทิ่มหัวตำ ก่อนจะรีบตะกายออกมานอกรถ และวิ่งเข้าสวนสาธารณะใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ในทันทีเพื่อหาทางออกอีกฝั่งหนึ่งของสวน ฤดูใบไม้ร่วงที่ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า ความมืดในยามค่ำเริ่มเข้ามาเยือน พร้อมกับโคมไฟทางเดินที่เริ่มสว่าง ทั้งสองคนวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ดูเหมือนยูกิจะดูไม่เหนื่อยเท่ามายุเพราะเธอเป็นถึงอดีตนักกีฬายูโดสายดำ ต่างจากมายุที่ไม่ได้เรียนหรือออกกำลังกายเท่าอีกฝ่าย
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นโรคหอบหืดก็ยังวิ่งได้ดีกว่าเธอ
“มายุเร็วๆหน่อย!!”เธอเรียก
“พยายามอยู่!!!”มายุสลัดรองเท้าของตนเองและวิ่งหนีชายในชุดดำนับสิบคน พอดีกับชายกับหญิงผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ยูกิที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนมายุนั้นเหลือบมองร่างของชายที่เธอคุ้นตานัก แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าในยุคปัจจุบันแต่เธอจำได้ดี
คุโระเฮะบิ!!
มายุวิ่งผ่านร่างที่แสยะยิ้มไปในทันที และรู้ว่าเรื่องวุ่นวายคงจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแน่ ไม่นานนักทั้งสองก็วิ่งมาสุดทาง ยูกิกับมายุหันกลับไปมอง ชายนับสิบคนต่างกรูกันเข้ามา ส่วนมายุหยิบปืนขึ้นมายิงในทันทีอย่างไม่ลังเล
“ปัง!!!
ปัง!! ปัง!!!”ร่างของชายฉกรรจ์คนหนึ่งถูกกระสุนทะลุล้มลงในทันที มายุรีบลากยูกิไปหาม้านั่งเป็นที่กำบัง ส่วนชายฉกรรจ์ที่เหลือเองก็หลบอยู่หลังต้นไม้ และเตรียมปืนออกมายิง
“เธอยิงพวกนั้น ติดคุกหัวโตแน่เลยมายุ!!!”ยูกิร้องลั่นออกมา
“ฉันป้องกันตัว!!”มายุตอบกลับ ทั้งสองนั่งหลบอยู่สักพักจน ได้ยินเสียงที่เธอคุ้นเคยดังขึ้น เสียงของปิศาจงู
“พวกเจ้าจะมาทำร้ายนางไม่ได้นะ ข้าต้องการหญิงคนนั้น”เสียงคุโระเฮะบิกล่าวขึ้น มายุถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก เพราะเธอคงหนีไม่พ้นอีกฝ่ายแน่นอน
“แกเป็นใคร? อย่ามาจุ้น!!!”เสียงหนึ่งตอบกลับ ระหว่างนั้นหญิงสาวหยิบกระเป๋าเงินของตน ก่อนจะหยิบใบโมมิจิใบหนึ่งให้ยูกิ
“มายุ นี่อะไร?”อีกฝ่ายถามขึ้น แต่มือเรียวยัดใบไม้นั้นเข้าไปในกระเป๋าสูทของอีกฝ่ายหนึ่งในทันที
“ของสำคัญ ฝากไว้กับเธอก่อน”กล่าวยังไม่ทันจบ เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น มายุกับยูกิชะโงกหน้าออกไปก่อนจะเห็น ร่างของผู้ไล่ล่าของเธอถูกฉีกทึ้ง จนขาดครึ่ง เลือดสีแดงฉานและเครื่องในสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณเสียจนผู้ที่ไล่ล่าเธอต่างวิ่งหนีด้วยความตกใจ จากชายผู้มีเรือนผมสีขาว หญิงสาวผมสั้นมีสีหน้าตกใจอย่างมาก ทั้งสองเอามือปิดปากไว้แน่นไม่ให้อ้วกออกมา
“วิ่ง ยูกิวิ่ง!!”มายุรีบสะกิดและลากเพื่อนของเธอออกไป ตอนนี้ดูเหมือนคุโระเฮะบิกำลังสนุกกับการเล่นกับเหยื่อของเขา แต่หญิงสาวผู้สวมแว่นตาดำที่เพิ่งมาสมทบนั้นกลับเห็นมนุษย์ทั้งสองวิ่งลับไป
“ท่านพี่เล่นกับเจ้าพวกนี้ไปก่อนนะเจ้าคะ”เธอกล่าวก่อนจะรีบตามไป ติดๆ
หญิงสาวทั้งสองวิ่งจนไปถึงถนนใหญ่ แต่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลถูกหญิงปริศนายื้อยุดฉุดกระชาก
“เจ้าเองสินะ ที่เคยอยู่กับไดกิ”ลิ้นยาวสองแฉกแลบลิ้นออกมาเกือบจะถึงใบหน้าของอีกฝ่าย มายุถึงกับหลับตาปี๊ ทันใดนั้นยูกิได้เข้ามาช่วย เธอเตะอีกฝ่ายจนถลาไปด้านหลัง
“ยูกิ หนีไป เธอสู้ไม่ได้หรอก!!”ไม่ทันขาดคำ มือเรียวที่แข็งแรงขย้ำคอเสื้อของเพื่อนสาวของเธอ และเหวี่ยงลงพื้นอย่างแรง จนร่างนั้นกลิ้งหลายตลบไปถูกกำแพงอิฐของสวนสาธารณะ และแน่นิ่งไป
“ยูกิ!!!”มายุร้องเรียกก่อนจะถูกหญิงปริศนาผู้นำคว้าตัวเอาไว้ ดวงตาสีเขียวมรกตแบบสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ภายในแว่นตามีแววดีใจและสะใจอย่างยิ่ง และหายตัวไปในทันที
ที่ปราสาทที่เงียบสงัดกลางป่านั้นร่างของมนุษย์นางหนึ่งได้ถูกพาเข้ามา ทั้งมือและเท้าเธอถูกมัดแน่นจนขยับไม่ได้ ส่วนปากที่อวบอิ่มถูกปิดไว้แน่นจนเธอไม่สามารถขัดขืนได้ ตามทางเดินที่เงียบสงบนั้นมีเพียงคุโระเฮะบิ กับคิโยะฮิเมะ ที่คอยอุ้มเธอมาจนถึงในห้องบัลลังค์ขนาดใหญ่ ร่างของชายที่ผมดำขลับนั้นเหมือนกำลังรออย่างใจจดใจจ่อกับการมาถึงของเธอ เขาดูตื่นเต้นเสียต้องเดินมาดูหญิงสาวที่ถูกมัดอย่างสนอกสนใจ
“เจ้าทำได้ดีมาก คุโระเฮะบิ
คิโยะฮิเมะ”เขากล่าวชื่นชมและเชยคางหญิงสาวให้ขึ้นมาสบตาสีเหลืองอร่ามของเขา
“นี่น่ะหรอ? มนุษย์เพียงคนเดียวที่เคยพบเจ้าไดกิ”เขาทำหน้าเหมือนกับสงสัยในตัวนาง ก่อนจะถามต่อ
“และพวกเจ้าทั้งสองจะทำเช่นไรให้นางเข้าไปหาไดกิได้ล่ะ”
“ข้ามีวิธีเฉพาะ ของอิสตรีเชื่อมือข้าเถิดเจ้าค่ะ”คิโยะฮิเมะแลบลิ้นสองแฉกออกมา ส่วนมายุก็พยายามร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษา
“อะไรนะ?
ถ้าให้ข้าเดา เจ้ากำลังขัดขืนพวกข้าสินะ”คุโระเฮียวกล่าวขึ้นและหัวเราะออกมา
ไม่นะ อย่าบังคับฉันให้ทำอะไรแบบนี้เลย…ท่านไดกิต้องเกลียดฉันไปมากกว่านี้แน่ๆเลย
ทำยังไงดีล่ะเนี่ย
“เชิญพวกเจ้าสองคนทำตามแผน…”ร่างนั้นยืนขึ้นและเดินกลับไปนั่งบนบัลลังค์ คุโระเฮียวดึงเธอเข้ามาก่อนจะปลดผ้าปิดปากออก
“พวกท่านจะทำอะไร?”มายุถามขึ้นในทันที
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง..”คิโยะฮิเมะกล่าวขึ้น ก่อนจะจับเธอไว้นิ่งๆ ไม่ให้ขยับไปไหน มือใหญ่ของชายผู้มีเรือนผมสีขาวเชยคางหญิงสาวขึ้น และจุมพิตเธอ หญิงสาวกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะสงบลง ดวงตาของมายุยังลืมตาอยู่ แต่ร่างของเธอนิ่งไม่ไหวติง
“เจ้าทำให้ข้าตกใจเลย รู้ไหม?
เจ้าช่างใจกล้าเสียจริง!!”คุโระเฮียวหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานกับภาพตรงหน้า พร้อมกับตบเข่าตัวเอง และกล่าวต่อ
“ถ้าไดกิรู้ว่าเจ้าจุมพิตนางเช่นนี้ เจ้านั่นคงเคืองเจ้าตายแน่”เขาหัวเราะกลิ้งเสียจนปาดน้ำตา
“ขอรับ พิษของข้า ทำให้นางเป็นอัมพาตชั่วขณะ ข้าจะให้น้องสาวข้าจำศีลเสียและใช้จิตของนาง ควบคุมมนุษย์นี้ จะไม่มีใครจับได้อย่างแน่นอนขอรับ”
“ดีมาก…”ชายผู้อยู่บนบัลลังค์กล่าวชม และดูพิธีกรรมเบื้องหน้าอย่างสนุกสนานต่อไป ก่อนจะยกมือขึ้นห้ามการกระทำ
“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าไดกิจะให้นางเข้าไป”
“ถ้าท่านต้องการ งั้นข้าจะทำให้นางอยู่ในสภาพที่น่าสงสารที่สุด แต่ยังครบสามสิบสอง เพราะนางจะต้องฆ่าไดกิเสีย”
ฆ..ฆ่าท่านไดกิ ไม่นะ…ทำยังไงดี ขยับตัวไม่ได้เลย อย่าทำแบบสิ ตายแน่ฉันๆ คราวนี้โดนจับได้ ฉันตายแน่นอน!!
“ได้สิ…”ดวงตาสีเหลืองอร่ามจ้องมาที่เธอเหมือนมายุเป็นเพียงสิ่งของ
“ขอรับ”
ท่ามกลางป่าเขาที่สงบสุขในยามเช้านั้น เสียงเจื้อยแจ้วของร่างบางได้ดังขึ้น ที่กลางหุบเขา มายุในร่างที่เขียวช้ำไปทั้งตัวเดินวิ่งอยู่กลางป่าเขาด้วยสีหน้าที่แตกตื่น พร้อมด้วยชุดสูทของเธอที่สวมเมื่อวันก่อน และฝ่าเท้าเล็กเปลือยเปล่าไร้รองเท้านั้นทำให้เท้าของเธอเต็มไปด้วยแผลแต่ก็กลับดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก มายุไม่รู้ว่าตนเองวิ่งมานานเท่าใดแล้ว รู้แค่ว่าระหว่างที่ปิศาจงูกำลังพาตัวเธอมาที่นี่ เธอได้แอบหนีออกมาก่อนเสียแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลมองไปรอบๆ เพราะหลงทิศ แต่เธอเชื่อในความรู้สึกของตนว่าหากวิ่งต่อไปในทางทิศเบื้องหน้า เธอจะได้พบไดกิแน่นอน มายุวิ่งไปตามทางสลับกับหันไปมองด้านหลังว่ามีผู้ใดคอยแอบติดตามเธอมาหรือไม่อย่างหวาดกลัว
“ท่านไดกิคะ!! ท่านไดกิ!! ช่วยดิฉันด้วยค่ะ!!!”เธอตะโกนเรียกอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนจะล้มลงที่พื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“ท่าน..ไดกิ ช่วยด้วยค่ะ!!”เพียงไม่นานนัก ร่างของชายหนุ่มได้ปรากฏตัวขึ้นใบหน้าของเขายังคงอ่อนเยาว์เช่นเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากสองปีก่อน พร้อมกับอากาเนะ
“ท..ท่านมายุ ทำไมกันเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้น!!?”อากาเนะรีบประคองเธอ ส่วนชายหนุ่มเองก็มีสีหน้าตกใจกับร่างของอีกฝ่ายที่ช้ำไปทั้วตัว และรอยช้ำนั้นเริ่มเป็นสีม่วงแล้ว
“มายุ…”ดวงตาเรียวสีดำของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแทนอีกฝ่าย มือใหญ่ค่อยประคองร่างบางแนบอกก่อนจะพาบินขึ้นฟ้าไปโดยไม่ได้กล่าวอะไรอยู่สักพักใหญ่
"เจ้ากลับมาที่นี่เพื่อให้ข้าช่วยเจ้าน่ะรึ ใจร้ายเสียจริง ถ้าเจ้าปลอดภัยดีคงไม่มาพบข้าล่ะสิ"เขากล่าวออกมาโดยไม่มองหญิงสาว
"แต่ตอนนี้ดิฉันคิดถึงท่านไดกิแล้วจึงกลับมาค่ะ แต่โชคร้ายที่ถูกคุโระเฮะบิและคิโยะฮิเมะทำร้ายเสียก่อน"ชายหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่าย แต่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก ไม่นานนักจึงกลับมาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่
เขาค่อยวางเธอไว้บนที่นอนที่มายุแสนคุ้นเคย แต่เธอกลับทำตัวไม่ค่อยถูกนัก
“เจ้ากลับมา”มือใหญ่ลูบศีรษะของเธอเหมือนจะปลอบประโลม ก่อนจะถอนหายใจออกอย่างลำบากใจนัก
ใบหน้าของหญิงสาวยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นนานเหลือเกิน
“อากาเนะ ข้าต้องขอรบกวนให้พวกการาสุเทนกุอาวุโส ทำงานเอกสารแทนข้าเสียหน่อย และฝากนำยามาให้ด้วย ข้าจะดูแลนางเอง”ดวงตาเรียวสีดำจ้องมองมายุ หญิงสาวเพียงยิ้มกริ่มเท่านั้น
“มายุ…
ข้านึกว่าเจ้าไม่กลับมาแล้ว ต่อไปนี้ห้ามไปไหนอีก”เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น ผิดจากไดกิที่เธอเคยรู้จักไปสิ้นเชิง จนหญิงสาวรู้สึกเขินอายยิ่งนัก
"แล้วเจ้าเจ็บปวดอะไรหรือไม่"เขาถามขึ้นในทันที
"อ...อ๋อ เจ็บมากเลยค่ะท่านไดกิ พวกนั้นพยายามจะฆ่าดิฉันค่ะ"มายุรีบแสดงท่าทางเจ็บปวดออกมาอย่างแสนสาหัส ไดกิเงียบลงเมื่อเห็นดังนั้น
ไม่นานนักอากาเนะได้นำยามาให้ เสียงประตูเลื่อนดังขึ้น พร้อมกับยาชุดหนึ่งที่หญิงผู้สวมชุดเฮอันนั้นจะถือถาดยาสมุนไพรเข้ามาและจะเข้ามารักษามายุ แต่ถูกห้ามไว้
“อากาเนะ ข้าทำเอง…
เจ้าออกไปได้แล้ว”
“แต่ว่าท่านไดกิ…บาดแผลนางมีอยู่เต็มตัวขนาดนั้น ให้ข้ารักษานางจะดีกว่านะเจ้าคะ และก็...ท่านไดกิเป็นบุรุษไปจับตัวนาง มันจะดูไม่ดีนะเจ้าคะ”เธออธิบาย
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณอากาเนะ”มายุรีบกล่าวออกมา ดวงตาสีน้ำตาลมองชายหนุ่มอย่างยินดีนัก หญิงรับใช้ถึงกับผงะกับคำตอบ
“หื้มม???”เสียงอากาเนะร้องขึ้นด้วยความตกใจกับคำตอบนั้นนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะพ่ายแพ้แก่คนทั้งสอง อากาเนะจึงออกจากห้องไปในที่สุด
“ทีนี้ข้าคงต้องถอดเสื้อเจ้าล่ะ ข้าต้องทายาให้เจ้า”กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย และจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา
"หรือเจ้าจะถอดเอง?"เขาถามต่อและนั่งกอดอกอยู่เบื้องหน้าเธอ
"ท่านไดกิถอดให้หน่อยค่ะ ดิฉันระบมไปทั่วตัวแล้วค่ะ ไม่มีแรงถอดเสื้อเองหรอกค่ะ"
“…”ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนมือใหญ่จะค่อยทายาให้เธออย่างเบามือไปจนทั่วบริเวณรอยช้ำขนาดใหญ่ และค่อยปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดทีละเม็ด ไม่นานนักเขาก็ทายาให้เธอทั่วทุกส่วน ก่อนจะหยิบเสื้อกิโมโนมาเปลี่ยนให้ หญิงสาวก็ถูกเปลี่ยนชุดเป็นกิโมโนสีขาวผ่อง ลายดอกบ๊วย
อีกฝ่ายบรรจงผูกโอบิสีเข้มให้หญิงสาวและค่อยๆ หย่อนตัวเธอลงนอนบนเตียงอย่างนิ่มนวล
“เจ้าไม่ต้องกลัวนะมายุ เพราะข้าทำให้เจ้าถูกปิศาจพวกนั้นทำร้าย ข้าจะรับผิดชอบชีวิตของเจ้าเองดีไหม?”
“ขอบคุณท่านไดกิมากเลยค่ะ”เธอยิ้มออกมา ก่อนร่างของชายหนุ่มนั้นจะเดินออกไปนอกห้องและปิดประตูเสีย มายุลืมตาขึ้นมาก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“ท่านไดกิ…ข้ารักท่านไดกิมากๆเลย”มายุกล่าวออกมาด้วยความเขินอาย และบิดตัวไปมา ก่อนจะเดินไปนั่งหน้ากระจกมองตนเอง ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“เป็นอย่างไรล่ะ เจ้ามนุษย์
เจ้าช่างโชคดีจริงๆ เขาไม่มองข้าเสียด้วยซ้ำไป ระหว่างนี้ขอข้าใช้ร่างเจ้าเล่นสนุกกับเขาอีกสักพักก่อนนะ ก่อนที่ข้าจะกำจัดเขาเสีย…ว่าแต่เจ้ารักเขาไหมนะ พอดีว่าข้าไม่ได้ยินเสียงของเจ้าน่ะ ถ้าเจ้าไม่รักเขาก็เสียใจด้วยเพราะข้าคงจะใช้ร่างของเจ้าจนคุ้ม แต่ถ้าเจ้ารักเขาเช่นกัน ก็จงรู้ไว้ซะว่าบทรักที่ข้าจะเล่นกับเขา แท้จริงแล้วไม่ใช่เจ้า คิกคิกคิก”มายุหัวเราะออกมาหน้ากระจกนั้น
พวกปิศาจนี่ดูละครน้ำเน่ากันมากเกินไปไหมนะ ฉันล่ะเหนื่อยใจเหลือเกิน จะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย ออกไปจากร่างฉันได้แล้ว เขาเกลียดมนุษย์จะตายไป และเธอยิ่งทำแบบนี้ด้วย ฉันไม่เหลือความกล้าจะไปมองหน้าท่านไดกิแล้วเนี่ย อ่อยจนน่าเกลียดจริงๆ ท่านไดกิกรุณารู้ตัวสักทีเถอะค่ะ ว่านั่นไม่ใช่ฉัน
กล่าวจบคิโยะฮิเมะก็ลากสังขารไปนอนบนฟูกอีกรอบ ก่อนจะกล่าวพรรณาความรักที่ตนมีต่อไดกิตั้งแต่แรกพบก่อนจะนอนพักจนกระทั่งถึงเวลาตะวันตกดิน ที่เป็นเวลาที่สัตว์นักล่าเริ่มออกหาอาหารโดยเฉพาะงู ดวงตานั้นสาดส่องไปรอบๆห้อง แต่มายุกลับเริ่มรู้สึกเจ็บบาดแผลนัก คงเพราะพิษงูของคุโระเฮะบินั้นเริ่มสลาย เลยทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นกลับมาเสียเธอแทบจะทนไม่ได้ ไม่ว่าจะขยับไปทางไหน จะนั่ง
จะนอน ทุกส่วนก็ระบมไปเสียหมด ร่างของเธอเริ่มลุกขึ้นอย่างช้าๆ และเดินไปแต่งหน้า ทำผม ก่อนจะมัดเกล้าให้สวยงาม ร่างบางจะหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูทของหญิงสาว และเหน็บซ่อนอยู่ในโอบิอีกทีหนึ่ง ก่อนจะลุกเดินออกไปนอกห้อง คิโยะฮิเมะ
เดินตามหาชายหนุ่มทีละห้องๆ รวมถึงเปิดเข้าไปในห้องทำงานที่ดูโล่งขึ้นกว่าที่เธอเคยเห็นมากนัก แต่เขาก็ไม่อยู่ เธอจึงเดินไปเรื่อยๆก่อนจะพบห้องห้องหนึ่งที่มีแสงไฟสาดส่องออกมา
หญิงสาวรีบตรงเข้าไปแอบมองที่ประตู ก่อนจะพบชายหนุ่มกำลังง่วนกับการเขียนงานเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานอีกฟากหนึ่งของห้อง คิโยะฮิเมะรีบตรงเข้าไปในห้องทันที จนมายุยังแอบว่าถึงความไม่มีมารยาทของอีกฝ่ายหนึ่ง
“อาการของเจ้าดีขึ้นหรือยัง”ชายหนุ่มกล่าวขึ้น ก่อนจะรินน้ำชาใส่ถ้วยชาของตน
“ดีขึ้นมากเลยค่ะท่านไดกิ”ร่างนั้นเดินอย่างนวยนาดลงนั่งที่เบาะฝั่งตรงข้ามกับเขา ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเพราะมายุนั้นรู้สึกเจ็บแผลเป็นอย่างมาก
ท่านไดกิอย่าหลงกลนะคะ รู้สึกบ้างสิคะว่าดิฉันไม่ทำเช่นนี้หรอกค่ะ
“ท่านไดกิทำงานน่าเบื่อจริง..”เธอกล่าวขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำงานเอกสารและเขียนพู่กันไปมา เมื่อไดกิได้ยินดังนั้นเขาจึงวางพู่กันลงเสียและมองเธอแทน
“อยากมานั่งข้างๆข้าไหม มายุ”แน่นอนว่าหญิงสาวตอบตกลงทันที และย้ายที่มานั่งข้างกับเขาในทันที คิโยะฮิเมะนั่งเบียดกับชายหนุ่ม เหมือนอยากจะสิงอีกฝ่ายให้จงได้
"ทำไมท่านไดกิถึง ไม่ร่วมมือกับคุโระเฮียวล่ะคะ"เธอถามเขาขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้ามองเธอก่อนจะตอบออกมา
"ข้าไม่สนใจ คุโระเฮียวไม่มีวันชนะเทพได้อยู่แล้ว เหตุใดข้าถึงจะต้องไปเข้าร่วมกับพวกเขาล่ะ"ไดกิตอบเหมือนเดิมทุกที แต่ใบหน้าของหญิงสาวกลับดูผิดหวังนัก สักพักหนึ่งไดกิจึงหันมา
"แต่ว่าถ้าท่านไดกิร่วมมือกับคุโระเฮียวแล้ว หากท่านไดกิชนะ ท่านไดกิจะได้เป็นเทพนะคะ ท่านไดกิไม่สนใจหรอ"เธอถามไถ่อีกรอบ
"เจ้าไม่ต้องมาเซ้าซี้ข้า ใครๆก็อยากเป็นเทพกันทั้งนั้น แต่การชนะสงครามมันไม่ง่ายหรอก"เขาลงมือเขียนงานต่ออย่างไม่สนใจใยดี มายุถอนหายใจออกมา คิโยะฮิเมะเองก็ไม่อยากจะฆ่าไดกินักหรอก เพราะเธอหลงรักเขาเข้าให้แล้ว แต่ถ้าชักจูงอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ เธอก็พร้อมจะลงมืออย่างไม่ลังเล จู่ๆชายหนุ่มหันมากล่าวกับร่างบาง เขากระซิบข้างหูหญิงสาวแกมออกคำสั่ง
“มานั่งบนตักของข้ามา”คำสั่งของอีกฝ่ายนั้นทำให้หญิงชาวมนุษย์นั้นถึงกับหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะนอกจากกจะเขินกับคำพูดของเขาแล้ว เธอเองก็รู้ดีว่าหากเข้าใกล้เขามากกว่านี้ เธอจะต้องทำร้ายไดกิอย่างแน่นอนดวงตาสีน้ำตาลกลมโตมองเขาอย่างดีใจมีหรือที่เธอจะปฏิเสธการเชิญชวนของอีกฝ่าย
ความคิดเห็น