ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic (exo) Pandora Hours : ปราสาทรัตติกาล (นิยายชุดรัตติกาล)

    ลำดับตอนที่ #5 : ปริศนากับชายชุดแดง

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 56






     

    ..ราตรีสวัสดิ์ครับนายน้อย.. เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดระหว่างทาง คนตัวเล็กอธิบายความรู้สึกจากคำพูดจากคนชราไม่ถูก..ทั้งเหงา เศร้า และ อาวร..

              ..รู้สึกไม่ดีเลย..

     

              แสงเทียนสาดส่องไปทั่วบริเวณ แสงนวลตาของมันอาบไล้แผ่นหินกว้างที่ทอดยาวสุดมุมปราสาท..ชายหนุ่มอยากรู้เหลือเกินว่าใครเป็นคนออกแบบที่นี่ เพราะระยะห่างระหว่างแต่ละห้องนั้นกว้างเสียจนน่าวังเวง..

     

              “ถึงสักที..” คนตัวเล็กพ่นลมหายใจยาวลืมตัวว่านอกจากเขาเองก็ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย อู๋อี้ฟานเสียบกุญแจห้อง บิดลูกปิดประตูเผยให้เห็นพื้นที่ภายในได้อย่างถนัดตา นิ้วเรียวเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟตรงหัวเตียง..แชนเดอเลียกลางห้องก็ส่องแสงสีขาวนวล..

     

              “เตียงคู่พอดี..คุณจะนอนฝั่งไหน” คนตัวเล็กรู้สึกโล่งอกอยู่ลึกๆที่ยังพอมีพื้นที่ไว้สำหรับหายใจหายคอ เตียงสี่เสาสองตัวหันข้างให้ระเบียงที่ทอดยาว..เห็นแผ่นฟ้าพร่ามัวด้วยหยาดฝน   ..เวลาล่วงเลยมาสองชั่วยามแล้ว..

     

              ..เหลืออีกยี่สิบสองชั่วโมง..จุนมยอนบอกตัวเอง..

     

              ร่างสูงเอนกายลงบนเก้าอี้ชุดนั่งเล่น ใบหน้าคมเข้มนั้นดูจริงจังและขึงขังกว่าทุกที ชายหนุ่มวางมือลงบนโต๊ะทั่วทั้งห้องเงียบกริบได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ

     

              “เรามีเรื่องต้องคุยกัน” สุรเสียงสุมทุ้มเอ่ยบอกกับคนตัวเล็กที่เดินหลบหน้าไปอีกทาง ร่างบางหันมามองว่าที่คู่หมั้น แววตาคู่นั้นมั่นคงถึงแม้จะพึ่งผ่านเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตก็ตาม

     

              “เอาสิ..” ตอบสั้นๆก่อนจะพาตัวเองนั่งลงตรงหน้า เขาไม่อยากจะเดินหนีปัญหาอีกแล้ว เพราะหากจะให้คิมจุนมยอนใช้ชีวิตอย่างพะวงหน้าพะวงหลังสู้ยอมเผชิญหน้าอย่างลูกผู้ชายคนหนึ่งเสียดีกว่า

     

              “ผมรู้ว่าคุณรู้สึกตกใจและสับสน..” เขาเริ่ม ดวงตาคมปลาบสบมองโครงร่างสวยด้วยความเห็นใจ “ทั้งเรื่องคุณพ่อของคุณ.. หรือเรื่องของผม..

              “มันยากนักที่จะไว้ใจคนแปลกหน้าที่พึ่งรู้จักกันแค่วันเดียว..แต่ผมอยากให้คุณเชื่อใจผม..เรายังมีเวลาอีกยาว..จนกว่าจะถึงวันนั้นคุณสามารถยกเลิกสัญญาทั้งหมด แล้วเราจะกลายเป็นเพียงคนคุ้นหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน”

     

              “...”

     

              “แค่นี้แหละที่ผมอยากพูด” ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง มองใบหน้าหวานนั้นครู่เดียวก่อนจะหันหลังกลับ

     

              “ไว้ใจ..” น้ำเสียงเบาหวิวหยุดฝีเท้าของอีกฝ่ายนิ่ง คนตัวเล็กจับชายเสื้อเนื้อดีไว้หลวมๆ

     

              “หืม?”

     

              “ผมไว้ใจคุณได้ไหม..”

     

              อู๋อี้ฟานระบายรอยยิ้มอบอุ่น “ได้สิ..ได้เสมอ..”

    .

    .

    .

              ดวงตาคู่สวยลืมตาโพลงในความมืด พายุยังคงโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง..คิมจุนมยอนพลิกผ้าห่มออกจากเรือนกายกวาดมองหาเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เขาไม่สามารถข่มตาหลับได้เลยแม้จะพยายามเท่าไรภาพทรงจำในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็กก็มักจะฉายซ้ำขึ้นมาเสมอ คนตัวเล็กหันไปอีกด้านของตน ร่างสูงนอนนิ่งไม่ไหวติงมีเพียงเสียลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

              ..อู๋อี้ฟานหลับไปแล้ว..

     

              ร่างบางประคองแสงเทียนสลัวไม่ให้ดับขณะเคลื่อนกายไปบนพื้นพรม เมื่อคิดว่าผู้เป็นพ่อต้องทนอยู่ในที่เงียบเหงา และวังเวงอย่างนี้ตลอดยี่สิบปีคนเป็นลูกก็ยิ่งปวดใจ..

     

              นายคนใหม่ของบ้านผลักประตูไม้มะฮ็อกกานีสีเข้มอย่างระมัดระวัง กลิ่นอับและฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศบ่งบอกว่าห้องทำงานนี้ถูกปิดตายมานานหลังจากการเปลี่ยนถ่ายเจ้าของบ้านสิ้นสุดลง นิ้วเรียวลูบไล้ไปบนโต๊ะทำงานอันแสนคุ้นเคย แผ่นกระดาษ เอกสารต่างๆอยู่ในที่ของมันเช่นเดิม..ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดพ่อก็ยังคงทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน..คิมโฮจุนมีชีวิตอาภัพนักแม้กระทั่งห้วงสุดท้ายของชีวิต..เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้หยุดพักเลย..

     

              จุนมยอนวางเชิงเทียนลงบนโต๊ะ อากาศในยามวิกาลที่เริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆบังคับให้มือบางเกาะกระชับเสื้อไหมพรมของตนเพื่อรักษาความอบอุ่น ชายหนุ่มขมวดคิ้วอัตโนมัตเมื่อแสงสีส้มจากเทียนไขส่องกระทบวัตถุบางอย่างมุมห้อง บางสิ่งที่บอกกับเขาว่ามันไม่ควรอยู่ที่นี่

     

              เปรี้ยง!

     

              แสงสว่างวาบจากภายนอกปราสาทฉาบผนังห้องให้กลายเป็นสีขาวเพียงเสี้ยววินาทีในขณะที่แสงนวลตาจากเชิงเทียนนั้นดับวูบลง จุนมยอนยืนนิ่งในความมืด รู้สึกเย็นยะเยือกทั่วสรรพางค์กายเมื่อจักษุประสาทรับรู้การมีตัวตนอยู่ของใครบางคน..คนอื่นที่ไม่ใช่เขา!

              เบื้องหน้าคือบุรุษนิรนามในชุดคลุมสีแดงเลือดหมู ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากไม้

             

              “ค..คุณเป็นใคร?” ร่างบางตะโกนก้อง รู้สึกไม่ดีเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมเข้ามาใกล้

     

              “ดีโอใช่ไหม? อย่าเล่นพิเรนทร์กับพี่นะ!” คนตัวเล็กถอยร่นก้าวต่อก้าว ใบหน้าขาวซีดลงทันทีเมื่อชายแปลกหน้าเงื้อมกริชในมือขึ้นมา

     

              ฟิ้ว

     

              คมกริชแหวกอากาศปักลงบนโต๊ะขณะที่คนตัวเล็กเอี้ยวหลบได้หวุดหวิด คิมจุนมยอนหายใจหอบถี่ ถึงแม้อากาศจะหนาวแต่เหงื่อกับออกทั่วตัวเสียนี่ เขาไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าตนเองจะวิ่งหลบอาวุธได้อีกนานสักแค่ไหน..

     

              “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!” จุนมยอนตะโกนก้อง..หากมีเพียงแต่คลื่นความเงียบซัดตอบกลับมาเท่านั้น ชายหนุ่มอยากหายตัวออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดเพียงแต่ก็เป็นเพียงความคิดเมื่อชายนิรนามยืนกั้นฉากประตูเอาไว้เสียมิดชิด

     

              “แกต้องการอะไร?! เราคุยกันดีๆได้นะ..” คนตัวเล็กใช้หลักจิตวิทยาเข้าช่วยเมื่อเห็นลางไม่ดี เจ้าของผ้าคลุมสีแดงสบดวงหน้าสวยด้วยแววตาวาวโรจน์ก่อนจะใช้แรงยกคมกริชที่ฝังอยู่ในเนื้อโต๊ะออกมาอย่างง่ายดาย

     

              “ชีวิต..” เสียงแหบพร่าตอบกลับมาเงื้อมกริชในมือขึ้นอีกครั้ง คิมจุนมยอนกวาดสายตามองรอบกาย

              ..ต้องมีสักอย่างที่ใช้แทนอาวุธได้ล่ะน่า..

     

              ไวเท่าความคิดร่างบางฉวยเอาเชิงเทียนใกล้ๆฟาดข้อมือหนาของอีกฝ่ายโดยสัญชาติญาณ ด้ามกริชกระเด็นลอยหายไปในความมืดทิ้งความเจ็บปวดบนมือข้างขวาแก่ผู้บุกรุก

     

              “อา..” มันส่งเสียงครางพลางกุมมือข้างหนึ่งของตนไว้ คนตัวเล็กสบโอกาสฟาดโครมเข้ากลางศีรษะเป็นครั้งที่สอง แรงกระแทกจากโลหะทลายหน้ากากไม้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ..ชายนิรนามกุมใบหน้าของตัวเอง เลือดสีแดงฉานไหลอาบใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุม

     

              คิมจุนมยอนเริ่มเห็นแสงแห่งความหวังอยู่ร่ำไร คนตัวเล็กได้โอกาศสาวเท้าหนีออกจากห้องหากแต่ยังไม่ทันได้ข้ามพ้นอาณาเขตบุรุษในชุดคลุมสีแดงก็พุ่งตรงเข้ามาหาด้วยความเร็ว มือหนาฉวยข้อมือบางตรึงไว้กับพื้นขณะที่อีกข้างนั้นบีบลำคอระหงแน่น

     

              “ช่วยด้วย!” โครงร่างบางแผดเสียงให้ดังที่สุดพลางทุบตีท่อนแขนแข็งแรงของอีกฝ่าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านักฆ่ามืออาชีพเรี่ยวแรงน้อยๆนั้นแทบจะเบาบางราวกับสายลม

     

              “ช่วยด้วย! แค่ก แค่ก” เสียงร้องเริ่มเบาลงทุกทีขณะที่แรงบีบนั้นทวีคูณขึ้นหลายเท่า

     

              “แกไม่น่าเกิดมาเลยคิมจุนยอน..แกแย่งความรักของฉันไป แกแย่งความรักจากพ่อไป!” น้ำเสียงสั่นเครือแฝงไว้ด้วยความแค้น ลมหายใจเริ่มรวยละรินลงไปทุกที ขณะที่วินาทีแห่งความเป็นความตายใกล้เข้ามาจู่ภาพของใครบางคนก็ปรากฏอยู่ในห้วงสำนึก..อู๋อี้ฟาน

     

              “ช่วย..ช่วย..ด้วย..”

     

              พลั่ว!

     

              เสียงกำปั้นดังแหวกกลางอากาศก่อนจะซัดเข้าบนโครงหน้าผู้บุกรุกจนร่างที่นั่งคร่อมเจ้าของบ้านไว้อยู่เซถลาไป คนตัวเล็กมองผู้มาเยือนด้วยแววตาพร่าเลือน โครงร่างสูง ใบหน้าคมเข้มหากตอนนี้แฝงไว้ด้วยความโกรธจนถึงขีดสุด

     

              “คริส!

     

              บุรุษปริศนาทรงตัวขึ้นอีกครั้ง มันมองร่างบางสลับกับคนตัวสูงอย่างชั่งใจแล้วพ่นเสียงสบถออกมาเบาๆ

     

              “คิมจุนมยอนคราวหน้าแกไม่รอดแน่!” พูดเสร็จร่างกำยำก็พุ่งเข้ากระแทกบานกระจกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

     

              เพล้ง!

     

             

              ร่างสูงของว่าที่คู่หมั้นโผเข้ามาประคองเจ้าของดวงหน้าหวานที่ตอนนี้ซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษ เพราะอะไรไม่รู้จุนมยอนกลับรู้สึกปลอดภัยเมื่อเห็นหน้าของเขา

     

              “ทำใจดีๆไว้ซูโฮ คุณปลอดภัยแล้วนะ” คนร่างสูงตบดวงหน้าหวานเบาๆให้ได้สติ สารภาพตามตรงเขาแทบใจหายเมื่อตื่นขึ้นมาพบเพียงความว่างเปล่าบนเตียงข้างๆเท่านั้น จุนมยอนหายตัวไปไหนในยามที่ทุกอย่างดูวุ่นวายเช่นนี้

     

              “เกิดอะไรขึ้น!” เสียงของทนายประจำตระกูลดังขึ้นพร้อมกับคนในบ้านที่ทยอยลงมาโดยมีเซฮุนวิ่งไล่หลังเป็นคนสุดท้าย

     

              “มีคนพยายามจะฆ่าซูโฮ!” อู๋อี้ฟานชี้ไปยังบานกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ “ดีที่เข้ามาช่วยไว้ทันเวลา”

     

              “มันเป็นใครพอจะเห็นหน้าไหม” จงอินเอ่ยถามเอื้อมมืดไปเปิดสวิทช์ไฟ แสงสว่างจากช่อแชนเดอเลียสาดส่องไปทั่วบริเวณ

     

              “ไม่..มันมืดเกินไป”

     

              “ผมขอดูอาการหน่อย” เสียงเรียบจากนายแพทย์หนุ่มแหวกวงล้อมเข้ามา มือหนาคลำดูชีพจรที่เต้นอย่างอ่อนแรง “พาคุณซูโฮออกไปจากที่นี่ก่อน” หันไปสบตากับร่างสูงที่ยังคงประคองร่างคู่หมั้นไว้ ไม่กี่อึดใจร่างบางของคนตัวเล็กก็ถูกยกขึ้นในอ้อมแขนแข็งแกร่งออกไปยังส่วนรับแขก

     

              “ฮยองเป็นไงบ้างครับ” โอเซฮุนถามพี่ชายทันทีเมื่อชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟายาว

     

              “ฉันไม่เป็นไรหรอก.. โอ๊ะ! เซฮุนนา หัวนายไปโดนอะไรมา?!” ชี้ไปยังบาดแผลเหนือคิ้วข้างขวา “เลือดไหลด้วย”

     

              “คือ..ผมสะดุดล้มตอนที่ลงมาไม่เปนไรมากหรอกครับ” รอยยิ้มจืดๆที่ส่งมาให้นั้นยิ่งทำให้คนเป็นพี่นึกเอ็นดูน้องชายคนนี้ขึ้นมาทันที

     

              “อาการโดยรวมไม่เป็นไรมากมีแค่รอยฟกช้ำเฉยๆ” ชานยอลเก็บเอาชุดหูฟังลงข้างกาย “แต่ถ้าขืนช้ามากไปกว่านี้..”

     

              “รู้รึเปล่าว่ามันต้องการอะไร” คำถามของไคทำเอาร่างบางสั่นสะท้านเพราะความกลัว

     

              “..ชีวิต..”

     

              “..แกไม่น่าเกิดมาเลยคิมจุนยอน..แกแย่งความรักของฉันไป แกแย่งความรักจากพ่อไป!

     

              “ทางที่ดีเราควรให้คุณซูโฮอยู่ในที่ปลอดภัย อีกแปดชั่วโมงก็เช้าแล้ว” ทนายหนุ่มนึกถึงชายชุดแดงที่ตนเห็นเมื่อหัวค่ำ “พวกเรารวมตัวในห้องนี้ก่อนละกันเพื่อความปลอดภัย”

     

              “เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นคงไม่มีใครมีกะจิตกะใจนอนหลับลงหรอก” คยองซูบ่นเสียงเบา มองหน้าพี่ชายที่ค่อยๆฟื้นอาการ

     

              “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันจัดเวรยามเฝ้าดูรอบๆทุกชั่วโมง..ผมคุณไค คุณเลย์กับคุณหมอ” ร่างสูงจัดแจงเอาเอง ในยามคับขันเช่นนี้อู๋อี้ฟานกลับมีภาวะผู้นำสูงจนเหลือเชื่อ

             

     

              “กรี๊ด!

     

              เสียงร้องของหญิงสาวหยุดบทสนทนาทั้งหมดทันที ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกขณะที่ปล่อยให้ความเงียบครอบงำทั้วทั้งห้อนั่งเล่น

     

              “เสียงอะไรน่ะ!” คยองซูพูดพลางมองออกไปข้างนอก ในตัวปราสาทไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเขาแน่ๆ

     

              “ดังมาจากเรือนคนใช้ด้านหลัง” แบคฮยอนสมทบ

     

              “ไปดูกันเถอะ” และเป็นร่างบางที่เอ่ยขึ้นมาสุดท้าย อู๋อี้ฟานมองใบหน้าหวานที่แฝงไว้ด้วยความตระหนก พึ่งเจอสถานการณ์เลวร้ายมาหมาดๆยังไม่เข็ดอีกรึไง?!

     

              “ซูโฮคุณอยู่นี่แหละ เซฮุน ดีโอ แบคฮยอนฝากซูโฮด้วย” ร่างสูงกำชับคนอายุน้อยกว่าอย่างหนักแน่น..พลางหันไปหาอีกทาง “คุณเลย์ คุณไค คุณชานยอลมากับผม”

    .

    .

    .

              พายุที่โหมกระหน่ำยามค่ำคืนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนเลย แสงสีส้มจากกระบอกไฟฉายที่ซ่อนไว้ใกล้ทางเข้าออกเผื่อกรณีฉุกเฉินกำลังทำหน้าที่ของมันได้ดีแม้จะอยู่ในสภาพอากาศโหดร้ายเช่นนี้ก็ตาม บุรุษสี่คนพาร่างตัวเองผ่านม่านสายฝนมายังเรือนคนใช้อย่างยากเย็นเพียงไม่นานแขกผู้มาเยือนก็ถึงที่หมายเบื้องหน้าโดยปลอดภัย

     

              “เกิดอะไรขึ้น!” อี้ฟานถามสาวใช้ที่ยืนปิดปากด้วยความกลัว สีหน้าตกใจนั้นร้องไห้โฮเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา

     

              “คุณปาร์ค คุณปาร์ค” หญิงสาวชี้เข้าไปในห้อง ร่างสูงทั้งสีแทบจะหยุดหายใจเมื่อสิ่งที่พบตรงหน้านั้นคือร่างของชายชราที่นั่งคอพับพิงกับผนังปล่อยให้เลือดสีแดงฉานไหลนองทั่วพื้นห้อง ชานยอลปรี่เข้าหาพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว มือหนาอังที่ปลายจมูกก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

     

              “เรามาช้าเกินไป” เขาเอ่ยประโยคสั้นๆ มองใบหน้าคมเข้มของอี้ฟานที่กำลังพยายามเรียกสติของตนกลับมา

     

              “ดูนี่สิ” คิมจงอินชี้ไปยังบางอย่างในฝ่ามือคนชรา “คุณปาร์คกำมันแน่นไม่ยอมปล่อยเลย” ชายหนุ่มเอาสิ่งของนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง มันคือกุญแจสีทองสลักลวดลายเป็นรูปพระอาทิตย์และ กระดาษกี่ถูกกำจนยับยู่ยี่อีกหนึ่งแผ่น

     

              “มันคืออะไร”จางอี้ชิงถามด้วยความแปลกใจ จงอินมองแววตาอยากรู้ของทุกคนครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจคลี่มันออกมาแล้วอุทานกับตัวเองเบาๆ

     

              “..พระเจ้า..ช่วยบอกผมทีว่ามันคืออะไร!


     



    .
    .
    .

              อา..ในที่สุดรหัสลับตัวแรกก็ออกมาเสียที 555+ ขอบคุณที่ทักเรื่องฟอนท์นะคะ ตอนที่เอาลงไม่ทันได้สังเกต ลืมว่าต้องเปลี่ยนเป็นฟ้อนต์ที่มีในเด็กดี ตอนนี้แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้วนะคะ.. เอาใจช่วยทุกคนตามจับคนร้ายด้วยเน้อ บ๊ายบาย

     

    :) 
     
     
    Shalunla
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×