คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ค่ำคืน
ปราสาทรัตติกาล.. ถูกเรียกสั้นๆว่า ‘ปราสาทมืด’ ตามลักษณะของมันที่คนภายนอกมักจะมองเห็นเป็นเงาดำทมิฬขนาดใหญ่ ปราสาทมืดซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณหลากหลายชนิดทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตตัดขาดผู้อยู่อาศัยออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เงียบ.. สงบ.. และ ปราศจากความวุ่นวายรบกวนจิตใจ.. ปราการธรรมชาติเหล่านี้เองที่ทำให้ศาสตราจารย์หนุ่มจากคณะประวัตติศาสตร์ตกลงควักเงินจากกระเป๋าซื้อมันมาด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วเพื่อหวังจะให้เป็นสถานที่ทำงานและเรือนหอไปในตัว..
โชคไม่ดีนัก..แฟนสาวของเขาทนรับพฤติกรรมแปลกประหลาดไม่ไหวขณะที่สามีตัวเองมักจะพาลูกชายตัวเล็กๆเข้าไปดูภาพวาด ลายแทง หรือแม้กระทั่งเครื่องหมายประหลาดๆต่างๆ เธอจึงตัดสินใจหอบลูกชายวัยห้าขวบจัดกระเป๋าแล้วออกไปตั้งรกรากอยู่ในต่างแดน.. ทิ้งให้ชายหนุ่มอยู่ที่นั่นด้วยความเศร้าใจ ..ยามที่มันไร้คนจนกลายเป็นปราสาทมืดที่เงียบเหงาและวังเวงช่างน่ากลัวยิ่งนัก..
..จากวันนั้นสู่วันนี้..ยี่สิบปีแล้วสินะ..
ประตูโลหะที่ขึ้นสนิมเขรอะเลื่อนออกอย่างง่ายดายเมื่อรถลีมูซีนคันหรูเคลื่อนกายเข้ามาภายในบริเวณปราสาทโดยปลอดภัย คิมจุนมยอนกวาดสายตามองรอบกาย ผ่านมาเกือบยี่สิบปีสถานที่แห่งนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยจากเมื่อครั้งอดีต เป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจของเจ้าของบ้านที่ต้องการระลึกถึงลูกชายและภรรยากันแน่..
“ถึงแล้วครับ” ชายชราเบนใบหน้าเข้ามา “คนอื่นกำลังรออยู่”
“คนอื่น?” ชายหนุ่มทวนคำใหม่อีกครั้ง
“ครับ..พวกเขามารอคุณหนูตั้งหนึ่งวันเต็ม..สุดท้ายก็ได้เวลาเสียที” แจซูทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก่อนจะก้าวลงจากรถ “คนอื่น นี่คงเป็นหนึ่งในคำสั่งของคุณพ่ออีกใช่ไหมเนี่ย!” ดวงตาคู่หวานมองร่างของคนรับใช้สองสามคนที่กรูเข้ามารับข้าวของอย่างทุลักทุเล ..เขากำลังจะเจอใคร? ในบ้านของตัวเอง..
.
.
.
เกือบยี่สิบปีที่ปราสาทรัตติกาลไม่เคยต้อนรับใคร เพราะไม่มีเหตุผลที่คนทั่วไปจะถ่อสังขารนั่งรถราวห้าชั่วโมงเต็มเพื่อเดินทางมาถึงที่นี่ ทั้งรกร้าง และ กันดาร..
ร่างบางถอดเสื้อเสวทเตอร์ของตัวเองออกพาดไว้กับระแนงไม้ด้านข้าง ความอบอุ่นจากกองไฟขนาดใหญ่ใต้เตาผิงแผ่ขยายไปทั่วบริเวณค่อยทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ชายชรานำผู้เป็นนายคนใหม่สาวเท้าเข้าไปถามห้องโถง สุดทางเดินคือประตูไม้บานใหญ่ที่ใช้กั้นแต่ละห้องให้เป็นสัดส่วนชัดเจน จุนมยองหายใจเข้าลึกๆ ก้อนหัวใจในอกด้านซ้ายเต้นระรัวราวกับแผ่นดินไหวเมื่อมือของคนสนิทจรดลงบนลูกบิดหัวทองแดงนั่น
แกร๊ก
เสียงโลหะคลายกลไกดังขึ้นในความเงียบก่อนที่ร่างบางจะมุ่งเข้าสู่ห้องรับแขกที่มีสายตาของคนอีกเจ็ดคู่จ้องเข้ามา
“ขอโทษที่ต้องให้ทุกท่านรอนาน” ปาร์คแจซูโค้งคำนับให้แขกรับเชิญทั้งหมดก่อนจะเริ่มแนะนำตัวร่างบางที่ยืนอยู่ด้านข้าง “นี่คือคุณคิมจุนมยอนนายคนใหม่แห่งปราสาทรัตติกาล”
ถึงคราชายหนุ่มค้อมหัวตัวเองบ้าง คนที่พึ่งถูกแนะนำมองใบหน้าแขกที่เหลืออย่างสงสัย ไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ที่แสนอึดอัดนี่เลย
“คุณหนูครับนี่แขกของเรา..”ชายชราผายมือออกเรียงไปทีละคน “คุณคิมจงอิน...ผู้ช่วยของคุณท่าน..”
“เรียกผมว่าไคก็ได้ครับ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“คุณหนูคยองซู..” คนนี้ไม่ต้องแนะนำเขาก็รู้จัก เพื่อนสนิทในสมัยเด็ก เคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หากจำไม่ผิดล่าสุดคือสองปีที่แล้ว
“พี่ซูโฮ!”เด็กหนุ่มร้องลั่นก่อนจะโผเข้าไปกอดร่างบางอย่างคิดถึง
“ดีโอ..”
“คุณเลย์ ทนายประจำตระกูลคนใหม่ครับ” แจซูยังคงทำหน้าที่ของตนต่อ ชายหนุ่มร่างสูงโค้งรับหนึ่งที ใบหน้าเรียบสนิทนั้นไม่สามารถเดาออกได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณหมอชานยอล แพทย์ประจำตัวของคุณท่าน”
“สวัสดีครับ”บุรุษร่างสูงทักทาย รอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นซี่ฟันเรียงตัวสวย
“คุณแบคฮยอน ลูกศิษย์คนสำคัญของคุณท่าน” ชายชราเคลื่อนตัวถอยลงมาเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนกับจะหนักใจเมื่อต้องกล่าวแนะนำอีกสองคนที่เหลือ “นี่คุณเซฮุน.. ลูกบุญธรรมของคุณท่านครับคุณหนู” เด็กหนุ่มร่างสูงใบหน้าสวยจ้องมองมายังเจ้าของบ้านคนใหม่แล้วหลุบตาต่ำลง มือเรียวนั้นกำแน่นจนคนมองรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาทันที
“ผ่านไปตั้งยี่สิบปี ผมมีน้องชายเพิ่มอีกหนึ่งคนเลยหรอเนี่ย! ดีใจจังเซฮุนนา” คนตัวเล็กส่งยิ้มให้ นั่นทำให้ชายหนุ่มยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา ‘พี่ชาย’
“ค..ครับฮยอง”ได้ฟังดังนั้นคนอายุน้อยกว่าค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย จุนมยอนไล่สายตาจับจ้องไปยังบุรุษคนสุดท้าย เรือนผมสีเข้ม กับนัยน์ตาคมปลาบคู่นั้นดูโดดเด่นกว่าทุกๆคน...ราวกับจะบอกเป็นนัยน์ว่าคนๆนี้ต้องมีอะไรพิเศษที่แตกต่างออกไปอย่างแน่นอน
ชายชรามองใบหน้าหล่อเหลาของแขกคนสุดท้ายอีกครั้ง ใบหน้ากร้านอย่างคนเจนโลกไม่เคยคิดหนักใจอะไรเช่นนี้มาก่อน “นี่คือคุณคริส..คู่หมั้นของคุณหนูครับ..”
“ ! ”
.
.
.
“..คู่หมั้น..” น้ำเสียงเบาหวิวลอยขึ้นไปในอากาศขณะที่ทุกคนในห้องตกอยู่ภายใต้ความเงียบ คนตัวเล็กขมวดคิ้วเป็นปมมองใบหน้าของพ่อบ้านประจำตระกูลอีกครั้งเพื่อถามความมั่นใจ ไม่ใช่หูฝาดได้ยินผิดไปเอง “ล้อผมเล่นใช่ไหม?”
“มันคือเรื่องจริงครับ..ผมอู๋อี้ฟาน เป็นคู่หมั้นของคุณ” เสียงหนักแน่นของร่างสูงทำเอาคนฟังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คู่มั่นอะไรกันให้ตายเถอะ! คิมจุนมยองอยากบอกตัวเองเหลือเกินว่านี่คือความฝันหากแต่เมื่อลืมตาขึ้นมาชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยทีท่าเรียบเฉย
“ที่ทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้เป็นเพราะคำสั่งเสียของนายท่านก่อนสิ้นใจ” ร่างสันทัดของพ่อบ้านประจำตระกูลเปลี่ยนประเด็นทันทีเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีมากขึ้นทุกขณะ
“ผมอยากรู้ว่าคุณพ่อมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? ทำไมถึงต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้ดูมีลับลมคมนัย”
“ท่านต้องการเปิดพินัยกรรมที่ปราสาทมืดแห่งนี้โดยมีพวกคุณทุกคนร่วมเป็นสักขีพยาน”
“พินัยกรรม?”
“ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพวกเรามาครบแล้วนี่..จะรออะไรอยู่ล่ะฮะ”โดคยองซูละมือลงจากบ่าผู้เป็นพี่ ดวงหน้าหวานนั้นระบายรอยยิ้มออกาแตกต่างจากทุกคนโดยสิ้นเชิง
“มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ..” ชายชราแย้ง “การเปิดพินัยกรรมฉบับนี้ได้จำต้องปฏิบัตติตามเงื่อนไขที่คุณท่านวางไว้..”
“เงื่อนไข?..เงื่อนไขอะไร?” คิมจุนมยอนอยากจะระเบิดออกมาเต็มทน อาจเป็นเพราะความหงุดหงิดที่สะสมตั้งแต้การเดินทางและพักผ่อนน้อย ยามนี้คนตัวเล็กจึงดูน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นกลายเท่าตัว
“ทุกๆคนจำต้องอยู่ในรั้วของประสาทรัตติกาลนี้เป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง” คนฟังได้แต่นึกฉงนในใจหากแต่ยังไม่ได้ถามอะไรชายชราก็กล่าวดักทางไว้อย่างชาญฉลาด “หากคุณต้องการจะถามบอกได้คำเดียวเลยว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน.. แต่ขอให้ทุกคนทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด” พูดจบมือสากก็ล้วงกล่องผ้าสักกะหราดสีแดงขึ้นมา “นี่คือกุญแจห้องพัก มีทั้งหมดหกห้องที่สามารถใช้การได้ตามปกติ”
“แต่พวกเรามีแปดคน” เด็กหนุ่มนามแบคฮยอนแย้ง “แสดงว่าต้องมีสองคู่ที่ได้นอนห้องเดียวกัน..”
ชายหนุ่มมองหน้ากันพลันความเงียบก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง..
.
.
.
“สรุปตามนี้นะครับ ห้องหนึ่งคุณชานยอล ห้องสองผมแบคฮยอน ห้องสามคุณดีโอกับเซฮุน ห้องสี่คุณไค ห้องที่ห้าคุณชานยอล ห้องสุดท้าย..คุณซูโฮกับคุณคริส”บยอนแบคฮยอนไล่ลำดับผลการตัดสินอย่างเป็นเอกฉันพลางยิบลูกกุญแจที่มีเครื่องหมายประหลาดออกจากกล่อง
คิมจุนมยอนแทบจะกระแทกศีรษะกับผนังให้ตายไปข้างหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงเสนอการจับไม้สั้นไม้ยาวขึ้นมาเป็นเกณฑ์ผลสุดท้ายจึงติดแหงกกับคนที่ไม่อยากเจอที่สุด..
“คุณอยากเปลี่ยนห้องไหม”เสียงนุ่มทุ้มจากอู๋อี้ฟานทำเอาคนที่กำลังนิ่งอึ้งถึงกับสะดุ้งโหยง ซูโฮถอยหลังสองสามก้าวอย่างลืมตัวเมื่อเขาเขยิบเข้ามาใกล้
“ฮะ?..อ้อ..ม..ไม่เป็นไรผมนอนได้ทุกที่” โกหกคำโตพลางหลบสายตาคู่นั้น “บ้านผมเองทำตัวตามสบายเถอะ”
“โต๊ะอาหารตั้งตอนทุ่มครึ่งนะครับ สัมภาระทั้งหมดจะถูกยกขึ้นไปภายหลัง เชิญทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย..” ชายชราโค้งคำนับเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงค่อยปลีกตัวออกไปจากห้อง ทิ้งให้แขกผู้มาเยือนกับเจ้าของบ้านจ้องตากัน..บรรยากาศอึมครึมเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง..
“ผมว่าเรามาพูดคุยกันแบบเป็นกันเองดีกว่าไหม? ไหนๆก็ต้องอยู่ด้วยกันตั้งหนึ่งคืนถ้าต้องให้จ้องหน้ากันไปมาอย่างนี้คงอึดอัดแน่” เป็นร่างบางของคยองซูเองที่ทำลายความเงียบ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาหรูที่ฉลุลาวลายวิจิตร
“นั่นสินะ..ผมว่าพวกเราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกยาว..” เจ้าของบ้านลากน้ำเสียง ตวัดหางตามองว่าที่คู่หมั้นที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล
.
.
.
“พวกเราได้รับบัตรเชิญนี่เมื่อสามวันก่อน” ร่างสูงของทนายประจำตระกูลเอ่ยพลางยื่นซองกระดาษสีทองลงบนโต๊ะ “จ่าหน้าซอง..ลงวันเดือนปีเรียบร้อย..” ชายหนุ่มหยุดพัก มองหน้าเจ้าของบ้านด้วยแววตาสงบนิ่ง “มันถูกส่งมาก่อนที่คุณท่านจะเสียชีวิต”
“หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่าคุณท่านรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะต้องตาย..”
“ไม่มีทาง..” น้ำเสียงทุ้มต่ำของชานยอลดังขึ้น คิ้วทั้งสองข้างของนายแพทย์หนุ่มขมวดเป็นปม “คุณโฮจุนเสียชีวิตเพราะอาการหัวใจล้มเหลวอย่างเฉียบพลัน คนป่วยไม่มีทางรู้เวลาตายของตนแน่ชัดเด็ดขาด”
“เว้นเสียแต่ว่า..” คยองซูลากเสียงยาว “คุณลุงจะถูกฆาตกรรม!”
เปรี้ยง!
อัสนิบาตเบื้องบนคำรามก้องพร้อมกับแสงสีขาวแสบตา พลันสายฝนสีดำทมิฬก็ย้อมแผ่นฟ้าครามเข้าสู่ห้วงรัตติกาล ทุกคนเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างขณะที่หยาดน้ำฟ้าสาดซัดสู่ตัวอาคารไม่ขาดสาย
“รายงานผลทางการแพทย์บอกว่าเขาเสียชีวิตเพาะหัวใจวาย” คุณหมอหนุ่มยังคงยืนกราน
“เอาล่ะ..ผมว่าเราไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก” เสียงทรงอำนาจของจุนมยอนยุติบทสนทนาของคนทั้งคู่ “ในเมื่อคุณพ่อตายไปแล้ว..ไม่มีประโยชน์ที่จะถกเถียงให้ได้อะไรขึ้นมา” ชายหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่ง
..เพราะมันมีแต่ความเจ็บปวดใจเท่านั้นที่ได้กลับคืน..
“ผมว่าเรามาเล่าเรื่องของตัวเองดีกว่าไหม..ประสบการณ์ หรือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณโฮจุน” แบคฮยอนมองใบหน้าขาวนวลของซูโฮที่เศร้าหมองลง “เอ่อ..ผมหมายถึงในด้านดี” คนเสนอความคิดกวาดสายตาไปรอบและดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นชอบด้วย อย่างน้อยกิจกรรมพูดคุยสนทนาคงสามารถฆ่าเวลาที่กำลังผ่านไปได้ดีทีเดียว
“แล้วใครจะเริ่มก่อน..”
“เอาอย่างนี้เป็นไง..”ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปด้านหลัง เอื้อมหยิบชุดน้ำชาสีขาวครามยี่ห้อเว็จวู้ดออกมา มือเรียวบรรจงรินน้ำชาที่ยังคงร้อนกรุ่นอย่างบรรจง “ชาซีลอนของโรยัลดอลตันเสียด้วยสิ”
“ที่ใต้จานรองถ้วยชานี้มีเลขกำกับอยู่ตั้งแต่หนึ่งถึงแปด เราจะเรียงตามลำดับตามหมายเลขที่จับได้” แบคฮยอนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ โชคดีที่เขามาถึงเร็วก่อนใครเพื่อนและสอดส่องดูนั่นดูนี่ในห้องจนพบชุดน้ำชาแปลกประหลาดเข้าให้ ทุกคนจับจ้องไปที่ถ้วยเซรามิคปล่อยให้ควันร้อนหอบเอากลิ่นหอมกระทบนาสิกประสาทช้าๆ
“ผมได้เลขหนึ่ง” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มร่างสูงเรียกความสนใจจากคนที่กำลังยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นนายเป็นคนแรกที่จะได้เล่าเรื่อง โอเซฮุน..”
ร่างสูงทอดมองแผ่นฟ้ามืดสนิทเบื้องบนหวนระลึกสู่คืนวันเก่าๆ
“เรื่องของผมเริ่มต้นในปลายเดือนฤดูหนาว ตอนนั้นผมและพ่ออาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวหลังเล็กแถบชานเมืองมกโพ..คืนนั้นหิมะตก ตัวผมเองยังไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนสาวท้าวผ่านรั้วเข้ามาอย่างวิสาสะ”
.
.
.
เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบที่กำลังก่อหิมะเป็นรูปร่างต่างๆนั้นละมือจากของเล่นตรงหน้าเมื่อร่างกำยำของใครบางคนสาวเท้าเข้ามาในเขตบริเวณบ้าน ชายชุดดำราวสี่คนเคาะประตูเสียงดังก่อนจะถีบบานไม้เก่าๆจนทะลุเข้าไป
“อยู่ไหน! ออกมา” เสียงตวาดของชายที่ดูเหมือนหัวหน้าทำเอาเจ้าของบ้านถึงกลับกุลีกุจออกมาต้อนรับ ใบหน้าโชกไปด้วยเหงื่อ..
“สวัสดีครับนาย..” ชายหนุ่มส่งยิ้มเจือนๆให้ ใบหน้าซูบผอมและขอบตากลวงโบ๋นั้นบ่งบอกว่าชายคนนี้ติดสารเสพติดมากขนาดไหน
“ฉันมาเอาเงินตามสัญญา..หกล้านวอนที่แกยืมไป คิดทบดอกทบต้นรวมๆแล้วก็สิบล้านวอนพอดี”
“ส..สิบล้านวอน..มากขนาดนั้นผมจะไปหาที่ไหนทัน” โออึนซูพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ที่เราพูดกันไว้..ไม่คิดดอกเบี้ยไม่ใช่รึ..”
คนฟังแสยะสิ้มก่อนจะใช้มือหนาบีบปลายคางของลูกหนี้ขึ้นมาสบตาตรงๆ “จะบอกให้เอาบุญนะ เคยได้ยินคำว่า 'ไม่มีสัจจะในหมู่โจร’ บ้างไหม?”
คนฟังกลืนก้อนสะอึกลงคอ “ขอร้องล่ะ ผมขอผลัดวันไปก่อนแล้ว..แล้วผมจะหามาคืนให้เร็วที่สุด”
“เร็วที่สุดอย่างนั้นเหรอ!” พูดจบกำปั้นหนาก็เสยเข้าที่ชายโครง ชายหนุ่มล้มลงไปกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
“..ถ้าไม่อยากจ่ายด้วยเงินงั้นก็จ่ายด้วยชีวิตก็แล้วกัน!” มือหนาดีดนิ้วเบาๆร่างกำยำทั้งสามคนก็รุมเข้าทำร้ายเจ้าของบ้านทันที “ตายซะไอ้ขี้ยา น้ำหน้าอย่างแกจะมีปัญญาที่ไหนหาเงินสิบล้านมาใช้ให้ฉันได้”
“หยุด หยุดนะอย่าทำพ่อผม บอกให้หยุดไง!” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วจากเด็กตัวเล็กๆดังขึ้นขณะทุบกำปั้นน้อยลงบนขาชายแปลกหน้า เซฮุนพยายามดึงรั้งชายกางเกงของหัวหน้าชายชุดดำเอาไว้
“อะไรกันวะเด็กนี่อยากตายรึไง!” ฝ่ามือหนาตบเข้าที่ใบหน้านวลอย่างจัง โอเซฮุนเซล้มลงแก้มข้างขวาแดงปลั่งขึ้นมาทันที
“เซฮุน!”คนเป็นพ่อได้แต่ร้องเรียกลูกชาย “หยุดก่อนนาย! ผมมีข้อเสนอ”
“ข้อเสนออะไร?”
“เด็กคนนี้ไง เด็กคนนี้ผมขายเด็กคนนี้ให้นาย จะเอาไปต้มยำทำแกงอะไรก็เชิญแค่ปล่อยผมให้เป็นอิสระก็พอ” ข้อเสนอของชายหนุ่มแทบจะทำให้เด็กตัวเล็กที่ยังคงนิ่วหน้าเพราะแรงตบแทบใจสลาย หยาดน้ำสีใสเอ่อล้นดวงตาคู่สวยเป็นทางยาว
“ลูกของแกน่ะเหรอ..”
“ครับแลกกับเงินสิบล้าน”
“เฮอะน่าขำสิ้นดี! แกจะยกเด็กที่พึ่งทำร้ายฉันให้อย่างนั้นเหรอ?”
“ปกติเซฮุนเป็นเด็กดี..ใช่ไหมเซฮุน..” ดวงตาคล้ำหันไปมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยรอยยิ้มน่ารังเกียจ “ขอโทษนายเขาสิเซลูก ค..คุกเขาขอโทษนาย”
“....”
“โอเซฮุนเร็วๆเข้าสิพวกมันจะทำร้ายพ่อนะถ้าแกไม่ทำ คุกเข่า..คุกเข่าลง!” เด็กน้อยลุกขึ้นช้าๆ ไม่นึกว่าจะได้เห็นพ่อตัวเองในสภาพแบบนี้
“ย้า! โอเซฮุนฉันบอกให้แกคุกเข่าขอโทษไง ไม่ได้ยินเหรอ!” ร่างบางค่อยๆถอยหลังแล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ได้ยินแต่เสียงดุตันตะโกนไล่ออกมา “เซฮุนกลับมานี่นะ ไอ้ลูกอกตัญญู!”
.
.
.
“ให้ตายเถอะ สัมมนาครั้งนี้ไร้สาระสิ้นดีมีแต่พวกตาแก่หัวโบราณทั้งนั้น” เสียงบ่นของคิมโฮจุนทำเอาคนที่เป็นทั้งผู้ช่วยแล้วก็พ่อบ้านเผยยิ้ม “ดูสิฉันปวดเมื่อยตัวไปหมดแล้ว”
“อีกเดี๋ยวก็ถึงโรงแรมแล้วครับ” เสียงนุ่มของพ่อบ้านประจำตระกูลดังขึ้นก่อนที่รถลีมูซีนคันหรูจะหักเลี้ยวตรงหัวมุมข้างหน้า
เอี๊ยด!
เสียงเบรคดังแสบแก้วหู กระชากคนในรถให้ม้วนตัวไปข้างหน้าอย่างแรง
“เกิดอะไรขึ้น!” ผู้เป็นนายเอ่ยถามเมื่อสีหน้าตกตะลึงของคนขับรถ
“เด็กครับ..เด็กวิ่งตัดหน้ารถ..”
.
.
.
“อา..แล้วศาสตราจารย์ก็รับตัวนายไว้เป็นลูกบุญธรรมสินะ” บยอนแบคฮยอนว่าพลางพยักหน้ารับรู้
“ครับ..ท่านอุปการะเลี้ยงดูผม ส่งเสียให้เรียนที่สูงๆ ท่านบอกว่าผมคล้ายกับลูกชายของท่านมาก” ประโยคสุดท้ายทำเอาร่างบางที่นั่งอยู่บนโซฟายาวถึงกับชะงัก
“แล้วนายเรียนต่อด้านไหนล่ะเซฮุน..” ชายหนุ่มผิวคล้ำเอ่ยถาม ใบหน้าคมเข้มนั้นดูมีเสน่ห์ร้ายเหลือ
“ผมเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริจสาขาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ครับ เพราะคุณท่านเป็นคนเลือกให้”
คิมจุนมยอนเผยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกอบเอามือเรียวขึ้นมากำแน่น “เซฮุนนา..ตัวฉันเองไม่เคยมีน้องชายมาก่อน ถ้านายไม่รังเกียจ..ต่อไปนี้พวกเราคือครอบครัวเดียวกันแล้วเข้าใจไหม” ว่าพลางดึงตัวน้องชายเข้ามากอด
“ครับฮยอง”
ทุกคนมองสายสัมพันธ์ของพี่น้องอย่างซาบซึ้งขาดแต่เพียงคนเดียวที่กำลังเพ่งมองบางอย่างนอกหน้าต่าง อะไรที่ดูเหมือนกับคนในชุดคลุมสีแดง..
“คุณเลย์ครับ เรากำลังจะเล่าเรื่องต่อไปแล้วนะฮะ”
“อ้อๆโทษทีฉันลืมตัวน่ะ” ทนายหนุ่มส่งยิ้มจางๆแทนคำขอโทษขณะที่คนถัดไปกำลังเตรียมตัวเล่าเรื่องของตน..
“จะว่ายังไงดีล่ะ..ครั้งแรกที่ผมเจอคุณลุง มันคือช่วงสัปดาห์ออเครสตรานานาชาติที่อิตาลี่..” ชายหนุ่มเล่าเรื่องความประทับใจเพลินจนลืมไปว่าได้เวลามื้อค่ำแล้ว
“ตั้งโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงนุ่มๆจากสาวใช้ดังขึ้นก่อนที่เธอจะผายมือเป็นเชิงให้เดินตามมา มื้อค่ำในรั้วปราสาทมืด ท่ามกลางพายุฝนไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนัก.. อาหารยุโรปรสเลิศจานแล้วจานเล่าถูกจัดเรียงอย่างบรรจงพร้อมกับเครื่องดื่มรสเลิศ กว่าที่ทุกคนจะอิ่มเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสองทุมครึ่ง หัวหน้าพ่อบ้านประจำตระกูลจึงค่อยเดินออกมา
ชายชราวางแผ่นหนังลงบนโต๊ะแล้วคลี่ออก
“นี่มันอะไรกันครับ” ซูโฮเอ่ยถาม มองดูม้วนหนังแกะที่ค่อยๆคลายตัวออก
“นี่คือแผนที่ของปราสาทมืดหลังนี้ มีทั้งหมดสามชั้น..เพราะกระผมเองอาศัยอยู่ในเรือนคนใช้ทางด้านหลังอาจไม่สะดวกนัก” เขากล่าวต่อ “ที่นี่ใช้ระบบแสงอาทิตย์แทนกระแสไฟฟ้าหลักตอนกลางคืนอาจเกิดอาการไฟตกได้ดังนั้นทางที่ดีทุกท่านควรพกเทียนไขติดตัวไว้ด้วย เผื่อเกิดปัญหาเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าหยุดทำงานขึ้นมา..อ้อ สัมภาระทั้งหมดถูกลำเลียงขึ้นไปบนห้องแล้วนะครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณลุงปาร์ค เชิญพักผ่อนได้..” นายของบ้านออกคำสั่งแรก ชายชราค้อมหัวงามๆหนึ่งครั้งก่อนจะส่งสายตาไปยังบรรดาสาวใช้ให้เคลื่อนกายออกจากบริเวณ
“รักษาตัวด้วยนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ..นายน้อย..”
.
.
.
อา..ยาวชะมัด..สิบหน้าเวิร์ดแต่งไปได้ยังไง 555+ ตอนต่อไปจะเริ่มเข้มข้นแล้วเน้อ..เม้นท์ๆกันหน่อยนะคะ
ความคิดเห็น