เหล็กปั่นล่องหน - เหล็กปั่นล่องหน นิยาย เหล็กปั่นล่องหน : Dek-D.com - Writer

    เหล็กปั่นล่องหน

    โดย kunmon_krub

    โชคดีนะ เจ้าเหล็กปั่นสีแดงสวยสดของข้า

    ผู้เข้าชมรวม

    174

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    174

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 มิ.ย. 50 / 20:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เหล็กปั่นล่องหน

                "เย้ๆๆ ฮู่ๆๆ" เป็นการร้องแสดงความดีใจอย่างสุดเสียงของตัวผมเอง หลังก้าวเดินออกมาจากร้านอินเทอร์เน็ต เมื่อทราบผลการสอบคัด

      เลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ หรือเอนทรานซ์ ห๋า...ผมสอบเอนทรานซ์ติดหรือเนี่ย! ถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลย ให้ตายดิ!

      หลังการสอบสัมภาษณ์ที่ศูนย์กลางของมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ (ไม่ต้องไปสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยจริง ) เสร็จเรียบร้อย ผมได้ซองเอกสาร

      มา 1 ชุด ในซองนั้นก็จะมีกำหนดการต่างๆ และระเบียบการคล่าวๆ ของการแต่งกาย ที่สำคัญ จะมีกำหนดวันเดินทางซึ่งพี่ๆ ที่มหาวิทยาลัยจะ

      มารับ ( คนที่สอบติดที่อยู่ภาคอื่น ๆ จะได้ไปพร้อมกัน อ่อ..ลืมบอกไปครับมหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ภาคใต้ ) ที่สถานีรถไฟที่กรุงเทพ หรือที่เค้า

      เรียกว่า "หัวลำโพง"

                วันเดินทางแม่ไปส่งผมแค่หัวลำโพง เพราะว่าแม่ติดธุระ และเห็นว่ามีพี่ และเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยจึงไม่ได้ไปส่งด้วยตัวเอง ผมก็ไม่

      ว่าอะไรและเข้าใจ

      ป้ายผ้าขนาดใหญ่กับกองสัมภาระ และกลุ่มคนประมาณ 30 คน กลางโถงอาคารผู้โดยสาร ทำให้ผมและแม่สังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก ผมเดิน

      เข้าไปพร้อมกับแม่

                 "สวัสดีค่ะคุณแม่ มาส่งน้องเหรอคะ" เสียงใสๆ ฟังดูเป็นมิตร ดังขึ้นด้านหลังเราสองคนแม่ลูก เราหันหลังไปตามที่มาของเสียงแล้วแม่

      ก็ตอบเจ้าของต้นเสียงนั้น "จ๊ะ พาน้องมาส่ง"

      หลังการลงชื่อ และเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เหลือเวลาประมาณ 30 นาที กว่ารถไฟจะออกเดินทาง ผมกับแม่จึงแยกตัวออกมานั่งด้านนอก

      และล่ำลากันตามประสาแม่ลูก

      ใกล้ถึงเวลานัดหมาย ผมกับแม่เดินมาที่กลางโถงอีกครั้ง ผมสังเกตเห็นคนเยอะกว่าเดิมมากเกือบๆ ร้อยคนได้  

                "งั้นแม่กลับก่อนนะ" เสียงแม่พูดพร้อมรอยยิ้มที่คุ้นตาเดิม ๆ ผมมองตาแม่แล้วก็ยิ้มตอบ ผมพูดกับแม่สั้น ๆ ว่า "อืม"ผมโผกอดแม่อีก

      ครั้งก่อนที่เราจะจากกัน  

                "กลับบ้านดีดีนะ"คำพูดที่ออกจากปากผมแบบเขิน ๆ ไม่มีเสียงตอบรับจากแม่ มีเพียงรอยยิ้มที่แลดูอบอุ่นแล้วแม่ก็เดินจากไป

                "ได้เวลาแล้วครับน้อง ๆเตรียมสัมภาระของตัวเองได้แล้วครับ" เสียงอันหนักแน่นของพี่อีกคนตะโกนบอกพวกเรา เพื่อให้ทุกคนเตรียม

      ตัวขนย้ายเป้สัมภาระที่เตรียมมา "ตู้ที่ 18และ 19ครับ เอาของไปเก็บแล้วหาที่นั่งของตัวเองได้เลย" พี่คนเดิมกล่าวเสริมอีกนิด

                ตอนนี้ผมอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลา 17.30 น. รถไฟก็เริ่มเคลื่อน ตัวออกช้า ๆ พี่ๆกลุ่มเดิมที่คอยต้อนรับเราก็เริ่มแนะนำตัว

      เอง และให้พวกเราแนะนำชื่อตัว โรงเรียน และจังหวัดของตัวเอง ทีละคน หลังจากนั้นพี่ก็แนะนำการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ประสบการณ์ต่าง

      ๆ ที่พี่เคยเจอมาก่อน จากนั้นก็สอนพวกเราร้องเพลงและท่าเต้นต่าง ๆ

                หลังเสร็จกิจกรรมร้องรำทำเพลงแล้ว ผมก็เริ่มที่จะง่วง ตอนนี้รถเดินทางออกมาได้ประมาณ 4 ชั่วโมง แล้ว เห็นพี่เค้าบอกว่า เราจะถึง

      ตัวเมืองประมาณ 09.00น. ของอีกวันหนึ่ง คิดถึงเวลาแล้วก็เหนื่อยจริงเพราะต้องนั่งรถนานถึง 16 ชม. ผมไม่เคยนั่งรถนานขนาดนี้มาก่อน ได้

      แต่พูดในใจคนเดียวว่า "ทนเอาวะเลือกมาแล้วนิ"แล้วก็เผลอหลับไป

          "เอียดดดด..ฉึก" เสียงเบรกของขบวนรถไฟ แทรกเข้ามาที่โสตประสาท กระทบแก้วหู ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

          "เหนียว-ไก่ ค่ะ เหนียว-ไก่!" เสียง แม่ค้าร้องขายของด้านล่างของขบวนรถ ผมชะโงกหน้าออกไปดู "สถานีรถไฟ สุราฎร์ธานี"

      ป้ายขนาดกลาง มองดู เด่นชัดที่ติดอยู่ ณ สถานีแห่งนี้ ผมหันมาหาเพื่อนและพูดกับเพื่อน "ตอนนี้เราถึง สุราษฎร์แล้ว อีกไม่นานก็คงถึง"

          "ได้เวลาอาหารเช้าแล้วครับ" พี่คนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมยกถาด ไก่ทอดพร้อมข้าวเหนียว แจกพวกเราคนละชุด "กินรองท้องไปก่อน

      ครับ พอถึงมหาลัยแล้วค่อยต่อ" พี่คนเดิมพูดเสริม แล้วขบวนรถก็เริ่มออกตัวอีกครั้ง

                "โอวว ถึงชะที..." "ยินดีตอนรับน้องๆ สู่บ้านหลังใหม่" บนป้ายผ้าขนาดใหญ่ มีพี่ๆอีกกลุ่มที่กำลังรอเราอยู่ ผมมองดูแล้วรู้สึกอบอุ่น

      มาก ๆ และแอบชื่นชมในใจลึก ๆ ว่าพี่ๆทุกคนเตรียมงานได้ประทับใจจริง ๆ ถึงแม้ผมจะรู้ทีหลังว่าเราต้องนั่งรถสองแถวต่อเข้ามหาวิทยาลัยอีก

      ประมาณ30 กิโลเมตร คิดเป็นเวลาก็ประมาณ ครึ่งชม.โอววเย่...สู้ๆ ครับ

      มาถึงมหาวิทยาลัยจริง ๆ ซะที พอลงรถก็มีพี่ๆ ช่วยยกกระเป๋า แล้วดึงตัวผมไปที่บอร์ด เพื่อดูกลุ่มสัมพันธ์ และที่อยู่ หรือหอ ห้องที่ต้องเข้า

      อยู่ ผมไม่ทันสังเกตอาคารสถานที่หรอก ที่โดดเด่นในสายตาของผมตอนนี้ก็คงจะเป็น พี่ๆ ครับ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทั้งเต้นทั้งร้อง เสียงกลองงี้

      ดัง สนั่นหวั่นไหวอยู่ภายใต้อาคารคล้าย ๆโดม โรงอาหารขนาดกว้าง  ผมได้เล่น ได้เต้นกับพี่ๆ  (แบบอายๆ) แล้วก็คิดในใจลึกๆว่า "ทำไปได้"

      แต่ก็ชอบนะครับ ดูสนุกสนานและท้าทายดี

      เมื่อเสร็จกิจกรรมแล้วก็จะมีพี่พาไปส่งห้องครับ โดยมียานพาหนะคือ "จักรยาน" ผมเป็นคนซ้อนครับแล้วพี่ก็เป็นคนปั่นไปตามที่อยู่หรือหอของ

      ผมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ เมื่อผมมองไปรอบๆข้าง เห็นคนส่วนใหญ่เค้าจะใช้จักรยานกัน

      "พี่ครับเราต้องซื้อจักรยานเองเหรอ" ผมถามพี่ที่กำลังปั่นจักรยานอยู่

                "ก็ไม่จำเป็นหรอกครับ ทางมหาวิทยาลัยจะมีให้เช่า ปีละ 150 แต่ถ้าจะซื้อเองก็ได้ เพราะเราต้องใช้ตลอดที่เราเรียนอยู่ที่นี่ ตอนนี้ก็มี

      ขายครับ ทางร้านในเมืองเค้าเอาเข้ามาขาย ถ้าน้องจะซื้อก็ให้ซื้อวันนี้เลย เพราะว่า พรุ่งนี้ไม่มีแล้ว ถ้าจะซื้อทีหลังต้องเข้าไปซื้อในเมือง

      โน่น.." พี่ชายใจดีตอบ

          ผมมาถึงห้อง ไม่มีใครอยู่ เห็นเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะอ่านหนังสือ แล้วก็ชั้นเก็บหนังสือ ทุกอย่างมี 3 ชุดครับ ผมเลือกเตียงริม

      สุด แล้วจัดของใส่ตู้เสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วก็ออกไปเดินหาซื้อของใช้ที่จำเป็น

          ผมได้ของใช้ส่วนตัวครบแล้ว ก็เลยแวะไปเดินดูร้านขายรถจักรยานซักหน่อย

          มาถึงบริเวณที่ขายจักรยาน ผมมองดูรอบ ๆเห็นจักรยานเยอะแยะมากมายหลายรุ่น หลายรูปแบบให้เลือกซื้อ ผมกวาดสายไปตา

      เรื่อย ๆ แล้วก็มาหยุดที่เจ้าจักรยานคันขนาดกลางสีแดงสวยสด รูปแบบเหมาะสำหรับผู้ชาย ผมเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ

          "คันนี้ราคาเท่าไรครับ" ผมถาม

          "2,000 ครับ" เจ้าของร้านตอบ

          ผมพิจารณา ดูอีกครั้ง เพราะราคาก็แพงอยู่เหมือนกัน แต่ก็อยากได้คันนี้แหละ รูปร่างดูสวยดี ท่าทางคงทนดีด้วย

          "ลดได้หรือเปล่าครับ" ผมลองต่อรองราคาดู

          "ไม่ได้หรอกครับ รุ่นนี้ราคานี้แหล่ะ ถ้าน้องอยากได้ถูกกว่านี้มีอีกรุ่นนะครับ ทางด้านโน้น" เจ้าของร้านพูดพร้อมชี้นิ้วไปอีกทาง

      ผมหยุดนิ่งไปสักพัก ... "เอาคันนี้แหล่ะครับ" ผมตัดสินใจแน่วแน่พร้อมล้วงกระเป๋าเงิน แล้วหยิบเงินในกระเป๋า จ่ายให้กับเจ้าของร้านไป แล้ว

      เจ้าของร้านก็จัดแจง ประกอบขาถีบให้เรียบร้อยพร้อมแถมโซ่ล็อกให้ด้วย

      หลังจากวันนั้น ผมก็เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ ในการเดินทางไปตามสถานที่ ที่พี่นัด แต่ละครั้งผมจะใช้จักรยานคันโปรด

      ตอนนี้ผมเรียกมันว่า "เจ้าเหล็กปั่น"

                หลังทำกิจกรรมผมมีเพื่อนเยอะแยะมากมาย ทุกคนจะใช้จักรยานกันหมด พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้ว กิจกรรมรับน้องก็หมดไปด้วย ต่อไป

      ก็คงตั้งหน้าตั้งใจเรียนเพื่อให้จบตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ หรือจบก่อนกำหนดก็คงจะดีมาก ( หวังไว้อย่างนั้น  ^_^ )

      วันเปิดเทอมวันแรก ผมตื่นเต้นกับการแต่งชุดนักศึกษามาก เมื่อแต่งตัวเสร็จผมก็ออกจากห้องเดินออกมานอกหอ ตรงไปที่ลานจอดรถ ควัก

      ลูกกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วก้มลงไขกุญแจให้กับเจ้าเหล็กปั่นของผมที่รอผมมาทั้งคืนเพื่อที่จะได้ทำหน้าที่รับส่งผมไปเรียน

      เวลาผมต้องออกจากหอเพื่อเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าใกล้หรือไกลผมก็จะนำเจ้าเหล็กปั่นของผมไปด้วยตลอด

                ผมกับเพื่อนชอบปั่นเจ้าเหล็กปั่นเล่นกันหลังเลิกเรียน เราจะปั่นไปรอบๆ มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ด้านหน้าถึงด้านหลังและไปจบที่เรือน

      รับรองที่อยู่ท้ายสุดของมหาวิทยาลัย พวกเราจะมานั่งพักผ่อนริมอ่างเก็บน้ำมองดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่บ่อยๆ

      เจ้าเหล็กปั่นของผมไม่เคยบ่นสักครั้งแม้ว่าผมจะใช้งานมันหนักแค่ไหน หรือเวลาไหนมันก็ไม่เกี่ยง ฝนจะตกแดดจะกล้าแค่ไหนมันก็พาผมไป

      ได้

          ผมรักเจ้าเหล็กปั่นของผมมาก ผมจะหันหลังกลับมาดูมันทุกครั้งที่ผมจอดมันไว้ มันจะดูสง่าและโดดเด่นด้วยสีแดงสวยสดของตัว

      มันเอง

          เวลาผ่านไป 2 เทอม ตอนนี้ผมเริ่มเรียนเทอมที่ 3 กิจวัตรประจำวันของผมก็เดิม ๆ ไปเรียนกลับเข้าหอ แล้วออกไปนั่งเล่น อ่าน

      หนังสือกับเพื่อน ๆที่เรือนพักรับรองท้ายมหาวิทยาลัย การเดินทางก็นั่นแหล่ะครับจะมีใครพาผมมาได้นอกจากเจ้าเหล็กปั่น เพื่อนซี้ผมเอง

          เหมือนคำสอนในพระพุทธศาสนา "ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง"

          วันหนึ่งเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็มาถึง ผมเดินออกหอแล้วตรงมาที่ลานจอดรถเช่นเคย และตรงไปที่ ที่ประจำของ

      เจ้าเหล็กปั่นของผม ผมต้องตกใจเมื่อมองไปแล้วไม่เจอมัน เจ้าเหล็กปั่นของผมมันหายไปแล้ว!!

          "ไม่หรอกมันอาจจะโดนเคลื่อนย้ายไปที่อื่นก็ได้" ผมคิดในใจ แล้วก็ออกเดินตามหารอบ ๆ

      ผมเดินอยู่หลายรอบแต่ก็หาไม่เจอ จึงเดินไปหา รปภ.หน้าหอ "พี่ครับเห็นรถจักรยานสีแดงที่จอดอยู่ตรงนั้นไหมครับ" ผมพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่ที่

      เคยเป็นที่จอดเจ้าเหล็กปั่นของผม คำตอบที่ผมได้รับคือ "ไม่เห็นครับ" เป็นคำตอบที่ผมไม่อยากได้ยินเลยครับแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ ใกล้

      เวลาเข้าเรียนแล้วด้วย ผมจึงต้องโทรศัพท์ให้เพื่อนมารับแล้วซ้อนท้ายจักรยานเพื่อนไปเรียน

                "แล้วจักรยานมึงไปไหนวะ" เพื่อนถามผมขณะที่กำลังซ้อนท้ายจักรยาน

                "ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ออกมาก็หาไม่เจอ" ผมตอบสั้น ๆ แล้วก็เงียบไป

                "มันคงไม่หายไปไหนหรอก มหาลัยก็มัอยู่แค่นี้ใครจะเอาไป" เพื่อนพูดขึ้นลอย ๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็นึกในใจว่า ขอเป็นอย่างที่

      เพื่อนพูดเถอะ

                วันนั้นผมเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเลยครับ คิดถึงแต่เจ้าเหล็กปั่นว่ามันหายไปไหนของมันนะ แล้วถ้าไม่มีมันผมคงจะลำบากน่าดู ไปไหนมา

      ไหนก็คงต้องเดินหรือให้เพื่อนมารับโอกาสที่จะได้ไปนั่งเล่นเรือนรับรองคงน้อยลง ยิ่งคิดยิ่งทำให้ผมไม่อยากสูญเสียมันไปเลยจริง ๆ ตอนนี้

      ผมคงได้แต่หวังว่าเวลาผมกลับจากเลิกเรียนแล้วผมคงได้เห็นมันจอดอยู่ที่เดิมอีกครั้ง

                หลังเลิกเรียนแล้วผมก็รีบกลับมาที่ลานจอดรถทันที ผมต้องเศร้าอีกครั้ง เมื่อความหวังที่หวังเอาไว้แต่ต้นไม่เป็นความจริง ผมไม่เจอ

      เจ้าเหล็กปั่นในที่ที่มันควรจะอยู่ ผมเดินหน้าเศร้าเข้าห้อง วันนั้นผมไม่ได้ออกไปไหนกับเพื่อนเลย

      เช้าตรู่เพื่อนที่อยู่คนละหอเข้ามาหาผมในห้อง "ไปตามหาจักรยานของมึงกัน" ผมมองหน้าเพื่อน "ไปหาที่ไหนวะ" "ก็หออื่น ๆ โรงอาหาร แล้ว

      ก็ศูนย์อาหารกลางคืนไง เผื่อมีใครเอาไปจอดแล้ว ทิ้งไว้ไม่เอากลับมา" เพื่อนพูด

                ผมซ้อนท้ายเพื่อนไปตามหอต่าง ๆ ใช้สายตากวาด ตามข้างถนน เดินดูตามที่จอดรถของแต่ละหอ หรือแม้กระทั่งถามพี่ ๆ รปภ.ของ

      แต่ละหอ คำตอบเหมือนกันคือ "ไม่เห็น" "ไม่เจอ" แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายามหรอกครับ ผมบอกเพื่อนหลายๆคนที่ผมเจอระหว่างทางว่า

      ให้ช่วยตามหา เจ้าเหล็กปั่นของผมที่หายไป พวกเราเริ่มตีวงกว้างการค้นหาไปเรื่อยๆ จากหอพักนักศึกษา ไปหอพักบุคลากรที่ห่างออกไป

      ไกล พวกเราปั่นไปตามถนนรอบ ๆ มหาวิทยาลัย จนเวลาใกล้ค่ำ ผมกับเพื่อนจึงพากันแยกย้ายกลับเข้าหอ

                เวลาผ่านไปอาทิตย์กว่า ๆ ผมต้องให้เพื่อนมารับไปเรียน ไปกินข้าว หรือไปซื้อของใช้ส่วนตัว ผมยังไม่ลืมเจ้าเหล็กปั่นของผมหรอก

      ครับ ผมยังมีความหวังว่าผมยังคงต้องได้เจอมันเข้าสักวัน ถ้ามันยังอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

      วันเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังสอบปลายภาค ภาคเรียนที่ 3 ของปี 1 ของผม ผมได้รับข่าวดีว่าแม่จะซื้อมอเตอร์ไซมาไว้เพื่อให้ใช้แทนเจ้า

      เหล็กปั่นของผมที่หายไปเมื่อต้นเทอมที่ผ่านมา ผมดีใจครับที่จะได้ยานพาหนะคันใหม่มาไว้ใช้ จะได้ไม่ต้องลำบากเพื่อนอีกต่อไป แต่ในใจ

      ลึกๆแล้วผมยังจำเจ้าเหล็กปั่นเพื่อนยากได้ตลอดเวลา    

          "ถึงแม้เจ้าจะอยู่ที่ไหน กับใคร ข้ายังคิดถึงแกตลอดเวลา และจะไม่มีวันลืมแกได้ลง เจ้าเหล็กปั่นสีแดงเพื่อนรักของข้า"

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×