ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    「大天狗 の 花嫁」DAITENGU NO HANAYOME เจ้าสาวแห่งขุนเขา

    ลำดับตอนที่ #1 : ชะตากรรม

    • อัปเดตล่าสุด 15 ต.ค. 61



     

    ในยุคสมัยที่มนุษย์ ยังคงเชื่อในเทพเจ้า นั้น มนุษย์ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตนเองปลอดภัย และได้รับการคุ้มครองจากเหล่าเทพ แม้แต่ปิศาจที่น่ากลัวเองก็เช่นกัน ที่มนุษย์ต้องยอมตกเป็นเบี้ยล่าง และเสียสละ ชีวิตอันอ่อนแอและไร้ทางสู้เพื่อไปเป็นเครื่องสังเวย เพื่อแลกกับความรู้สึกปลอดภัยเท่านั้น ณ ดินแดนนี้ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ดินแดนที่เทพีอะมาเทราสึ สาดแสงส่องลงมาเป็นที่แรกเองก็เช่นกัน แม้มนุษย์จะเชื่อมั่นในเทพีแห่งสุริยันปานใดก็ตาม แต่สุดท้าย นางก็จะหายลับไปที่ขอบฟ้าในทุกๆวัน และปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ในความมืด และในเวลานั้นเองที่เหล่าสิ่งชั่วร้ายหรือปิศาจมักจะปรากฏตัวขึ้น  แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานนับหลายพันปีนั้น ความชั่วร้ายนั้นก็คงยังอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ แม้ว่าเหล่ามนุษย์จะเลิกนับถือพระเจ้าหรือปิศาจแล้วก็ตาม เพราะความชั่วร้ายที่มนุษย์เผชิญนั้น ไม่ใช่ปิศาจตามตำนานเล่าขานตั้งแต่โบราณแต่อย่างใด แต่เป็นมนุษย์เสียเองนั่นแหละที่ดูจะชั่วร้ายเสียเหลือเกิน จนปิศาจนั้นยังอาจไม่น่ากลัวเท่า

    แสงไฟในเมืองใหญ่ยามค่ำคืนของญี่ปุ่นนั้น สว่างไสวเสียว่าความมืดเองก็ไม่อาจปกคลุมได้ นั่นเองกระมังที่คนเราจึงกลัวยามค่ำคืนน้อยลงกว่าแต่ก่อน แสงไฟที่กระทบหยดน้ำที่กระจกหน้าต่างเป็นสีเขียว สีแดง จากไปจราจรที่สว่างไสวอยู่ที่สี่แยกใหญ่ของญี่ปุ่น ทางเดินคอนกรีตสีเทาเข้มด้วยน้ำฝนอันชุ่มช่ำ ที่พึ่งหยุดตกได้ไม่นานนั้น ทำให้หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวจนถึงกลางแผ่นหลังของเธอ  ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสะท้อนภาพแสงไฟที่ฉายจากหน้าจอโทรศัพท์เป็นสีขาว เธอลงมือกดโทรศัพท์ โดยที่มือของเธอนั้น คล้องกระเป๋าไว้อยู่ และมืออีกข้างยังคงกางร่มใส ที่สามารถมองทะลุได้ โดยที่เธอดูจะทะมัดทะแมงและคล่องแคล่วกับการตอบข้อความที่คู่สนทนาได้ส่งมาให้เธอ ไม่นานนักเธอเพียงเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ใบเล็กที่คล้องอยู่ที่แขนของเธอ และค่อยรูดซิปปิดกระเป๋าเพื่อความปลอดภัย หรือไม่เธอก็ขี้เกียจจะตอบข้อความอีกฝ่ายเสียมากกว่า เธอเพียงถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าที่ดูกังวล แต่ทว่าไม่มีใครที่จะหันมาสนใจเธอเลย เพราะทุกคนในที่แห่งนี้ก็มีธุระของตัวเองทั้งนั้น หญิงสาวมองผู้คนที่เดินผ่านเธอไป และคิดว่าหากเธอหายไปเสียนะ ตรงนี้ตอนนี้ก็คงไม่มีใครรู้ ไม่นานนักเธอก็มายืนที่ป้ายรถประจำทางที่อยู่ไม่ห่างนัก รถยนต์ที่ค่อยๆขับไปบนถนนที่เปียกฝนอย่างเชื่องช้า ไฟสีเหลืองส่องนำทางสะท้อนภาพบนผิวถนนที่เจิ่งนองด้วยหยาดฝน แม้จะดูสวยงามแต่ก็ดูเหงาเสียจริง  หญิงสาวผู้สวมชุดสูท ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ และนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ไม่นานนักเสียงรถขนาดใหญ่ก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ทำให้เธอลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเดินขึ้นรถบัสไป  และนั่งที่เก้าอี้บนรถแถวสุดท้ายเมื่อเธอครุ่นคิดอยู่นาน เธอจึงตัดสินใจโทรหาคนคนหนึ่ง หญิงสาวเอื้อมมือเข้าไปหยิบมือถือสีดำขลับขนาดเหมาะมือเธอและโทรหาคนที่ชื่อ ยูกิ ไม่นานนักปลายสายก็รับ ก่อนจะกล่าวด้วยความรีบร้อน

    มายุ!! ฉันเห็นในข่าวแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นหรอ!! เธอปลอดภัยดีใช่ไหมเสียงหญิงสาวปลายสายถามขึ้นมา

    ฉัน…”เธอชะงักไป เพราะไม่รู้ว่าจะเล่าเช่นไรต่อดี ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ

    “…ตอนนี้ไม่สะดวก ขอวางสายก่อนนะมายุตัดบท

    “…เดี๋ยวสิ….”ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบ ก็ถูกวางสายใส่เสียแล้ว

    ก็เรื่องฟ้องโรงงานเรื่องมีมลพิษรั่วไหลแหละ..คือ….ตั้งแต่ทำคดีนี้ก็มีคนป้วนเปี้ยนแถวบ้าน จนไม่กล้ากลับบ้านแล้วล่ะพูดไม่ทันจบประโยค มายุก็เงยหน้าเห็น ชายฉกรรจ์สองคนที่ไม่น่าไว้วางใจเข้ามาบนรถบัส ทั้งสองดูเหมือนจะมองหาใครสักคน ในรถบัสที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เพิ่งจะเลิกงาน ไม่ทันไรสองคนนั้นก็เห็นมายุ และรีบสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวไม่รู้จะหนีไปไหน จึงใช้จำนวนคนเข้าช่วยว่า หากเธอถูกทำร้ายก็มีคนเห็นเหตุการณ์สักเกือบยี่สิบคนได้ เมื่อเธอไม่มีทีท่าจะหนี หนึ่งในนั้นจึงยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลให้ แต่เธอไม่รับ เขาจึงเงื้อมือจะต่อยร่างบาง หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยกมือขึ้นป้องตามสัญชาติญาณ เมื่อนั้นเขาจึงโยนซองน้ำตาลให้และรีบลงจากรถไป  มายุรีบเอามือปิดหน้าในทันทีเพราะกลัวว่าข้างในซองเป็นระเบิด แต่เมื่อไม่เกิดอะไรขึ้นเธอจึงค่อยๆเอามือที่ปิดหน้าออกเสีย และลองลูบคลำของที่อยู่ในซองก็พบว่ามีแท่งอะไรสักอย่าง แต่ไม่แข็งมากนัก มายุจึงรอให้รถจอดที่ป้ายที่ เมื่อเธอลงมา ก็รีบจ้ำอ้าวไปที่โรงแรมที่เธอมาพักแทนการกลับบ้าน

    เมื่อถึงห้องสี่เหลี่ยมสีนวลที่มีเตียงไม่ไกลจากประตูห้องสีขาวมากนักประตู ตรงข้ามมีโทรทัศน์ทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่เก่าไม่ใหม่ ทางด้านขวาของห้องเป็นห้องครัวที่มีเครื่องครัวเพียงไมโครเวฟสีขาวเครื่องเล็ก และกาน้ำร้อนไว้เพื่อชงกาแฟในยามเช้า และต้มราเม็งสำเร็จรูป ส่วนห้องน้ำนั้นต้องใช้ห้องน้ำรวม ห้องของเธอจึงมีผนังสี่ด้านและหน้าต่างบานเล็กอยู่บานเดียวเท่านั้น มายุนั่งลงที่ปลายเตียง จะบรรจงค่อยๆแกะหีบห่อออก โดยไม่ลืมสวมถุงมือด้วย และก็ต้องตกใจเมื่อ มีนิ้วคนหล่นลงมาจากซอง ซึ่งดูเหมือนจะถูกตัดได้ไม่นาน มายุแทบจะตกจากเตียง นิ้วมือล่วงไปอยู่ที่พื้น ร่างบางรีบยกเท้าขึ้นในทันทีเหมือนเธอขยะแขยง และก็กรีดร้องออกมาอย่างช่วยไม่ไดั จนกระทั่งพนักงานโรงแรมต้องมาเคาะหน้าห้องเพื่อถามว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่งหญิงสาวก็รีบสาวเท้าไปที่ประตูอย่างเร็วไวก่อนจะเปิดประตูออกไปนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่หน้าห้อง พนักงานโรงแรมเมื่อทราบเรื่องก็รีบวิ่งตามทางเดินยาวของโรงแรมเพื่อไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจ

    มายุขึ้นนั่งในรถตำรวจที่วิ่งด้วยความเร็วอยู่บนถนนที่ยังไม่เเห้งดีนัก หญิงสาวนั่งตัวลีบด้วยความกลัวอยู่ด้านหลังรถตำรวจ เธอคิดว่าน่าจะเป็นจดหมายข่มขู่เธอจึงสวมถุงมือเพื่อไม่ให้นิ้วมือเธอเข้าไปติดกับสารที่อยู่ด้านในซองกระดาษนั้น แต่ไม่คิดว่า มันจะกลายเป็นนิ้วของมนุษย์ไปเสียได้ นิ้วนิ้วหนึ่งเลยเชียวนะ เขานึกภาพนิ้วที่สีผิวเริ่มซีด และมองเห็นกระดูกที่อยู่ข้างในก็รู้สึกกลัว จนต้องสะบัดหน้าไปมาไล่ความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไป ก่อนสายตาเธอจะสบกับดวงตาคู่หนึ่งของนายตำรวจที่นั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า และนายตำรวจนั้นก็เริ่มถามขึ้น

    คุณน่าจะถอนตัวได้แล้วนะเสียงที่ฟังดูเคร่งขรึมกล่าวขึ้น

    คะ?”มายุตอบด้วยความสงสัย อาจเพราะเธอนั่งอยู่เบาะหลังจึงฟังเสียงได้ไม่ชัดเท่าไหร่

    “….ยังไงคดีนี้คุณก็ไม่ชนะหรอก ถ้าไม่อยากตายก็เลิกทำเสียหญิงสาวนั่งนิ่ง เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเตือนหรือข่มขู่เธอกันแน่ แต่ทว่าหากเธอถอนตัวออก แล้วใครจะช่วยให้ชาวบ้านแถวนั้นได้รับค่าชดใช้ล่ะ เธอจึงก้มหน้าและไม่ตอบคำตอบใดอีก เพราะตอนนี้เธอกำลังสู้กับคนระดับรัฐมนตรีเชียวหนา ตอนที่ไม่ว่าจะที่ไหนก็ดูไม่ปลอดภัยเสียเลย ไม่นานนักรถตำรวจก็ขับมาถึงที่สถานี เสียงคนพูดคุยกันอย่างเซ็งแซ่นั้นเรียกให้เธอมองออกไปนอกหน้าต่างรถ และเห็นเหล่านักข่าวอาชญากรรมที่รอคอยอยู่ที่สถานีตำรวจพร้อมด้วยกล้องขนาดใหญ่ บางคนเมื่อเห็นรถตำรวจเข้ามา ก็พยายามเก็บภาพเสียให้ได้ก่อนคนอื่น ในขณะที่บางสำนักข่าวได้เริ่มการถ่ายทอดสดแล้ว ในวินาทีที่รถยนต์เข้ามาจอดนักข่าวก็กรูกันเข้ามาที่ประตูรถ ประดุจอีแร้งที่คอยรอรุมทึ้งซากศพอย่างไงอย่างงั้น หญิงสาวสูดหายใจลึก และเปิดประตูออกไป ทันใดนั้นคำถามมากมายต่างประดังเข้ามาหาเธอ แสงแฟล็ชจำนวนมากทำให้เธอถึงกับชะงักไปช่วงเวลาหนึ่ง

    คุณมายุ คิตะยามะ คุณพบเจอจดหมายข่มขู่ใช่ไหมครับนักข่าวคนหนึ่งรีบยิงคำถาม

    ค่ะเธอตอบกลับสั้นๆ

    แล้วจดหมายข่มขู่คุณคิดว่ามาจากไหน พอทราบไหมคะหญิงสาวเหลือบมองตำรวจที่มาด้วยกับเธอ ก่อนจะตอบคำถามด้วยเสียงแผ่วเบา

    ….ไม่ทราบค่ะ

    และคิดว่าผู้ที่ส่งจดหมายดังกล่าว มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ คุณไทโยะ มูราคาวะ ทนายที่อยู่ทีมเดียวกับคุณ หายตัวไปไหมคะ

    คะ? เขาหายตัวไปด้วยหรือคะ?”เธอรีบหันขวับไปถาม

    ค่ะ ทางคุณฮิมาวาริ ภริยาของเขา ได้พึ่งเข้ามาแจ้งความเมื่อตอนเย็นเมื่อวานว่า คุณไทโยะถูกคนกลุ่มหนึ่งพาขึ้นรถตู้สีดำไปค่ะเมื่อมายุฟังเรื่องและพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ว่า นิ้วมือที่เธอพบน่าจะเป็นของใคร หญิงสาวก็รู้สึกคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียน จากความเครียดและความกลัวที่สะสมมานานจนเธอต้องยกมือขึ้นปิดปาก และพยายามหลับนาและทำสมาธิสักครู่จนรู้สึกดีขึ้น

    แล้วคุณมายุ จะถอนตัวจากคดีไหมครับนักข่าวอีกสำนักหนึ่งกล่าวแทรกขึ้นมา หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนมองเบื้องหน้าที่ผู้คนนับสิบต่างรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ กดดันเธอยิ่งนัก ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววความเครียดและครุ่นคิด เมื่อเห็นว่าเธอที่เป็นแค่ทนายฝึกหัดคงจะทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว ในที่สุดเธอจึงกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยินคำตอบเธอทั้งสิ้น

    ดิฉันคงต้องขอคิดดูก่อนค่ะ ดิฉัน...เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบเธอ แต่ทว่าก่อนที่จะมีใครถามคำถามอันใดต่อนั้น สายตาของเธอก็เห็นหญิงผู้หนึ่งที่เดินฝ่าฝูงชนเข้ามา โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตจนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเธอ กว่ามายุจะนึกใบหน้าดังกล่าวได้ออกนั้น ฝ่ามือของอีกฝ่ายก็ตบเข้าที่ใบหน้าของเธออย่างแรง จนหญิงสาวล้มลงไปนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น เธอจับใบหน้าข้างที่ตนโดนตบอย่างงุนงง พร้อมด้วยเสียงฮือฮาของเหล่านักข่าว พร้อมกับลั่นชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด ไม่นานนักตำรวจก็เข้ามากันเธอออกมา พร้อมกับล็อคตัวหญิงคนนั้น เธอพยายามดิ้นและต่อว่าใส่มายุอย่างอารมณ์เสีย

    ไหนแกบอกว่าจะช่วยให้คนในหมู่บ้านเราได้รับค่าชดใช้ยังไงล่ะ!!!! แล้วลูกที่ป่วยของฉันล่ะ จะได้รับความยุติธรรมไหม ลูกฉันอายุแค่10ขวบ แต่กลับต้องมาเป็นมะเร็งผิวหนังเพราะลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำในช่วงปิดเทอมแท้ๆ….ไม่มีใครเอาผิดกับไอ้โรงงานบ้าๆ นั่นเลยหรอ….สุดท้ายเธอมันก็ไม่ได้เรื่อง แกมันอีกพวกสิบแปดมงกุฏล่ะสิ จะหลอกเอาเงินไปฟรีๆสินะ!!!”หญิงคนนั้นกรีดร้องด้วยความเสียใจ มายุชะงักไป

    ไม่ใช่นะคะ ดิฉันไม่เคยคิดจะหลอกเอาเงินคุณเลย….”แต่เหมือนเสียงของเธอหายไปกับความว่างเปล่า เพราะหญิงผู้นั้นไม่ฟังเธอเสียแล้ว

     ไม่นานนักหลังจากที่กันนักข่าวออกไปได้ มายุได้นั่งอยู่ที่ม้านั่งในสถานีตำรวจ ใบหน้าของเธอเริ่มมีรอยแดงจากการถูกตบอย่างชัดเจนมากขึ้น แต่เธอไม่ได้สนใจสิ่งนั้นเลย ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่โทรทัศน์ของสถานีตำรวจ ที่ติดอยู่บนผนังสีขาว ในนั้นเป็นข่าวเรื่องของเธอเอง รูปที่เธอให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดจนกระทั่งมีหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาตบหน้าเธอนั้น เหล่านักข่าวต่างถ่ายรูปและอัดวิดีโอเสียชัดแจ๋ว แม่บ้านของสถานีตำรวจเมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ก่อนที่เธอจะเดินจากไป มายุนั่งครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นแม้ว่าจะดูเหมือนเธอนั่งดูโทรทัศน์อยู่นั้น แต่แท้จริงแล้วเธอกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย จนกระทั่งเสียงมือถือของเธอดังขึ้น มายุดูที่หน้าจอโทรศัพท์ ที่ขึ้นชื่อว่า เจ้านาย ของเธอโทรมา จึงตัดสินใจรับสายในทันที

    สวัสดีค่ะหัวหน้า ขอโทษด้วยนะคะที่วันนี้อาจจะไม่ได้ไปทำงานค่ะ ตอนที่ดิฉันเกิดเรื่องก็รีบส่งอีเมลให้หัวหน้าแล้วค่ะเธอกล่าวด้วยความสุภาพแก่ปลายสาย แต่ทว่าเมื่อได้ฟังคำพูดของชายวัยเกษียณ กลับทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก จนต้องรีบทวนสิ่งที่เธอได้ยิน

    อะไรนะคะ!! ดิฉันจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตว่าความหรือคะ?”หญิงสาวที่ได้ยินก็แทบจะเป็นลม มือไม้เย็บเฉียบจนสั่นเป็นเจ้าเข้า แต่ก็พยายามฟังเสียงจากปลายสายต่อ

    มีคนร้องเรียน ว่าดิฉันแกล้งถ่วงเวลา ไม่ให้ฟ้องคดีความหรอคะ? แต่มันไม่ใช่ .....ดิฉันไม่เคยหลอกเอาเงินลูกความเลยค่ะเธออธิบายและฟังอีกฝ่ายที่พยายามกล่าวอ้อมไปมา จนเธอทนไม่ไหวและตัดสินใจถามไปโดยตรง

    หัวหน้าจะไล่ดิฉันออกใช่ไหมคะ?”หลังจากคุยไม่นานนัก หญิงสาวกล่าวขอบคุณ หัวหน้าของเธอตามมารยาท ไม่สิ จะต้องถือว่านับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เขาเป็นอดีตหัวหน้าเสียมากกว่า นั่นจึงแปลว่าเธอถูกไล่ออกจากสำนักงานทนายความเสียแล้ว พอดีกับหญิงที่ตบเธอนั้นกำลังถูกนำไปลงบันทึกประจำวัน มายุจึงรีบสาวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

    คุณตำรวจคะ ดิฉันจะขอยอมความ ไม่เอาเรื่องผู้หญิงคนนี้หญิงอีกฝ่ายจะดูประหลาดใจ แต่ยังไม่ได้ถามอะไร ตำรวจก็ได้กล่าวขึ้น

    ไม่ได้ นี่เป็นการทำร้ายร่างกาย เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้นายตำรวจกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น

    ได้สิคะ ดิฉันจ้างผู้หญิงคนนี้ให้ตบดิฉันเองคำตอบนั้นทำให้นายตำรวจถึงกับฉงนงงงวยเป็นอย่างยิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้

    มันเป็นการแสดงมายุกล่าวออกมา นายตำรวจมองหน้าอีกฝ่ายที่มีรอยมืออยู่ที่แก้มอย่างไม่ค่อยเชื่อ แต่สุดท้ายด้วยความที่เขาเองก็ไม่อยากทำงานหนัก แถมหญิงสาวเองก็ดูจะไม่เอาเรื่องด้วย จึงยอมปล่อยหญิงผู้นั้นออกมา หญิงในวัยกลางคนมองอย่างประหลาดใจ และเมื่อมายุพาออกไปนอกสถานีตำรวจแล้ว หญิงผู้นั้นจึงถามคำถามขึ้น

    เธอทำแบบนี้ทำไม? ฉันตบเธอนะ?” เธอมองมายุโดยไม่ยอมละสายตา และคิดว่าต้องคาดคั้นหาคำตอบที่ตนพอใจให้ได้

    ดิฉันเองก็ไม่สามารถช่วยคุณได้ เหมือนที่เคยพูดไว้ ดิฉันต้องขอโทษค่ะมายุคำนับอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวต่อ

    ดิฉันจึงนำเงินค่าจ้างมาคืนค่ะ เพราะว่าดิฉันทำงานผิดพลาดเองจนไม่สามารถทำงานนี้ต่อไปได้ค่ะ ดังนั้น ช่วยกรุณารับเงินค่าจ้างคืนไปค่ะเธอยื่นซองจดหมายสีขาวให้ อีกฝ่ายรับคืนมาและค่อยๆแง้มดู เมื่อพบว่าเป็นเงินดั่งที่มายุได้กล่าวไว้ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมา

    ฉันเองก็ขอโทษ ที่ตบเธอไปตอนนั้น...เพราะคิดว่าเธอจะหลอกลวงพวกเรา เพราะฉันไม่เหลือทางเลือกใดๆแล้ว ยิ่งคนในหมู่บ้านมาเป่าหูว่าเธอแกล้งถ่วงเวลา ฉันก็เลยเชื่อไปเสียสนิทหญิงคนนั้นกล่าวขอโทษเธอ จากนั้นหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มจึงกล่าวต่อ

    ค่ะ ถ้าเช่นนั้นดิฉันขอตัวนะคะมายุเพียงคำนับและเดินออกมาจากที่นั่น ไม่นานนักฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก จนเธอต้องรีบกางร่ม แม้ว่าอากาศภายนอกจะดูโศกเศร้าเสียเท่าไหร่ แต่ภายในของเธอนั้นกลับจะโศกเศร้าเสียยิ่งกว่า

    ฉันมันขี้ขลาด ที่ยอมแพ้แบบนี้ แต่ว่าฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นาและในวันนี้ฉันทั้งตกงาน โดนถอนใบอนุญาตว่าความ ถูกลูกความตบหน้าอีก…. ซวยจริงๆเลย...แต่ฉันก็ยังมีชีวิต

    น้ำตาใสๆไหลออกมาเป็นสายก่อนจะหยดกระทบกับแขนเสื้อของเธอ และกลืนไปกับน้ำฝน ยังไงเสียเธอก็เป็นคนขี้ขลาด ที่ยอมแพ้แก่อำนาจ หญิงสาวนึกถึงใบหน้าของรุ่นพี่ของตน ที่ไม่มีใครทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นมาว่ารุ่นพี่ไทโยะนั้น คงไม่ยอมแพ้แบบเธออย่างแน่นอนแต่ก็เพราะเช่นนั้น รุ่นพี่จึงต้องประสบชะตากรรมที่น่าอดสูเช่นนี้  หากเธอล้มเลิกความคิด ก็เท่ากับไทโยะเองนั้นก็ตายเปล่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว มายุรีบสาวเท้าไปตามลานจอดรถคอนกรีตที่อยู่ภายนอกสถานีตำรวจ กว่าจะรู้ตัวนั้น เธอก็วิ่งมายืนอยู่เบื้องหน้า หญิงคนนั้น

    ดิฉันจะช่วยคุณ แม้ว่าจะเหลือเวลาไม่มาก แต่ดิฉันจะนำหลักฐานที่ดิฉันหามาได้ ร้องเรียนไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจังหวัดไอชิ เพื่อให้มีการตรวจสอบพื้นที่ที่เกิดการรั่วไหลของสารเคมีค่ะ ส่วนการฟ้องคดีนั้น ดิฉันคงไม่อาจทำให้ได้แล้วค่ะ ต้องขออภัยเป็นอย่างมากค่ะเธอค้อมตัวให้อีกฝ่าย

    ต้องขอบคุณมากค่ะอีกฝ่ายคำนับเธอ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอดูมีประกายความหวังที่จะทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับเธอ

    ถ้าอย่างนั้น ดิฉันจะไปล่ารายชื่อของชาวบ้านที่แถบหุบเขาโครังเค ในวันพรุ่งนี้ และเมื่อล่ารายชื่อได้แล้ว ดิฉันต้องรีบนำรายชื่อนั้นภายในวันมะรืนนี้ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติในจังหวัดของคุณค่ะ

    ดิฉันไม่รู้ว่าจะชดใช้ความผิดที่ทำกับคุณได้อย่างไร ซึ่งดิฉันเองก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คุณมายุช่วยรับเงินค่าจ้างเถอะค่ะ

    ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันทำในสิ่งที่ดิฉันพอจะช่วยคุณได้เท่านั้นค่ะเธอกล่าวลา  ก่อนจะเดินจากไปตามท้องถนน หวังว่าเธอจะตัดสินใจถูกนะที่ทำเช่นนี้ มายุเดินไปบนคอนกรีตที่ทอดยาวไปตามถนน แต่ยังมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ตอนนี้เธอต้องรีบออกเดินทางเพื่อไปให้ถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร หญิงสาวรีบตรงไปที่สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด

     

    ภายในรถไฟที่ชิงคันเซ็นหนาแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบจะไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ แต่กลับเงียบเชียบเพราะไม่มีใครคุยกันในขบวนรถไฟ มายุเองที่กอดกระเป๋าเอกสารของตัวเองไว้แน่น ก่อนจะมองดูรายชื่อป้ายสถานี ที่ติดอยู่ด้านบนของประตูรถไฟ ตอนนี้เธอกำลังอยู่บนรถไฟโทไคโด ชิงคันเซ็นที่กำลังวิ่งผ่านจังหวัดอื่นๆอยู่  โชคดีที่เธอนั่งชิงกันเซ็นนั้นขับเคลื่อนด้วยความเร็ว เพียงเวลาไม่นานนักเธอก็สามารถไปถึงที่นาโกย่าได้  มายุวางแผนการเดินทางของตนต่อ หากเธอถึงนาโกย่าแล้ว เธอต้องนั่งรถไฟ สายคันไซต่อจนถึงสถานี ยาโตมิ และขึ้นรถไฟสาย เมเท็ตทสึ นาโกย่า ไปลงสถานี ฮิกาชิ โอซาคากิหลังจากนั้นต้องต่อรถไปยังหุบเขาโครังเค แค่คิดถึงวิธีไปถึงหมู่บ้าน เธอก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว และจู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงเสียอีกเพราะหุบเขาโครังเคเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อคิดดูแล้ว เรื่องที่เธอกำลังทำอยู่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบกับชาวบ้านแถวนั้น แต่รวมถึงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่ไปแถวนั้นด้วย ซึ่งหากเธอปล่อยไว้ คนอีกมากมายจะต้องล้มป่วย แต่ทว่ากว่าเธอจะไปถึงก็คงเย็นเสียแล้ว มายุมองออกไปนอกหน้าต่างที่วิวต่างนั้นมองเห็นได้ไม่ชัด เพราะความเร็วของรถไฟชิงกันเซ็น หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อ จนมิได้ทันรู้ตัวว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ คอยแอบติดตามเธออยู่ หญิงสาวไม่อาจรู้ตัวไเด้เลย เพราะตลอดการเดินทางเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่ซ้ำหน้า เวลาผ่านไปจนเริ่มบ่ายคล้อย ในที่สุด มายุก็ได้มารอรถบัสที่ป้ายสถานีรถโดยสารประจำทาง ที่แน่นขนัดไปด้วยฝูงชน

    วันนี้คงจะไม่ได้ขึ้นรถแน่ๆเลย

    มายุถอนหายใจออกมา และเหลือตาดูตารางเวลาที่รถจะมารับในขบวนถัดไป ที่ติดอยู่ที่ป้ายรอรถประจำทาง

    หนึ่งชั่วโมงเลยหรอ? แบบนี้เราคงต้องรออีก สามสี่ชั่วโมงเลยล่ะสิ หรือว่าถ้าเราเดินแล้วจะเร็วกว่านะ….ไม่ๆๆๆๆ ยิ่งนานกว่าเดิมล่ะสิไม่ว่า

    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ถอนหายใจออกมา และรออย่างใจจดใจจ่อต่อไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปที่พระอาทิตย์ดวงโตเริ่มจะลอยละลิ่วผ่านไปทางทิศตะวันตกไป เสียทุกที การรอคอยอะไรสักอย่างนั้นให้ความรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปนานยิ่งนัก  เธอมองไปรอบๆเพื่อมองบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วง ใบต้นเมเปิ้ลนั้นร่วงหล่นตามแรงลมและสายลมนั้นก็นำพาใบไม้เหล่านั้น หมุนเป็นวงกลมตามพื้นถนนไปเรื่อยๆ พอที่จะทำให้เธอดูได้อย่างเพลินตา ต้นไม้ทุกต้นบริเวณนี้รวมไปถึงพุ่มไม้ เป็นสีส้มสวยงาม เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้วเหมือนกับจะร้องเพลงอย่างมีความสุขและผู้คนที่อยู่รอรถนั่นเองก็คุยกันอย่างสนุกสนาน จะมีเพียงเธอเท่านั้นแหละ ที่ไม่ได้มีความสุขเสียเท่าไหร่ และความง่วงก็เข้ามาเยี่ยนเยียนเธอ มายุเริ่มนั่งสัปหงก เพราะตั้งแต่เมื่อคืนเธอเองก็ยังไม่ได้นอนเลยสักนิดเดียว รวมถึงวันก่อนๆที่นอนไม่หลับด้วย เมื่อร่างกายของเธอเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว มายุเองก็ไม่อาจฝืนได้ เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงช้าๆ โดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำของเธอที่ไร้การป้องกันใดๆ ได้อยู่ในสายตาของคนบางกลุ่มเสียแล้ว

    ภายในนิทราของเธอนั้น มายุเหมือนเห็น สาวคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ดูน่าสงสารนัก มือเรียวสีขาวปิดหน้า พร้อมกับผมยาวสลวยสีดำแสกผมตรงกลาง เธอสวมเสื้อหญิงสูงศักดิ์ที่สวมชุดทับนับนับสิบสองชั้นตามสมัยของยุคเฮอัน แลดูจะหนักอึ้ง เกินกว่าหญิงสาวของเธอจะรับได้ไหว และความรู้สึกของเธอนั้นกลับคุ้นเคยกับผู้ที่ร้องไห้อยู่เบื้องหน้าเสียจริง แม้ไม่อาจรู้ว่าเธอเป็นใครก็ตาม

    ข้ารอท่านพี่มานานแล้วมาหลายร้อยปี….”เสียงที่เย็นยะเยือกประดุจไม่ใช่เสียงของคนนั้น ทำให้คนฟังจนลุกซู่ ร่างตรงหน้ายังคงสะอื้นอยู่อย่างนั้น แต่มายุยังคงยืนนิ่งไม่กล้าเข้าใกล้ แต่กลับเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายยิ่งนัก

    ข้าอยากเจอท่านพี่เหลือเกิน..ข้ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะบอกท่านว่าแท้จริงแล้วข้ารู้สึกผิดต่อท่านขนาดไหนพอกล่าวจบภาพนิมิตนั้นได้สลายหายไป ก่อนเธอจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าเพราะได้ยินเสียงแว่วๆว่ารถประจำทางขับมาถึงแล้ว จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น

    รถประจำทางคันใหญ่สีขาว ที่บอกว่าปลายทางไปยังโครังเค ขับมาจอดที่ป้ายรถประจำทาง เหล่าผู้คนที่ต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบก็ขึ้นรถตามลำดับ มายุเองก็รีบก้าวขึ้นรถไป กลุ่มผู้ที่เฝ้ามองเธอก็รีบเข้ามาบนรถประจำทางเช่นกัน โดยแซงคนอื่นๆ แม้จะมีเสียงทักท้วงบ้าง แต่เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนดังกล่าวน่าจะเป็นอันตพาล ทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบลง มายุเข้ามายืนในรถประจำทางและสงสัยกับความฝันของเธอ แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่ก็ทำให้เธอรู้สึกมีอะไรติดค้างบางอย่างภายในจิตใจ แม้จะไม่รู้ว่าภาพที่เธอเห็นคืออะไรแต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เธอโหยหามานาน หญิงสาวมองบรรยากาศรอบๆที่ดูเหมือนว่าพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าเสียเต็มทน ความมืดค่อยๆเข้าปกคลุม จนไม่อาจมองเห็นข้างทางได้ถนัดนัก เพียงรู้แต่ว่ารถเริ่มขับออกจากตัวเมือง และรอบข้างมีค้นไม้มากขึ้น เมื่อผ่านไปแต่ละป้ายหยุดรถและสายตาของเธอก็ได้สบเข้ากับชายฉกรรจ์กลุ่มนั้น ที่ขึ้นมาบนรถ มายุรู้ได้ทันทีว่าอันตรายได้มาถึงเธอแล้ว

    พวกนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเรามาที่นี่

    มายุหลบหน้าอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เป็นผลแล้วชายจำนวนสี่คนเดินมาล้อมเธอไว้ คนหนึ่งเปิดเสื้อสูทให้เห็นว่าเขามีปืนหนึ่งกระบอกเหน็บอยู่ที่เอว และดูเหมือนจะมีเพียงเธอคนเดียวเท่านี้นที่เห็น มายุไม่กล่าวสิ่งใดและมองชายที่สวมเสื้อยืดสีดำกดกริ่งบนรถประจำทางที่จะลงป้ายหน้า เธอมองหน้าพวกเขาอย่างคาดคั้นคำตอบ

    ลงป้ายหน้าซะชายที่มีปืนกล่าวขึ้น

    ฉันไม่ได้ว่าความแล้ว ทำไมถึงตามมาอีกหญิงสาวถามกลับ แต่เธอไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด จึงมองไปรอบๆเพื่อหาทางหนีเสียก่อน

    หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก มานี่….”ชายคนนั้นลากเธอลงจากรถประจำทางทันทีเมื่อประตูเปิด หญิงสาวถูกฉุดลงไป จึงร้องเรียกให้คนช่วย หากเธอถูกลากลงไปได้ เธอต้องตายอย่างแน่นอน

    ช่วย……”มายุจะตะโกนแต่ในวินาทีนั้น มือใหญ่ก็ปิดปากเธอแน่น และในรถประจำทางนั้น ก็ไม่มีใครทันสังเกตเธอ ในที่สุดมายุจึงถูกลากลงจากรถประจำทาง และรถคันนั้นก็เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็วจนลับตา หญิงสาวมองไปรอบๆ ที่มีเพียงป้ายรถประจำทางกับเพิงที่นั่งรอเท่านั้น รอบข้างมีเพียงแต่ต้นไม้ใหญ่ที่ดูแล้วคนปกติคงจะไม่ลงรถที่ป้ายนี้เป็นแน่ แขนกำยำลากเธอเข้าไปในป่าข้างทางที่มีต้นไม้สูงใหญ่เต็มไปหมด เธอฝืนแรงอีกฝ่ายไม่ไหวจึงถูกลากไปตามทาง จนสะบักสะบอม เมื่อเข้าไปในป่าลึกพอสมควรแล้ว มายุก็ถูกเหวี่ยงลงพื้น จนล้มกลิ้ง และพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น

    ได้ค่าจ้างมาเท่าไหร่กัน?”เธอถามขึ้น

    ไม่ใช่ธุระของแก หากแกยอมเลิกทำตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องถูกฆ่าหมกป่าอย่างนี้หรอกชายอีกคนที่เป็นคนมอบจดหมายให้เธอเมื่อวานกล่าวขึ้น

    ฆ่าหมกป่า…!?!... ตายแน่นอนเรา จะหนีดีไหมหนีสิหรือจะให้มันฆ่าเราง่ายๆกันล่ะ

    เมื่อได้คำตอบแล้วเธอจึงรอโอกาส ระหว่างพวกนั้นปรึกษากันและจับเธอมัดมือไพล่หลังมายุจึกแอบถอดรองเท้าส้นสูงของเธอออกเสีย และใช้เท้าเขี่ยให้รองเท้าส้นสูงไปอยู่ในกองใบไม้ร่วงกองใหญ่ หลังจากพวกนั้นคุยกันว่าจะทำอย่างไรกับเธอต่อไปนั้น หนึ่งในกลุ่มก็หันมาเห็นส้นเท้าเปล่าของเธอ

    รองเท้าของมันหายไปไหน?”เขาถามขึ้น ทุกคนที่กำลังคุยกันจึงหันไปมองทางต้นเสียง

    เราต้องห้ามทิ้งร่องรอยอะไรไว้ นะ!!”เขากล่าวต่อ

    หรือมันตั้งใจซ่อนไว้หนึ่งในนั้นพยายามมองหา มายุจึงยืนบังกองใบไม้ด้านหลังเสีย

    หลุดไปตั้งแต่ถูกลากมาที่นี่แล้วล่ะ กระเป๋าฉันก็ตกอยู่ที่ป้ายรถ พวกแกเป็นมืออาชีพจริงๆหรอ ป่านนี้ตำรวจคงมาถึงได้หลักฐานไปหมดแล้วเธอตอบด้วยความยียวน  ก่อนจะถูกตบหน้าไปทีหนึ่ง

    พวกแกนี่มันจริงๆเลย ลงไปเก็บไม่ให้เหลือร่องรอยอะไรซะชายในชุทสูทไล่ ชายอีกคนให้ไปเก็บของ อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าใครเป็นหัวโจกของกลุ่มนี้ เมื่ออีกฝ่ายเดินลงไปเก็บของแล้ว ชายคนนี้ก็คิดแผนออก

    ฆ่าเธอซะ แล้วจัดฉากให้เหมือนว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเขาจับแขนเธอไว้แน่นจนมายุคิดว่าต่อให้เธอดิ้นแรงขนาดไหนก็คงไม่หลุดอย่างแน่นอน

    แหม ถ้าเหยื่อเป็นผู้หญิง ก็ทำแบบนี้ตลอดเลยสินะครับอีกคนสนับสนุน หญิงสาวมองตาเหลือก เมื่อรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร ก่อนจะหลับตาปี๊นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่าเทพต่างๆมากมาย โดยเฉพาะเทพแห่งภูเขา และขอให้คุ้มครองเธอด้วย

    แคว๊ก!!!” ชายอีกคนฉีกกระโปรงของเธอ จนขาดวิ่น

    ไม่ หยุดเลยนะหญิงสาวกรีดร้องและดิ้นไปมา

    ใครก็ได้ช่วยด้วย….ช่วยด้วยค่ะเธอตะโกนเรียกแต่ทว่าเสียงของเธอกลับมีแต่ความเงียบงันของป่าในตอนเย็น และมีเพียงเสียงนกกาที่ร้องอยู่ไกลๆตอบกลับมาเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรับฟังเสียงร้องของเธอเลย

    หุบปากซะ น่ารำคาญ!!!”เธอเงียบเสียงลงเพราะ หมัดที่ต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรงจนหญิงสาวลงไปนอนขดอยู่แทบที่พื้น แต่หากเธอยังถูกชายผู้สวมสูทรั้งเอาไว้ เมื่อเขาต่อยเธอเสร็จก็ลงมือฉีกเสื้อผ้าของเธอต่อ แต่หญิงสาวไม่มีแรงที่จะต่อต้านเสียแล้ว

    ตายแน่นอนแล้วเรา แถมยังต้องมาถูกไอ้พวกเลวพวกนี้ย่ำยีอีกหรอ….

    มายุเริ่มขัดขืนอีกครั้งเมื่อเธอเริ่มมีแรงขยับ หญิงสาวพยายามเบี่ยงตัวหลบจากฝ่ามือของอีกฝ่าย ทำให้ชายในชุดสูทต้องขยับตามเพื่อจะดึงเธอกลับมาได้ และเหมือนว่าความบังเอิญนั้นเองก็มีอยู่บนโลก เมื่อเขาเหยียบเข้าไปในกองใบไม้ และไปถูกรองเท้าสั้นสูงตนตัวเองเสียหลักล้มลงไป

    เห้ยไรวะ!!”เขาสบถออกมา พอดีกับที่มายุรีบกระเสือกกระสนลุกขึ้นมา แม้ว่ามือเธอจะโดนไพล่หลังอยู่ และพยายามวิ่งหนี ชายอีกสองคนจึงวิ่งตามไป ชายที่ล้มกลิ้งค่อยลุกขึ้นมาด้วยความโมโห ก่อนจะวิ่งตามเธอไปพร้อมกับหยิบปืนออกมา มายุเองที่วิ่งสุดชีวิต ด้วยความกลัวสุดขีดยิ่งวิ่งเข้าไปในป่าจนหลงทาง แต่ตอนนี้เธอจะหยุดไม่ได้ มายุวิ่งไปจนเธอเริ่มเหนื่อย ต้องขอบคุณที่เจ้าพวกนั้นฉีกกระโปรงของเธอ ทำให้วิ่งสะดวกขึ้น  จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้น และหญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกแรงถีบจากด้านหลังจนล้มลง  แต่ก็ยังพยายามตะเกียกตะกายหนีอยู่

    เอาไงดีลูกพี่ ลูกพี่ยิงมันไปแล้ว มันจะขาดใจตายก่อนไหมสายตานั้นเสียดายที่ จะพลาดโอกาสที่สำคัญไป

    มึงนี่ละก็ คิดดรื่องนั้นอย่างเดียวเลยใช่ไหม ยังไงเดี๋ยวมันก็ตายในป่านี่แหละ คงไม่มีใครมาเจอมันหรอกคนที่เขาเรียกว่าลูกพี่ ส่ายหัวในความคิดของอีกฝ่าย ยังไงเสียงานหลักของเขาคือฆ่าเธอเสีย ทันใดนั้นลมพายุก็โหมกระหน่ำใบไม้ต่างปลิวว่อน อย่างผิดปกติ หญิงสาวค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองไปยังผืนป่าที่มืดมิดประดุจกลางคืนแล้วก็ต้องใจเมื่อเห็นเงาตะคุ่มจำนวนมากยืนอยู่ใต้ต้นไม้ และเงานั้นก็มีขนาดเหมือนผู้ชายตัวใหญ่ และเบื้องหน้าของเธอนั้นก็ปรากฏ ชายผู้หนึ่ง เขาสวมเกี๊ยะที่สูงประมาณหกนิ้ว และเดินออกมาจากความมืดอย่างคล่องแคล่วจนเหมือนกับเขาสวมรองเท้าธรรมดาอย่างไงอย่างนั้น เสื้อผ้าของเขานั้นแต่งตัวเหมือนนักพรตบนภูเขา ส่วนใบหน้านั้นถูกสวมหน้ากากสีแดงที่ดูดุดันพร้อมกับจมูกยาวสีแดงที่ดูจะสะดุดตา และสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือปีกสีดำขนาดใหญ่ที่สามารถขยับได้

    มนุษย์ชั้นต่ำ เหตุใดจึงส่งเสียงดังในพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้เสียงที่ดูน่าเกรงขามลอดออกมาจากหน้ากากนั้น เหมือนดวงตาภายใต้หน้ากากจะเหลือบมองเธอเพียงชั่วครู่ ก่อนจะมองไปยังกลุ่นคนที่วิ่งตามเธอมา  เหล่าชายฉรรจ์ต่างชะงักและหยุดวิ่ง เพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า

    ลูกพี่ เอายังไงดีเสียงหนึ่งกระซิบขึ้นอย่างสงสัย

    กูมีปืน พวกมึงจะกลัวอะไรเขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด แม้จะมีสีหน้ากังวลก็ตาม พูดจบตนเองก็ยิงปืนขึ้นฟ้าไปหนึ่งนัด

    ปัง!!!”อีกฝ่ายเพียงมองลูกกระสุนที่พุ่งขึ้นฟ้าไป ก่อนจะหันมามองโดยไร้ความกลัวใดๆ ส่วนทางด้านมายุเองก็พยายามคลานหนีไปจากการปะทะ แต่ความเจ็บปวดนั้นแล่นขึ้นมาจนเธอไม่สามารถลุกขึ้น หรือแม้กระทั่งจะคลานไปไหนได้ไกลก็ตาม สุดท้ายเธอจึงไปหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้และพยายามอยู่ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตอนนี้ ไม่ว่าจะทางฝ่ายใดก็ไม่น่าไว้ใจเสียทั้งนั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×