คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ดาบปราบมาร ตอนปลาย
ท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้แสงไฟในถ้ำใหญ่
ร่างของมายุตกลงสู่เบื้องล่างที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เธอหวาดกลัวเสียจนต้องหลับตาลงในทันทีก่อนร่างของเธอจะถูกใครคนหนึ่งอุ้มเอาไว้อยู่กลางอากาศ มายุซบหน้าเข้ากับแผงอกของอีกฝ่ายด้วยความกลัวอย่างสุดขีด น้ำตาใสๆไหลออกมา แต่ไม่มีเสียงร้องไห้หรือสะอึกสะอื้นจากเธอแต่อย่างใด แต่คงเป็นเพราะความตกใจเมื่อครู่ที่ทำให้เธอใจฝ่อไปเสียแล้ว หญิงสาวนึกในใจเสียว่าเธอไม่ควรมาที่นี่เลย
“เจ้าเป็นอะไรไหม มายุ”ไดกิถามเธอขึ้นอย่างแผ่วเบา เพราะเมื่อครู่เขาเองก็ถึงกับใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเช่นเดียวกัน และเผลอคิดถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายไปเสียแล้ว
“ไม่เป็นอะไรค่ะปลอดภัยดีค่ะ” หญิงสาวตอบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกังวล
“อย่างนั้นรึ? ถ้าเจ้าไม่อยากทำแล้วก็บอกข้าเถิด”
“ไม่ค่ะ ดิฉันต้องทำให้ได้ ท่านไดกิไม่ต้องห่วงค่ะ”ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะรู้สึกถึงพลังความร้อนที่เพิ่มมากขึ้น เขารู้ได้ทันที ว่าเป็นพลังของดาบคามินาริ ซึ่งแปลว่าเขาเริ่มเข้าใกล้ ดาบปราบมารขึ้นเรื่อยๆแล้ว
“ข้ารู้สึกได้ ว่าดาบนั้นอยู่ด้านล่างนี้ ไม่ไกลนัก”
“ท่านไดกิรู้สึกถึงดาบนั้นได้เลยหรือคะ?” เธอพยายามมองไปและก็เห็นแสงสว่างอยู่เบื้องล่าง ที่ดูเหมือนจะต้องเดินไปต่อจากทางนั้นกว่าจะเจอดาบ
ลึกลับจริงๆเลย น่ากลัวด้วย แต่ว่าเรามีเวลาไม่มาก ยังไงก็ต้องทำต่อไปสินะ ไม่เป็นไรหรอกยังไงท่านไดกิก็อยู่ตรงนี้
“ว่าแต่เจ้าทำเสื้อของข้าเปียกหมดแล้ว เจ้ามั่นใจนะ”ไดกิพูดขึ้นเพราะ ถูกหญิงสาวร้องไห้ใส่เมื่อสักครู่
“ขอโทษค่ะ”มายุสำนึกผิด
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก ถ้าข้าดูเจ้าไว้ดีกว่านี้เจ้าคงไม่ตกลงมาเสียหรอก ข้าผิดเอง”มายุถึงกับเหวอเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าเป็นความผิดของเขา
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาเจ้าลงไป ให้เร็วและใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเจ้าต้องนำดาบห่อด้วยผ้ากำมะหยี่ และติดยันต์อีกที”
“ค่ะท่านไดกิ” เธอรู้ดีว่าไดกิเองที่จะพาเธอลงไปข้างล่าง สองมือใหญ่จับที่บ่าของเธอ
“ข้าคงต้องส่งเจ้าได้แค่ทางเดินตรงนั้น ที่เหลือเจ้าต้องเข้าไปเอง แต่ข้าจะอยู่ในที่ที่ข้าจะมองเห็นเจ้าได้ตลอด เผื่อเจ้าจะหวาดกลัวน้อยลงบ้าง”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูห่วงใย
“ขอบคุณค่ะ”มายุแปลกใจเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ไดกิพูดกับเธอดีเช่นนี้ ดีจนน่าใจหาย หรือไดกิมีหลายคน มายุสงสัย
“ข้าจะพาเจ้าลงไปนะ”เขากล่าวก่อนจะค่อยบินลงไปอย่างช้าๆ จนถึงปากทางไม่นานนักชายหนุ่มก็ดูแปลกไป
“ท่านไดกิเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”มายุถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะคนที่อุ้มเธอเมื่อสักครู่จู่ๆก็เหงื่อออกโทรมกาย ในขณะที่เธอกลับไม่รู้สึกร้อนหรือไม่สบายแต่อย่างใด
“เพราะว่า…ดาบนั่น…”ชายหนุ่มดูอ่อนแรงลงมาก พร้อมกับหอบด้วยความเหนื่อยเหมือนเขากำลังจะสูญเสียพลังไป ขณะที่ดาบเองก็มีพลังน้อยลงจากสุริยุปราคา หากเธอมาในช่วงเวลาอื่น ไดกิคงไม่ต้องยืนรอที่ปากถ้ำเลยหรือ
“ท่านไดกิส่งฉันตรงนี้ก็ได้ค่ะ ให้ดิฉันไปเองดีกว่านะคะ”มายุอาสาเพราะดูแล้วเขาน่าจะไปได้อีกไม่ไกลนัก
“เจ้าแน่ใจนะ?”เขาถามเธอเพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง เขาเองก็ไม่อยากกดดันอีกฝ่ายมากเกินไป หากเป็นเช่นนั้น เธอคงจะหวาดกลัวจนถอดใจแน่นอน
“แน่ใจค่ะ”เธอมองอีกฝ่ายด้วยความแน่วแน่ ก่อนจะเดินไปตามทาง คราวนี้แสงจากดาบคามินารินั้นพอทำให้เธอมองเห็นทางได้บ้าง
“มายุเจ้าต้องไปต่อคนเดียวแล้ว ระวังตัวด้วย”เสียงนั้นดังเข้ามาในหัวของเธอ หญิงสาวเดินไปต่อตามช่องเล็กๆของถ้ำที่คดเคี้ยวไปมา จนพบกับแสงสว่างจ้าที่เข้ากระทบกับดวงตาของเธอ มายุจึงเดินเข้าไปใกล้ พบว่าดาบคามินาริเป็นดาบโนดาชิ ที่เป็นดาบขนาดใหญ่ ที่เพียงตัวดาบก็ยาวจนเกินหนึ่งเมตร และตั้งอยู่บนแท่นหินบูชาขนาดใหญ่
ยกไม่ขึ้นแน่ๆเลย
เธอแอบท้อใจแต่ก็ลงมือทำความเคารพเสียก่อน และค่อยๆจับดาบขึ้นมาก่อนจะใส่ฝักให้เรียบร้อยและพันผ้ากำมะหยี่จนมิดชิด เมื่อนั้นแสงสว่างของดาบจึงจางลง ก่อนจะนำยันต์ที่ไดกิเขียนขึ้นมาติดไว้จนทั่ว
แบบนี้น่าจะได้แล้วนะ
ฉับพลันร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากด้านหลังของเธอ มายุที่ได้ยินเสียงแปลกๆจึงหันขวับไปดูและพบกับดวงตาสีเหลืองอำพันทอประกายแสงออกมาท่ามกลางความมืดมิดของถ้ำ และมันกำลังจับจ้องเธอที่อยู่ห่างมันไปมี่กี่เมตรเท่านั้น หญิงสาวตกใจจนถอยหลังกรูด เมื่อพบว่าดวงตาอีกฝ่ายนั้นเป็นอะไรบางอย่างที่เธอพึ่งจะพบมาไม่นานนี้
“งู!!” คราวนี้เป็นงูตัวใหญ่ มายุทั้งร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจเพราะเพียงอสรพิษชูคอขึ้นมา มันก็สูงกว่าตัวของเธอแล้ว
"ฟ่อ ฟ่อ"เสียงอสรพิษกำลังข่มให้เธอหวาดกลัวมัน และเมื่อมันเห็นเธอผละจากดาบแล้ว ก็ตรงเข้ามาจะทำร้ายเธอทันที ขณะที่หญิงสาวที่ตกใจนั้นขาก็อ่อนปวกเปียกจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ดวงตาสีน้ำตาลจ้องดวงตาอีกฝ่ายนิ่งประดุจถูกมนต์สะกด
“มายุเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”เสียงนั้นตะโกนขึ้น และดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังจะเข้ามา ฉับพลันนั้นงูนั้นก็หันขวับไปมองทางต้นเสียงด้วยความตกใจ ก่อนจะคาบดาบคามินาริและพยายามจะเลื้อยออกไปทางช่องหินเล็กๆที่อยู่ด้านหลังแท่นบูชา มายุที่กล้าๆกลัวจึงต้องวิ่งตามงูตัวนั้นไป
“เอาดาบคืนมานะ แกจะเอาไปไม่ได้นะ!!”เธอร้องโวยวายลืมไปเลยว่าเธอต้องกลัวงู โดยที่ไม่รู้เลยว่างูใหญ่ตนนั้นจะพาเธอไปไหนแต่จะปล่อยให้งูนั้นคลาดสายตาไปไม่ได้เด็ดขาด ส่วนไดกิเองที่เพิ่งจะเข้ามากลับไม่พบกับมายุและดาบคามินาริแต่อย่างใด มีเพียงเสียงร้องโวยวายของหญิงสาวจากที่ไกลๆเท่านั้น ทำให้เขารีบวิ่งตามไปในทันที
กลับมาที่มายุนั้นวิ่งตามอสรพิษไปติดๆ โดยที่ไม่ได้ทันคิดเลยว่าจะทำเช่นไรต่อเธอตามมันเลื้อยไปมาในซอกเขาที่ลึกลับซับซ้อนประดุจเขาวงกต หากเธอดึงดาบจากปากงูก็ใช่เรื่องอยู่ จนกระทั่งงูใหญ่ตัวนั้นเลื้อยมาที่ทางออกของถ้ำ ที่เป็นทางออกด้านหลัง ฉับพลันร่างหนึ่งก็โพล่ขึ้นมาจากตัวของงูยักษ์นั้น
“ผ…ผี??”มายุถึงกับผงะ
“ข้าไม่ใช่ผี แต่เป็นสัตว์เทพ”ชายผู้มีเรือนผมสีขาวประดุจหิมะกล่าวขึ้น ก่อนจะก้มลงไปหยิบห่อผ้ากำมะหยี่จากงูใหญ่ ก่อนอสรพิษที่ถูกสิงตัวนั้นจะเลื้อยหนีไป เขาจับจ้องดาบตรงหน้าอย่างมีชัย ก่อนจะหันมาทางหญิงสาว
“ต้องขอบคุณเจ้ามากที่นำดาบมาให้ข้า”
“ท…ท่านเป็นใคร?”
“ข้ามีนามว่าคุโระเฮะบิ”เขาแลบลิ้นสองแฉกออกมา ทำให้เธอถึงกับขนลุกเกรียว
“ท่านเองก็ต้องการดาบคามินาริสินะ”
“ถูกต้องแล้ว และข้าต้องการตัวเจ้าด้วย”พูดจบร่างของเขาก็พุ่งทะยานเขามาหามายุอย่างรวดเร็ว เธอเห็นเพียงดวงตาสีเหลืองอำพันที่พุ่งเข้ามาเท่านั้น เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลถึงกับเขาอ่อนไปนั่งอยู่ที่พื้นด้วยความหวาดกลัว
ฉันยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับปิศาจจริงๆด้วย
“ถ้าข้าสิงเจ้าได้และก็ ข้าจะใช้ดาบนั้นฟาดฟันเหล่าศัตรูให้หมดสิ้นเอง”
“เจ้าทำอะไรน่ะ!!”เสียงไดกิตวาดขึ้น จากอีกฟาก
และมองหญิงสาวที่กำลังถูกอีกฝ่ายประชิดตัวไว้
“ไดกิเองรึ มาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้ ท่าทางคาถาผนึกไอปิศาจจะได้ผลดีเกินคาด จนเจ้าไม่รู้ว่าข้าเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว
แล้วดูสภาพเจ้าสิช่องทางเดินมันคงเล็กเกินที่ปีกของเจ้าจะผ่านมาได้
จนต้องแปลงกายเป็นมนุษย์ไร้ปีกเลยรึ ตลกชะมัด”เขาดึงร่างของมายุขึ้น ฉับพลันหญิงสาว เอื้อมมือไปดึงดาบคามินาริจากมือเขา โดยที่ปิศาจงูมิทันตั้งตัวและโยนให้ไดกิให้ไดกิ ฝ่ามือใหญ่กระชากผมของเธอด้วยความโกรธ
“เป็นมนุษย์ที่แสบเสียจริงนะ เจ้ารู้บ้างหรือเปล่าว่าหลังจากงานนี้แล้ว เจ้าจะยังมีความสำคัญอะไรกับไดกิอยู่บ้าง นังมนุษย์ที่โง่เขลา เจ้ามากับเทนกุตนนี้ได้อย่างไร ไม่รู้หรือยังไงว่าเขาเกลียดมนุษย์จนเข้าไส้น่ะ เมื่อไม่มีประโยชน์แล้ว เขาก็พร้อมจะเฉดหัวเธอออกไปเผชิญโลกภายนอกที่โหดร้ายได้ทุกเมื่อ หรือแม้แต่จะฆ่าเธอซะก็ทำได้”
“อ…โอ๊ย”เขากระชากผมหางม้าของเธออีกรอบจนหน้าหงาย ตอนนี้มายุไม่รู้แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างเพราะเธอมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง
“เจ้าต้องการดาบไปทำไมกัน?”ปิศาจเทนกุถามขึ้น
“ข้าต้องการกำลังปิศาจเพิ่ม และเจ้าล่ะสนใจร่วมมือกับพวกข้าไหม? ข้าไม่อยากเป็นเครื่องมือของเทพอีกต่อไปแล้ว เจ้าเองก็กำลังเป็นอยู่ใช่ไหมล่ะ เทพเอาแต่สนุกสนานไปวันๆ แต่พวกข้ากลับถูกใช้เยี่ยงทาส ข้าแค่อยากเป็นอิสระ ตอนนี้เหลือแต่เจ้าแล้วนะที่ยังยอมทำงานงกๆให้ แต่ก็ไม่ได้อะไรตอบแทนสักอย่าง”
“ข้าเข้าใจเจ้า แต่เรื่องนี้มันเกิดจากข้าและข้าต้องแก้ไขให้ได้ ถ้าข้าร่วมมือกับพวกเจ้าแล้วดันแพ้ขึ้นมาข้าไม่ยิ่งตกต่ำกว่าเดิมรึไง?”ไดกิกล่าวออกมา
“เจ้าก็นึกถึงเมื่อเวลาที่เราชนะสิ เจ้าจะได้เป็นเทพเสียทีไม่ได้เป็นครึ่งๆกลางๆเช่นนี้ พลังอำนาจเจ้าก็จะได้มาไว้ในมือ มันจะไม่ดีอย่างไรล่ะ”
“ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่ข้าแค่ไม่เห็นหนทางว่าเจ้าจะชนะได้ก็เท่านั้น”ไดกิตอบอีกฝ่าย จนคุโระเฮะบิถึงกับหน้าชา เพราะการต่อสู้กับเทพมันไม่ง่ายนัก อย่างที่เขาบอก
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าปฏิเสธ…”เจ้าของดวงตาสีอำพันกระชากมายุให้เข้าใกล้
“ข้าคงจะต้องบังคับเจ้าแล้วล่ะ จะส่งดาบมาหรือให้มนุษย์คนนี้ตายล่ะ ถ้าเจ้าจะฝืนต่อสู้ตรงนี้ข้าเองก็จะบอกว่าดวงตาของเจ้ามันสู้ความมืดมิดได้ไม่เท่ากับข้าหรอกนะ ไดกิ เจ้าจงคิดให้ดี และข้าจะฆ่านางในทันทีอย่างแน่นอน”มายุที่เห็นเพียงความมืดมิดเท่านั้นก็เลิกลั่ก เพราะไดกิกลับเงียบไปสักพักใหญ่ โดยที่เธอไม่รู้ว่าคมเขี้ยวของคุโระเฮะบิอยู่ใกล้ลำคอเธอขนาดไหน
“ท่านไดกิ ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ...”หญิงสาวกล่าวขึ้น
“มายุ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!!”เสียงที่ดุดันกล่าวขึ้น
“ว่าไงล่ะ?”คุโระเฮะบิถามขึ้น
“….”ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
เวลานั้นช่างยาวนานเหลือเกินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไรบ้าง
“เจ้าตัดสินใจเสียเถอะ ถ้าเป็นข้านะ ข้าคงเก็บดาบเอาไว้เพราะมันสำคัญกับข้ามากกว่า มนุษย์น่ะมีอยู่เยอะแยะจะตายไป หรือเจ้าใจไม่กล้าพอ
ว่าไงล่ะ...ข้าเคยได้ยินว่า เจ้าเคยอยู่กับมนุษย์ถึงสองคน คงจะใจอ่อนล่ะสิ”ชายผมขาวพูดขึ้นมาเพื่อกวนประสาทอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนจะจับคางของหญิงสาวหันมาทางเขา และพิจารณาใบหน้านั้น
“เหมือนที่อะมาโนะจาคุได้บอกไว้จริงๆ...”หญิงสาวดูตกใจยิ่งนักเมื่อได้ฟัง
“แกเองก็หุบปากไปซะ”ไดกิพูดขึ้นด้วยความโกรธ ก่อนบรรยากาศรอบตัวจะเงียบสงัด มายุที่ยืนอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงของบางอย่างกระทบกับพื้นหิน และรู้ได้ทันทีว่าไดกิได้เลือกแล้ว
“ท่านไดกิ ดาบคามินาริมันสำคัญมากนะคะ”มายุรีบกล่าวออกมา
ตอนนี้ความปลอดภัยของตนเองเธอก็ไม่สนแล้ว
ร่างบางพยายามดิ้นให้หลุดจากคุโระเฮะบิให้จงได้
“แต่ข้าจะให้คนนอกอย่างเจ้ามารับกรรมแทนได้เยี่ยงไรกัน”เมื่อนั้นคุโระเฮะบิจึงหัวเราะอย่างผู้มีชัยอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะกระซิบข้างหูของหญิงสาวชาวมนุษย์
“เจ้าเทนกุตอบได้ดีนะ เพียงแค่เขามาเจอกับอสรพิษอย่างข้า...เสียใจด้วยล่ะ”
“เจ้าจะทำอะไรนาง?!”เสียงไดกิตะโกนลั่น ก่อนความเจ็บปวดจะแล่นเข้ามาที่ไหล่ซ้ายของมายุ จนหญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ฉับพลันความรู้สึกประดุจถูกไฟแผดเผาก็แล่นเข้ามาจนต้องร้องโอดโอยออกมา
“ลาก่อนไดกิ แล้วเจอกันใหม่”เจ้าของเสียงปล่อยให้เธอลงไปนอนกองกับพื้นและรีบหยิบดาบก่อนจะวิ่งหายไปในความมืด ร่างของมายุลงไปดิ้นพล่านเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า อย่างทรมานด้วยพิษงู ไม่ทันไรนั้นชายหนุ่มได้วิ่งเข้ามาหาเธอ
“ท...ท่าน..ไดกิ ดิฉันไม่..”ร่างบางรู้สึกได้ถึงเสื้อที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของตน
และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
“ข้าต้องดูดพิษออก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะตาย!!”พูดจบมือใหญ่ของเขาก็ดึงเสื้อของมายุลงจนเห็นเนินอก และดูดพิษออกจากบาดแผลของเธอ ก่อนจะบ้วนทิ้งลงพื้น มายุที่สายตาพร่ามัวนั้นกลับค่อยๆเห็นใบหน้าของไดกิชัดขึ้นเรื่อยๆ จากทางออกลับที่อยู่ไม่ไกลนัก และด้วยสุริยุปราคาที่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ส่วนอีกฝ่ายยังง่วนกับการดูดพิษออกให้เธออยู่จนไม่รู้ว่าตอนนี้ท้องฟ้าค่อยๆกลับมาสว่างแล้ว
“ท่านไดกิ ดิฉันน่าจะไม่เป็นไรแล้วค่ะ”มายุผละตัวจากอีกฝ่าย และรีบหันไปจัดเสื้อของตัวเองให้เรียบร้อย
“ขอบคุณท่านไดกิมากเลยค่ะ แต่ว่า…”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องดาบ คุโระเฮะบิคงจะยังไปได้ไม่ไกลนัก”ไดกิอธิบาย
มายุเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่เป็นห่วงอย่างชัดเจน
เธอเพิ่งจะเห็นใบหน้าของเขาที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยเธอนัก และยังดูเหมือนชายหนุ่มจะลืมว่าเขาไม่ได้ใส่หน้ากากอยู่
“ค่ะ...แต่ว่า ดิฉันดันเห็นใบหน้าของท่านไดกิไปเสียแล้ว”มายุยังกล่าวโดยมองไปทางอื่น
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็อย่าบอกใครเด็ดขาด”ไดกิเพียงชะงักไปชั่วครู่เท่านั้นแต่เขาก็มิได้ว่ากระไร
“ค่ะ”ไดกิยิ้มออกมาเมื่อได้รับคำตอบ จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับใจสั่น
จะใจเต้นทำไมกัน เขาแค่ดูดพิษงูให้
และก็ช่วยชีวิตของฉันไว้อีกครั้งแล้ว...
ดิฉันจะตอบแทนพระคุณยังไงถึงจะหมดกันล่ะเนี่ย
“เจ้าลุกไหวไหม พวกเราต้องไปนำดาบคามินาริคืนมาให้ได้”เขาส่งมือให้เธอ
“ค่ะ”มายุจับมือกำยำของอีกฝ่าย ทั้งสองยืนขึ้น และค่อยๆเดินออกไปที่ทางออกลับ และออกมาทางโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่ ชายหนุ่มจึงสวมหน้ากากเทนกุอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อาการของเธอดีขึ้นมากกว่าตอนแรกแต่ก็ยังไม่ถือว่าปกตินัก
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลากำลังนับถอยหลังอยู่หากช้าไปกว่านี้และยังไม่ได้รักษาอย่างถูกวิธีมายุคงไม่รอดแน่
“เจ้านั่นยังไปได้ไม่ไกลหรอก”เขาดูไปที่พื้นที่มีรอยเท้าใหม่อยู่ และรีบนำไป
มายุตามอีกฝ่ายไปแม้ว่าเธอจะไม่เป็นอันตรายแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกแสบร้อนที่แผลอยู่ แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่นแต่อย่างใด
“เจ้าพักเสียก่อน หากเดินมาก
เจ้าจะอาการแย่ลงได้”
“ค่ะท่านไดกิ”มายุจึงยืนรอที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ปิศาจหนุ่มบินทะยานขึ้นไปบนฟ้าและลัดเลาะต้นไม้ในป่าไปเรื่อยๆ ดวงตาเรียวมองหาคุโระเฮะบิ ที่เขาคิดไว้ก็คืออีกฝ่ายเองก็จะถูกดูดพลังจนหมดแรงเดินไปเอง ชายหนุ่มจึงตามรอยเท้า จนพบกับเงาเงาหนึ่งที่กำลังลากอะไรสักอย่าง อย่างทุลักทุเลอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงลงมายืนที่พื้นดินไม่ห่างจากอีกฝ่ายมากนัก
“เจ้าคิดว่าจะหนีข้าได้รึ?”เสียงไดกิคำรามออกมาด้วยความโมโห อีกฝ่ายหันขวับและถึงกับผงะไปเมื่อพบว่าเขาถูกตามทันแล้ว จึงรีบแบกดาบคามินาริต่อไปอีก
“ไอ้ดาบบ้าเอ้ย ทำไมมันถึงลำบากยากเย็นเช่นนี้วะ”เจ้าของดวงตาสีเหลืองอำพัน โยนดาบทิ้งลงกับพื้น ตอนนี้เขาเองก็ไม่เหลือพลังใดๆแล้วหากสู้ตอนนี้ยังไงเขาก็แพ้ไดกิแน่นอน
“งั้นข้าไม่เอาดาบนั่นแล้ว เอาไปเสียเถอะ ว่าแต่เจ้ามนุษย์คนนั้นตายไปหรือยังล่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เอาดาบนี้กลับไปไม่ได้เหมือนกัน”คุโระเฮบิหัวเราะอย่างมีชัย แต่ทว่าก็ต้องเงียบลงเมื่ออีกฝ่ายกล่าวขึ้นด้วยความแน่ใจ
“พิษของเจ้าไม่ทำให้นางตายหรอก เพราะข้าดูดพิษให้นางแล้ว เจ้านั่นแหละที่พลาดเองที่ แม้ว่าข้าจะได้รับพิษที่แรงกว่านาง แต่พิษที่เจ้าใช้นั้นแรงไม่พอที่จะทำอันตรายข้าได้”กล่าวจบ
คุโระเฮะบิให้พลังเฮือกสุดท้าย แปรงร่างเป็นงูเขียวตัวหนึ่งก่อนจะเลื้อยหนีไป
“เจ้าจะหนีไปไหนไม่ได้หรอก ตายอยู่ที่นี่เสีย!!!”กล่าวเสร็จชายหนุ่มก็อันเชิญลมพายุลูกใหญ่เขาประทะจนงูเขียวที่น่าสงสารนั้นหลุดจากการพันบนต้นไม้ และลอยละลิ่วไปกระแทกกับต้นไม้ต้นอื่น อย่างแรงจนกระอักเลือดออกมา
“ข้าเป็นถึงเทพแห่งภูเขาและพงไพร อย่าคิดจะมาเทียบกับเทนกุเสียให้ยาก ยังไงเสียเจ้าก็เป็นได้แค่สัตว์รับใช้ของเหล่าเทพ เท่านั้น
หากยังไม่สำเหนียกว่าพลังระดับเจ้าควรจะอยู่ที่ตรงไหน เงาหัวของเจ้าจะหายไปเสียเปล่า” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างยโสโอหัง ก่อนเดินเข้าไปหยิบดาบคามินาริออกมา แม้จะรู้สึกได้ว่าพลังของเขาเริ่มหายไป แต่ก็ยังพอทนได้ ก่อนจะบินขึ้นฟ้าเพื่อกลับไปหามายุที่รออยู่
มายุนั่งนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ในวันนี้เธอได้รู้จักไดกิมากขึ้นเสียทีเดียว และเขาก็ดูใจดีกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนึกถึงแล้วเหตุใดหัวใจของเธอถึงเต้นโครมครามเช่นนี้กัน หญิงสาวหลับตาลงนั่งนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่าย เป็นใบหน้าที่เธอพึ่งได้มีโอกาสเห็นชัดเจนเป็นครั้งแรก
จะทำเช่นไรดีล่ะเนี่ย คงถูกลบความทรงจำแน่เลย…แล้วคงจะลืมว่าฉันเคยพบปิศาจมาก่อนด้วย หรือพบอากาเนะ
หรือไดกิ ทั้งๆที่เขาเป็นคนช่วยชีวิตฉันแท้ๆเลย
ไม่นานนักเธอได้ยินเสียงปีกของอีกฝ่ายที่ปะทะกับลมในอากาศ ดังเข้ามาจึงค่อยๆลืมตาขึ้น และเห็นไดกิถือห่อผ้ากำมะหยี่มา
“ท่านไดกิให้ดิฉันถือดาบให้เถอะค่ะ”เธอกล่าวขึ้นและรีบรับห่อผ้านั้นในทันที
“ท่านไดกิปลอดภัยดีใช่ไหมคะ”มายุถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“คนที่น่าห่วงกว่าข้าคือเจ้าไม่ใช่รึ?”มายุเหลือบเห็นฝ่ามือของไดกิเป็นรอยแดงคล้ายๆรอยไหม้จึงตกใจ
“ฝ่ามือของท่าน...”
“นี่น่ะหรือ ไม่ใช่ฝีมือของคุโระเฮะบิหรอก แต่เป็นพลังของดาบคามินาริ ไม่นานนักข้าคงจะหาย”
มายุถือวิสาสะจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาดู
“ขอให้ท่านไดกิหายไวๆนะคะ”เธอมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าอยากให้ข้าหายไวๆล่ะก็ เลือดมนุษย์คงจะดีไม่น้อย…”เสียงของไดกิดูน่ากลัว พร้อมกับหัวเราะออกมาเพื่อหลอกอีกฝ่าย
“เลือดหรือคะ?” มายุเพียงยืนนิ่งเท่านั้นไม่ได้กลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด แต่เหมือนเธอจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
แวมไพร์ชัดๆเลยนะเนี่ย
“เจ้าไม่กลัวรึ?”เมื่อเห็นมายุไม่มีทีท่าจะกลัว เขาจึงเลิกหยอกเล่น แต่หญิงสาวเพียงส่ายหน้าเท่านั้น ทำให้เขามีสีหน้าที่ผิดหวังนิดหน่อย มายุจึงถามไถ่เขาต่อ
“แล้วท่านไดกิจะกลับที่คฤหาสน์ยังไงหรือคะ?”
“ข้าต้องอุ้มเจ้า แล้วให้เจ้าถือดาบเอาไว้ ห้ามให้ดาบโดนข้าเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วค่ะ”พูดจบปิศาจเทนกุได้เอามือช้อนร่างของมนุษย์ และบินหายไปในอากาศอีกครั้งหนึ่ง
หญิงสาวที่ต้องคอยจับห่อกำมะหยี่นั้นได้ดีก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาเพราะ ดาบนั้นหนักเสียจนเธออึดอัด แถมยังเกือบไปถูกไดกิหลายรอบแล้ว มายุนั่งเพ่งจนเป็นฝ่ายที่เหงื่อตกแทน แต่ก็ไม่ต่างจากไดกิมากนัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกกับดาบโดยตรง แต่ดาบนั้นยังมีอานุภาพรุนแรง เสียจนเขาร้อนรุ่มไปทั่วตัวประดุจถูกไฟแผดเผา เธอเองก็แอบมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“ข้าอยากขอบคุณเจ้าที่เจ้ามาช่วยข้า และยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก”ชายหนุ่มกล่าวขึ้น มายุรู้สึกได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่าย
“ไม่หรอกค่ะ ท่านไดกิช่วยชีวิตฉันเอาไว้นี่คะ ดิฉันเองก็ดีใจที่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณนี้”
“แต่หลังจากนั้น…เจ้าคงกลับไปแล้วสินะ”จู่ๆอีกฝ่ายก็ถามขึ้น
“ใช่ค่ะท่านไดกิ”
“ข้าเห็นเจ้าบอกว่าชอบวิวทิวทัศน์ที่นี่ มันสวยขนาดนั้นเลยหรือ?”ไดกิมองไปรอบๆ เขาเองก็เห็นเพียงภูเขาและต้นไม้เท่านั้น เขาอยู่ที่นี่มานานจนไม่ได้นึกถึงความสวยงามแล้ว
“ค่ะ ดิฉันว่าสวยกว่าในเมืองที่มีตึกสูงๆ ทรงสี่เหลี่ยมเต็มไปหมด อากาศก็ไม่บริสุทธิ์เท่าที่นี่ด้วยค่ะ”
“แบบนั้นรึ ข้าไม่ได้เห็นเมืองของมนุษย์มานานเสียแล้วสิ มีเพียงอีกาของท่านยามะคาวะเท่านั้น ที่คอยอธิบายว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
“แล้วท่านไดกิอยากออกไปเห็นไหมคะ?”เธอถามเขาขึ้นด้วยความอยากรู้
“ข้าออกไปไม่ได้หรอก...”เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“แต่ว่าดิฉันสามารถถ่ายรูปมาให้ท่านดูได้นะคะ”
“ถ่ายรูป?
อ๋อ พวกอีกาเคยบอกไว้ว่าคล้ายๆกับรูปภาพใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ท่านไดกิเองก็ถือว่ายังทันสมัยอยู่นะคะ”มายุหัวเราะคิกคัก ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดด้วยเสียงที่จริงจัง
“ถ้าเช่นนั้น ให้ข้าพาเจ้าไปในที่ที่หนึ่งที่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะชอบได้ไหม? ก่อนที่เจ้าจะกลับไป อย่างน้อยให้ข้าได้ตอบแทนเจ้าบ้าง ที่เจ้าต้องมาเสี่ยงชีวิตขนาดนี้เพื่อพวกข้า”แต่ยังไม่ทันที่มายุจะให้คำตอบ แต่จู่ๆแผลที่ไหล่ของเธอกลับปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น จนมายุต้องเม้มปากเอาไว้ไม่ให้ร้องโอดโอยออกมา เม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วใบหน้าขาวนวลของเธอ
หรือว่าจะยังมีพิษหลงเหลืออยู่ในร่างกายกันนะ เจ็บชะมัดเลย เหมือนโดนเอาของร้อนมาทาบเอาไว้
ชายหนุ่มที่เหลือบมองดูอีกฝ่ายที่อยู่ไม่ค่อยสุขเสียเท่าไหร่ก็ต้องตกใจ เมื่อโลหิตสีแดงเริ่มซึมออกมาจากเสื้อของหญิงสาว และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใดจนเสื้อนั้นแทบจะถูกย้อมด้วยสีแดงฉานไปทั้งตัว
“มายุ เจ้าทนหน่อยนะ เดี๋ยวข้าจะรีบ…”พูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็ไอออกมา ไม่หยุด หรือนี่จะเป็นพิษที่แท้จริงของคุโระเฮะบิกัน ดวงตาสีน้ำตาลเองก็พยายามจะปรือตาให้ตื่นเข้าไว้ หากเธอหลับไปคงไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแน่นอน
“ค่อก..”เสียงไอของไดกิรู้สึกแปลกประหลาดไปจากเดิมเหมือนเขากำลังสำลักอะไรบางอย่าง หญิงสาวมองไปที่หน้ากากเทนกุก่อนจะพบว่าที่ขอบหน้ากากบริเวณคางนั้นมีเลือดสีแดงสดหยดออกมา
“ท่านไดกิ…”มายุพูดด้วยเสียงแผ่วเบาด้วยความเป็นห่วง แต่ตัวของเธอเองก็เริ่มไม่ไหวแล้ว
“ไม่เป็นไร พิษนี่ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้พลังของข้าน้อยลงแล้ว”พูดจบ ไดกิก็เริ่มเสียการทรงตัว มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะต้องแบกรับอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันในเวลาที่ไม่พร้อมสักเท่าไหร่ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนค่อยๆมองไปเบื้องหน้านั้น ก็ยังไม่เห็นจุดหมายแต่อย่างใด สายตาของเธอตอนนี้กำลังเป็นกังวลมากนัก
“ค่อกๆๆ”ปิศาจเทนกุไอออกมาอีกหลายที คราวนี้หยดเลือดนั่นหยดลงมาตามขอบหน้ากาก มากกว่าเดิม
“ท่านไดกิพักก่อนไหมคะ ให้คุณคาบูโตะ คุณทาโร่หรือคนอื่นๆมารับเถอะค่ะ”
“ไม่ได้…พวกนั้นจะได้รับอันตราย…ดาบคามินาริสามารถทำให้เจ้าพวกนั้นกลายเป็นฝุ่นผงได้ในทันทีเลย..”นี่เป็นเหตุผลที่ไดกิไม่ยอมให้เหล่าการาสุเทนกุตามมา
“ถ้าเช่นนั้น ท่านไดกิให้ดิฉันนำดาบไปซ่อนแถวนี้ก่อนไหมคะ แล้วค่อยกลับมาคราวหลังค่ะ”มายุพยายามคิดทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งเขาและเธอ
“แ...แต่ดาบเล่มนี้มันสำคัญมาก แม้แต่ท่านเซริว….ข้าก็ยังไม่ไว้ใจ…”
“ท่านเซริว?”เธอสงสัย ทั้งที่เขาสั่งให้ไดกิไปนำดาบมาให้แท้ๆ
“…เขายื่นข้อเสนอว่าถ้าข้านำดาบมาได้ จะคืนพลังส่วนหนึ่งให้ข้า แต่ว่า…เขาเองไม่อยากให้ข้าทำได้...แค่กๆ”ปิศาจผู้มีเรือนผมสีดำไอออกมาอีกครั้ง
“แต่ก่อน…ข้าเคยทำสงครามกับเขา แต่...ข้าแพ้ เขาเลยไม่ชอบข้ามาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว…ข้าจึงถูกขังไว้ที่นี่..และต้องทำงานให้เหล่าเทพเพื่อเป็นการไถ่โทษ…แต่ว่าเขาไม่อยากให้ข้ามีพลังเฉกเช่นเดิม…จึงยื่นข้อเสนอมาให้ว่าให้ข้านำดาบคามินาริมา…ซึ่งเขารู้ดีว่าข้าทำไม่ได้เพราะข้าเป็นปิศาจแม้ว่าจะเป็นปิศาจกึ่งเทพก็ตาม และข้าไม่สามารถออกไปหามนุษย์ให้มาช่วยเรื่องนี้ได้ จนข้าได้พบเจ้า…มายุ ข้ารู้แล้วว่า เป็นทางเดียวที่ข้าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง ข้าจึงบอกเขาในวันนั้น แล้วเจ้าเองก็เห็นว่า เขาโวยวายขนาดไหน หากข้าวางดาบทิ้งเอาไว้ คงไม่พ้นที่เซริวจะหยิบไป และอ้างว่าเขาเป็นคนเจอเอง…”อธิบายจบไดกิก็เสียการทรงตัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาบินต่ำลงมามากกว่าเดิม มายุที่เกาะเขาเอาไว้อย่างหวาดหวั่นก็ภาวนาขอให้เขาไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
“ท่านไดกินี่ น่าสงสารจัง”เธอพูดด้วยความเห็นใจอีกฝ่าย
“อย่ามาดูแคลนข้าสิ เจ้ามนุษย์ตัวน้อย ข้ายังบินไหวอยู่”แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ไดกิก็ยังหยิ่งยะโสไม่เลิกเหมือนกับว่า ปัญหาของเขาจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่แก้ไขได้ และไม่ได้ต้องการให้ใครมารับฟังแต่อย่างใด
“ท่านไดกิคะ ระวังยอดเขาค่ะ!!!”เธอมองไปเบื้องหน้า ที่เป็นยอดเขาอยู่ไม่ไกลนัก แต่ไดกิยังบินสูงไม่พอที่จะพ้นนัก อีกฝ่ายรวบรวมกำลังและกระพือปีกบินจนพ้นพอดี แต่มายุไม่ได้ทันเห็นภาพดังกล่าวเพราะเธอหลับตาลงด้วยความหวาดเสียวนัก และค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“คฤหาสน์อยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ”เธอให้กำลังใจอีกฝ่าย แต่พูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็ดิ่งลงพื้นในทันที เพราะหมดกำลังแล้ว มายุถึงกับร้องกรี๊ดขึ้นมาด้วยความตกใจ หากเธอตกลงไปยังไงก็ตายแน่นอน ก่อนชายหนุ่มจะรู้สึกตัวและกระพือปีกเพื่อทรงตัว
“ท่านไดกิจะวูบแบบนี้ไม่ได้นะคะ…”มายุแทบจะร้องลั่นออกมา ก่อนไดกิจะค่อยๆกระพือปีกขนาดใหญ่ด้านหลังและบินไปต่อ
“ท่านไดกิต้องทำใจดีๆไว้นะคะ”เธอพยายามเรียกสติอีกฝ่ายหนึ่งไว้ตลอดเวลา
“ห้ามหลับเด็ดขาดเลยนะคะ”มายุเตือนเขาและเตือนตนเองด้วย
แต่แบบนี้เธอคงหลับไม่ลงแล้ว
“แค่กๆๆ”เสียงอีกฝ่ายไออย่างน่ากลัว ก่อนจะเริ่มเซถลาดั่งนกปีกหัก มายุถึงกับกอดชายหนุ่มไว้แน่นเพราะกลัวเขาจะปล่อยเธอตก ดวงตาสีดำภายใต้หน้ากากนั้นดูอิดโรยอย่างมาก ก่อนจะหันมามองหน้าอีกฝ่าย ฉับพลันเขาก็เห็นภาพซ้อนของมายุกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาคล้ายกันมาก
“มิ..วะ”เมื่อกล่าวจบร่างของชายหนุ่มได้เซถลาไปที่พื้นเบื้องล่าง มายุรีบเขย่าตัวอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้รู้สึกตัวเแต่ก็ไม่เป็นผล คฤหาสน์ตรงหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างนั้นก็เซถลาเข้าไปในห้องทำงานของตน ไดกิโอบอีกฝ่ายหนึ่งไว้และให้ตัวเองกระแทกกับพื้นห้องแทนร่างบางก่อนทั้งสองจะนอนนิ่งไป
ความคิดเห็น