ใต้ฟ้าเมฆาครวญ {สืบสวน/ระลึกชาติ} - นิยาย ใต้ฟ้าเมฆาครวญ {สืบสวน/ระลึกชาติ} : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้ฟ้าเมฆาครวญ {สืบสวน/ระลึกชาติ}

    ผู้เข้าชมรวม

    154

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    154

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สืบสวน
    จำนวนตอน :  3 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  31 พ.ค. 66 / 09:09 น.
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    สถานีตำรวจบางกอก

    ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบสองเดินตรงเข้าไปที่ห้องของผู้กำกับตามที่ตนได้รับคำสั่งเรียกพบด่วนก่อนที่วันนี้เขาจะไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ 

    เมื่อเข้ามาถึงร้อยตำรวจโทเมฆา หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกเขาว่าหมวดเมฆ ทอดกายแกร่งนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับผู้กำกับตินกร หรือผู้กำกับติน หัวหน้าสถานีตำรวจบางกอกที่เขาทำงานอยู่

    "รองสารวัตรเมฆา ต้องรบกวนหน่อยนะ เรียกมาด่วนแบบนี้"

    "ครับ ผู้กำกับ พอดีผมยังไม่ทันได้ออกปฏิบัติราชการข้างนอกพอดี ถือว่าผู้กำกับเรียกผมได้ทันการก่อนนะครับ"

    ตินหัวเราะในลำคอ ก่อนที่จะตีหน้าขรึมอีกครั้ง "อืม หมวดเมฆา พอดีผมจะมอบหมายงานด่วนให้คุณทำ" ตินทำเสียงจริงจัง "จะถือว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในสถานีตำรวจนี้เลยก็ได้"

    ร่างสูงเลิกคิ้วมองเอกสารที่ถูกอีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้าตน ก่อนจะสบตาอีกครั้ง

    "คุณเคยได้ยินเรื่องคดีที่จังหวัด xxx ไหม"

    "ขอโทษด้วยครับ พอดีผมแทบไม่ค่อยได้ติดตามคดีอื่นๆที่นอกเหนือจากคดีที่ผมรับผิดชอบเท่าไหร่" ใช่ ถ้าเขาโดนมอบหมายให้ทำคดีนี้ จุดสนใจทั้งหมดของเขาก็มักจะไม่หันเหไปสนใจคดีอื่นๆเลย จนกว่าจะทำคดีที่ตนได้รับมอบหมายจนสำเร็จ

    "เข้าใจ และนี่แหละที่ทำให้ผมเลือกคุณเพื่อให้เข้ามาทำคดีนี้ เพราะนิสัยที่คุณจริงจังกับงานที่ได้รับมอบหมาย ฝีมือเก่งกาจ ปิดคดีได้ไวกว่าคนอื่นและ...เก็บความลับอยู่" ตินกรสบตากับเมฆาตรงๆ "อีกอย่าง...คุณก็รู้ดีเรื่องของผลประโยชน์ที่สถานีตำรวจของเราจะได้จากไอ้พวกนักเลงลูกครึ่งพวกนั้น"

    "...." ถ้าจะพูดถึงไอ้การทำคดีที่แฝงไปด้วยเรื่องผลประโยชน์ของไอ้บรรดาแก็งส์นักเลง แก็งส์มาเฟียที่มันค้าของเถื่อนต่างๆหรือแม้กระทั่งค้ามนุษย์ ใช่ เมฆารู้ดี และเคยทำคดีที่แฝงไปด้วยความจัญไรพวกนี้ไปหลายรอบจนสถานีตำรวจมีงบประมาณมากพอที่จะปรับปรุงสิ่งต่างๆจนมันดูดีและใหญ่กว่าสถานีตำรวจที่อื่นๆและเขาได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว ใช่ เขารู้ รู้ดี และคราวนี้ เขาชักอยากจะรู้แล้วว่าผู้กำกับตินกรจะให้เขาทำเหี้ยอะไรให้ไอ้พวกเวรตะไลนั่นอีก "ครับ ผมเข้าใจดี"

    "คดีนี้เป็นคดีที่ทางการได้รับเรื่องและขอความช่วยเหลือมาทางส่วนกลาง ไม่มีใครรับทำคดีเลยจนกระทั่งเขาส่งมาที่สถานีของเรา มันค่อนข้างจะเป็นคดีที่แปลกคดีหนึ่ง หมวด ชาวบ้านเจอพวกสัตว์เล็กๆ พวกเป็ด ไก่ หมูที่พวกชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้ ถูกชำแหละจนเหวอะหวะอยู่ริมสระน้ำในป่า"

    "......"

    "ตอนแรกพวกชาวบ้านก็ไม่ได้คิดอะไร แค่เอะใจว่าทำไมพวกสัตว์ที่แต่ละบ้านเลี้ยงมันถึงมาตายอยู่ที่เดียวกันได้ นานวันเข้า จากสัตว์เล็กเริ่มกลายเป็นสัตว์ใหญ่อย่างพวกวัวเลี้ยง ควายเลี้ยง ถูกเจอเป็นศพเหวอะหวะที่ริมสระน้ำในป่าที่เดียวกัน มีการแจ้งความหลายรอบและลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ที่นั่นจะออกสลับเวรกันสำรวจแต่ก็ยังไม่เจออะไรที่ต้องสงสัย จากเหยื่อที่เป็นสัตว์ก็หลายเป็นมาเป็นคนที่เป็นศพแทน"

    เมฆาเลิกคิ้วน้อยๆ เขาตั้งใจฟังต่อ

    "เป็นชาวนาที่ปกติทุกคืนจะไปนอนเฝ้านาที่กระท่อมปลายยาของตัวเองเป็นประจำ อีกวันกลับพบเป็นศพที่ริมสระน้ำในป่าเหมือนอย่างพวกสัตว์ที่ถูกฆ่าตายไป สภาพศพก็เหวอะเหมือนกัน อ่อ ทุกศพอวัยวะข้างในหายไปนะหมวด อ่านจากรายงานเห็นเขาสันนิษฐานว่าถูกกินเข้าไปแล้ว"

    "...."

    "จุดที่ทำให้คิดว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือของสัตว์ดุร้านก็คือศพมนุษย์หนึ่งศพ แถมยังเป็นชาวบ้านที่ช่ำชองและเป็นเจ้าถิ่น รู้สึกพื้นที่ดี แต่ดันกลับมากลายเป็นศพในลักษณะเดียวกันกับสัตว์ที่ตายไป"

    "ผู้กำกับกำลังคิดว่าเป็นฝีมือของคนใช่ไหม"

    "คุณคิดว่ายังไง หมวดเมฆา"

    "....."

    "คุณเคยได้ยินตำนานของจังหวัดนี้ไหม"

    "ตำนานอะไรครับ" เขาคงจำไม่ได้หรอกหากจะเคยได้ยินที่ไหน เพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

    "กินรีต้องสาป"

    นั่นยิ่งแล้วใหญ่ "ไม่เคยครับ"

    "อืม ผมไม่แปลกใจที่หมวดจะไม่เคยได้ยิน เพราะผมก็เพิ่งจะเคยได้ยินตอนรับเรื่องนี้มาจากผู้การ"

    "....."

    ตินกรเอามือลูบที่หน้าของตัวเอง "ผมไม่คิดเหมือนกันนะว่าตัวเองจะต้องมานั่งเล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้ลูกน้องฟัง แต่ก็นะ ทุกจังหวัดมันก็มีตำนานของมันอยู่แล้ว ชาวบ้านในเขตพื้นที่ที่เกิดเรื่องเชื่อว่าเป็นฝีมือของกินรีต้องสาป ตามตำนานมีกินรีตนหนึ่งโดนสาปจากสวรรค์เพราะดันไปรักกับพรานป่าที่แอบเข้ามาในป่าหิมพานต์เมื่อลาตน ได้ครองรักกัน จนถึงเวลาพรากจาก ทั้งคู่เลยสัญญากันเอาไว้ว่าไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติอย่างไรแล้วก็จะกลับมารักกันเช่นเดิม จากนั้นกินรีตนนี้ก็รอพรานคนนั้น ยอมแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อรอคนที่รักของตนเพื่อกลับมารักกันเช่นเดิม แต่การรอล่วงเลยจนถึงกำหนดที่ตนให้คำมั่นเอาไว้กับสวรรค์ ว่าถ้าถึงกำหนดแล้วต้องกลับป่าหิมพานต์ แต่ตั้งใจไม่กลับไปและยังรออยู่แต่สุดท้ายก็ไปรู้ว่าคนรักของตัวเองหนีไปรักกับผู้หญิงอื่นแล้วเลยทำให้ต้องสาป"

    "......"

    "จากที่กินผลไม้ ก็ต้องมากินของสด กลับป่าของตัวเองก็ไม่ได้เพราะยังติดอยู่กับคำมั่นสัญญา อย่าทำหน้าแบบนั้น หมวด ดูเหมือนหมวดกำลังด่าผมอยู่เลยนะ"

    ร่างสูงถอนหายใจน้อยๆ "ขอโทษครับ ผมแค่ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดที่ต้องมาฟังอะไรแบบนี้" อย่างกับเล่านิทานสยองขวัญให้เด็กฟังเพื่อไม่ให้นอนไปเลยทั้งคืนอย่างนั้นแหละ

    "ไม่ต่างกันหรอก หมวด" ตินกรถอนหายใจออกน้อยๆ "แต่ชาวบ้านที่นั่นเชื่อกันแบบนั้นจริงๆ พวกเขาคิดว่าเป็นฝีมือของกินรีต้องสาปจริงๆ ซึ่งเห็นว่ากินรีตนนี้จะเป็นผู้หญิงรุ่นคนไหนก็ได้ในหมู่บ้าน"

    "...."

    "เจ้าหน้าที่ที่นั่นต้องการขอความช่วยเหลือเพราะถ้าหากหาคนทำผิดไม่ได้ เราอาจจะได้เห็นการล่าแม่มดเกิดขึ้นในประเทศนี้ก็ได้นะ หมวด"

    "แล้วถ้าชาวบ้านเชื่อแบบนั้น ชาวบ้านไม่ได้เล่าเรื่องวิธีถอนคำสาปเหรอครับ น่าจะดีกว่าใช้วิธีล่าแม่มดนะ"

    "เห็นชาวบ้านบอกว่าจะถอนคำสาปได้ กินรีตนนี้ต้องได้รักกับพรานป่าอีกครั้ง แต่มันเป็นไม่ได้หรอก หมวด  งมงายฉิบหาย" ประโญคท่อนหลังค่อนข้างจะพึมพำอยู่ในลำคอ

    ร่างสูงยืดอกผาย "ครับ ผมเข้าใจคดีแล้ว ถ้าจับคนผิดมาได้ทุกปัญหาก็คือจบใช่ไหมครับ"

    "...."

    "แต่ผมอยากถามว่าคดีนี้มันเป็นคดีของผลประโยชน์ยังไง" คนหล่อเผลอยักคิ้วขึ้นข้างเดียวน้อยๆ

    "ไอ้เรื่องกินรีต้องสาปมันไปถึงหูของไอ้พวกมาเฟียที่เป็นขาใหญ่เรื่องค้ามนุษย์ ที่เราพึ่งใบเงินของมันอยู่"

    "......"

    "มันอยากได้กินรีตัวนี้ มันจ้างวานด้วยเงินมหาศาลว่าให้เอาอมนุษย์ตัวนี้มาให้พวกมันให้ได้ แล้วคิดดูสิหมวด ทุกคดีก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยบอกว่าจะให้เงินเรามหาศาล แต่คดีนี้มันพูดออกมา คิดว่าไง จากที่ปกติก็ได้เงินจากมันมากพออยู่แล้ว ให้หลวงด้วย เข้ากระเป๋าตัวเองแบบเหลือ นี่มันพูดออกมาเองว่าให้เงินมหาศาล หมวดคิดว่าไง"

    อ่อ เขารู้แล้วว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน เมฆาขบกรามแน่นก่อนจะคลายมันออก "ตอนแรกจากที่ผู้กำกับเล่า ก็ดูเหมือนคุณจะไม่เชื่อเรื่องนี้นะ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณเชื่อว่ากินรีมีอยู่จริงๆ"

    ตินกรยักไหล่น้อยๆ "เมฆา ตำนานมักมีเคล้าโครงจากเรื่องจริงนะ ก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริงๆ"

    "......"

    ผู้กำกับถอนหายใจออกแรงๆ ก่อนที่จะจับเอกสารโยนไปที่พื้นตกอยู่ที่เท้าของรองสารวัตรเมฆาพอดี 

    ดวงตาเรียวแข็งกร้าวจ้องเขม็ง

    "มึงมีหน้าที่ไปล่ามันมาให้ได้ อย่างอื่นค่อยว่ากัน อ่อ...งานนี้มึงมีคู่หูใหม่ด้วยนะ เป็นรองสารวัตรที่ประจำการอยู่ที่โน่น ชื่อทิชากร วรวัฒน์เมธา ทำตัวดีๆหน่อยแล้วกัน มันเป็นผู้หญิง ขอให้โชคดี เตรียมตัวออกเดินทางได้ตั้งแต่วันนี้"

    "......"

    เมื่อคำสั่งมาเช่นนี้ เมฆาก็ไม่อาจจะปฏิเสธอะไรได้ เมฆาพ่นควันบุหรี่ออกจากปากอย่างเชื่องช้า เขาเท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถที่มีสองเพื่อนตำแหน่งรองสารวัตรนั่งมาด้วย 

    "กูแม่งไม่รู้จะอึ้งอะไรก่อนเลยว่ะ ไอ้เมฆ" 

    เสียงจากรองสารวัตรทิม เพื่อนที่กำลังจับพวงมาลัยขับรถทำให้เขาถึงกับทำเสียงเหอะในลำคอ ถ้าจะให้ตอบก็คงจะต้องตอบได้แค่ว่า ก็เออน่ะสิวะ 

    "เออ ตั้งแต่เรื่องแรกเลยรองสารวัตรที่โน่นเป็นผู้หญิงแล้วหนึ่ง เรื่องที่สองไม่ใช่แค่ชาวบ้านแต่ไอ้ตินมันก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของกินรีในป่าหิมพานต์ที่เป็นคนลงมือ เหี้ยอะไรก่อน" คิวที่กำลังเปิดดูรูปในซองเอกสารไปพลางพูดขึ้น ทิมก็เออออห่อหมกตามไปด้วยติดๆ

    "เหอะ" คนหล่อกระตุกหัวเราะประชด นิ้วคีบบุหรี่อยู่เบาะหลังมองเพื่อนผ่านกระจกมองหลัง "แล้วพวกมึงคิดว่ากูไม่อึ้งบ้างเหรอวะ สั่งกูแต่ละอย่าง"

    "เอาจริงๆนะ ตอนที่มึงพูดถึงเรื่องกินรีกูก็นึกว่ามันคือรหัสอะไรสักอย่าง แต่ไม่ใช่ คิดว่ากินรีเป็นคนทำจริงๆ โหไอ้เหี้ย มีอะไรที่มากกว่านี้อีกไหม"

    "ประเด็นคือชาวบ้านเชื่อแบบนั้นด้วย" ทิมเอ่ยเสริมขึ้นหลังจากคิวพูดจบ

    "พวกชาวบ้านหรือคนในพื้นที่ที่นั่นกูก็พอเข้าใจได้นะ แต่ไอ้เหี้ยตินกับไอ้พวกส้นตีนค้ามนุษย์ที่เชื่อว่ากินรีมีจริงแล้วมาสั่งให้กูไปสวมบทพรานล่ากินรีมาให้พวกมันเนี่ย เพ้อเจ้ออะไร"

    คิวเงยหน้าจากเอกสารบนตักมองเมฆา "กูคิดว่ามันน่าจะหาเรื่องย้ายมึงว่ะ ไอ้เมฆ มึงได้ยินเรื่องที่มันจะเอาหลานมันเข้ามาทำงานที่สถานีในตำแหน่งรองสารวัตรหรือเปล่าล่ะ กูได้ข่าววงในมา"

    "เรื่องนั้นกูก็เคยได้ยิน ทุกวันนี้ก็ยังได้ยินอยู่ แต่จะปลดให้กูย้ายไปทั้งที ช่วยมอบหมายคดีที่มันไม่เพ้อเจ้อขนาดนี้ได้ไหมก่อน"

    สองเพื่อนพากันกระตุกหัวเราะกันทันที 

    "แต่ถ้ามันเกิดคดีขึ้นมาแบบนี้แล้ว มึงก็แค่จับคนผิดมาพิสูจน์ให้ชัดไปเลยว่าไม่ใช่ฝีมือกินรีอย่างที่พวกแม่งเข้าใจ" คิวเอ่ย

    "แต่มีอีกอย่างนะ ถ้ามันอยากจะให้มึงย้ายไปที่อื่นจริงๆ มันเลยจงใจจะเลือกมึงไง เพราะรู้ว่ายังไงมึงก็จับกินรีไม่ได้ เพราะมันไม่มีอยู่จริง" 

    "หึ..."  ไอ้เหี้ยติน

    "แต่เอาจริงนะ ถ้าลองคิดอีกมุมหนึ่ง ตินมันพูดก็มีส่วนถูกนะ จะมีตำนานขึ้นมาได้มันก็ต้องมีเคล้าโครงเรื่องจริงขึ้นมาก่อน"

    "งั้นมึงคิดว่ากินรีมีจริงใช่ไหมไอ้คิว"

    "กูก็ไม่รู้หรอก แต่มึงจะปฏิเสธยังไงล่ะ ทำคดีกันมาก็หลายคดีแล้ว ความเชื่อบางความเชื่อมันก็มีอยู่จริงๆเหมือนกัน"

    แน่นอนว่าไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ "กูรับคดีนี้แล้ว กูเนี่ยแหละจะเป็นคนพิสูจน์เอง"

    "เออ งั้นกูถามไรมึงหน่อย" คิวมองเขาผ่านกระจก

    "ว่า"

    "ปกติแล้วถ้าคดีไหนขัดใจมึง มึงจะไม่รับทำไม่ใช่เหรอวะ แล้วทำไมคดีนี้มึงไม่ปฏิเสธไปล่ะ กูคิดว่านะถ้ามึงปฏิเสธ ยังไงตินมันก็ขัดใจมึงไม่ได้อยู่ดี"

    ร่างสูงบี้บุหรี่ลงที่เขี่ยส่วนตัว ก่อนจะเสยผมรองทรงสวยของตนขึ้น "ไม่รู้ว่ะ อีกใจหนึ่งกูก็คงอยากจะพิสูจน์ด้วยตัวเองละมั้งว่ามันมีอยู่จริงๆหรือเป็นแค่ตำนานนิทานหลอกเด็ก"

    เมฆายังตอบคำถามตัวเองได้ไม่ชัดเจน เขายังแปลกใจอยู่เหมือนกันในตอนที่ตบปากรับดคีนี้ด้วยตนเอง ทำไมถึงรู้สึกว่าจู่ๆก็อยากจะทำคดีนี้ขึ้นมา

    ไม่กี่อึดใจ รถของสถานีตำรวจบางกอกก็มาจอดเทียบหน้าสถานีตำรวจ สามรองสารวัตรจากบางกอก มองไปที่อาคารสถานีตำรวจที่ยังเป็นเรือนไม้ ไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านพักตำรวจโทรมๆที่ก็ยังเป็นไม้อยู่

    "แย่แล้วไอ้เมฆ สถานียังเป็นไม้อยู่เลย"

    "บ้านพักด้วยว่ะ"

    จริงๆสำหรับเขาที่ไม่ได้ติดความโอ่อ่าที่บางกอก "พวกมึงก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ เออ ยังไงก็ขอบใจที่มาส่ง กูขึ้นไปรายงานตัวกับผู้กำกับสถานีก่อน กลับได้แล้วเดี๋ยวจะถึงบางกอกมืดค่ำกัน"

    "พวกกูอยู่ส่งมึงก่อน" คิวเอ่ย

    "เออ เผื่อจะไม่ได้เจอเพราะเพื่อนถูกย้ายมาอยู่ที่นี้แทนแล้ว"  ทิมลงจากรถมาตบบ่าแกร่งของเขา

    คนหล่อกระตุกยิ้ม "ไอ้เพื่อนเหี้ย" แต่จริงๆถ้าอยู่บ้านนอกแล้วไม่คิดเรื่องความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เขาก็ไม่เกี่ยงเท่าไหร่ 

    "เออ เดี๋ยวพวกกูขึ้นไปด้วย" 

    ชายหนุ่มรองสารวัตรแห่งบางกอก เดินขึ้นสถานีตำรวจเก่าๆไปชั้นสอง

    แทบจะทันทีที่ได้พบสบตา ชายหนุ่มทั้งสามก็พากันอึ้งกันไปเป็นแถบๆ เมื่อร่างบาง ผมยาวสีดำขลับสลวยซึ่งถูกมัดพาดเอาไว้เป็นหางม้า ส่วนสูงสักประมาณร้อยเจ็ดสิบห้า ดวงตาสีดำนิลคู่กลมน่าหลงใหลเดินมาหยุดยืนต้อนรับ 

    ดวงตากลมโตกวาดมองชายหนุ่มทั้งสามก่อนจะมาหยุดสบตากับรองสารวัตรเมฆา เธอเป็นฝ่ายกระพริบตาถี่ก่อนที่จะเป็นเขาที่กระพริบตาตามหลุดจากภวังค์ 

    "คุณเหรอครับ รองสารวัตรทิชากร" เสียงทุ้มของเมฆาเรียกให้ร่างบางหันหน้าไปสบตาอีกครั้ง

    "ค่ะ อืม พวกคุณมาจากบางกอกใช่ไหมคะ ยังไงก็นั่งรอก่อนนะคะ พอีดว่าผู้กำกับไปทำธุระข้างนอกสักครู่กับกำนัน เดี๋ยวสักพักคงกลับมาค่ะ"

    "มึงสละคดีให้กูก็ได้นะ ไอ้เมฆ กูเริ่มอยากเป็นพรานล่ากินรีแทนมึงแล้วว่ะครับ" ทิมเอ่ยหน้าเจ้าเล่ห์

    "โดนย้ายก็กูยอมนะ" 

    "โทษทีว่ะ คดีนี้เป็นของกูแล้ว ไอ้พวกหัวงู มีเมียแล้วไม่เจียมกะลา"

    "ครับบบบ พ่อคนโสดวัยสามสิบสอง แล้วเมื่อไหร่จะหาเมียละค้าบ พ่อคุณ"

    "กูว่าแม่งได้หาเมียก็ตอนทำคดีนี้แหละว่ะ ไอ้ทิม"

    "พวกมึง ให้เกียรติสถาที่กับรองสารวัตรหน่อย" เขาทำเสียงดุ

    "เอออ แต่เอาจริงนะ ได้ยินแค่ชื่อนึกว่าออกแมนๆแต่ตัวจริงโคตรสวยเลย"

    "อืม"

    "หะ/หะ" สองเพื่อนถึงกับหูผึ่งมาทางเพื่อนของตัวเอง

    ตาคมกริบมองร่างบางที่ลุกจาโต๊ะทำงานและเดินเข้าห้องพักหายไปจากระดับสายตา "ก็สวยอย่างที่พวกมึงว่าจริงๆนั่นแหละ"

    มากไปกว่านั้น เพียงแค่แรกพบเขาก็รู้สึกว่าใบหน้าแบบนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนทั้งๆเท่าที่จำได้ผมคิดว่า ผมกับเธอก็เพิ่งเคยเจอกันครั้งนี้ครั้งแรก 

    ทำไมการเข้ามารับคดีนี้ กลับมีความรู้สึกแปลกขึ้นเรื่อยๆกัน 

    ....

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น