คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ความหลัง ตอนต้น
การาสุเทนกุนับหกชีวิตนั้นหยุดเดินลงกลางป่าเขาที่มีเพียงต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกล้อมลำต้นด้วยเชือกเส้นใหญ่
ชิเมะนาวะ อยู่ทุกต้น อันแสดงให้เห็นว่าพื้นที่โดยรอบนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และป้องกันไม่ให้สิ่งอัปมงคลย่างกรายเข้ามาได้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปในป่าลึก ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น เขาได้ยินเสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล เมื่อเดินอยู่สักพักเสียจนดวงตะวันค่อยโผล่พ้นขอบฟ้า ชายหนุ่มได้เดินมาจนถึงน้ำตกขนาดใหญ่ที่ตกมาจากหน้าผาด้านบน และกลายเป็นลำธารสายใหญ่ ด้านหลังน้ำตกที่ใสประดุจแก้วมณีนั้น มีช่องหินขนาดใหญ่จนเหมือนห้องห้องหนึ่ง ไดกิรับเสื้อผ้าที่พับไว้อย่าเรียบร้อยมา และก้าวย่างไปที่น้ำตกนั้นก่อนจะวางผ้าไว้ที่โขดหินก้อนหนึ่ง ไดกิถอดเสื้อคลุมและยูกาตะของตนออกเสีย ผิวกายสีขาวของเขากระทบกับแสงแดด ร่างกำยำของไดกินั้นเดินลงไปในน้ำจนมิดครึ่งตัวและผ่านม่านน้ำตกเข้าไป ชายหนุ่มกวักน้ำขึ้นมาลูบใบหน้าและเสยผมของตนขึ้นไปโดยไม่สะทกสะท้านกับความหนาวเย็น มีเพียงใบหน้าของอีกฝ่ายที่ดูครุ่นคิดตลอดเวลา
เวลาผ่านไปสักพักร่างนั้นจึงเดินกลับออกมาและสวมเสื้อผ้าคาริกินุสีเงินอย่างทะมัดทะแมง ไม่นานนักชายหนุ่มก็สวมเสื้อผ้าจนเสร็จสิ้น ก่อนจะเสยผมให้เรียบร้อยและหยิบหมวกทรงสูงของขุนนางขึ้นมาสวม เป็นอันเสร็จสิ้น เขาเดินกลับเข้ามาที่ขบวนการาสุเทนกุยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินทางกลับไป แม้ระหว่างทางไดกิจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามใคร แลคิดเพียงว่าหากได้พบกับเหล่าผู้อาวุโสแล้ว ก็จะได้รับคำตอบเสียเอง ทั้งเจ็ดเดินทางกลับตามทางเดินที่ตนผ่านเข้ามา หากแต่ชายหนุ่มนั้นนึกถึงแต่เรื่องเดิมที่เขากังวลมาตลอด และพยายามจะซ่อนความวิตกนั้นให้อยู่ภายในใจเท่านั้นเพราะเขารู้ตัวดีว่าเขายังไม่พร้อมที่จะทำพิธีนี้เท่าใดนัก
ทางด้านหญิงสาวนั้นเธอกลับมาอยู่ที่จังหวัดไอชิอีกครั้งหนึ่ง ร่างบางสวมชุดสูทสีดำกับกางเกงขายาว เดินออกมาจากสถานีตำรวจอย่างมั่นใจหลังจากได้แจ้งความให้ดำเนินคดีกับชายกลุ่มหนึ่งที่ดักทำร้ายเธอ ดวงตาสีน้ำตาลเองคอยสาดส่องไปรอบๆ มองดูว่ามีสิ่งใดที่ผิดปกติหรือไม่ แต่ก็ไม่พบ
เธอจึงถอนหายใจยาวจากความโล่งอก เพราะตอนนี้พวกชายฉกรรจ์คงคิดว่าเธอตายไปแล้ว แต่อีกไม่นานนักหรอก และมันคงต้องการตามล่าตัวของเธออีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะนึกถึงบทสนทนากับพนักงานสอบสวนเมื่อครู่นี้
“คุณมายุ คิตะยามะ??”นายตำรวจคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย และมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนจะไม่เชื่อเท่าใดนัก
“ค่ะ ดิฉันจะแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่พยายามจะฆ่าฉันค่ะ”
“ครับ… คุณคิตะยามะ เมื่อประมาณสองเดือนก่อน เมื่อทางเราได้รับแจ้งว่าคุณหายตัวไป ทางเราก็ได้พยายามสืบเสาะหาหลักฐานแล้วครับรวมถึงหลักฐานที่ได้จากกล้องวงจรปิดต่างๆ ที่พอจะทราบตัวผู้กระทำความผิดแล้ว และได้กระทำการตามขั้นตอนแล้ว สุดท้ายเนื่องจากความผิดดังกล่าวนั้นเป็นความผิดต่อแผ่นดิน ทางเราจึงได้ส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการเพื่อสั่งฟ้องต่อศาลแล้วครับ
“ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมสินะ”เธอพึมพำกับตนเอง
“หากมีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมสามารถส่งมอบที่ผมเลยได้นะครับ”ตำรวจหนุ่มนั่งกดคอมพิวเตอร์เพื่อใส่ข้อมูลโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอ…..
นั่นก็เลยเป็นเหตุที่มายุต้องออกมาเพื่อไปพบยื่นคำร้องต่อศาล ไหนจะต้องให้ข้อมูลเพิ่มอีก และมอบพยานหลักฐานในชั้นศาลเสียอีก เมื่อคิดแล้ว ก็พบว่ามันช่างยุ่งยากเสียเหลือเกิน หญิงสาวมองดูนาฬิกาข้อมือของตน ที่บ่งบอกถึงเวลาเช้าอยู่นั้น จึงตัดสินใจรีบเดินทางต่อในทันที หญิงสาวที่ไม่รู้ทางจึงต้องกลั้นใจยอมเรียกรถแท็กซี่ไปที่ศาลเขตนาโกย่า ในราคาที่แพงแสนแพง ร่างบางนั่งมองไปนอกรถไปเรื่อยๆ ภาพภายนอกช่างหน้าสนใจยิ่งนัก เรียกได้ว่าเธอมิเคยเข้ามาในตัวเมืองเลย แต่ภายในใจก็แอบนึกเรื่องอื่น และชวนสงสัยว่าเมื่อวานเธอถูกอีกฝ่ายปฏิเสธใช่หรือไม่ เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดด้วยความคะนองปาก แต่อีกมุมหนึ่งเขาคงไม่ได้ใส่ใจเธอขนาดนั้น มายุผลุบสายตาของตนลงและมองใบเมเปิ้ลสีแดงในมือของเธอ ไปตลอดทาง
จนกระทั่ง คนขับจอดรถอย่างนิ่มนวล
“ถึงที่หมายแล้วครับ”
“อ๋อ...ค่ะ”เธอรีบจ่ายเงินไป และลงจากรถ
แต่ก็อดไม่ได้ที่รู้สึกเสียดายเงินยิ่งนักเพราะความไม่รู้ทางของเธอ หญิงสาวเห็นยอดปราสาทนาโกย่าอยู่ไกลลิบๆ ดูสวยงามเหลือเกิน จากนั้นจึงละสายตาและมองเข้าไปในตึกอาคารขนาดใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม เธอสูดหายใจลึก เพราะหลังจากนี้เธอต้องระวังตัวให้มากยิ่งขึ้น เธอจะตายไม่ได้ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาเด็ดขาด ก่อนจะเดินเข้าไปในศาล เพียงไม่กี่นาทีนัก หญิงสาวก็เขียนคำร้องจนเสร็จสิ้น ซึ่งมิใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องกระดาษเบื้องหน้าและตรวจทานอย่างดีก่อนจะยื่นให้พนักงานศาล
เท่านี้ก็เพียงแค่รอแล้วก็มาตามนัดสินะ…
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดินกลับไปที่คฤหาสน์ของตนนั้น ฉับพลัน
ทั้งหมดก็รู้สึกถึงผู้บุกรุกที่เข้ามาในอาณาเขตของเขา และกำลังตรงมายังที่ที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว ไดกิยกมือห้ามการาสุเทนกุตนอื่นในขบวนของเขา และรู้ว่าอีกไม่นานนักเหล่าการาสุตนอื่นต้องรีบมาที่นี่อย่างแน่นอน ร่างกำยำจ้องมองไปที่พื้นที่ป่าเบื้องหน้าที่เงียบสงัด
“ใครกันมากวนเวลาพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้?”การาสุเทนกุตนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ช่างเขา เขาเข้ามาเพียงคนเดียวเท่านั้น คงมิได้มาหาเรื่องหรอก”เขากล่าวขึ้น ไม่นานนักหญิงสาวตัวสูงเรียว กับใบหน้าที่ขาวซีด ดวงตาสีเขียวมรกต และริมฝีปากสีแดงสดประดุจโลหิต กับกิโมโนสีดำขลับประดุจความมืดของท้องฟ้ายามรัตติกาล แต่เบื้องล่างของนางกลับเป็นงู เธอเลื้อยเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชะงักไปชั่วครู่
“เจ้าเป็นใคร มาที่นี่เพราะเหตุใด?”ไดกิถามอีกฝ่าย
“ข้าคือคิโยะฮิเมะ ส่วนท่านคงเป็นท่านไดกิสินะเจ้าคะ”หญิงสาวแลบลิ้นยาวสองแฉกออกมา จนการาสุเทนกุถึงกับผงะเล็กน้อยกับพฤติกรรมที่ไม่น่าพึงประสงค์ดังกล่าว
“ถูกต้อง”เมื่อเขากล่าว อีกฝ่ายก็มีสายตาที่เป็นประกายประดุจพบเจอสิ่งที่เธอต้องการ
“คุโระเฮะบินั้นเป็นพี่ของข้า ข้าถูกท่านคุโระเฮียวส่งมาให้ถามท่านไดกิว่าอีกไม่นานสงครามจะเกิดขึ้น หากท่านร่วมมือกับพวกข้า และพวกข้าชนะในสงครามนี้ ท่านไดกิจะได้รับการแต่งตั้งให้มีฐานะเสมือนกับเทพองค์หนึ่งเลยนะเจ้าคะ รวมถึงเหล่าการาสุเทนกุด้วย…”ไดกิแทรกขึ้น
“ข้าเคยตอบไปแล้วว่าไม่สนใจ”เขากล่าวและกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ”คิโยะฮิเมะจะเลื้อยเข้ามาหา แต่ถูกการาสุเทนกุตนหนึ่งเดินเข้ามาขวางไว้ ดวงตาสีมรกตมองจิกที่อีกฝ่ายหนึ่ง ที่มาขัดขวางงานของเธอ
“ท่านไดกิจะไม่ เปลี่ยนใจเลยหรือเจ้าคะ?”
“ไม่…แม้ข้าเองจะอยากเป็นเทพก็เถอะ แต่ดูยังไงพวกเจ้าก็ไม่ชนะเหล่าเทพหรอก เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องช่วยพวกเจ้า…”
“แต่ว่า…”คิโยะฮิเมะกำลังจะกล่าวขึ้น แต่ไดกิยกมือให้อีกฝ่ายหยุด
“ตอนนี้ข้าไม่ว่าง ข้ามีงานต้องทำ จะให้พวกเขามานั่งรอข้าคนเดียวไม่ได้”เขาปฎิเสธ
พูดจบแล้ว ทาโร่กับคาบูโตะก็มาพบพอดี
“คาบูโตะ ทาโร่
พานางออกไปเสีย”ไดกิสั่ง
“ขอรับ”ทั้งสองตอบกันอย่างพร้อมเพรียงกัน และเข้าไปกันหญิงในชุดกิโมโนสีดำ ออกไป
แม้เธอจะมีสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ถูกพาออกไปในที่สุด ขบวนดังกล่าวจึงค่อยเคลื่อนที่ต่อไป ชายหนุ่มนั้นเดินอย่างสำรวมจนในที่สุดเขาก็เดินไปถึงคฤหาสน์ในเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เมื่อนั้นเขาก็ถึงเวลาที่ต้องนั่งภาวนาต่อหน้าการาสุเทนกุทั้งเก้า ชายหนุ่มนั่งลงบนเบาะที่ตั้งกลางห้อง อย่างสำรวมก่อนหลับตาลงและเริ่มทำสมาธิ ทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบสงัด และชายหนุ่มต้องนั่งอยู่นิ่งๆจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน เขาไม่สบายใจนิดหน่อยนักซึ่งเป็นส่วนสำคัญในพิธีที่เขาพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดหลายร้อยปี
ถึงเวลาที่เสียไปกับการนั่งสมาธินักเมื่อนึกถึงกองงานในห้องที่มีอยู่ท่วมศีรษะเขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ เป็นเรื่องราวที่เขาพยายามจะลืมไปให้ได้ จนต้องยอมทำงานอย่างหนักเพื่อไม่ให้มีเวลาคำนึงถึงเรื่องนั้น และในความมืดนั้นหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ดูเหมือนเด็กอายุสิบห้าปีนั้นสวมชุดนักพรตภูเขากำลังหยิบกิ่งไม้มาต่อสู้กับเหล่าการาสุเทนกุที่ขนาดตัวพอๆกับเขา อย่างสนุกสนาน ไม่ไกลนักชายผู้หนึ่งผู้มีปีกสีดำขนาดใหญ่ แลใบหน้าคล้ายกับไดกิ แต่เขามีหนวดเคราที่บ่งบอกถึงอายุกำลังนั่งห้อยขาอยู่ที่ระเบียง ข้างๆเขามีหญิงนางหนึ่งที่สวมชุดกิโมโนเรียบร้อย ผมยาวสีดำขลับของเธอยาวถึงกลางหลัง และกำลังนั่งพิงชายผู้นั้น ก่อนเขาจะมองที่เด็กหนุ่มอย่างมีความสุข
“เจ้าอยากได้ดาบรึ? ไดกิ”เขาถามขึ้น ไดกิคุกเข่าลง
“หาได้ไม่ขอรับ ดาบนั่นมีไว้ให้ไดเทนกุเท่านั้นขอรับ”ชายผู้นั้นยิ้มออกมา เมื่อได้ยินคำตอบ
“แล้วเจ้าไม่ใช่ไดเทนกุรึ? ยังไงสักวัน
เมื่อเวลามาถึง ดาบของข้าจะต้องตกทอดสู่เจ้าอยู่ดี”ปิศาจหนุ่มคำนับก่อนจะตอบกลับมา
“ข้าอยากให้ท่านพ่อเป็นผู้นำไปนานๆขอรับ ข้ามิได้ต้องการดาบแต่อย่างใดหรอกขอรับ”
“เจ้านี่มันก็โตพอตัวแล้ว เจ้าจะต้องเตรียมใจเสีย หากวันใดที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ต้องปกครองและดูแลเจ้าพวกการาสุเทนกุให้จงได้”
“ขอรับ”ยังไม่ทันที่ใครจะได้กล่าวสิ่งใดต่อ การาสุเทนกุสาวผู้เดินนวยนาดเข้ามาด้วยชุดกิโมโน ก่อนจะลงมาคุกเข่าและคำนับอีกฝ่ายหนึ่ง
“ท่านไดอิจิเจ้าคะ ซามูไรผู้นั้นได้เดินทางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”อายุมุกล่าวออกมาแล้วค้อมตัวอย่างสุภาพ
“ขอบใจเจ้ามาก อายุมุ
ส่วนเจ้าไดกิก็มากับข้าเสียด้วยสิ...”ไดอิจิกวักมือเรียกบุตรชายของตน
“ขอรับ”เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนและรีบตามไดเทนกุที่คอยเดินประคองหญิงที่ตนรักไปตามทางเดินอย่างช้าๆ เด็กน้อยเองก็เข้าไปช่วยประคองอีกข้างหนึ่งเช่นกัน ก่อนจะหันไปกล่าวลาเพื่อนเล่นของตน
“พี่อากาเนะ พี่คาบูโตะ
ทาโร่ เดี๋ยวข้ากลับมาทีหลังนะ”
“ได้ๆ”อากาเนะในร่างของการาสุเทนกุกล่าวขึ้น ก่อนทั้งสามจะหันไปวิ่งไล่กันเองต่อไป ส่วนไดอิจินั้นประคองหญิงชาวมนุษย์มาที่ห้องโถง และประคองนางให้นั่งอยู่บนบัลลังค์ที่มีความสูงต่ำกว่าบัลลังค์ด้านซ้ายของเธอนิดหน่อย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”ร่างที่ผอมแห้งขอบคุณอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนไดอิจิจะขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์เสีย ส่วนไดกิเดินไปนั่งที่พื้นด้านซ้ายสุด เขานึกแปลกใจว่าเหตุใดคราวนี้เขาจึงถูกเรียกให้มาพบกับซามูไรท่านนี้ด้วย ไม่นานนัก
การาสุเทนกุได้พาชายในวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมชุดกิโมโนอย่างสง่างามเข้ามา และเบื้องหลังของชายผู้นั้นก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเรียบร้อย เดินตามเข้ามาด้วย แม้ว่าเธอจะดูประหลาดใจกับเทนกุและการาสุเทนกุนั้นแต่ก็ยังไม่แสดงอาการใดที่ดูเสียมารยาทออกมา
“ข้าขอสักการะ ท่านเทพแห่งภูเขาและพงไพร”ชายผู้นั้นคำนับอย่างนอบน้อมที่สุด
“เหตุใดวันนี้เจ้าจึงมาที่นี่เสียล่ะ?”ไดอิจิถามไถ่ขึ้น
“ข้าจะมากราบขอบคุณท่าน ที่มอบพลัง
ให้แก่ข้าขอรับ ตอนนี้สงครามเกมเปย์ ได้จบลงแล้ว
และท่านมินาโมโตะ โยชิสึเนะได้รับชัยชนะแล้ว ข้าที่เป็นเพียงซามูไรปลายแถว มิได้มีทรัพย์สินมากมายใดๆที่จะตอบแทนท่าน ข้าจึงอยากจะยกลูกสาวของข้า ที่มีนามว่ามิวะให้ท่านขอรับ”ชายผู้นั้นกวักมือเรียกเด็กหญิงนามมิวะ ให้คลานเข้ามาหาเขา ก่อนเธอจะคำนับเสีย
“บุตรีของท่านช่างแสนรู้เสียจริงเจ้าค่ะ”ยูมิโกะเอ่ยปากชม
“ขอบคุณเจ้ามาก แต่ข้านั้นมีเมียแล้ว และคิดจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ข้าจะหมั้นหมายให้นางแต่งกับไดกิ บุตรชายของข้าเสีย เมื่อนางอายุสิบเก้าปี”
“ขอรับท่านพ่อ”เด็กหนุ่มคำนับอย่างนอบน้อม และมองเด็กสาวเบื้องหน้า
“ขอรับท่านไดกิ ส่วนเจ้า
มิวะ เจ้าต้องอยู่ที่นี่ คอยดูแลท่านทั้งหลายด้วยนะ อย่าให้เป็นที่หม่นหมองของตระกูล”เขาออกปากสั่งบุตรีของตนเอง
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”เสียงเล็กนั้นตอบกลับมา
“ถ้าเช่นนั้น ข้ามิอาจรบกวนท่านขอรับ ข้าจักต้องลาก่อน”ซามูไรผู้นั้นคำนับและออกไปจากห้องโถงเสีย เหลือเพียงมิวะที่มองอีกฝ่ายออกไป อย่างตาละห้อยและกำลังจะร้องไห้ออกมา
“เด็กน้อยมาหาข้ามา ไม่โศกเศร้าไปหนา ข้าจะดูแลเจ้าเฉกเช่นมารดาของเจ้าเอง”มารดาของไดกิเรียกเธอเข้าไปหา เด็กหญิงเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย และคำนับอีกฝ่ายหนึ่ง มือเรียวค่อยๆเอื้อมมาลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู
“ในที่นี้มีข้ากับเจ้าเป็นมนุษย์เท่านั้น หากเจ้ากลัวสิ่งใดก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“เจ้าค่ะ”เด็กหญิงคำนับ สักพักไดอิจิจึงกล่าวขึ้น
“ไดกิ เจ้าพานางไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย แต่อย่าไปไกลนัก และจะเล่นอะไรก็ระมัดระวังเสียหน่อยเพราะนางเป็นมนุษย์และยังเด็กนัก”
“ข…ขอรับ”เขากล่าวด้วยความไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยพบเจอเด็กผู้หญิงที่เป็นมนุษย์มาก่อน แต่ก็ลุกขึ้น และเดินเข้าไปหา จากนั้นจึงต้องลงนั่งคุกเข่าคุยกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่าเก้ๆกังๆ
“เจ้า….มิวะ มากับข้าเสีย ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่น”เขายื่นมือมาให้ ส่วนเด็กน้อยก็ค่อยๆเอื้อมมือมาจับอย่างลังเล
“มิวะ ต่อไปเจ้าเรียกไดกิว่าท่านพี่นะ”ไดอิจิกล่าวขึ้น
“เจ้าค่ะ”เมื่อกล่าวจบเด็กหนุ่มก็ค่อยๆเดินพานางออกไปเสียข้างนอก ตามทางเดิน
มือของเขาจับอีกฝ่ายไว้อย่างเบามือเสียยิ่งกว่าจับแก้ว
“เจ้าอายุเท่าไหร่รึ?”เขาถาม
“หกขวบเจ้าค่ะ”
“หกขวบ?...เอตอนนั้นข้าน่าจะเด็กกว่าเจ้าอีกนะ”เขาพึมพำกับตนเอง เพราะปิศาจอย่างเขานั้นเจริญเติบโตช้ากว่ามนุษย์เป็นไหนๆ เมื่อคิดไปเรื่อยๆก็ยิ่งสับสน ไดกิจึงเลิกคิดเสียจนกระทั่งการาสุเทนกุทั้งสามที่วิ่งอยู่ตามระเบียงและมาพบเข้าพอดี ทั้งสามถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะไม่เคยพบเด็กหญิงมาก่อน
“นั่นลิงรึ?”ทาโร่กล่าวขึ้น จนถูกอากาเนะตบหัวเข้าอย่างจัง
“นั่นมนุษย์ย่ะ แกนี้มันทึ่มจริง”อากาเนะแผดเสียงใส่ จนไดกิต้องเอามือปิดหูมิวะไม่ให้เธอได้ยินคำพูดที่ไม่สุภาพนัก
“แล้วนางมาทำไม?”คาบูโตะถามขึ้น
“เอ่อ…ก็นางเป็นคู่หมายของข้า”ปิศาจเทนกุอธิบาย
“คู่หมาย?”อากาเนะกล่าวขึ้น และรีบหันไปหาสหายทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง
“คืออะไรหรอ?”คาบูโตะที่ได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจออกมา
“นางจะมาเป็นเจ้าสาวของไดกิอย่างไรล่ะ”เขาอธิบาย
ทำให้อีกสองคนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“น..นี่ใครหรือเจ้าคะ ท่านพี่”เด็กหญิงถามขึ้น
“อ๋อ…นี่สหายของข้าเอง มีพี่คาบูโตะ ทาโร่ และพี่อากาเนะ”ไดกิอธิบายให้ฟัง
“พี่คาบูโตะ พี่ทาโร่
พี่อากาเนะ”เธอชี้นิ้วและเรียกอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนต่างยิ้มออกมาเพราะความน่ารักของอีกฝ่าย ไม่นานนักมิวะก็สนิทกับทุกคน และเธอก็ยังพยายามช่วยงานบ้านงานครัวต่างๆจนทุกคนก็อดเอ็นดูไม่ได้ เด็กที่ร้องไห้ในวันแรกที่มาถึงที่นี่ก็ไม่มีแล้ว มีเพียงเด็กหญิงที่มีความสุขคนหนึ่ง ทว่าภาพนั้นกลับมืดมิดลงไปอีกครั้งหนึ่ง ไดกิที่นั่งสมาธิกลับรู้สึกกระสับกระส่ายเสียจนเหงื่อตกก่อนภาพเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ข้าไม่อยากนึกถึงนางอีกแล้ว…
ภาพเบื้องหน้าของเขาปรากฏขึ้นที่ศาลเจ้ามิยะที่พลุกพล่านไปด้วยคนมากมายด้วยงานพิธีเต้นรำบุกาคุชินจิ ทุกคนต่างสวมเสื้อผ้าในสมันเฮอัน ไดกิในตอนนั้นแปลงกายเป็นมนุษย์เสียและเดินจับมือเด็กสาวแน่น ดวงตาสีดำขลับต่างสบตากัน ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ส่วนมิวะที่เติบโตกันจนเป็นหญิงสาวที่สวยงามจนทุกคนต้องเหลียวมอง เพียงหลบตาเขาไปทางอื่นเท่านั้น
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพ่อท่านแม่จะว่าท่านพี่นะเจ้าคะ หนีออกมาแบบนี้”มิวะกล่าวขึ้นตอนนี้เธอโตขึ้นเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่นแล้ว
“ข้าอยากมาเที่ยวกับเจ้าบ้าง มิวะ
ข้ารู้ว่าข้าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไรดี เจ้าอย่ากังวลไป”เขายิ้มระรื่นอย่างมีความสุข
“เจ้าค่ะ”เธอกล่าวออกมา
“มิวะ…ข้าอยากอยู่ดูการแสดงกับเจ้า”เขาพาเธอเดินไปที่ลานประรำพิธีสีแดง ไม่นานนักการเต้นรำก็เริ่มขึ้นโดยนักบวชและเหล่ามิโกะดูสวยงาม นักบวชสวมชุดสีเขียวมะกอก ส่วนมิโกะสวมชุดสีแดง ด้านหลังของชุดนั้นทำเหมือนปีกและหางของนกดูสวยงาม ทั้งสองยืนดูจนการเต้นรำนั้นจบลง จากนั้นเด็กหนุ่มจึงเดินพาเธอไปตามทางเดินในเมืองไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
มิวะ จ้องมองที่ปิ่นปักผมที่ขายอยู่ตามร้านค้า
“เจ้าอยากได้รึ?”เขาถามขึ้น
“ป…เปล่าเจ้าค่ะ”เธอรีบหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าบอกข้าเถอะ”ไดกิเซ้าซี้อีกฝ่ายหนึ่ง
“ไม่ค่ะ”มิวะส่ายหน้าช้าๆ เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปซื้อปิ่นปักผมอันหนึ่งที่ทำด้วยเงินเป็นลายดอกไม้สวยงามออกมา โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันทักท้วง และเดินกลับมา
“ท…ท่านพี่ไม่ต้องซื้อให้ข้าหรอกเจ้าค่ะ”เธอรีบกล่าว
ก่อนจะถูกอีกฝ่ายพาไปเดินเล่น จนกระทั่งมาถึงที่ริมแม่น้ำ ที่ไม่ค่อยมีใครนัก
“ท…ท่านพี่ ข้าทำให้ท่านพี่ต้องเสียเงิน…”มิวะกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“ข้าซื้อเป็นของแทนใจให้เจ้า มิวะ…ข้ารักเจ้านะ”ดวงเนตรสีดำของนางเบิกกว้าง กับคำพูด
ก่อนจะเงียบลงและก้มหน้าหลบอีกฝ่าย ก่อนเอามือเรียวขึ้นมาปิดปากที่อวบอิ่มของเธอ
“ค….ค่ะ”อีกฝ่ายตอบเพียงสั้นๆ โดยไม่มองหน้าไดกิเลย ส่วนอีกฝ่ายก็อยากจะฟังความรู้สึกของเธอเช่นกัน
“ข้า…จะกล่าวเช่นนั้นกับท่านไดกิ ในวันแต่งงานเจ้าค่ะ....”มิวะพูดด้วยเสียงอันเบา ใบหน้าของเธอเองแดงแป๊ดเหมือนกับคนเมา ก่อนจะเอามือปิดหน้าด้วยความอาย
“ข้าจะรอฟังคำนั้น…”เด็กหนุ่มกล่าว และยิ้มออกมา
นางไม่ได้รักข้าหรอก… ข้าไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าๆแล้ว นางไปแต่งงานกับคนอื่นที่เหมาะสมมากกว่าข้า เขาเป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับนาง และมียศถาบรรดาศักดิ์ นางไม่ต้องลำบากอะไร ไม่ต้องมาทนอยู่ในป่าเขาแห่งนี้ที่ทุรกันดาร
เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวของเขา แต่ภาพนั้นก็เล่าเรื่องราวต่อไป เพราะบททดสอบทางจิตใจของพิธีกรรม ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ขมขื่นเช่นนี้
“ท่านต้องอดทนและเอาชนะมันให้ได้”เสียงยามะคาวะดังขึ้นเพื่อเตือนสติเขา ก่อนภาพต่างๆจะพรั่งพรูออกมามากมาย
“ท่านเห็นเรื่องนี้ได้ด้วยใจจริง อย่าใช้อคติ…”
เมื่อนั้นภาพในอดีตก็ปรากฏต่อหน้าเขา ณ
ยามค่ำคืนหนึ่งที่แสนเงียบสงัดคฤหาสน์ในป่าใหญ่นั้นมีแสงเทียนสว่างไสว หนุ่มสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินที่คุ้นเคย เขาเกาะกุมมือของหญิงสาวเบื้องหน้าไว้ด้วยความทะนุถนอม แม้ภายในใจเขาจะว้นวุ่นนักแต่ก็พยายามจะกลบเกลื่อน และทำเป็นไม่สนใจนัก เพราะท่านพ่อของเขาได้สั่งให้เขาไปเป็นขุนพล อยู่คอยรับมือเหล่าเทพ ที่จะมารุกรานความสงบสุขของพวกเขาสิ้นเพราะว่าการที่ท่านแม่ที่เป็นมนุษย์มาอยู่ในที่แห่งนี้ เหล่าเทพเองก็ไม่พอใจนักจึงเกิดสงครามกัน ดังนั้นไดกิจึงจำเป็นต้องไปอยู่ที่ค่ายเสีย
“ข้าจะต้องไปแล้ว มิวะ
ฝากเจ้าดูแลท่านแม่ด้วย”ไดกิกังวลเกี่ยวกับท่านแม่ของตนอย่างมากเพราะช่วงนี้เหมือนร่างกายของนางจะทรุดลงเรื่อยๆจนล้มป่วยลงเมื่อวันก่อน และเหล่าเทพเจ้าก็โผล่มาเหมือนรู้จังหวะกันดี
“เจ้าค่ะท่านพี่ ขอให้ท่านพี่ปลอดภัยเจ้าค่ะ”เธอตกปากรับคำอย่างดี
“ท่านพ่อ…”ชายหนุ่มนึกอยากจะเรียกอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วถามไถ่ว่าจะเดินทางเมื่อไหร่ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปถามเหตุเพราะท่านแม่กำลังป่วยอยู่
“เช่นนั้นข้าควรต้องไปแล้ว”เขากล่าวลา
ก่อนจะค่อยปล่อยมือนวลของอีกฝ่ายและบินหายไปในความมืด แต่ทว่าเรื่องคาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจนเวลาเช้า ท่านไดอิจิก็ยังไม่โผล่มา จนการาสุเทนกุต่างเริ่มสงสัย และถามไถ่ถึงคำสั่งของเขา ไดกิยังคงยืนยันว่าจะต้องสู้เพราะท่านไดอิจิได้สั่งลงมา แต่ในใจของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยความกังวลอย่างยิ่ง ไม่นานนัก
ท้องฟ้าก็ทมึนลงด้วยเงา ของการเคลื่อนทัพของจำนวนอีกฝั่งหนึ่งที่มาเต็มท้องฟ้าภาพของกองทัพขนาดมหึมา ที่เตรียมบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ เบื้องหน้านั้นมีเทพมังกรฟ้า อยู่ไกลลิบ
ด้านข้างของเขามีวิหกเพลิง เทพประจำทิศใต้ นามซุซาคุ ที่นำทัพมากดดันผู้ที่เบื้องหน้า ส่วนทางด้านของเขามีการาสุเทนกุจำนวนมากที่ถืออาวุธ เพียงแต่เบื้องหน้านั้นมีเด็กหนุ่มที่ถือดาบขนาดใหญ่อันเกินตัวอยู่เพียงคนเดียว เมื่ออีกฝ่ายเห็นก็โมโหขึ้นมา
“อะไรของพวกเจ้า ดูถูกพวกข้าถึงเพียงนี้เลยรึ!! เด็กน้อยเจ้าหลีกทางไปเสีย ข้าไม่อยากทำเจ้าร้องไห้”เซริวกล่าวขึ้นด้วยความเย้ยหยัน
“ไม่!!!
ข้ามาที่นี่ เพราะข้ามีหน้าที่เป็นขุนพล”เขาตอบกลับไป
“เขาส่งลูกตัวเองมาตายชัดๆ”หงส์เพลิงกล่าวขึ้น ยิ่งทำให้ไดกิผงะไปชั่วครู่ เพราะเขาเองแม้จะเรียนการสงครามมา แต่ก็ไม่เคยทำสงครามที่แท้จริง ไดกิรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าของตน แต่จะให้ถอยก็มิอาจถอยไปได้ ยกเว้นท่านไดอิจิจะมาออกคำสั่งเท่านั้น
“เจ้าชื่อไดกิสินะ… ข้ามิไม่ได้มีปัญหากับเจ้า แต่ไดอิจิต้องได้รับโทษ เขาลักพาตัวมิโกะผู้ถูกเลือกให้ถูกบูชายัญ แก่เทพแห่งความสมดุล นามว่าโอริว จนกระทั่งทำให้ชาวบ้านล้มตายจากความแห้งแล้งเป็นจำนวนมาก และการกระทำของพ่อเจ้ายังเป็นการหยามเกียรติของเทพอย่างไม่น่าให้อภัย”หงส์เพลิงกล่าว
“เจ้าเด็กนั่นไม่ฟังหรอก”เซริวกล่าวขึ้นและมองเหยียดอีกฝ่ายหนึ่ง
“แค่เอามาถ่วงเวลารึ? งั้นลองไว้ชีวิตเขาก่อน…เซริว เจ้าไปเสีย”ทั้งสองพยักหน้า ก่อนเซริวจะพุ่งตรงเข้ามาข้าไดกิ เด็กหนุ่มเองก็เข้าไปฟาดฟันอีกฝ่ายด้วยดาบ แต่เซริวหลบได้ และเป็นฝ่ายไล่เขา แทน
ไดกิฟาดฟันดาบในอากาศ ก่อให้เกิดลมพายุลูกใหญ่ พัดเข้าหาอีกฝ่าย เพียงเซริวคำราม ลมนั้นก็หายไป แต่ไดกิยังตรงเข้าไปต่อสู้อยู่ ดาบที่กระทบกับเกร็ดสีเงินนั้น ทำให้เพียงเกล็ดบางส่วนหลุดออกมา
“เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย!!”เทพมังกรฟ้าคำรามด้วยความโกรธ และแผ่รัศมีไปรอบๆ จนเหล่าการาสุเทนกุกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ส่วนชายหนุ่มยังทนแรงกระแทกไว้ได้ แต่ก็บาดเจ็บไม่น้อย เมื่อนั้นร่างของมังกรฟ้าก็พุ่งเข้าหาเขาโดยตรง ปิศาจเทนกุที่พยายามฝืนแรงและเรียกลมเข้าปะทะนั้น กลับฝืนแรงเทพเซริวได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่หลังจากที่ดึงดันกันอยู่นานนัก เทพก็เป็นฝ่ายชนะ เขาพุ่งชนไดกิจนร่างนั้นตกลงไปกระแทกพื้นเสียฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วจนมองไม่เห็น วิหกเพลิงซุซาคุกลายร่างเป็นหญิงสาวสวมกิโมสีแดงสดรีบเดินไปดูผล เมื่อควันจากหายไป ก็พบเซริวในร่างมนุษย์ใช้เท้าเหยียบอีกฝ่ายเพื่อกดเขาลงกับพื้นเพื่อไม่ให้ลุกขึ้นมาได้
“ทำได้ดีมาก เซริว”ซุซาคุกล่าว เทพมังกรฟ้าจึง คว้าคอเสื้อเด็กหนุ่มก่อนจะลากไปตามทางจนไม่เหลือสภาพที่ดูเย่อหยิ่งก่อนหน้า จนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปหมด
“ข้าจับขุนพลพวกเจ้าแล้ว
แม่ทัพพวกเจ้าก็ยังไม่มาประจำตำแหน่ง เลิกสู้กันก่อนเสีย
คิดว่าพวกเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกันอยู่ถึงดูถูกข้าเพียงนี้!!!”เสียงที่น่าเกรงขามดังก้องไปทั่วบริเวณ จนการต่อสู้หยุดลง
“ถ้าพวกเจ้าขัดขืนข้าจะฆ่าเจ้าเด็กอวดดีนี่เสีย”เซริวกล่าวขึ้น ทำให้เหล่าการาสุเทนกุต้องลดอาวุธลงในทันที ส่วนไดกินั้นมีบาดแผลเต็มตัว แม้จะไม่เจ็บมากนัก แต่เขากับจุกเสียไม่สามารถขยับตัวได้ ร่างนั้นถูกลากเป็นทางยาวมา จนกระทั่งเทพทั้งสองมาถึงคฤหาสน์ และค่อยโยนเขาลงที่พื้นอย่างไม่ใยดี ร่างนั้นค่อยๆลุกขึ้นมาช้าๆ พอๆกับการาสุเทนกุตนอื่นๆ ในคฤหาสน์นั้นวิ่งมาพร้อมอาวุธ
“ข้าต้องการคุยกับไดอิจิ เจ้าจงนำไปเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ซะ”เด็กหนุ่มยกมือขึ้นห้ามการาสุเทนกุไว้ และพยายามเดินไปที่ห้องๆหนึ่ง เขาเองก็ต้องการคำตอบเช่นกันว่าทำไมท่านพ่อของตนไม่ไปที่ค่าย ที่อายุมุนั่งเฝ้าหน้าห้องด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นไดกิกับเทพทั้งสองเดินมา ก็ลุกขึ้นมาขวางไว้
“ท...ท่านไดกิเจ้าคะ ตอนนี้ไม่เหมาะเจ้าค่ะ”เธอรีบลุกมาห้าม แต่ปลายดาบคาตานะของเซริวชี้มาที่อีกฝ่ายจนเธอต้องล่าถอย
“เจ้าเปิดประตู...”เซริวกล่าว ก่อนจะนึกสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกถึงพลังของไดอิจิตั้งแต่มาที่นี่แล้ว ไดกิค่อยๆเลื่อนประตูโชวจิ ก่อนจะตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้าในห้องนอนห้องใหญ่ ภาพเบื้องหน้าของเขาคือร่างของมารดาที่นอนสิ้นใจบนฟูกนอน และด้านข้างของเธอนั้นคือไดอิจิที่ทำพิธีเซ็ปปุกุตนเอง ดาบสั้นนั้นยังปักเข้าอยู่ที่หน้าท้องพร้อมกับกองเลือดขนาดใหญ่บนพื้นห้อง เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายของเขานั้นมีแต่แผลที่บอบช้ำจนทั่วแต่ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ นอกจากความรู้สึกเจ็บปวดในอก ที่ราวกับหัวใจของเขาได้แตกสลายไป รวมถึงเทพมังกรฟ้า และวิหกเพลิงที่อยู่เบื้องหลังที่ถึงกับผงะไปตามๆกัน
“อะไรกัน!!”เสียงวิหกเพลิงถามขึ้น
“เจ้าจะสงสัยอะไร ก็แค่รู้อยู่แล้วว่าจะแพ้สงครามนี้ก็เลยชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน”เซริวกล่าวแล้วถึงกับเบือนหน้าหนี ยิ่งเมื่อเห็นไดกิที่กำลังตกตะลึงก็ยิ่งชวนจะทนให้ดูเสียไม่ได้ เพราะความสมเพชและสังเวช
“จ...จริงรึ?”ไดกิค่อยๆกล่าวขึ้นมา เหมือนผู้ที่มิได้สตินัก
“เขาส่งเจ้าออกไปรบคนเดียว เจ้าไม่สงสัยเลยรึ คงหวังให้เจ้าถูกฆ่าตายไปด้วยกระมัง แต่เจ้ากลับรอดมาได้จนมาเห็นภาพนี้”เซริวกอดอกตนเอง
“ไม….ไม่จริง!!”เขานำมือทั้งสองมาปิดหูตนเอง และกรีดร้องออกมา
“เป็นไปไม่ได้!!!!!…”
“ช่างน่าสงสารเสียจริงเด็กน้อย…”วิหกเพลิงกล่าวขึ้น ร่างบางสวมกิโมโนสีแดงนั้นดูเศร้าสร้อย แต่ทว่าอายุมุได้เดินเข้ามาและกล่าวขึ้น
“มิใช่เจ้าค่ะ….เพราะท่านยูมิโกะถูกวางยา ท่านไดอิจิจึงต้องเซ็ปปุกุ ตามคำสาบานที่เคยมอบให้นาง ว่าหากจะตายก็ต้องตายพร้อมกันเจ้าค่ะ”
“ว...ว่าไงนะ?ถ้าเช่นนั้นใครเป็นคนทำ?!!”ไดกิถามขึ้นด้วยความโมโหและเจ็บใจยิ่งนัก
“ข้าพบเศษดอกไม้อะเซะโบะ ในห้องของท่านยูมิโกะ ดอกไม้นั้นเป็นดอกไม้พิษเจ้าค่ะ และคนที่พบนางเป็นคนสุดท้ายคือ มิวะเจ้าค่ะ”คำพูดนั้นทำให้ไดกิถึงกับตกตะลึง ความเจ็บปวดนั้นแล่นเข้ามากลางอกของตน เขาไม่มีทางเชื่อว่ามิวะจะเป็นคนทำอย่างแน่นอน เขาต้องไปตามหามิวะให้เจอจงได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาอยากได้ยินคำตอบจากปากเธอ
ความคิดเห็น