คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : งานวิวาห์
ฤดูกาลเปลี่ยนผันเข้าสู่ยามเหมันต์ ตั้งแต่เช้ามืดที่แสงแห่งเทพีอะมาเทราสึยังไม่สาดแสงส่องขึ้นมาขอบฟ้าดีนัก
ร่างบางยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัวของเธอพร้อมกับการาสุเทนกุคนรับใช้หลายตนรวมถึงอากาเนะที่คอยแต่งตัวให้เธอในชุดเจ้าสาว กิโมโนสีขาว และใช้เวลานับหลายชั่วโมงในการแต่งหน้าและทำผมของเธอ จนเสร็จสมบูรณ์ ใบหน้าของมายุจะถูกแต่งด้วยสีขาว
ทาปากด้วยสีแดง และสวมชิโระมุคุลงบนศีรษะซึ่งเป็นผ้าสีขาว อากาเนะช่วยเธอสวมชุดกิโมโนสีขาวหลายชั้น จนหนักหลายกิโล กิโมโนสีขาวผ่องของเธอปักลายนกกะเรียนดูสวยงามจนมายุได้แต่ยืนเกร็งไปทั้งตัว เพราะไม่นึกฝันว่าเธอจะได้มาเป็นเจ้าสาวแสนสวย
และได้แต่งงานในพิธีแบบชินโต ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากแล้ว
แต่ก่อนนั้นเธอเพียงได้แต่หวังลมๆแล้งเท่านั้นว่าอยากจะได้เข้าพิธีแต่งงานเช่นนี้บ้าง
“ท่านมายุเจ้าคะ ท่านมายุจะนั่งรออยู่ที่ห้องแต่งตัวจนถึงเวลาพิธีแต่งงานไหมเจ้าคะ
หรือว่าจะไปร่วมพิธีฉลองที่ท่านไดกิได้เป็นไดเทนกุด้วยเจ้าคะ? เพราะชุดท่านมายุหนักท่านมากเลยนะเจ้าคะ”อากาเนะถามขึ้น
“ท่านไดกิมีพิธีสำคัญ ดิฉันเองก็ควรจะไปร่วมงานก่อนนะคะ พวกคุณอากาเนะเองก็คงอยากจะไปร่วมพิธีด้วยใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นก็รีบแต่งตัวให้เสร็จและรีบไปร่วมงานจะดีกว่าค่ะ”มายุกล่าวขึ้น ก่อนคนอื่นๆเองก็จะเห็นด้วยกับการณ์นั้น
“ว่าแต่ท่านมายุคะรอยช้ำนี่ ท่านมายุไปโดนอะไรมาหรือคะ”อากาเนะกระซิบถามเธอ
“ไหนคะๆ”เธอพยายามมองหารอยช้ำ
“ที่ต้นแขนเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบดูรอยช้ำบนแขนของเธอก่อนจะทำหน้าไม่ถูก เมื่อเห็นมัน
“ดิฉันเองคงไม่ทันระวังค่ะ”เธอหัวเราะแหะๆ พยายามกลบเกลื่อน
“ท่านมายุต้องระวังนะคะ ผิวของสวยๆของท่านเสียหมด”อากาเนะเตือนเธอ มายุเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นก็ถึงกับถอนหายใจอกมา ท่านไดกินี่ช่างซุกซนเสียจริง เล่นเสียเธอเกือบจะหัวใจวายไปแล้วมายุนึกถึงไดกิที่จู่ๆก็อุ้มเธอไปกลางท้องนภาอันกว้างใหญ่โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวเสียก่อน
เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าปีกของเขาได้หายดีแล้ว อย่างนี้เขาคงต้องโดนเล่นคืนบ้าง เมื่อคิดแล้วมายุก็ยิ้มออกมาที่มุมปากเพราะกำลังนึกถึงเรื่องที่จะแกล้งอีกฝ่ายบ้าง ร่างบางค่อยๆลุกขึ้นด้วยเสื้ออันหนักอึ้งนับหลายกิโล และมองดูตนเองผ่านหน้ากระจกบานใหญ่ มองตัวเองอย่างแปลกประหลาดเพราะเธอไม่เหมือนเธอที่รู้จัก เหมือนคนอื่นมากกว่าจะเป็นตัวเธอ จนเธอต้องนำมือไปสัมผัสกระจกเพื่อพิสูจน์ว่าเงาสะท้อนนั้นยังเป็นเธอหรือไม่ ก่อนจะแบกชุดแต่งงานออกไปจากห้อง เพื่อให้ทันงานฉลองนั้น ทันทีที่ประตูเปิดออกไปมายุก็พบไดกิผู้สวมกิโมโนสีดำขลับกับฮากามะสีเทา เขาสวมเสื้อคลุมสีดำทับอีกทีหนึ่ง และเสยผมสีดำไปด้านหลังอย่างเรียบร้อย ที่ยืนรออยู่หน้าห้องก่อนแล้ว เมื่อเขาเห็นเธอใบหน้าของเขาก็มีสีหน้าที่บอกไม่ถูกในทันทีและรีบหันไปมองทางอื่นโดยที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“เขินหรือคะ?”เธอหยอกอีกฝ่าย
“ใ...ใช่ เจ้าสวยมากมายุ”เขาตอบด้วยเสียงอันเบา แต่ก็ทำให้หญิงสาวเขินอายออกมา
“ท่านไดกิก็หล่อมากๆเลยค่ะ”มายุกล่าวออกมา ก่อนเขาจะจับมือของเธอไว้อย่างนุ่มนวล
“ชุดของเจ้าคงจะหนักสินะ ค่อยๆเดินล่ะ มายุ”เขาจูงมือเธอไปเรื่อยๆ และพาลงไปที่ห้องโถงที่วันนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย นับหลายสิบชีวิต มีเหล่าการาสุเทนกุอาวุโส และตัวแทนจากตระกูลต่างๆนับสิบตระกูล และดูเหมือนจะมีเธอเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น เพียงเข้ามาในงานนี้เธอก็เกร็งแล้ว
“มานั่งข้างๆข้า”ชายหนุ่มพาเธอนั่งลงที่เบาะนั่งเบื้องหน้าสุด มายุถึงกับทำตัวไม่ถูกอะไรๆก็ดูใหม่ไปเสียหมด
“ไม่ต้องกังวลไป มายุ มันเป็นเพียงงานฉลองเท่านั้น แต่เจ้าอย่าดื่มสาเกมากเกินไปล่ะ”เขายิ้มมุมปาก ก่อนสำรับอาหารจะมาตั้งแต่ละชุดเบื้องหน้า และการสนทนาต่างๆก็เริ่มขึ้นโดยไม่ได้เคร่งเครียดมากนัก มายุจึงค่อยสบายใจขึ้นมา จนมายุได้แต่นั่งอยู่เงียบๆเท่านั้นอยู่นาน เธอมีเหลือบมองไดกิบ้างเป็นบางทีที่เขาต้องคอยดื่มสาเกเป็นจำนวนมากประหนึ่งดื่มน้ำเปล่า
แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเมาแต่อย่างใดจนร่างหนึ่งได้กล่าวขึ้น
“ท่านไดกิต้องมีงานแต่งงานอีกนะเจ้าคะ เดี๋ยวจะเมากันพอดีแล้วหลังงานแต่งก็จะมีงานเลี้ยงอีกนะเจ้าคะ”อายุมุกล่าวขึ้นเสียงเบาเพื่อเตือนไดกิ
“ข้าดื่มได้ เจ้าวางใจเถิด”เขากล่าวขึ้น ก่อนจะดื่มฉลองต่อ มายุเพียงหันไปคำนับอายุมุเท่านั้น
“เจ้าก็คอยดูแลท่านไดกิเสียด้วย”อายุมุสั่งและรีบเดินกลับไปนั่งที่ มายุได้เพียงแต่มองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายจะดื่มสาเกได้มากถึงเพียงนี้ หรือแท้จริงมันเป็นน้ำเปล่ากันนะ มายุหยิบขึ้นมาจิบก่อนจะทำหน้าเหยเกเพราะเธอไม่ชอบดื่มสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ท่านมายุขอรับ”การาสุเทนกุตนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลมากนักคำนับเธอ หญิงสาวได้แต่งุนงงเพราะจำอีกฝ่ายไม่ได้ จนกระทั่งเขาต้องกล่าวย้อนความจำสักหน่อย
“ท่านมายุช่วยชีวิตข้าในสนามรบขอรับ ท่านมายุอาจจะจำไม่ได้ แต่ข้าจำได้ดีว่าท่านช่วยชีวิตข้าไว้ และท่านก็ยืมเกราะหมวกของข้าไปด้วยขอรับ ท่านจำได้หรือไม่”มายุจำเขาได้ในทันที
“จำได้แล้ว ท่านปลอดภัยดีใช่ไหมคะ”มายุกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ขอรับ อย่าได้เรียกข้าว่าท่านเลยขอรับ ข้าคือยาคุโมะ เป็นเพียงการาสุเทนกุจากตระกูลสาขาย่อยเท่านั้นขอรับ ข้าอยากจะมาขอบคุณท่านมายุที่ช่วยข้าไว้ในวันนั้น ข้าจะไม่ลืมบุญคุณท่านเลยขอรับ”
“ยาคุโมะหรอ? ดิฉันจะพยายามจำชื่อให้ได้นะคะ ถ้าเจอกันก็ทักทายดิฉันก่อนได้เลยนะคะ”เธอกล่าวขึ้น
“ขอรับ หากท่านมายุได้มีโอกาสแวะเข้าไปในหมู่บ้าน ข้าก็อยากจะชวนให้ท่านแวะไปจิบน้ำชาที่บ้านของข้าขอรับ”กล่าวจบ อายุมุก็จ้องเขม็งมาทางเขา
“มีอะไรรึขอรับท่านน้า”การาสุเทนกุอาวุโสพยักเพยิดให้มองไปทางไดกิ ร่างนั้นจึงหันไปมองก็พบชายหนุ่มที่กำลังดื่มเหล้าสาเกแต่สายตาจ้องเขม็งมาทางเขา จนยาคุโมะต้องรีบนั่งก้มหน้าอย่างสงบเงี่ยม
“ท่านเมาแล้วล่ะ ท่านไดกิ”มายุกล่าวขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของไดกิที่ดูประหลาดนัก
“ข้ายังไม่เมา”เขาวางจอกลงบนโต๊ะขนาดเล็กและเทสาเกใส่
ก่อนจะหยิบขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
“คนที่เมาเขาก็พูดแบบนี้กันหมดแหละค่ะ”มายุกล่าวขึ้น ก่อนจะดื่มสาเกไปทั้งจอกรวดเดียวจนอีกฝ่ายตาลุกวาว
“พอได้แล้วมายุ เดี๋ยวเจ้าก็เมาพอดี”เขารีบกล่าวขึ้น ส่วนมายุที่ดื่มเข้าไปก็ทำหน้าเหยเก
“ไม่อร่อยเลย...”เธอพึมพำออกมา ก่อนมือใหญ่จะกุมมือของเธอไว้ที่เบื้องล่างอย่างแน่นหนา
มายุหันไปมองเขาและยิ้มออกมา
“หึงหรือคะ? อีกไม่กี่ชั่วโมงดิฉันก็แต่งงานกับท่านแล้วนะคะ”เธอกล่าวขึ้นและยิ้มหวานออกมาจนทำให้หัวใจของคนตรงหน้าสั่นระรัว
“หึงสิ…ข้าหึงเจ้าตลอดเวลาที่เจ้าคุยกับคนอื่น”เขากล่าวออกมา ก่อนจะทำเป็นฉลองและดื่มสาเกต่อไปเรื่อยๆ มายุได้แต่มองเขาด้วยความเป็นกังวลเท่านั้นมือเรียวจับมือของเขากลับ
“ท่านไดกิคะพอเถอะค่ะ ให้ดิฉันป้อนอาหารให้ท่านดีกว่า”มายุรีบคีบปลาย่างชิ้นขนาดพอดีคำในจานของเขาขึ้นมา ไดกิที่ดูชะงักไปเสียชั่วครู่ เพราะการาสุเทนกุต่างจ้องมองเขาอยู่ แต่ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาและทานปลาที่มายุคีบไว้ให้ ก่อนจะโอบเธอไว้
“ป้อนข้าอีกสิมายุ ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าดื่มไปมากกว่านี้”มายุเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง แต่ก็ป้อนไดกิอีกรอบ ก่อนเขาจะป้อนเธอบ้าง มายุทานปลาที่ไดกิป้อนใหญ่ ด้วยความขวยเขิน จนเธออยากจะบิดตัวไปมา แต่ด้วยชุดที่หนักอึ้งทำให้เธอทำได้เพียงนั่งเฉยๆเท่านั้น สักพักหญิงสาวที่นั่งนิ่งจนเมื่อยจึงเริ่มอยากจะออกไปด้านนอก
“ท่านไดกิคะ ดิฉันขอออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนนะคะ”
“ชุดของเจ้าหนักจะตายไปจงอยู่ที่นี่ก่อนเถิด”
“ไม่ได้ค่ะ ดิฉันเริ่มเบื่อแล้วค่ะท่านไดกิ”มายุกล่าวขึ้น เมื่อเป็นเหตุผลดังกล่าวชายหนุ่มจึงรั้งเธอไว้ไม่ได้ ปิศาจเทนกุพยักหน้าออกมาแทนการอนุญาต ก่อนหญิงสาวจะลุกออกไปนอกห้อง และพบกับอากาเนะที่นั่งอยู่ด้านนอกห้อง แต่เธอก็ยังพยายามจะเดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ จนหญิงในชุดเฮอันรีบตามมาติดๆ
“ท่านมายุจะไปไหนเจ้าคะ?”
“ดิฉันอยากพักค่ะ สวมชุดนี้แล้วมันเหนื่อยมากเลยค่ะ”
“นั่นสินะคะ เป็นเจ้าสาวแม้จะสวยแต่ก็ต้องอดทนนะเจ้าคะ เช่นนั้นให้ดิฉันช่วยถือชายผ้านะเจ้าคะ”
“ขอบคุณ คุณอากาเนะมากๆค่ะ”เธอขอบคุณที่มีคนช่วยถือผ้าที่แสนหนักอึ้งเช่นนี้ ก่อนจะค่อยๆนั่งลงที่ริมระเบียง เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย
“ท่านมายุคะตรงนี้มีเส้นด้ายโผล่ออกมาด้วยค่ะ มันจะดูไม่สวยนะคะ”อากาเนะชี้ไปที่ชายกิโมโนที่มีเส้นด้ายสีขาวยาวออกมา
“เดี๋ยวดิฉันจะหากรรไกรมาตัดนะเจ้าคะ”กล่าวจบ อากาเนะจึงรีบวิ่งไปหากรรไกรตัดด้ายอันเล็กมาให้
ก่อนจะตัดออกอย่างบรรจง และพยายามจะควาญหาเส้นด้ายเส้นอื่นๆอีกว่าเรียบร้อยหรือไม่ โดยให้มายุคอยถือกรรไกรไว้ แต่พอดีกับ อายุมุที่ออกมาเรียกอากาเนะไว้อย่างพอดิบพอดี
“อากาเนะ!! เจ้ามาทำอะไรตรงนี้ สาเกจะหมดแล้ว เจ้ารีบไปนำมาเพิ่มเดี๋ยวนี้!!”อายุมุกล่าว ก่อนอีกฝ่ายจะรีบคำนับเธอและวิ่งจากไปในทันที ส่วนมายุที่ไม่รู้จะเอากรรไกรตัดด้ายไว้ที่ไหนก็ได้แต่เหน็บไว้ในโอบิ
“ท่านมายุเองหรือเจ้าคะ ข้ามีเรื่องที่อยากจะกล่าวกับท่าน ว่าท่านไดกินั้นรักท่านถึงขนาดยอมสละอายุขัยให้ ซึ่งข้าและทุกคนไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ แต่เพราะว่าไม่มีใครขัดคำสั่งท่านไดกิได้ ดังนั้นข้าจะมาบอกท่าน ว่าให้ท่านเห็นค่าของอายุขัยที่ได้รับมาเจ้าค่ะ ใช้มันให้คุ้มค่าและอยู่ให้ถึงตอนนั้น หากท่านตายก่อนอายุขัยที่ท่านไดกิยกให้ท่านหมดลง ข้าจะไม่ยกโทษให้วิญญาณของท่านเด็ดขาด”
“ท่านอายุมุ ดิฉันจะพยายามอยู่ให้ได้ค่ะ หากดิฉันอยู่ได้ไม่ถึงจริงๆ ท่านอายุมุสาปส่งดิฉันได้เลยค่ะ”เธอกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนอายุมุจะคำนับและเดินจากไป มายุเพียงมองอีกฝ่ายหนึ่งจนลับตาไปเท่านั้น
เวลาผ่านไปจนช่วงบ่ายคล้อยถึงเวลาที่งานเลี้ยงฉลองได้จบลง และต่อด้วยงานมงคลสมรสในทันที มายุรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก เธอเดินไปมาที่ทางเดินอย่างร้อนรน จนกระทั่งอากาเนะที่ได้เห็นต้องรีบกล่าวขึ้น
“ท่านมายุคะ เราต้องไปที่ศาลเจ้าเจ้าค่ะ พวกข้าลืมคิดไปเลยว่าสำหรับมนุษย์แล้วหากเดินไปคงจะเดินหลายชั่วโมงอย่างแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรอ แต่ชุดมันหนักนะคะ ดิฉันจะเดินไปไหวหรือคะ หรือจะให้ท่านอุ้มไปดีล่ะคะ?”
“ข้าคิดว่าคงไม่งามเจ้าค่ะ ถ้าให้ท่านไดกิอุ้มไป”มายุดูร้อนรนนัก เมื่อได้ฟัง ก่อนอากาเนะจะอธิบายต่อ
“ข้าคิดว่าท่านมายุไปกับขบวนนะเจ้าคะ และเดินคู่ไปกับท่านไดกิจะดีกว่าเจ้าค่ะ”อากาเนะอธิบาย
“ว่าแต่ท่านไดกิจะหายเมาแล้วหรือคะ?”เธอถามอีกฝ่ายขึ้น ก่อนร่างหนึ่งจะเดินออกมาจากห้องโถงอย่างพอดิบพอดี และยืนเท้าสะเอวเมื่อได้ฟัง
“ข้าไม่ได้เมา สาเกพวกนั้นข้ากินพอเป็นธรรมเนียมเท่านั้น”
“แต่ท่านดื่มไปเยอะมากเลยนะคะ อันนั้นเป็นธรรมเนียมหรือคะ?”เธอกล่าวขึ้นมาด้วยความสงสัย ก่อนชายหนุ่มจะจูงมือของเธอไปยังที่ตั้งขบวนคือด้านหน้าคฤหาสน์ในทันที โดยที่ไม่ตอบคำถามเธอ ไม่นานนัก การาสุเทนกุอาวุโสทั้งเก้าผู้สวมชุดสีเข้มตามธรรมเนียมก็เข้ามาต่อแถวในขบวนด้านหลังชายหนุ่ม
“แล้วแถวของฉันจะมีใครมาบ้างไหมเนี่ย…พอดีว่าไม่ได้บอกญาติว่าจะแต่งงานนี่นา”หญิงสาวบ่นอุบ และทันใดนั้นเสียงที่อยู่ด้านหลังก็ดังขึ้น
“งั้นพวกข้ามาต่อเจ้าแล้วกัน
วันนี้เราเป็นญาติกันสักวันนะท่านมายุ”คาบูโตะ ทาโร่ รวมถึงอากาเนะที่พาลูกๆของเธอ คือ ไอ คาเซะ ซึบาสะ รีบมาต่อแถวของมายุ จนทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“ขอบคุณทุกๆคนมากๆเลยค่ะ”เธอกล่าว ก่อนจะพอยิ้มออกได้บ้าง ไดกิเองก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายของมายุ ทว่า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อรู้สึกถึงพลังอันเบาบางนัก แต่เป็นพลังปิศาจที่เขาแสนจะเกลียดอีกฝ่ายนักที่ทำเขาไว้เจ็บแสบมากเมื่อการพบกันเมื่อคราวก่อน
“ดูเหมือนเจ้าจะมีแขกที่มาหาเจ้าจริงๆแล้วมายุ”ชายหนุ่มกล่าวขึ้น หญิงสาวจึงพยายามจะมองหาแต่ก็ไม่พบ ก่อนร่างที่สวมชุดกิโมโนสีดำจะปรากฏตัวขึ้น ที่เบื้องหน้าของเธอแต่ไกลลิบ
“ยูกิ?”มายุประหลาดใจที่อีกฝ่ายมาที่นี่ และยังรู้ว่าเธอกำลังจะแต่งงานเสียอีก
“มายุ!!”ร่างนั้นรีบตรงเข้ามาหาหญิงสาวและเมินไดกิอย่างสิ้นเชิง ประดุจไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“ยูกิมาที่นี่ได้ยังไงกัน? รู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังจะแต่งงาน”
“นางรู้อยู่แล้ว คงมีใครสักคนส่งจดหมายไปบอกนาง”ไดกิทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนทาโร่เองแทบอยากจะมุดหน้าหนีออกจากขบวนไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ปีกของท่านหายดีแล้วรึ? เร็วกว่าที่คิดแฮะ”ยูกิเหลือบมองปีกสีดำขลับของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้หายสนิทดีแล้วจะมีเพียงรอยแผลเป็นบางๆเท่านั้นที่ทำให้ปีกของเขาดูไม่สวยเหมือนแต่ก่อน แต่ยังดีที่เป็นรอยแผลไม่ใหญ่นัก ไดกิถอนหายใจออกมา ส่วนมายุได้เพียงแต่สงสัย ว่าระหว่างสองคนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นฉันขอต่อแถวมายุนะ คิดเสียว่าฉันเป็นตัวแทนของญาติๆเธอก็แล้วกัน”อาโอะยูกิเดินไปต่อท้ายแถวในลำดับที่เจ็ด
“ไปกันเถอะมายุ”เขากล่าวออกมา ก่อนการาสุเทนกุข้างหน้าสุดที่คอยเล่นดนตรีจะเดินนำไปเบื้องหน้า รวมไปถึงการาสุเทนกุที่คอยกางร่มสีแดงให้คู่บ่าวสาว และขบวนนั้นจึงเริ่มออกเดินไปตามทางเรื่อยๆ มายุเหลือบไปมองชายหนุ่มเป็นระยะ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเหลือบมองเธอเช่นกันและยิ้มออกมา ระยะทางที่เดินมาไกลนักเธอกลับไม่เหนื่อยแต่อย่างใดและกำลังตื่นเต้นสุดขีดเสียจนลืมความเหนื่อยและความยากลำบากไปเป็นปลิดทิ้ง ทั้งสองเดินมาจนกระทั่งพบกับศาลเจ้าที่อยู่กลางป่า ที่มายุเคยเห็นเมื่อคราที่มิวะพยายามจะมาที่นี่เพื่อมาพบอากาเนะกับคาบูโตะ และนี่ยังคงถือว่าเป็นศาลเจ้าแห่งเดียวในที่นี้กระมัง ทั้งสองเดินมาถึงก็เมื่อตะวันตกดินแล้วพอดิบพอดีก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนินเรื่อยๆ และเธอก็คอยฟังคำเตือนของอากาเนะอยู่ตลอดเวลาว่าให้ก้าวสูงขึ้นอีก รวมถึงเธอยังช่วยในการจับชายผ้าอีกด้วย หากมายุไม่มีอากาเนะเธอคงต้องลำบากอย่างแน่นอน มายุจับมือของชายหนุ่มไว้เมื่อเธอไม่มั่นใจในขั้นบันไดที่เธอเหยียบนัก ไดกิเองเพียงหันมาประคองเธอและก้าวขึ้นไปช้าๆพร้อมๆกัน จนในที่สุดก็ถึงศาลเจ้าที่อยู่ด้านบน เป็นศาลเจ้าขนาดเล็กและเก่าแก่นัก แต่ดูเหมือนว่ายังมีการดูแลอย่างดีอยู่ มายุกับไดกิล้างมือก่อนจะเข้าไปในศาลเจ้า ก่อนการาสุเทนกุตนอื่นๆจะนำไม้มงคลมาปัดเป่าความโชคร้ายออกไปจากคู่บ่าวสาว
“ท่านไดกิเข้าศาลเจ้าได้ด้วย?”มายุกระซิบถามเขา
“ข้ายังนั่งคุยกับเซริวได้เลย เหตุใดข้าจะเข้าไปไม่ได้”เขาตอบ มายุได้เพียงพยักหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ที่จริงหากเธอไม่มัวตื่นเต้นเสียขนาดนี้ เธอก็สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องถามจากเขา ไดกิลงมือเขียนวาทะสัญญาด้วยตนเอง ว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อกันไปจนตาย เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ก่อนทั้งสองจะเดินเข้าไปในศาลเจ้าที่เก่าแก่ และพิธีการได้เริ่มขึ้น ทั้งสองทำความเคารพเทพเจ้าประจำศาลโดยการคำนับสองครั้ง ซึ่งคือรูปปั้นเทพเซริวอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งไม่นานนัก เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่งาน
“ข้ามาที่นี่เพื่อจะเป็นสักขีพยานของพวกเจ้า…”ไดกิที่ดูประหลาดใจ ที่จู่ๆเขาก็ปรากฏตัวขึ้น และมองชายผู้มีดวงตาสีเทาเดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าแท่นบูชารูปปั้นที่ทั้งสองสักการะ
“สงสัยอะไรรึ? ก็เจ้าเรียกให้ข้ามาเอง…”เขามองก่อนจะยักไหล่ใส่ไดกิอย่างไม่ใยดีนัก ส่วนมายุคำนับเขาอีกรอบหนึ่ง ปิศาจเทนกุที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจนักก็ได้ทำพิธีต่อ เซริวได้หยิบคำประกาศว่าทั้งสองกำลังจะแต่งงานให้เทพเจ้าฮะจิมังที่เป็นเทพแห่งครอบครัวได้ทราบ และขอให้ท่านเทพเจ้านั้นได้อวยพรและคุ้มครองทั้งสอง เมื่อกล่าวเสร็จจึงเก็บกระดาษนั้นลง
หลังจากนั้นจึงมีการเต้นรำอันศักดิ์สิทธิ์คากุระไม เป็นการเต้นรำโดยนักบวชเพื่อขอพรจากเทพเจ้า เหล่าการาสุเทนกุต่างเต้นรำกันอย่างพร้อมเพรียง ส่วนมายุได้นั่งดูด้วยความสนใจเพราะเธอไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน เพราะเธอเคยเห็นแต่มนุษย์ที่เป็นมิโกะเท่านั้นที่เต้นรำคากุระไม การเต้นรำดังกล่าวเนิบช้าและสวยงามนัก โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไดกิแอบลอบมองเธออยู่ไม่ไกลนัก เมื่อระบำดังกล่าวจบลงหนุ่มสาวยืนอยู่คนละฝั่งของห้องด้านหน้ามีโต๊ะตัวเล็กบนโต๊ะมีถ้วยอยู่สามใบที่มีขนาดจากเล็กไปใหญ่ ก่อนการาสุเทนกุจะรินเหล้ามงคลให้ทั้งสองดื่ม มายุกับไดกิจิบสาเกจากถ้วยสามใบ ใบละสามครั้งรวมทั้งหมดเก้าครั้ง และหลังจากนั้นทั้งสองต้องวางถ้วยลงบนโต๊ะพร้อมกันเพื่อเป็นเคล็ดให้ทั้งสองอยู่คู่กันตลอดไป ไม่มีใครจะตายจากไปก่อน
“กึก!!”เสียงมายุวางถ้วยลงบนโต๊ะเสียก่อนที่ไดกิจะวาง ชายหนุ่มวางลงอย่างเบามือและทำเป็นไม่สนใจที่เธอวางลงบนโต๊ะก่อนเขานัก ส่วนมายุก็ได้แต่ทำหน้าสำนึกผิดที่พลาดจนได้ ก่อนทั้งสองจะเดินมายืนข้างกันต่อหน้าเทพมังกรฟ้า และเริ่มพิธีเซย์ชิโซวโจว โดยไดกิอ่านกระดาษที่เตรียมมาและประกาศว่าทั้งสองเป็นสามีภริยา
“พวกข้าได้ทำคำสัตย์สาบานในพิธีแต่งงาน ต่อหน้าเทพฮะจิมัง พวกข้า ไดกิและมายุ ยินดีที่จะได้กล่าวสัตย์สาบานในวันมงคลสมรสนี้ และด้วยคำอวยพรของเทพฮะจิมังขอให้ข้าและนาง เป็นคู่บ่าวสาวกัน พวกข้าขอสาบานต่อหน้าเทพฮะจิมังว่าจะรักและเคารพซึ่งกันและกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และมุ่งมั่นที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ครอบครัว และยิ่งไปกว่านั้น พวกข้าจะสาบานว่าจะไม่ร้างลาจากกันอย่างเด็ดขาด”ไดกิอ่านคำสาบานอย่างตั้งใจ หลังจากกล่าวจบทั้งสองบ่าวสาวได้ถือกิ่งไม้ทามะกุชิที่ได้รับมาจากนักบวช ก่อนจะสวดภาวนาและหมุนไม้ตามเข็มนาฬิกา และให้ปลายไม้ชี้ไปที่แท่นบูชาและวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงคำนับสองที และปรบมือสองครั้งจึงคำนับ เพื่อเป็นการแสดงถึงความขอบคุณต่อองค์เทพเจ้าอย่างจริงใจ จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนสุดท้ายคือการสวมแหวน แต่ไดกิกลับเปลี่ยนเป็นพิธีที่จะมอบอายุขัยแก่คนที่เขารักแทน ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากัน อย่างมีความสุข ก่อนด้ายแดงจะถูกผูกเป็นสายระโยงระยางไปทั่วศาลเจ้าเพื่อเคล็ดที่ว่ายิ่งด้ายยาวเท่าใด อายุก็จะยืนขึ้นเท่านั้น ก่อนชายหนุ่มจะ จับมือเรียวมาผูกด้ายแดงไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขา ส่วนมายุเองก็ผูกด้ายแดงไว้ที่นิ้งนางข้างซ้ายของเจ้าบ่าวของเธอเช่นกันอย่างมีความสุข
“จากนี้ไป จงอยู่กับข้านานๆนะมายุ”
“ค่ะ ท่านไดกิ”ชายหนุ่มกุมมือของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเริ่มพิธีเลยแล้วกัน”เขากล่าวจบ ยามะคาวะจึงกล่าวขึ้นบ้างคราวนี้เขาเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่ก็เลือกที่จะไม่บอกออกมา เพียงกล่าวเตือนเท่านั้น
“พิธีนี้หากทำไม่สำเร็จ ท่านมายุจะไม่ได้อายุขัยของท่านไดกิไป ส่วนท่านไดกิเองก็ไม่เสียอายุขัยของตนแต่อย่างใด
หากท่านไดกินั้นได้ทำพิธีนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งไม่ว่าพิธีนั้นจะสำเร็จหรือไม่ ท่านไดกิจะไม่สามารถทำพิธีนี้ได้อีกเป็นครั้งที่สองนะขอรับ”ยามะคาวะกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ท่านมีอะไรอยากจะกล่าวรึ?”ทาโร่ถามขึ้น แต่ก็ถูกอีกสองคนที่นั่งข้างๆดุจนเงียบลง
“ข้าน่ะรึ? แค่มาเตือนตามภาษาคนแก่ที่เห็นโลกมาเยอะก็เท่านั้น ว่าจะทำการณ์สำคัญ ต้องมีความรอบคอบ”ชายชรากล่าวขึ้น
“และคิดให้ถี่ถ้วนด้วย…”เขากล่าวต่อ ก่อนจะคำนับท่านไดกิที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
“ข้าเองรบกวนเวลาท่านไดกิ ข้าต้องขออภัยขอรับ”
“ไม่เป็นไรท่านยามะคาวะ ท่านมีอะไรที่อยากจะบอกข้าอีกไหมขอรับ?”ชายหนุ่มถามขึ้น และพยายามซักไซร้อีกฝ่ายให้ได้
“ข้าเตือนท่านไปหมดแล้วท่านไดกิ”เขากล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ชายหนุ่มรู้ในทันทีว่าเขาคงหมายถึงเรื่องอายุขัยของมายุ ที่บอกว่าแม้การยกอายุขัยให้นางก็ยังไม่ทำให้นางพ้นจากความตายในเร็ววันได้
“ข้าควรต้องระวังอะไรไหมขอรับ เพื่อที่นางจะได้อยู่กับข้าไปนานเท่านาน”ไดกิพยายามซักไซร้ถามอีกฝ่าย เพราะคาวะยามะอาจจะทราบ แต่เพราะ เรื่องโชคชะตาในอนาคตนั้นเป็นลิขิตสวรรค์ที่เขาจะกล่าวออกมาไม่ได้เด็ดขาด
“ข้าคิดว่าบางทีข้ารวมถึงคนอื่นๆน่าจะเตือนพวกท่านทั้งสองมาบ้างแล้วนะขอรับ และพวกท่านจงรับคำตักเตือนนั้นมาปฏิบัติตามอย่างระมัดระวังดีกว่าขอรับ”ร่างที่ถือไม่เท้านั้นกลับเดินออกไปภายนอกศาลเจ้าเสียแล้ว ชายหนุ่มเองก็มีสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน
“แต่ถ้าข้าไม่ให้อายุขัยแก่เจ้า เจ้าเองก็คงมีชีวิตที่สั้นนัก เพียงเจ้าอยู่กับข้าได้มากขึ้นแค่หนึ่งหรือสองวัน สำหรับข้ามันก็คุ้มแล้ว”มายุเขินกับคำพูดของเขา
“หรือหากพิธีนี้ไม่ได้ผลกับเจ้า อย่างน้อยข้าก็ได้ลองทำเพื่อเจ้าแล้ว มายุ”ทั้งสองกุมมือกันอย่างมีความสุข ก่อนชายหนุ่มจะเริ่มต้นพิธีที่แสนสำคัญนี้ ด้ายแดงที่ห้อยระโยงระยางทั่วศาลเจ้าเก่าแก่ดูขลังยิ่งนัก รวมถึงเทียนนับร้อยกว่าเล่มที่ตั้งไว้รอบๆงานพิธี ปลายด้ายของทั้งสองผูกเข้ากันที่นิ้วนางด้านซ้ายประดุจการผูกโชคชะตาของคนทั้งสองให้มาบรรจบกัน และเหล่าการาสุเทนกุอีกนับสิบกว่าชีวิตในชุดนักบวชที่จะมาคอยช่วยท่องคาถาให้
“จากนี้ไปข้าจะอยู่ด้วยกันกับเจ้า เฉกเช่นคำสาบานที่ข้ามีให้เจ้า มีให้ท่านฮะจิมัง”
“ดิฉันเองเป็นเจ้าสาวของท่านไดกิแล้วค่ะ จะอยู่กับท่านไปตราบนานเท่านานค่ะ”ทั้งสองจับมือประสานกันอย่างมีความสุข ก่อนทั้งสองจะหลับตาลงและชายหนุ่มจะกล่าวบทสวดเป็นภาษาโบราณขึ้นมาอยู่นานโดยมีการาสุเทนกุในชุดนักบวชคอยท่องคาถาอยู่เบื้องหลังของเขา มายุเพียงหลับตาฟังเขาเท่านั้น หัวใจเต้นโครมครามเพราะความตื่นเต้น ทว่าในความมืดมิดที่เธอเห็นนั้น เงาดำเงาหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในมโนภาพของเธอ เป็นเงาดำของอิสตรีผู้หนึ่ง นางค่อยๆชี้นิ้วที่ดูบิดเบี้ยวของนางมาที่เธอและแสยะยิ้มออกมา มายุรีบลืมตาขึ้นในทันที เพราะความตกใจ แต่รอบๆข้างของเธอยังดูปกติดีนัก จนยูกิที่นั่งอยู่ถึงกับมองหน้าเธอด้วยความเป็นห่วง
“มายุ เธอไหวไหม เธอดูไม่ค่อยดีนัก ยืนนานไปหรือเปล่าจะนั่งก่อนก็ได้นะ”ยูกิกระซิบออกมาด้วยเสียงอันเบา มายุใช้การอ่านปากอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันยังไหวอยู่ ขอบใจนะ”เธอกล่าวด้วยเสียงอันเบา แต่ร่างนั้นเริ่มโงนเงน ไม่มั่นใจว่าเหตุใดจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวกันนะ ทั้งๆที่เมื่อสักครู่เธอยังสบายดีอยู่เลย มายุมองไปรอบๆด้วยความอึดอัดบางทีอาจจะเป็นเพราะพิธีกรรมก็ได้ แต่ก็พยายามจะทำตัวให้ปกติที่สุด จนถึงขนาดที่เหงื่อตกด้วยเพราะความไม่สบายกกาย และแขกคนอื่นๆก็เริ่มสังเกตุเห็นอาการนั้น ส่วน ไดกิหยุดสวดคาถาในทันที เมื่อได้ยินที่ทั้งสองคุยกัน และรีบลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่าย ก่อนมือใหญ่จะจับใบหน้าของเธอในทันทีด้วยความเป็นห่วง
“มายุ เจ้าเลือดกำเดาไหล...”สายตาของไดกินั้นดูตกใจและเป็นห่วงอย่างมาก ขณะที่เหล่าการาสุเทนกุนักบวชตนอื่นๆยังคงท่องคาถาอยู่ ชายหนุ่มรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เก็บไว้ในแขนเสื้อออกมาและซับเลือดกำเดาของเธอ
“เหตุใดกัน?
ปกติเจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน!!”เขารีบพาเธอนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเล็กในทันทีเพื่อให้เธอได้พักผ่อนบ้าง
ไดกิเองจึงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเธอด้วย
ก่อนจะคอยโอบเธอเอาไว้ให้แนบชิดกับตัวเขาเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหมดสติและล้มลงไปจากเก้าอี้
“ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่เพลียเท่านั้นค่ะ”มายุยิ้มออกมา ก่อนจะซบอีกฝ่ายหนึ่งและหลับตาลงอย่างมีความสุข เธอรู้ดีว่าแม้พิธีอาจจะไม่ได้ผลแต่ตอนนี้เธอได้อยู่ตรงนี้กับเขาตรงนี้ในอ้อมกอดของเขาที่แสนอบอุ่นก็พอแล้ว มือใหญ่เขย่าร่างเธอเบาๆ ก่อนจะเรียกชื่อของเธอออกมา
“มายุ มายุ”เสียงหวานนั้นเรียกเธอให้ลืมตาขึ้นมามองเขา หญิงสาวค่อยๆปรือตาขึ้นมาช้าๆมองคนที่เธอรัก
“ดิฉันรักท่านค่ะ ท่านไดกิ อยากจะอยู่กับท่านเช่นนี้ตลอดไป”เธอกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาและหน้าตาสะลึมสะลือ
ประหนึ่งกำลังละเมอ
บางทีเธออาจจะเพียงแค่กำลังเมาอยู่ก็ได้เพราะวันนี้เธอเองก็ถือว่าดื่มเหล้าสาเกไปมากเช่นกัน
จากปกติที่เธอแทบจะไม่ดื่มเลย
“ข้าก็รักเจ้ามายุ ช่วยอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้ตลอดไป อย่าได้จากข้าไปไหนเลย”มายุยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และอิงแอบชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหน้าของเธอ ก่อนเธอจะแนบฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นเป็นจังหวะ เป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดสำหรับเธอแล้วมากกว่าบทเพลงหรือเสียงดนตรีเป็นไหนๆ เพราะเป็นเสียงที่บ่งบอกว่าชายหนุ่มนั้นยังคงจะอยู่ข้างเธอเช่นนี้เสมอ และมีชีวิตคู่กับเธอต่อไปเรื่อยๆอย่างนานแสนนาน ชายหนุ่มจูบที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน
และกอดเธอไว้แน่น
อ้อมกอดของเขาช่างสบายและอบอุ่นเสียเหลือเกินจนมายุเกือบจะหลับไปในอ้อมอกของเขา
“เจ้านี่นะ จะหลับในงานแต่งของตัวเองรึ?”ไดกิเพียงกระซิบอีกฝ่ายหนึ่งที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา
และยิ้มออกมา
“ดิฉันเพียงหลับตาเท่านั้นค่ะ”มายุเองก็กระซิบอีกฝ่ายกลับโดยที่หญิงสาวยังพูดด้วยเสียงที่ง่วงนอนเต็มทน
จนชายหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ เจ้าสาวในชุดขาวค่อยๆมีสีหน้าที่ไม่ดีอีกครั้งหนึ่ง
เพราะเหตุผลอันใดก็ไม่อาจทราบได้
ที่ส่วนหนึ่งในจิตใจของเธอบอกว่าไม่อยากทำพิธีนี้อีกต่อไปแล้ว
คราวนี้เธอนั่งนิ่งด้วยความพะอืดพะอมนัก
“มายุเจ้าเป็นอะไรรึ
อีกไม่นานพิธีจะจบลงแล้ว”กล่าวยังไม่ทันจบ หญิงสาวรีบปิดปากของตนแน่น
ความรู้สึกเหม็นคาวนั้นฟุ้งเข้ามาเต็มปากของเธอ
กลิ่นที่น่าขยะแขยงนั้นทำให้เธอแทบจะอาเจียนออกมาในทันที
“มายุ หากเจ้าไม่ไหว
ข้าจะยกเลิกพิธีเสีย”เขากล่าวและประคองเธอไว้ข้างกาย
ก่อนความรู้สึกของเขาจะรับรู้ได้ถึงพลังที่น่าสะอิดสะเอียน กำลังตรงมายังที่นี่
เป็นพลังที่เขาเคยพบมาก่อน ทุกคนเองต่างก็มีปฎิกิริยากับแขกที่กำลังจะมาเยือนได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเซริวนั้น รีบสาวเท้าออกไปด้านนอกศาลเจ้าในทันที เหลือเพียงการาสุเทนกุคนสนิทและยูกิเท่านั้นที่ดูจะเป็นห่วงคนทั้งสอง และพยายามจะเข้ามาแต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับนิ่งไม่ไหวติงประดุจเวลารอบข้างถูกหยุดเอาไว้ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง พลันเงาดำเงาหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้น
มายุที่ทนไม่ได้ก็ถึงกับทรุดลงไปนั่งที่พื้น และสำรอกออกมาเป็นโลหิตสีดำจำนวนมาก จนประเปื้อนชุดแต่งงานของตน และดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆมองขึ้นไปยังเงาดำที่บิดเบี้ยวดูน่ากลัวช้าๆด้วยความอ่อนล้าเธอเห็นร่างของหญิงผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทันไดนั้นไดกิรีบเข้ามาขวางเธอไว้กับเงาดำที่ลอยอยู่กลางอากาศที่มาทำลายพิธีของเขาเสียสิ้นและนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นความมืดมิด
ความคิดเห็น