สัญญาณ - นิยาย สัญญาณ : Dek-D.com - Writer
×

    สัญญาณ

    ช่วงความถี่คลื่นเสียง ที่ต่ำหรือสูงไป มนุษย์ทั่วๆไปจะไม่ได้ยิน ขณะที่สิ่งมีชีวิตบางสายพันธ์ุกลับรับรู้ได้ รวมถึงคลื่นแสง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แปลกที่ยังมีบางคนสามารถรับส่งสัญญาณพิเศษบางอย่างได้จริง

    ผู้เข้าชมรวม

    373

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    373

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.ค. 65 / 12:34 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    สัญญาณ (ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงด้วยประสบการณ์ตรง)

     

     

     

     

     

    บทที่1

    01.15 น ของค่ำคืนวันอังคาร ล่วงเข้าสู่เช้ามืดวันพุธ                                                                                 เต่า เป็นวิศวกรที่โรงงานผลิตเหล็กแห่งหนึ่ง ในจังหวัดระยอง                                                              ค่ำคืนนี้ ท้องฟ้ามืดดำสนิท ดึกสงัดมากแล้ว บรรยากาศภายในห้องของคอนโดที่เขาเช่าอยู่คนเดียว เงียบกริบ อบอวลไปด้วยความเคร่งเครียด เขม็งตึงจนเส้นประสาทแทบจะระเบิด เขาพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ปล่อยให้เรื่องเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญ เขาไม่ใช่นักเล่น ไม่ใช่สายนักพนัน แต่คืนนี้ เขาพาตัวเองมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจ และหากเลือกเลี้ยวผิด ชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนจะ 30 ปี จะมาถึงจุดวิกฤติที่สุดในชีวิตทันที                                                           02.00 น จะเป็นเวลาการเล่นฟุตบอลชุดสุดท้าย ของค่ำคืนนี้ ที่โต๊ะบอลจะเปิดให้แทง ก่อนที่จะถึงเวลาที่ ผู้เล่นพนันบอลมาทั้งสัปดาห์ จะถึงกำหนดเส้นตายการชำระเงินภายใน 12.00 น ของทุกวันพุธ คือวันนี้แล้ว  อันเป็นกฏเหล็กที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดชัดเจน                                                                                                                 02.00 คืนนี้มีฟุตบอลที่ลงแข่ง โดยโต๊ะบอลให้ราคามาอยู่เพียง 3 คู่ ซึ่งเป็นฟุตบอลจากลีกตุรกีทั้งหมดที่เต่าไม่รู้จักเลยสักทีม ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อทีมเหล่านี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกแล้ว                                    ถ้าเขาหยุด เลิกเล่นพนันบอลเสียตอนนี้ เงินที่เขาเก็บออมมาทั้งหมดเกือบ 10 ปี เพื่อตั้งตัวและแต่งงาน ก็จะหายวับไปกับผลจากการพนันบอลภายในเที่ยงวันนี้ แต่ถ้าเขาเล่นต่อในคืนนี้เพื่อเอาเงินคืน แล้วถ้าเขาเสียอีก นอกจากเงินเก็บแล้ว รถและเงินที่เขาผ่อนดาวน์บ้านที่ระยองไว้ ก็จะหายตามไปด้วย แปลว่าทรัพย์สินทุกอย่างที่เขาเพิ่งจะมีมาทั้งชีวิต จะจากลาเขาไปด้วยการแทงบอลแค่สัปดาห์เดียว แต่ถ้าคู่สุดท้ายเขาเลือกถูก ทรัพย์สินทุกอย่างก็จะยังอยู่ในอ้อมกอดเขาเหมือนเดิม                                                                                                                                          เต่าเพิ่งเริ่มหัดเล่นพนันด้วยการแทงบอลมาได้ไม่นาน เขาเริ่มเล่นด้วยความสนุกซะมากกว่าที่จะคิดถึงเรื่องเงินทอง พอมีเพื่อนแนะนำเชิงยุยงถึงช่องทางการแทงบอลกับโต๊ะบอลขาใหญ่ที่น่าเชื่อถือและวางใจได้ ที่สำคัญที่สุด เขามาสะดุดตรงระบบการชำระเงินของโต๊ะบอลที่เพื่อนแนะนำนี้ โดยใช้เครดิตเพื่อนแทงบอลไปทั้งอาทิตย์แบบยังไม่ต้องใช้เงินสด แต่จะมารวมยอดของผลประกอบการไม่ว่าได้หรือเสีย และจ่ายเงินกันทุกเที่ยงวันพุธ                                                      เต่าคิดเร็วๆและเหมือนพูดเล่นๆว่า ใครจะไปแทงเสียหมดทุกคู่ตลอดทั้งสัปดาห์ แต่เต่ากลับทำจริง โดยเริ่มแทงตั้งแต่นัดกลางสัปดาห์ คือคืนวันพุธ ถ้าคู่คืนวันพุธเขาแทงเสีย คืนวันพฤหัสเขาจะแทงโปะเป็น 2 เท่า เพื่อล้างของเก่า เอาคืนค่าน้ำพร้อมกำไร โดยยังมีคู่วันศุกร์ และโดยเฉพาะในคืนวันเสาร์ที่มีให้เลือกเล่นเพื่อแก้ตัวได้อีกมากมายหลายคู่ อีกทั้งยังเหลือคู่วันอาทิตย์ และคืนวันจันทร์ที่จะเป็นการเก็บกวาดครั้งสุดท้ายได้อีก ซึ่งเต่าก็แก้ไขสถานการณ์ตามแนวทางนี้ได้ด้วยดีมาตลอด จึงเป็นที่ฮือฮาของเหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่ ถึงแม้เมื่อหักกลบลบหนี้แล้วจะได้ไม่มากนัก แต่ก็เร้าใจ และเขายังไม่เคยต้องขาดทุนเข้าเนื้อเลย  ความมั่นใจที่มากขึ้นจนเกินพอดีอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จากวงเงินที่เริ่มเล่นแบบสนุกๆเอาฮาแบบเพิ่มสีสันให้ชีวิตเป็นหลัก กลับกลายเป็นเล่นหนักและคิดเลยเถิดไปถึงการจะรีบปลดภาระการผ่อนบ้านเพื่อสร้างครอบครัวให้จบลงเร็วกว่ากำหนดเดิม                                                                                                จนกระทั่ง โชคชะตาวาสนาเวียนมาถึงรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มันกลับเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเต่า ที่เขาแทงผิดหมด เสียมาครบทุกคู่ 100% ตั้งแต่คู่คืนวันพุธไปจนถึงคู่วันจันทร์ ซึ่งเขาก็ใช้วิธีแทงโปะหวังเอาคืนมาตลอดเหมือนทุกครั้ง จนหนี้สินพอกพูนเกินตัวไปมากแล้ว  คืนนี้ ชีวิตเขาจะเดิมพันต่อเยี่ยงไร   ใกล้จะตี 2 แล้ว   เขาต้องตัดสินใจ………                      

     

     

     

     

    ในที่สุด เขาเลือกที่จะเล่นต่อ  และเลือกแทงทีมอลันยาสปอร์ ทีมจากลีกตุรกีที่เขาไม่รู้จักเลย  เลือกเพราะชื่อทีมนี้คล้ายๆชื่อเพื่อนสมัยเรียนชั้นประถมของเขาคนนึงที่ดีกับเขาเสมอมา จะอย่างไรความไม่รู้ทำให้เขากลัวและรู้สึกเคว้งคว้าง เขาอยากมีที่ยึดเหนี่ยว ฉับพลันเขานึกถึง “สัญญาณ” ที่เขาเชื่อว่ามีในตัวเขา  เขาเพ่งสมาธิไปที่ชื่อทีมนี้ เกือบๆ 30 วินาที แต่ไม่มีสัญญาณอะไรเกิดขึ้นเลย     เขาเปลี่ยนทีมใหม่ ไปที่ทีมอิสตันบูล บูยูคเช็ค และเริ่มเพ่งสมาธิอีกรอบพร้อมกับตั้งใจแน่วแน่เด็ดขาดว่า ถ้าเขาผ่านพ้นคืนตัดสินชะตานี้ไปได้ด้วยดี เขาจะเลิกเล่นการพนันทุกชนิดไปตลอดกาล                  ชั่วอึดใจเดียว เขาคันหัวยิกๆๆขึ้นมา เขาได้รับสัญญาณแล้ว เกาหัวที่คันด้วยความดีใจ เริ่มมั่นใจ สบายใจ บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนไป ดูสว่างสดใส และแจ่มชัด เขาโทรศัพท์หาโต๊ะบอลทันที จัดไปทีมอิสตันบูล บูยูคเช็ค ด้วยจำนวนเงินที่จะถอนทุนคืนทั้งหมด และหากเสียก็จะหมดทุกอย่างเช่นกัน จากนั้นก็ส่ง line ไปยืนยันเป็นหลักฐานตามธรรมเนียม  ที่เหลือก็มีแต่รอเวลา รอลุ้นด้วยทุกอย่างในชีวิต                                                                             บอลตุรกีไม่มีถ่ายทอดสดมาเมืองไทย เขาได้แต่คอยตามผลจาก App ของ BBC Sport                                         นั่งคิดโน่นนี่สารพัด ครั้งนี้ถ้าเขาแทงถูก เขาจะเลิกเล่นการพนันไปตลอด และจะขอเป็นแฟนทีมตุรกีทีมนี้ไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ถ้าผิด เขาจะบอกแม่เขายังไง จะบอกแฟนสาวที่กรุงเทพยังไง จะกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ศูนย์ โดยที่แม่และแฟนไม่เสียใจได้อย่างไรดี เขาเข้าใจได้ลึกซึ้งมากว่า คนเราถึงแม้จะรับโทษทัณฑ์จากความผิดพลาดของตัวเอง แต่ไม่ใช่แค่ตัวเราที่ได้รับโทษนั้นคนเดียว เรายังลากคนที่รักเราไปร่วมรับความผิดกับเราด้วย                                                        ชีวิตเขาเพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้เมื่อเขาเรียนจบ และเริ่มทำงาน พอชีวิตเริ่มดี เริ่มมีความสุขสมบูรณ์ เขาก็ผ่อนคลายการระมัดระวังการใช้ชีวิตลงโดยไม่รู้ตัว ชีวิตงานก้าวหน้าไปด้วยดี มีรถ เริ่มซื้อบ้านเป็นของตัวเองที่ระยอง ด้วยเงินช่วยเหลือส่วนนึงของแม่  ช่วงหลังๆเขาเริ่มมีสังคมหลากหลายมากขึ้น มีผู้คนชื่นชมเขา มีผู้คนเข้ามาแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเริ่มไปนั่งดื่มกินสังสรรค์กับกลุ่มพรรคพวกมากหน้าหลายตา ที่เคยกลับกรุงเทพไปหาแม่ ไปเจอแฟนทุกอาทิตย์     ก็เริ่มกลับบ้าง ไม่กลับบ้าง  ความดีนั้นไม่เหมือนกับขี่จักรยาน ที่พอขี่เป็นแล้ว ก็จะขี่เป็นไปตลอด แต่ความดีนั้น ต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ ต้องทบทวนตัวเองทุกวัน ต้องเข้มแข็งพอที่จะรักษาความดีนั้นไว้ ไม่อย่างนั้น กิเลสในใจมนุษย์ มันพร้อมจะเข้ามาครอบงำความดี ที่เคยคิดดีทำดี มันจะค่อยๆห่างหายไปเรื่อยๆ                                                                      ชีวิตคนเรา ยามที่เผลอใจ ลืมตัว มันไม่ได้ตื่นเช้าขึ้นมาวันนึงแล้วเปลี่ยนไปเลย แต่มันจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป วันละนิดทีละน้อย โดยเจ้าตัวเองไม่รู้ตัว ไม่เฉลียวใจเลย                                                                                ชั่วเวลาไม่นานมานี้เอง ที่มีคนมาชวนเขาแทงบอลด้วยความสนุกสนาน และเขาก็พาตัวเองมายืนอยู่ ปากเหวได้ขนาดนี้                                                                                                                                              ด้วยความเป็นคนหลับง่าย หลับไวมาตั้งแต่เด็ก  ในที่สุดเต่าก็ผล็อยหลับไป  รอตื่นมาพบกับโชคชะตา ที่เขาลืมตัว ขาดความระวัง ใช้ชีวิตอย่างประมาท ส่งชีวิตตัวเองและคนที่รักเขา จากการสร้างเนื้อสร้างตัวมาสู่อุ้งมือแห่งผีการพนัน   ที่อาจกำลังนั่งแสยะยิ้ม เลียริมฝีปาก มองดูเขาดุจดังมองเหยื่อที่วิ่งเข้ามาสู่นรกแห่งผีพนัน โดยผีไม่ต้องวางแผนล่อลวงใดๆเลย                                                                                                                                     

    8 ปีก่อนหน้านี้                                                                                                                            เต่าเป็นเด็กกรุงเทพโดยกำเนิด เกิดและโตที่กรุงเทพ แต่พอทำงานกลับมาได้งานที่โรงงานผลิตเหล็ก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ในตำแหน่งวิศวกรประกันคุณภาพ เขาเลือกที่จะเช่าห้องอยู่ในตัวเมืองระยอง ใกล้ๆตลาด และห่างๆโรงงานหน่อย ช่วงเย็นๆเขาชอบแวะเข้าไปเดินเล่นในตลาดสด เขาชอบบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงสมัยเด็กๆที่เขาจะไปตลาดสดกับแม่ คอยเดินถือตะกร้าใส่ของสารพัดอย่างที่แม่ซื้อในตลาด มีหลายๆมุขของการต่อราคาของแม่ที่เขายังจำได้ดีมาจนทุกวันนี้ เช่น แม่จะซื้อรองเท้าแตะคู่นึง คนขายบอก 90 บาท แม่ต่อไปว่า 2 คู่ 90 ได้ไหม ดูคนขายงงอยู่พักนึง ก่อนจะส่งเสียงล้งเล้งวุ่นวาย ถึงบ้านเขาจะไม่ค่อยมีเงิน แต่เต่ากลับรู้สึกว่าการต่อราคาสินค้าเป็นความเพลิดเพลินอย่างนึงของแม่ เพราะแม่มักจะมีมุขต่อรองราคาแบบไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละครั้ง  หลังเลิกงานในวันที่ไม่เหนื่อยมาก เขาจะเข้าไปเดินเล่นในตลาดสด ดูของท้องถิ่นต่างๆนาๆ เขาทำกับข้าวไม่เป็น จึงเป็นการไปเดินเล่นจริงๆ และคอยสังเกตสิ่งละอันพันละน้อยไปเรื่อยๆ เช่นวันไหนมีปูม้าเข้ามามากเป็นพิเศษ เป็นปูเป็น หรือปูน็อคมา หรือ ปลากระเบน ปลากะพง        ปลาเห็ดโคน ปลาหมึกตัวใหญ่ๆหรือราคาพิเศษ รวมไปถึงการอยู่ในตัวเมือง ก็จะมีร้านค้านานาประเภท ร้านหนังสือ  ร้านเสื้อผ้ากีฬา เสื้อทีมฟุตบอลอังกฤษแบบ copy ราคาถูก ซึ่งจะวางขายในกรุงเทพได้ลำบาก รวมไปถึงมีของกินหลากหลายมากมายหลายประเภทให้เลือกได้ตามสะดวก                                                                                                            ด้วยความเป็นคนช่างเจรจา ไปจนถึงพูดมาก ชอบอำ ชอบแหย่ ชอบแซว ตลกบ้าง แป้กบ้าง พูดจาเสียงดัง ออกจะโผงผาง เข้ากับคนง่าย รักพวกพ้อง เต่าจึงเป็นที่ชื่นชอบปนๆหมั่นไส้ของพนักงานโดยทั่วไป เต่ามักจะอ้างอยู่บ่อยๆว่าเขาถูกรุ่นพี่สอนมาถึงชีวิตการทำงานในโรงงานนั้น เลิกงานแล้วห้ามกลับบ้านเลย แต่ให้ไปเดินดูงานของ   แผนกอื่นๆไว้บ้าง ต้องสร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกับเพื่อนๆพนักงาน ทั้งงานบวช งานแต่ง งานศพ ต้องออกไปเยี่ยมชมชุมชนรอบๆโรงงาน ครอบครัวของพี่น้องในโรงงาน การสร้างแรงงานสัมพันธ์ได้ดีที่สุด ก็คือการสังสรรค์  เต่าจึงกลายเป็นสมาชิกขาประจำของทุกกิจกรรมหลังเลิกงาน ซึ่งดูแล้วก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นพรสวรรค์ส่วนตัว เป็นความชอบส่วนตัวของเขา หรือ เป็นการยึดมั่นปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามคำสอนของรุ่นพี่ที่เขากล่าวอ้างกันแน่                                                            เย็นวันนึงเป็นวันกลางสัปดาห์ เต่าทดลองงานครบ 4 เดือน และผ่านบรรจุเป็นพนักงานประจำ พร้อมปรับเงินเดือน ช่วงเวลาแดดร่มลมตก ราตรีกำลังแต่งตัวเตรียมเบิกบาน ผู้จัดการฝ่ายประกันคุณภาพก็นัดทีมงานมาเลี้ยงฉลองให้เต่า หรืออาจจะเป็นข้ออ้างให้ดูมีเหตุผลให้ดูดีในการมาดื่มกิน ที่ร้านอาหารทะเลริมหาดแม่รำพึง ทะเลระยองอันโด่งดัง   ร้านที่ว่าเป็นร้านริมหาดแบบบ้านๆชื่อร้านเจ๊พร ร้านประจำที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี  การมานั่งร้านอาหารริมหาดช่วงกลางสัปดาห์ จะนั่งเฮฮาได้อย่างสุขสบายเพราะลูกค้าจะมีน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์  เสียที่วันนั้นอยู่ในช่วงมรสุม และเป็นวันที่มรสุมเข้าหาดแม่รำพึงพอดี                                                                                              

    ร้านเจ๊พรเป็นร้านที่นั่งกันเป็นประจำ และสนิทสนมกันดีทีเดียวระหว่างกลุ่มของเต่ากับทั้งทีมงานร้านเจ๊พร         เจ๊พรเป็นคนใต้ คุยสนุก ใจนักเลง น้ำจิ้มซีฟู๊ดของแก ตลอดไปถึงต้มยำโป๊ะแตกน้ำใส จึงเข้มข้นถึงใจตามแบบฉบับอาหารปักษ์ใต้ขนานแท้ signature ที่สำคัญที่สุดของร้านเจ๊พรคือปูม้าเป็นๆมาว่ายโชว์เรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน ปูม้าเป็นๆนั้น ไม่ได้มีอยู่เป็นประจำทุกวันสำหรับร้านอื่นๆละแวกนั้น บางวันเรือประมงจับปูม้าได้น้อย บางร้านก็ได้ปูมาน้อย บางร้านไม่ได้เลย แต่สำหรับร้านเจ๊พรแล้ว ยังไงต้องมีปูเป็นๆไว้คอยบริการลูกค้าได้ทุกวัน อันนี้อาจเป็น connection พิเศษส่วนตัว หรือเป็นบารมีส่วนตัว ตามสไตล์เจ๊พร  เวลาเรือได้ปูมาน้อย ราคาปูต่อกิโลก็จะแพงตามไปด้วย ทำให้ปูม้าเป็นๆจะมีราคาขึ้นๆลงๆไม่คงที่ในแต่ละวันในแต่ละฤดูกาล สิ่งนึงในหลายๆสิ่งที่เจ๊พรผูกใจกลุ่มลูกค้าของเต่าไว้ได้เหนียวแน่นมาก ก็คือ ไม่ว่าราคาปูจะขึ้นลงยังไง เจ๊พรจะคิดราคาปูสำหรับกลุ่มของเต่าเท่าเดิมเสมอ  ซึ่งถือเป็นความเมตตามาก หรืออาจจะตัดรำคาญลูกค้าชุดพูดมากก็ไม่แน่ใจนัก  ปกติเจ๊พรจะนั่งประจำอยู่ที่หน้าร้าน คอยทักทายต้อนรับดูแลลูกค้า ชี้ชวนให้เลือกปู ปลา กุ้ง กั้ง หมึก หอย ที่เอามาว่ายโชว์อยู่หน้าร้าน และคอยกำกับงานครัวสารพัดอย่าง  ส่วนสามีแกก็ทำงานอยู่ด้วยกัน สามีแกเป็นคนระยอง สำเนียงระยองชัดแจ๋ว เสียงดังฟังชัดไพเราะกังวานดีเหลือเกิน สามีจะดูแลลูกค้าตามโต๊ะที่นั่งริมหาด กำกับงานเสริฟ ตลอดจนเครื่องดื่มสารพัน แกมีลูกชายคนเดียว เรียนหนังสืออยู่ ป.5 มักจะออกมาช่วยพ่อเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะช่วงกลางสัปดาห์ เพราะลูกค้าน้อย ร้านเจ๊พรก็มักจะไม่จ้างพนักงานเสริฟมา ลูกชายแกจึงมักโดนเรียกมาช่วยงานในช่วงวันกลางสัปดาห์เป็นหลัก                                                                                                ร้านเจ๊พรเป็นร้านที่ตั้งอยู่บนชายหาดแม่รำพึงเลย  ไม่ใช่แค่อยู่ริมๆหาด แต่เป็นบนหาดเลย เรียกว่าจากโต๊ะที่นั่ง เดินไปไม่กี่เมตร เท้าก็แช่อยู่ในน้ำทะเลแล้ว โต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้ไผ่แบบง่ายๆ มีร่มผ้าใบที่ปักลงบนพื้นทรายไว้คอยกันแดดกันฝน   วันนั้นนอกจากเป็นวันกลางสัปดาห์แล้ว ยังเป็นช่วงมรสุมเข้า ฝนตกมาเกือบตลอดทั้งอาทิตย์ ลูกค้าจึงน้อยเป็นพิเศษ ตอนกลุ่มของเต่าไปนั่งที่โต๊ะบนชายหาด หลังจากเดิน shopping และสั่งอาหารทะเลที่โชว์ไว้หน้าร้าน พร้อมกับทักทายเจ๊พรเรียบร้อย มีลูกค้ารายอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว 2 โต๊ะ โต๊ะละ 2-3 คน  สามีเจ๊พรก็เข้า charge ทักทาย แจกจานเปล่าพลาสติก แก้ว กระติกน้ำแข็ง ช้อนส้อม และทิชชู 1 ม้วนตามสูตร จากนั้นก็มีการสั่งน้ำอัดลม โซดา น้ำเปล่าเพิ่มเติม ส่วนแอลกอฮอล์ใส่แผลเพื่อเยียวยาจิตใจนั้น นำมากันเองตามฟอร์ม  ฝนเริ่มตกโปรยๆลงมา ซึ่งเรื่องฝนโปรยๆนี่        ไม่มีปัญหา ทุกคนชมชอบดื่มกินขณะ ฝนพรำๆกันอยู่แล้ว  แต่ที่เป็นปัญหาคือลม ลมเริ่มแรงขึ้นทุกที และแรงมากจนจานพลาสติกเปล่าเริ่มปลิว ร่มผ้าใบเริ่มโยกดูน่ากลัว หลายคนชักไม่สบายใจจนรู้สึกได้   ใครสักคนในกลุ่มของเต่าพูดขึ้นมาว่า   “เฮ้ย กูว่าไม่ไหวนะ ย้ายร้านขึ้นบกดีกว่า อาหารก็ยังไม่มา อาจไปบอกเจ๊พรทัน”  อีกคนเสริมว่า                              “อ้าว เฮ้ย ไอ้ 2 โต๊ะ ที่นั่งอยู่ตอนแรก ไปหมดแล้วว่ะ ไปตอนไหนวะ เหลือแต่โต๊ะเราแล้วนะ”                     อีกคนนึงเห็นร่มโยกหนักทำท่าจะถอน จึงควักมีดพกเล็กๆออกมา ขึ้นยืนบนเก้าอี้ ทำท่าจะกรีดร่ม เพื่อให้ลมผ่าน ร่มจะได้ไม่โดนลมหอบไป   สามีเจ๊พรเห็นเข้าจึงรีบวิ่งมาที่โต๊ะ พร้อมกับตะโกนสำเนียงระยองแท้เสียงดังลั่น                    “อย่ากรีดร่ม ผมจับให้เอง”  พูดจบแกก็มายืนกอดเสาร่มพร้อมกับกดเสาให้จมลงไปในทรายมากขึ้นอีก กลายเป็นแกมายืนกอดเสาอยู่ในโต๊ะด้วยกันเลย พอได้โอกาสเลยมีคนถามแกขึ้นมาว่า                                                          “พี่ ผมว่าพวกผมขอไปที่อื่นก่อนดีกว่านะ ไว้ค่อยมากันอีกวันหลัง”   สามีเจ๊พรตะโกนคุยกลับมาว่า                        “ไม่ต้องไปไหน นั่งได้ เชื่อผม ผมจับร่มไว้ให้”  ไม่แน่ใจว่าด้วยเสียงดังสนั่นของแก หรือความขึงขังทั้งสีหน้า แววตา   ของแก  ทำให้รู้สึกอุ่นใจ และเชื่อไปกับแกว่า นั่งได้ ปลอดภัย                                                                      พักนึง ลูกชายแกก็หอบน้ำอัดลม โซดา น้ำเปล่า ใส่ตะกร้าหิ้วเดินมาส่งที่โต๊ะ  พอสามีเจ๊พรเห็นเข้า สำเนียงระยอง       ที่ชัดและดังที่สุด ก็หลุดออกจากปากแกทันที                                                                                         “ไอ้ห่า มึงออกมาทำไม มึงอยากตายเหรอ วางของไว้แล้วรีบกลับเข้าไปข้างในเลย”  ลูกชายแกก็วางตะกร้าลงแล้ว      หันหลังวิ่งกลับไปเลย  หลังจากงงๆปนตกใจกันอยู่พักนึง เต่าก็ถามสามีเจ๊พรว่า                                                 “พี่ ตกลงมันยังไง ลมแรงขนาดนี้ จนจานปลิวแล้ว ผ้าปูโต๊ะก็ปลิว แต่พี่บอกนั่งได้ พวกผมก็นั่งตามพี่ แต่พอลูกพี่ออกมา  พี่ก็ด่าว่ามันอยากตายเหรอ ตกลงมันยังไงแน่ เอาชัดๆเลยพี่”  สามีเจ๊พรกลับหัวเราะเห็นฟันขาวจั๊วะ พร้อมกับส่งยิ้ม เต็มหน้าเหมือนกำลังสนุกสนานอะไรอยู่ ตอบว่า                                                                                       “เชื่อผมแล้วกัน นั่งได้ เชื่อผมสิ” แล้วก็หัวเราะลงลำคอปิดท้ายตามซะงั้น  เต่าก็พูดไปอีกว่า                                   “เอ้า เอาไงเอากัน นั่งก็นั่ง ขี้เกียจย้ายร้านเหมือนกัน ตามนั้นพี่”  พร้อมกับหันไปหาผู้จัดการฝ่ายประกันคุณภาพ ถามว่า “พี่ OK ไหมครับ ”  แกก็ตอบว่า “ได้ ก็ดี สนุกดี ไม่เคยกินเหล้าบรรยากาศแบบนี้เลย” และหันไปบอกสามีเจ๊พรว่า       “ห่วงแต่ร่มคันอื่น มันดูโยกเต็มทีแล้ว พี่ให้ลูกน้องมาถอนไปเก็บเถอะ เดี๋ยวมันปลิวมาเจาะกบาลพวกผมเอาน่ะ”           ลึกๆแล้วเต่ากังวลและตกใจเรื่องลมนี้มาก เขาเป็นเด็กกรุงเทพ อยู่แต่ในกรุง ไม่เคยเจอลมแบบนี้เลย เขาตื่นกลัวมาก แต่พยายามข่มใจและเก็บอาการ ด้วยเกรงจะเสีย look วันนั้นถ้ามีคนสังเกต จะเห็นว่าปลายนิ้วมือทั้ง 10 ของเต่า สั่นระริกเบาๆอยู่ตลอด                                                                                                                                     แต่แล้วอยู่ๆ เต่าก็คันหัวแบบยิกๆๆขึ้นมา เขาไม่เคยคันแบบนี้  เขาเกาหัวที่คัน แล้วอาการประหลาดก็เกิดขึ้น อยู่ๆเขาเหมือนโล่งใจ รู้สึกมั่นใจสบายใจ และอยู่ๆก็เชื่อว่า อีกพักเดียว ลมนี้ก็จะหมดแรงและหยุดไปเอง จากนั้นเขาก็นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา และไม่กี่อึดใจ ลมก็หยุดลงดื้อๆเลย เสียงอื้ออึงของลมหายไป ได้ยินแต่เสียงคลื่นของน้ำทะเลแทน และ   ไม่ใช่หยุดแต่ลม ฝนก็หยุดตกไปทันที ฟ้ากลับเปิดขึ้นมาใหม่ซะอย่างนั้น  เสียงใครในโต๊ะพูดลอยๆออกมา                     “อือ แปลกว่ะ อยู่ๆลมก็หยุด แปลกแท้ งงดีแท้”                                                                                             แล้วการดื่มกินคืนนั้น ก็กลับมาเป็นปกติเหมือนทุกทีอีกครั้ง เต่าได้แต่สงสัยอาการสังหรณ์ของตัวเองไว้ในใจอยู่เพียงลำพัง  เมื่อถึง 3 ทุ่ม เจ๊พรและครอบครัวก็ปิดครัว ปิดร้านกลับบ้าน เปิดทางให้กลุ่มของเต่าหยิบของจำเป็น อันได้แก่ โซดา น้ำแข็ง น้ำเปล่ากันเอง หยิบไปเท่าไหร่ ก็เอาเงินไปใส่กระปุกที่แกวางไว้ให้ด้วย หรือจะมาจ่ายวันหลังก็ตามสะดวก ส่วนเรื่องห้องน้ำนั้นสบายและสนุกมาก ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว พอเริ่มปลอดคน เริ่มมืดๆ ก็เริ่มยืนฉี่กันที่ริมหาดอยู่แล้ว       ประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ งานเลี้ยงก็ถึงคราวเลิกรา แยกย้ายกันกลับ พรุ่งนี้ต้องทำงานต่อ แต่ชีวิตไม่ได้มีความสุข             ไม่ได้ราบรื่นไปตลอด                                                                                                                             เต่าขับรถกลับคอนโดคนเดียว หลังจากวนไปส่งพี่คนนึงเสร็จ คอนโดเต่าอยู่ในซอยแยกจากถนนสุขุมวิทไปประมาณเกือบๆ 2 กิโลเมตร และต้องผ่านสวนสาธารณะประจำจังหวัด ชื่อว่าสวนศรีเมือง ระหว่างเข้าโค้งสวนศรีเมือง              ก็มีตำรวจ 2 นาย โบกไฟฉายให้จอดข้างทาง  เขานึกขึ้นมาได้ ถนนเส้นนี้ถ้าขับตรงไปสุดทาง จะไปออกถนนเส้น     เลียบทะเล ที่มีโรงงานแบบท้องถิ่นผลิตน้ำปลาอยู่หลายโรง และเพิ่งมีข่าวคดีฆาตกรรมแหม่มสาวชาวอังกฤษ พบเป็นศพที่ริมทะเลย่านนี้ เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา                                                                                                   เต่าจอดรถ กดกระจกลง กำลังกังวลเรื่องเมาแล้วขับ จะคุยกับตำรวจยังไงดี แต่ลักษณะตำรวจเรียกนี้ เหมือนไม่ใช่ด่าน    ยังไม่ทันได้คิดมาก ตำรวจนายแรกไม่คุยอะไรเลย เข้าเปิดประตูฝั่งที่เขานั่ง ซึ่งปกติเขาเองก็ไม่ค่อยล็อคประตูขณะขับอยู่แล้ว ตั้งแต่ชุด central lock เสียไป  หลังจากตำรวจเข้าเปิดประตูรถเขาแบบคนกันเอง ก็เชิญเต่าลงจากรถ และกล่าวขอตรวจค้น เต่าเองทั้งงงและเมาๆ ก็ลงจากรถแบบว่าง่ายๆ ตำรวจนายนั้นก็เข้าไปฉายไฟ ตรวจส่อง ค้นหาอะไรในรถเขา เกือบจะเป็นเวลาเดียวกัน ตำรวจอีกนายก็เข้า charge อีกฝั่ง เปิดประตูและเข้าไปในรถเขา ช่วยกันสาดไฟ ตรวจสอบทุกอย่างในรถเขา ถึงตอนนี้ เต่าเครียดสุดขีด ด้วยนึกขึ้นได้ว่าเขามีปืน 9 มม. ใส่กระเป๋าหนีบใบเล็กซุกไว้ใต้เบาะที่นั่งคนขับ  ปกติเขาจะเก็บซองปืนนี้ไว้ในห้องที่คอนโด หลังจากขับรถมาจากกรุงเทพ แต่อาทิตย์ที่ผ่านมา เขาลืมหยิบปืนขึ้นไปเก็บไว้บนห้อง ว่าจะลงมาหยิบขึ้นไปก็ลืมซะทุกที  ระหว่างที่ตำรวจคนแรกค้นที่เก๊ะหน้ารถ และตำรวจอีกคนก็ค้นอยู่หลังรถ เต่าเครียดขึ้นจนเกร็ง เรื่องเมาแล้วขับว่าแย่แล้ว แต่ถ้าตำรวจเจอปืนนี่จะยังไงต่อ ปืนก็บรรจุแม็กกาซีนไว้พร้อม อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานซะด้วย จากที่ไม่น่ามีอะไรมาก กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้เลย คงได้ไปอยู่โรงพักกันทั้งคืนแน่ๆแล้ว  เขาจะขอความช่วยเหลือจากใครดี จะขอให้ตำรวจช่วย หรือโทรหาผู้จัดการ หรือรุ่นพี่ หรือเพื่อนคนไหนเหมาะ หรือควรโทรบอกแม่ดี  แต่แล้ว จู่ๆเขาก็เกิดคันหัวยิกๆๆขึ้นมาอีก เขาเกาหัวตรงที่คัน  ฉับพลัน ความรู้สึกสบายใจ โล่งใจ มั่นใจ ก็แผ่ซ่านเข้ามาในตัวเขา ขณะกำลังประหลาดใจกับอาการ สัญญาณนี้อยู่ ก็มีเรื่องชวนประหลาดใจให้หนักเข้าไปอีก  เมื่อตำรวจนายแรกลงจากรถ หันมาหาเขา ยิ้มเล็กๆพร้อมกับตะเบ๊ะและกล่าวสั้นๆว่า “ขอบคุณครับ”  แล้วตำรวจทั้ง 2 นาย ก็ออกมาจากรถเขา แล้วเดินจากไป  เต่ารีบกลับขึ้นรถแทบจะในทันที แล้วขับไปคอนโดที่อยู่ห่างไปอีกนิดเดียว พอรถเคลื่อนออก เขาใช้มือขวาล้วงลงไปใต้เบาะที่นั่ง พบว่าซองปืนยังอยู่ที่เดิมครบถ้วนทุกอย่าง  คราวนี้พอถึงคอนโด เขาไม่ลืมที่จะหยิบซองปืนขึ้นไปบนห้อง ระหว่างนั้นมีแต่ความสงสัย ทำไมตำรวจไม่เห็นซองปืนเขา หรือเห็นแต่ไม่คิดจะถามถึงที่มาที่ไป ถามหาทะเบียน ใบอนุญาตพกพาในที่สาธารณะเลยเชียวเหรอ หรือตำรวจมาหาอย่างอื่นที่มันสำคัญมากเกินกว่าจะมาสนใจเรื่องปืน หรือเกี่ยวกับอาการคันหัว อาการที่ส่งสัญญาณด้านแคล้วคลาด ?                                   คืนนั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ เต่าทั้งโล่งใจที่รอดเรื่องราวต่างๆมาได้ รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจสนุกตื่นเต้นอยู่ในที แต่ก็ยังมีจังหวะครุ่นคิดถึงอาการที่เหมือนตัวเขาเองมีสังหรณ์ มีสัมผัสพิเศษอะไรสักอย่าง หรือแค่เขาคิดไปเอง                 เออออเองอยู่คนเดียว…….  

                                     

                 

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น