ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic (exo) Pandora Hours : ปราสาทรัตติกาล (นิยายชุดรัตติกาล)

    ลำดับตอนที่ #7 : ดวงดาวและแสงเทียน

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 56



                ทางเดินสลัวของบันไดวนกลางคฤหาสน์รัตติกาลเต็มไปด้วยยักไย่และฝุ่นละอองลอยคลุ้งในอากาศบ่งบอกว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งานมานานหลายปี แสงอุ่นๆจากตะเกียงเจ้าพายุในมือของจางอี้ชิงนั้นไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลยมื่อลมแรงพัดผ่านช่องลมตลอดทางแทบจะหอบเอาเปลวเพลิงน้อยๆดับทุกที

     

                 ..คิมจุนมยอนเดินเกือบรั้งท้ายขบวนโดยมีอู้อี้ฟานนำหน้า และ โอเซฮุนประกบด้านหลังเพราะกลัวพี่ชายเกิดหมดเรี่ยวหมดแรงเป็นลมขึ้นมากระทันหัน.. จุนมยอนอยากขอบใจเหลือเกินที่เด็กหนุ่มเข้ามาเติมเต็มความรู้สึกเดียวดายของตนตลอดยี่สิบปีตั้งแต่เล็กจนโต..อย่างน้อยในสถานการณ์เลวร้ายก็ยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น บางที่ค่ำคืนนี้อาจจะไม่ได้ย่ำแย่เสียทีเดียว..

     

                “ฮยองเป็นอะไรรึเปล่าครับ ดูเหม่อๆตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ” เสียงทักของโอเซฮุนทำให้ผู้เป็นพี่รีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที ใบหน้านวลแฝงไปด้วยความห่วงใยจ้องชายหนุ่มไม่วางตา

     

                “ม..ไม่มีอะไรหรอกเซฮุนนา..”

     

                “ไม่มีอะไรแน่นะครับ”

     

                “แน่สิ” ร่างบางปฏิเสธอย่างแนบเนียน..ชายหนุ่มหวั่นใจนึกสังหรณ์ว่าสิ่งที่อยู่ในห้องนั้นจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น

     

                ..ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ คิมโฮจุนเป็นผู้สอนคำนี้ให้กับเขาเอง..

     

                “ถึงแล้ว” ใบหน้าเรียบเฉยของจางอี้ชิงเอ่ยบอกลูกคณะที่เดินตามหลังมาติดๆ สิ้นสุดขั้นบันไดสูงชันถูกกั้นไว้ด้วยประตูไม้โอ้คขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเสมือนกำแพงกั้นอีกดินแดนหนึ่งเอาไว้

     

                ..ไม่มีทางที่จะถอยหลังกลับแล้ว.. จุนมยอนบอกตัวเอง เสียงหวีดหวิวผ่านช่องลมราวกับคำเชื้อเชิญสู่โลกเบื้องหลังอันน่าสะพรึงกลัว

     

                “ขอกุญแจหน่อย” อี้ชิงหันไปทางคิมจงอิน ชายหนุ่มพยักหน้ารู้งานหยิบเอาโลหะชิ้นเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุด จางอี้ชิงนิ่งเงียบอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่บื้องหลังประตูบานนี้กันแน่ เขารู้เพียงอย่างเดียวคือต้องทำมันให้ จบก่อนที่ใครจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ จะไม่นานกุญแจสีทองอร่ามสลักลวดลายพระอาทิตย์วิจิตรบรรจงก็ถูกเสียบเข้าไปในช่องเล็กๆ..

     

                ..ทุกชีวิตตกอยู่ภายใต้ความเงียบ..มีเพียงเสียงหายใจอย่างลุ้นระทึกเท่านั้นที่ดังชัดเจน..

     

                ..ชั่วอึดใจ..ช่องกุญแจส่งเสียงดัง กริ๊ก ครั้งหนึ่งตามด้วยกลไกของโลหะกระทบกันจนเกิดเสียงดังหึ่มๆ ผู้มาเยือนทั้งแปดคนยืนนิ่งด้วยความตื่นเต้นเมื่อฉากประตูค่อยๆเลื่อนออกโดยอัตโนมัติพร้อมกับกลิ่นอับตีเข้าอย่างจังแทนคำทักทาย.. แสงไฟในมือจางอี้ชิงส่องกราดไล่ไปตามพื้นพรม มีเพียงเครื่องเรือนเก่าๆ กระจกเก่าๆ และ ฝุ่นละอองเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือไว้ในห้องปิดตาย อี้ชิงเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น ดวงตาคมปลาบกวาดสายตามองเบื้องหน้าขณะที่คลื่นความมืดสาดโครมสู่ทุกชีวิตในคฤหาสน์หลังนี้..กล่องเพนโดร่าได้เปิดออกแล้ว..

     

                “ไปกันเถอะ”

    .

    .

    .

     

                ..ห้องพระอาทิตย์..เป็นโดมทรงกลมขนาดใหญ่ที่ครอบไว้ด้วยกระจกไฟเบอร์หนาพิเศษป้องกันแสงแดดและสายลม..แม้แต่ในยามที่พายุเข้าเช่นนี้คนที่อยู่ภายในห้องกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย.. คิมจุนมยอนทอดมองหยาดน้ำสีใสเบื้องบนที่สาดซัดแผ่นกระจกใสราวกลับระรอกคลื่นลูกใหญ่ แสงแปลบแสบตาจากสายฟ้าเบื้องบนที่เคลื่อนวนกลุ่มเมฆสีดำทมิฬเป็นบางครั้งบางคราวส่งเสียงครืนครันทุกครั้งยามปรากฏตัว

     

                “ที่นี่ไม่มีสวิตช์ไฟ” นายแพทย์หนุ่มหันมามองเจ้าของตะเกียงเจ้าพายุ “มีแต่เชิงเทียน” ดูเหมือนใบหน้าคมของอี้ชิงจะเผยรอยยิ้มขึ้นมาชั่วครู่เมื่ออีกผ่ายกล่าวจบประโยค

     

                “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าดูถูกเครื่องมือธรรมดาๆ” ชายหนุ่มหยิบเทียนเล่มหนาขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วเอาเข้าไปจ่อกับเปลวไฟ “ทุกคนช่วยกันจุดเทียน..” จัดแจงกระจายแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุตัวเก่าที่หยิบติดไม้ติดมือมา เพียงไม่นานแสงสีส้มสลัวตาก็อาบไล้ไปทั่วห้องให้ความรู้สึกอบอุ่นจากสถานที่วังเวงนี้ขึ้นมาทันที

     

                “ค่อยยังชั่ว...” แบคฮยอนพ่นลมหายใจเสียงดัง นิ้วเรียวลูบไปตามเครื่องเรือนเก่าๆภายในห้องที่ถูกจัดวางไว้อย่างปรณีต “ดูตู้พวกนี้สิ” เขากล่าวพร้อมกับไล่สายตาไปทั่ว ตู้ไม้โบราณทรงยุโรปสีดำสิบสองหลังเรียงตัวเป็นวงกลมพอเหมาะพอเจาะรอบๆห้องทรงกลม

     

                “มันมีชื่อเขียนไว้ด้วย” คยองซูค่อยๆอ่านป้ายสลักขอบทองช้าๆ “..แอเรียส..ทอรัส..เจมินี่..แคนเซอร์..ลีโอ..เวอร์โก้..ไลบรา..สกอเปี้ยน..ซาจิททาเรียส..แคปริคอร์น..อควอเรียส..พิสซิส..”

     

                “ทั้งหมดคือกลุ่มดาวจักราศี” โอเซฮุนแทรกขึ้นมา พิจารณาการเรียงตัวของลิ้นชักตำแหน่งต่างๆกัน “ลิ้นชักพวกนี้ถูกออกแบบให้เหมือนกับการเรียงตัวของกลุ่มดาวในแต่ละราศีเหมือนกัน มันมีชื่อกำกับไว้ด้วย” เรียวมือสวยแตะบนป้ายของทองที่สลักชื่อ เรกูรัส ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวสิงโต

     

                “หรือว่ารหัสลับอาจจะซ่อนอยู่ในตู้ใดตู้หนึ่ง” ร่างบางของจุนมยอนเสนอขึ้น แสงเทียนวูบไหวในความมืดเผยให้เห็นสีหน้าจริงจังของทุกคน

     

                “แต่มันเยอะมากเลยนะครับฮยอง..”

     

                “จะเยอะยังไงก็ต้องลองดู” อู๋อี้ฟานส่งสายตาเชิงบังคับให้หนุ่มน้อยหน้าหวาน เซฮุนพ่นลมหายใจ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนสะบัดไปมาแล้วออกเดินไปรอบๆ “เรามีกันแปดคน..คนละตู้ก่อนก็แล้วกัน” สั่งคำสั่งเสร็จก็ไปยืนประจำตู้ๆหนึ่ง มือหนาดึงลูกบิดสีทองออก แต่ไม่ว่าจะพยายามลงแรงสักแค่ไหนลิ้นชักเจ้ากรรมก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย..

     

                “ผมเปิดไม่ออก”

     

                “อา..ฉันด้วย..”

     

                เสียงบ่นที่ดังขึ้นเป็นระยะดังไล่หลังกันยืนยันว่าของทุกอย่างภายในห้องนี้ถูกผนึกไว้อย่างมิดชิด “ไม่ได้ผล ลิ้นชักพวกนี้ปิดตายหมดทุกบานเลย” คุณหมอหนุ่มหันมามองลูกทีมที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน “หรือว่ารหัสไม่ได้อยู่ในตู้”

     

                ทุกสายตาหันไปยังโต๊ะทำงานตรงกลางที่มีเพียงแบบจำลองวงโคจรของกลุ่มดาวจักราศีวางไว้ ร่างสูงของคิมจงอินก้าวไปก่อนจะดึงลิ้นชักออกแล้วส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง

                “นี่ก็ปิดตาย..ทุกอย่างในห้องถูกผนึกไว้หมดเลย”

     

                “..ฉันชักจะประสาทเสียแล้วนะ” แบคฮยอนขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิง “มันไม่มีอะไรในนี้หรอก..พวกเราอาจจะเดารหัสนั่นผิดก็ได้ มีตัวอักษรตั้งเก้าตัว..มันสามารถเรียงใหม่ได้ร้อยกว่าวิธี!

     

                “จริงด้วย..รหัส..” คิมจงอินทวนซ้ำคำอีกครั้งก่อนจะยกแผ่นกระดาษยับยู่ยี้ขึ้นมาในระดับสายตา “นี่มัน!

     

                “เกิดอะไรขึ้น!” คยองซูโผล่หน้าเข้าไปใกล้แล้วก็ต้องขมวดคิ้วตาม เมื่อแผ่นกระดาษที่ให้จดรหัสนั้นกลับมีเครื่องหมายแปลกๆปรากฏอยู่ตรงกลาง

     

     

     

     

                คิมจงอินเอียงมันไปมาแล้วก็ไขข้อข้องใจได้ “ใช่แล้วเครื่องหมายนี่มันจะปรากฏเมื่อส่องผ่านแสงเทียนเท่านั้น มิน่าห้องนี้ถึงไม่ได้ติดไฟเอาไว้เลยสักดวง” บุรุษผิวสีแทนหันกระดาษให้ทุกคนดูอย่างทั่วถึง..มือเรียวของโอเซฮุนหยิบกระดาษนั่นมาแล้วอุทานเบาๆอย่างตกใจ

     

                “มีอะไรแปลกเหรอเซฮุน” คนเป็นพี่สะกิดสีข้างเบาๆเจ้าตัวจึงได้ละสายตา เงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นๆ

     

                “เครื่องหมายนี่..ผมเคยเห็นมันมาก่อน..” พูดจบชายหนุ่มก็สอดมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเก่าขนาดเหมาะมือขึ้นมา

     

                “นั่นมันอะไร?” อี้ชิงถามคนอายุน้อยกว่าด้วยความอยากรู้ ชายหนุ่มไม่ได้ตอบเพียงแต่พลิกสุดบันทึกนั่นไปยังหน้าสุดท้ายที่มีรอยตัวอักษรจากเครื่องพิมพ์ดีดแปะเอาไว้และที่สำคัญตรงหัวมุมกลับมีสัญลักษณ์รูปดาวแบบเดียวกันปรากฏอยู่

     

                “มันคือของที่คุณท่านมอบให้ผมเก็บไว้ก่อนที่จะไปเรียนเมืองนอก..ดูตรงนี้สิ เครื่องหมายรูปดาวเหมือนกับในกระดาษแผ่นนั้นเลย”

     

                “เดี๋ยวนะ! ฉันพอจะเข้าใจอยู่หรอกแต่ข้อความในนี้มัน?” ทนายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆบรรจงอ่านข้อความแล้วต้องขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

     

     

                “โฟรโด แบกกิ้นส์ตัวละครเอกในนิยายเรื่อง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ของเจ.อาร.โทลคีน ผู้ถือแหวนคนที่หก..คิมฮโยยอนสมาชิกของเกิร์ลกรุ๊ป เกิร์ลส์ เจนเนอร์เรชั่นในตำแหน่งนักเต้นหลัก..หลี่ จื่อเฉิง กบฎชาวนาผู้ยิ่งใหญ่ปลายยุคราชวงศ์หมิง มีอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ ณ กรุงปักกิ่ง..ฟรองซัว ดูวาลิเยร์ ประธานาธิบดีของเฮติ รับตำแหน่งเมื่อ 22 กันยายน 1957..นารา ชิกามารุ นินจาหมู่บ้านโคโนฮะมักจะโดนพ่อสอนว่า ถ้าไม่มีผู้หญิงก็จะไม่มีผู้ชาย..  นี่มันอะไรกัน!

     

                ไม่ใช่แค่เพียงจางอี้ชิงเท่านั้นที่ข้องใจกับความไม่สมเหตุสมผลในบันทึก ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็อยู่ในสภาพงงงันไม่แตกต่างกันเท่าไหร่

     

                “..ตรงหัวมุมนี่มีรูปดาว และคุณลุงเองก็มอบหมายให้เซฮุนเก็บเอาไว้..แสดงว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในนี้แน่ๆ”อี้ฟานเอ่ยเสียงเรียบ

     

                “ดูตรงนี้สินี่ก็มีรูปดาว!” คยองซูชี้ไปยังฐานตั้งของแบบจำลองวงโคจรกลุ่มดาวบนโต๊ะ

     

                “บนพรมนี่ก็มี..” จุนมยอนทอดสายตาลงเบื้องล่าง

     

                “ข้างบนโดมนั่นก็ด้วย..” อี้ชิงชี้ไปจังจุดสูงสุดของแผ่นกระจกที่ปรากฏสัญลักษณ์ลางเลือน

     

                “มันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรหัสแน่ๆ อะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกับดวงดาว” คิมจงอินมองใบหน้านวลของโอเซฮุน
    อย่างมีความหวัง “นายเป็นนักดาราศาสตร์ไม่ใช่เหรอเซฮุน?”

     

                “..ถึงจะเรียนมาในสาขานี้โดยตรงแต่ผมก็ไม่รู้ว่าคุณท่านต้องการจะบอกอะไรหรอกครับ..เอาตามตรง..เฉพาะความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทหวัตถุ อวกาศ หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีนี่มันก็มากเกินกว่าที่จะให้สุ่มเดา..แม้แต่ข้อความพวกนี้..” มองบันทึกเล่มหนาในมือของตนอย่าทอดถอนใจ “ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะไขรหัสออกมายังไง” ร่างสูงก้มหน้างุดมองกับพื้น เรียวมือของผู้เป็นพี่จึงเคลื่อนมาโอบกระชับไหล่บางนั้นไว้หลวมๆ

     

                “ไม่เป็นไรหรอกเซฮุนนา.. พวกเราไม่โทษนายหรอก ค่อยๆคิดไม่ต้องเครียดพี่เชื่อว่านายทำได้” จุนมยอนส่งแรงบีบเบาๆ ใบหน้านวลที่เหมือนใกล้จะร้องเต็มทนให้ซบลงบนอกบาง คนตัวเล็กลูบเส้นผมสลวยของน้องชาย

     

                “ฮยองผมจะทำยังไงดี..”

     

                “ถ้าอย่างนั้นเราลองมาค้นหาสัญลักษณ์รูปดาวอื่นๆในห้องนี้กันก่อนไหม”อู๋อี้ฟานตบมือกลางอากาศเพื่อเรียกความสนใจ “มันอาจจะมีบางอย่างเชื่อมโยงกันก็ได้”

     

                ทุกร่างต่างแยกย้ายกันออกตามหาเบาะแสภายในห้องกว้างโดยมีจุนมยอนและเซฮุนนั่งพักบนโซฟาตัวยาวใกล้โต๊ะทำงาน โอเซฮุนมองรูปดาวอย่างพินิจ ดวงตาเล็กไล่กวาดซ้ำไปซ้ำมา พยายามอ่านทุกข้อความ ทุกตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในนั้นเผื่อว่าตนจะคิดอะไออก

     

                ..คิดไม่ออกเลย..

     

                เวลาในห้วงรัตติกาลยังคงดำเนินต่อไป..ถึงแม้ทุกชีวิตจะรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานกว่าทุกวัน แต่กฏของเวลาก็ยังปฏิบัติหน้าที่ของมันอย่างเคร่งครัดและเที่ยงตรง

     

                ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว.. อี้ฟานจ้องมองนาฬิกาพรายน้ำเรือนโปรดที่ตีบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง ไม่มีเบาะแส ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆเลยซ่อนไว้ในห้องนี้ ความพยายามของทุกคนแทบจะเป็นศูนย์ในขณะที่ร่างบางของนักภาษาศาสตร์ห่อนกายลงบนโซฟาตรงหน้าอย่างหมดแรง

     

                “เรายังหารูปดาวไม่เจอเลยนะแบคฮยอน” เสียงนุ่มๆของคุณหมอชานยอลทำเอาคนที่ใกล้หมดแรงนั้นหอบหายใจหนักขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง แบคฮยอนเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เล็กเมื่อเจอกับอากาศที่เจือไว้ด้วยฝุ่นเป็นธรรมดาที่คนป่ยจะแสดงอาการออกมาอย่างง่ายดายเพียงแต่..ความอดทนของเขาเองที่ยังคงระงับอาการเหล่านั้นเอาไว้ได้หากแต่แลกมาด้วยอารมณ์โทสะคุกกรุ่นอยู่ภายใน และเมื่อครู่ชานยอลก็พึ่งจะแกะสลักตัวสุดท้ายที่แบคฮยอนพยายามรักษาไว้ออกจากกัน ร่างบางหันไปมองใบหน้าเหลอหลาไม่รู้สึกอะไรก่อนจะพ่นถ้อยคำมากมายพรั่งพรูออกมา

     

                “หาอะไรอีก! มันไม่มีหรอกรูปดาวบ้าๆนั่น พวกเราทั้งหมดกำลังงมเข็มในมหาสมุทรเข้าใจไหม แต่ถ้านายอยากได้มันนักฉันก็จะวาดมันให้ จะเอาเท่าไหร่ล่ะ ร้อยดวง! พันดวง!” ขอบตาแดงกร่ำของพยอนแบคฮยอนบ่งบอกว่าสภาพร่างกายใกล้ถึงจุดวิกฤติแล้ว มือเรียวเอื้อมไปหยิบยาพ่นจมูกที่พกติดตัวไว้ประจำขึ้นมา “จะให้หาอะไรอีก..ฉันกำลังจะตายเพราะไอ้ฝุ่นพวกนี้อยู่รอมร่อ!

     

                “ใช่แล้ว! วาด..” โอเซฮุนดีดนิ้วก่อนจะพึมพำกับตัวเอง มือเรียวฉีกกระดาษบันทึกแผ่นสุดท้ายนั้นออกมาท่ามกลางความอึ้งของทุกคน

     

                “จะทำอะไร?” คนเป็นพี่มองใบหน้าน้องชายที่เจือไว้ด้วยรอยยิ้ม

     

                “ของคุณมากนะครับคุณแบคฮยอน..”โอเซฮุนกล่าวอย่างสุภาพทำเอาร่างบางที่พึ่งจพ่นยาเข้าไปมองหน้าด้วยความงุนงง

     

                “..ผมมีความคิดดีๆ คุณอี้ชิงครับช่วยกลางกระดาษรหัสแผ่นนั้นขึ้นให้หน่อยได้ไหม” ชายหนุ่มหันไปสั่งคนที่กำลังยืนนิ่งด้วยความงุนงง

     

                “ด..ได้สิ..” ทนายหนุ่มยอมทำตามอย่างว่าง่าย ดวงดาวในแผ่นกระดาษปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งมือเรียวของเซฮุนจึ้งรีบชูกระดาษบันทึกขึ้นในระดับเดียวกันก่อนจะใช้ปากกาขีดเขียนเส้น9i’ลงไป

     

                “ให้ตายสิ..มันคืออะไร?” คิมจงอินอุทานเบากับสิ่งที่ปรากฏอยู่บนสมุดบันทึก ลายเส้นของโอเซฮุนที่ลากตามขนาดของดวงดาวบรรจบกันกับคำอย่างพอดี

     

                

     

     

     

                “6..Girl..กบฎชาวนา..22 9 1957...ถ้าไม่มีผู้หญิงก็จะไม่มีผู้ชาย..นี่คือประโยคแท้จริงที่คุณท่านต้องการจะบอก..คำไบ้ซ่อนรหัสลับยังไงล่ะ”

     

                “อะไร? ยังไง? ฉันไม่เข้าใจ!”อี้ชิงขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมกับใบหน้ากรุ่มกริ่มนั้น

     

                “มันคือการส่งข้อมูลด้วยวิธีการนำเอาส่วนผสมที่ไม่เกี่ยวข้องกันมารวมกัน..และใช้รูปแบบเฉพาะของสัญลักษณ์ในการอ่านสาสน์ พูดง่ายๆก็คือการเข้ารหัสอีกนั่นแหละ”คิมจงอินอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะโยนให้ร่างสูงของนักดาราศาสตร์ข้างๆ “ช่วยบอกสิ่งที่นายรู้ต่อจากนั้นจะได้ไหม..”

     

                “ครับ..ข้อความพวกนี้จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีดวงดาว” นิ้วเรียวชี้ให้ดูรูปดาวที่ตัวเองบรรจงขีดลงไป “6 Girl ชาวนา..ถ้าตีความหมายใหม่ สัญลักษณ์ของชาวนาก็คือข้าว Girl คือ ผู้หญิง และหายเลขหกคืออันดับ..” โอเซฮุนเว้นวรรคอย่างชั่งใจ มองดูใบหน้าทุกคนที่กำลังลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ

     

                “มันคือจักราศีอันดับที่หก กลุ่มดาวหญิงสาวพรมจรรย์..และ ตำแหน่งที่ซ่อนรหัสไว้ก็ คือ 'ดาวสไปก้า' หรือที่เราเรียกว่าดาว รวงข้าว นั่นเอง!

     

    .

    .

    .

    กลับมาปั่นต่อ ค้างใช่ไหมเคอะ 555+

    อ่า..ยอมรับจริงๆค่ะว่ากลัวทุกคนงง ถ้างงล่ะก็ถามได้เลยนะ

    เพราะเบื้อหลังรหัสพวกนี้ไรท์เตอร์แทบจะลมจับ แอบงงเองเหมือนกัน

    ข้อมูลมันช่างมากมายเหลือเกิน! ยากกว่าแกทเชื่อมโยงซะอีก!

    ช่วยติดตามและไขรหัสลับไปพร้อมๆกันนะคะ ขอตัวก่อน(โค้งงามๆ) บายค่า

     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×