เอกภพ - เอกภพ นิยาย เอกภพ : Dek-D.com - Writer

    เอกภพ

    .......ความปรารถนาในการหยั่งรู้ความจริงแท้ของธรรมชาติ และกลไกขับเคลื่อนสรรพสิ่งให้เกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปในรูปวงจรที่เรียกว่า กฎวัฏจักร

    ผู้เข้าชมรวม

    449

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    449

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 ก.พ. 52 / 17:28 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      .......นอกจากปรากฎการณ์ สูติกาล ของมวลมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในโลกแล้วสรรพสิ่งทั้งหลายที่คนเราสร้างสรรค์ขึ้นไม่ว่าจะเป็น สิ่งของ บ้านเรือนปราสาทราชวัง บ้านเมือง จักรวรรดิ์ สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกตามวันเวลาในวิชาดาราศาสตร์ย่อมตกอยู่ในวงจรวัฏจักรของชีวิตคือ เกิดขึ้น ดำรงอยู่แล้วดับสูญไปย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปทั้งในทางที่ดี หรือร้าย และไม่ดีไม่ร้ายก่อนที่จะดับสูญไปตามกฎวัฏจักร
      .......วิชาโหราศาสตร์จึงเป็นศิลปวิทยาการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ อย่างเต็มรูปแบบเหมือนดัง วิชาดาราศาสตร์หรือวิชาวิทยาศาสตร์สาขาอื่น แต่เป็นศิลปวิทยาการที่ผู้รู้แจงแทงตลอดอย่างแท้จริงสามารถพยากรณ์ความเป็นไปในชีวิตของคนเรา บ้านเมือง โลก ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนักปรากฏหลักฐานยืนยันว่า วิชาศิลปศาสตร์ 18 ประการซึ่งบรรดาเจ้าชายทุกราชสำนักในชมพูทวีป บุตรของพราหมณ์ และคหบดี ผู้มั่งคั่งจะต้องเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ ณ มหาวิทยาลัยตักกะศิลา เมืองบุรุษบุรีหรือ เมืองเปสวาร์ ในประเทศปากีสถานสมัยปัจจุบัน เรียกว่า วิชาโชติยศาสตร์”  แปลว่า ความรู้เรื่องระบบแสง
      .......ระบบแสงในวิชาโชติยศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นวิชาสำคัญที่สุดวิชาหนึ่งที่กุลบุตรในวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ ต้องศึกษาเรียนรู้ว่า ระบบแสง อันเกิดจากแสงอาทิตย์แสงจันทร์ บันดาลให้เกิดความสว่าง ขจัดความมืดให้หมดสิ้นไป ดวงตาของสัตว์โลกจึงมองเห็นสิ่งทั้งหลาย มนุษย์จึงรู้จักเวลา กลางัน กลางคืนเรียกว่า กาลหรือ กาละหมุนเวียนเปลี่ยนไปในรูปวงจรไม่เคยหยุดนิ่งได้เลยเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติในการนับ อายุขัยของทุกสิ่งทุกอย่างโลกว่า เกิดขึ้นและดับสูญไปเมื่อใด
      .......วันเวลาจึงอุปมาเหมือนดัง พระกาล หรือ พระยามัจจุราช ที่เคยพรากชีวิตของสัตว์โลกและรูปกายของวัตถุธาตุทั้งหลายให้เป็นไปตามอายุขัยของ กฎวัฏจักรพระกาลจึงเปรียบดังเจ้าชีวิต ของทุกรูปทุกนามที่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกเมื่อถึงเวลาก็จะต้องหมดสิ้นอายุขัยไปตามกาล
      .......องค์ความรู้ของวิชาดาราศาสตร์โหราศาสตร์ รวมเรียกว่า โชติยศาสตร์ จึงเป็นบ่อเกิดของความรู้ในเรื่องแสงและเงา ซึ่งโหราจารย์ในอดีตสามารถนำมาใช้ในการคิดคำนวณ วัน เดือน ปี สร้างปฏิทินเพื่อกำหนดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อดีต ปัจจุบัน อนาคต ตามสถานที่ทุกแห่งอันเป็นกฎเกณฑ์สำคัญของธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่หนึ่งที่เป็นของคู่กับ กาละ ก็คือเทศะ
      .......นักอภิปรัชญาโชติยศาสตร์ชาวอารยันต่างเรียนรู้และตระหนักถึงความสำคัญของความศักดิ์สิทธิ์ความมีอานุภาพยิ่งใหญ่ของกาละ ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดในโลก จึงสมมุติว่าเป็นเทพเจ้าผู้บันดาลให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและตายไปบนพื้นพิภพมีสมญานามว่า พระกาล
      .......ครูช่างชาวอินเดียผู้มีความรอบรู้มีความเข้าใจในความสำคัญยิ่งใหญ่ของ พระกาลผู้เป็นเจ้าของอายุขัยของสพพสิ่งทั้งหลายในโลกอย่างลึกซึ้งได้ประดิษฐ์คิดค้นสัญลักษณ์แห่งความหมายอันล้ำลึกเป็นรูป หน้ายักษ์”  ที่เรียกกันว่า หน้ากาล”  ประดับไว้ตามทางเข้าเทวสถานต่างๆ เพื่อเตือนสติของคนเราให้ระลึกอยู่เสมอว่า อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะว่าธรรมชาติของ พระกาลนั้นจะกัดกร่อนทำลายอายุขัยของทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้นไป โดยไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งได้ แม้แต่ตัวพระกาลเองเมื่อไม่มีสิ่งใดจะทำลายก็จะกัดกินตัวเอง ใครเล่าจะเอาชนะพระกาลได้
      .......ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ว่าด้วยระบบแสงและเงาที่ปรากฎอยู่ใน วิชาโชติยศาสตร์ อันเป็น 1 ในศิลปศาสตร์ 18 ประการซึ่งสั่งสอนเล่าเรียนกัน ณ. มหาวิทยาลัยตักกะสิลา สมัยดึกดำบรรพ์ ไม่มีผู้ใดรู้แน่นอนว่าเริ่มต้นในยุคสมัยใดคงปรากฎหลักฐานอยู่ในคัมภีร์โบราณของชาวอารยันกล่าวว่า  “ปีกลียุคศักราชที่ 1”  ประกาศตั้งขึ้นใน ปีมะเส็งนักษัตร
      .......ครั้น กลียุคศักราช ล่วงมาได้ 2411 ปี พระเจ้าอัญชันกษัตริย์ผู้ครองแคว้นสักกะ ซึ่งเป็นพระอัยกาธิราช (ปู่) ของพระพุทธเจ้าได้ประกาศตั้ง ปีอัญชันศักราชขึ้นใน ปีเถาะนักษัตร
      .......ภายหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อ อัญชันศักราช ล่วงมาแล้วได้ 147 ปี พุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันบัญญัติปีพุทธศักราชขึ้นเพื่อระลึกถึงพระบรมศาสดา ในปีมะเส็งนักษัตร นักโหราศาสตร์จึงสามารถเทียบเคียงได้ว่า ปีพุทธศักราชที่ ตรงกับปีกลียุคศักราชที่ 2558
      .......ปัญญาญาณของฤาษีสมยพระเวทซึ่งไม่มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์อะไรเลย ยังล่วงรู้ถึงความลี้ลับซับซ้อนของดาราจักรทางช้างเผือกหรือ กาเล็คซี่ทางน้ำนม”  ว่ายังมีระบบดาราจักรย่อยซ่อนอยู่ภายในอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาราจักร่อยดาราจักรหนึ่ง คือ ดาราจักร 12 นักษัตร”  ซึ่งมีความผูกพันกับ ระบบสุริยจักรวาล และโลกของเรา อย่างแน่นแฟ้นจนไม่อาจแยกออกจากกันได้ นอกจากนั้นยังเรียนรู้ว่าหลายดาราจักรหรือหลายกาเล็คซี่รวมกันเป็น เอกภพหรือ จักรวาลหลายเอกภพหรือหลายจักรวาล รวมกันเป็น มหาเอกภพหรือ มหาจักรวาลมากกว่า 5,000 ปีแล้ว
      .......ความกว้างใหญ่ไพศาลสุดประมาณปละหาขอบเขตมิได้ของมหาเอกภพ หรือมหาจักรวาล ซึ่งดวงตาและปัญญาญาณของมนุษย์สามารถล่วงรู้ได้ว่าเปรียบดังฟันเฟืองขนาดใหญ่ของธรรมชาติแห่งจักรวาลเป็นตัวการขับเคลื่อนผลักดันให้เกิดพลังงานรวมตัวกันเข้าเป็นรูปวัตถุธาตุหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง ดังจะเห็นได้จากการโคจรของดวงดาวในท้องฟ้ากดดันบันดาลให้สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเคลื่อนไหวไปตามแรงบังคับของจักรวาลให้ดำเนินไปตาม กฎวัฏจักร เหล่าฤาษีในยุคพระเวทผู้ค้นพบความจริงแท้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายในธรรมชาติ จึงให้สมญานามสิ่งที่มีอำนาจที่สุดในจักรวาลมีความกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดจนไม่อาจวัดความกว้าง ยาว หนา ลึกในรูปมิติทางคณิตศาสตร์ได้ เป็นตัวกลางบันดาลให้เกิดสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาในจักรวาลแต่เป็นสิ่งที่ปราศจากตัวตน รู้เพียงว่าเดินทางไปร่วมกับ แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และอนุภาคแสงดาวจึงสมมุติสิ่งที่เป็น อนันตะนี้ว่า  “พรหมมัน
      .......คำว่าพรหมมันให้ลัทธิพระเวทดั้งเดิม ก่อนที่ศาสนาพราหมณ์ จะเกิดขึ้นในโลก ไปแห่งตนในหัวจคน สมภพสามโลกล้วนต่อเนื่องเชื่อมโยงกันด้วยไฟ ไฟจึงเป็นผู้ให้กำเนิด จักรวาลธรรมชาติ ชีวิต และความรู้สู่ความจริงแท้เปรียบประดุจกงล้อแห่งธรรมเป็นพลังงานธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน จากเบื้องบนลงมาสู่โลก เพื่อสร้างโลกและชีวิตและลแยกลับคืนไปสู่ที่มีตลอดกาล
      .......ธรรมจักรหรือกงล้อแห่งธรรมจึงเป็นภาพลักษณ์และธรรมปัญญา อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความหมายแห่ง องค์พรหมที่ล้ำลึกแพร่กระจายแทรกซึม เป็นส่วนของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ในจิตวิญญาณของมนุษย์ ก็คือ อัตมัน
      .......การค้นพบความจริงแท้ของสรรพสิ่งในเอกภพ ของชาวอารยันเมื่อหลายพันปีก่อนตรงกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคใหม่อย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นความบังเอิญได้ถึงขนาดนั้น
      .......วิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่ในยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าไปไกลมากมนุษย์สามารถประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการศึกษ าค้นคว้าความจริงของจักรวาลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ตัวอย่างเช่น  กล้องโทรทัศน์อวกาศฮับเบิลตั้งขึ้นเป็นเกียรติแกนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ เอ็ดวิน ฮับเบิล ผู้ค้นพบและพิสูจน์ให้ชาวโลกยอมรับได้ว่า นอกจากมี ดาราจักรทางช้างเผือก หรือกาเล็คซี่ทางน้ำนม ของเราแล้วยังมีดาราจักรหรือกาเล็คซี่อื่นอีกมากมายที่อยู่ห่างออกไปและกำลังเคลื่อนที่ห่างจากกัน เรียกว่า เอกภพ หรือจักรวาลเอกภพทั้งหมดกำลังมีขนาดโตขึ้น
      .......กล้องโทรทัศน์อวกาศฮับเบิลติดตั้งบนยานอวกาศเหมือนกล้องดูดาวที่อยู่บนโลก แต่สูงจากพื้นดินถึง 610 กิโลเมตร จึงไม่มีเมฆหมอกหรือมลภาวะรบกวน ทั้งยังโคจรไปรอบโลก 90 นาที ต่อ 1 รอบควบคุมกล้อง และรับข้อมูลจากกล้องโดยสัญญาณวิทยุ สามารถถ่ายภาพดาวพระเคราะห์ที่อยู่ใกล้ไปจนถึงดาราจักร ที่ไกลแสนไกลได้อย่างไม่เคยมีมาก่อนช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถอธิบาย โครงสร้างของเอกภพ หรือ จักรวาลให้เห็นภาพและเข้าใจอย่างชัดเจนว่า
      .......เอกภพหรือจักรวาล แต่ละแห่ง ประกอบขึ้นด้วย ดาราจักร หรือ กาเล็คซี่ ที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกัน มีมวลตั้งแต่ 10 ล้านเท่า ไปจนถึงขนาด 1 ล้านล้านเท่าของดวงอาทิตย์ของเรา
      .......แต่ละดาราจักร หรือ กาเล็คซี่ ส่วนใหญ่มีขนาดกลาง คือใหญ่ขนาดเท่ากับดาราจักรทางช้างเผือก หรือ กาเล็คซี่ทางน้ำนม คือ มีขนาดประมาณ 5 ล้านปีแสงประกอบด้วยกลุ่มดาวฤกษ์เป็นจำนวนมาก รวมกันอยู่ภายในรูปกังหันแบบจาน ประมาณ 1 แสนล้านดวง
      .......ดาราจักรหรือ กาเล็คซี่ ของเรามีขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของเอกภพหรือ จักวาล จึงเกือบไม่มีความสำคัญอะไรเลยเพราะประกอบขึ้นด้วยจำนวนสมาชิกดาราจักรอื่นอีกราว 20 กาเล็คซี่ มีอาณาเขตในพื้นที่อวกาศกว้างไกลเพียงแค่ 3 ล้านปีแสง จึงเรียกกระจุกดาราจักรของเราว่า กลุ่มดาราจักรท้องถิ่นหรือกลุ่มกาเล็คซี่ท้องถิ่นอันเป็นขอบเขต เอกภพหรือ จักรวาลของเรา
      .......ถัดจากกลุ่มดาราจักรท้องถิ่นของเราไกลออกไปราว 10-50 ล้านปีแสง ก็ยังมีกระจุกดาราจักรอีกกระจุกหนึ่ง ถัดออกไปอีกกว่า 50 ล้านปีแสง มีกระจุกดาราจักรสำคัญขนาดใหญ่ประกอบด้วยกระจุกดาราจักรใหญ่น้อยเป็นสมาชิกรวมอยู่กว่า 1,000 กระจุก ต่อจากนั้นไปอีกราว 500 ปีแสง มีกระจุกดาราจักรขนาดใหญ่มาก ประกอบด้วยกระจุกดาราจักรสมาชิกอย่างน้อย 10,000  กระจุก
      .......นักดาราศาสตร์ตรวจพบว่าระยะทางไกลแสนไกลของเอกภพขนาดนั้น ยังมีคลื่นสัญญาณวิทยุอย่างอ่อน ได้ยินมาจากทุกทิศทางในห้วงอวกาศ เชื่อกันว่าคลื่นพลังรังสีที่แผ่ขยายมาจากดินแดนอันไกลแสนไกลนั้นมีจุดกำเนิดมาในอดีตตั้งแต่เมื่อครั้ง แสงออกเดินทางภายหลังจากมหากัมปนาทของลูกไฟมหึมาระเบิดขึ้นเรียกกันว่า บิ๊กแบ๊งก่อให้เกิดคลื่นรังสีวิทยุแผ่ขยายตัวต่อเนื่องกันจนถึงทุกวันนี้

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×