ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Preponderant [Krisyeol :: Kaihun : Laylu]

    ลำดับตอนที่ #7 : : : Chapter 7 : :

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 57




    Chapper 7




     

     

    “เมื่อไหร่นายจะเลิกวุ่นวายกับฉันสักที ตอนนี้แขนฉันหายดีแล้วนายก็หมดหน้าที่แล้ว”ลู่หานที่ถอดเฝือกเสร็จเรียบร้อยแล้วโวยวายใส่คนหน้าเป็นที่เดิมตามหลังเขาต้อยๆ

     

    ตลอดเวลาที่เขาต้องใส่เฝือกจางอี้ชิงจะมาดูแลเขาที่บ้านทุกวันบางวันก็ถึงกับขอค้างคืนเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันเรียกความหงุดหงินใจให้ลู่หานอย่างบอกไม่ถูก เวลาเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของอี้ชิงทีไรลู่หานจะรู้สึกอารมณ์เสียไม่อยากเห็นไม่อยากยุ่งด้วย


    ...จางอี้ชิงคนใจร้ายที่โยนหัวใจของเขาทิ้งอย่างไม่ไยดี

     

    “คุณคริสให้ผมดูแลคุณลู่หานในฐานะผู้จัดการส่วนตัวต่อ...เชิญขึ้นรถครับ”อี้ชิงที่ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำขับไล่ไสส่งเปิดประตูรอคนขี้หงุดหงิดด้วยใบหน้าอมยิ้มตามแบบปกติ

     

    “อะไรนะ! ฉันจะเข้าบริษัทไปคุยกับท่านประธานอู๋สักหน่อย”

     

    เซฮุนโบกมือลาทั้งสองคนที่เถียงกันไปตลอดทางด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม เขารู้สึกว่าสายตาที่ลู่หานใช้มองอี้ชิงมันแฝงไปด้วยความหมายมากมายแบบที่ทำให้เขาปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ต่างจากตอนที่ลู่หานอยู่กับอี้ฝานเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย ดวงตาเรียวหมองลงทันทีที่รถของสองคนนั้นลับสายตาไปแต่เซฮุนคงไม่รู้ว่าทุกการกระทำ ทุกสิ่งที่ตนแสดงออกมานั้นตกอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา

     

    ร่างผอมสูงเดินไปเรื่อยๆ ตามท้องถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านอย่างไร้จุดหมาย เขาควรจะเลิกคิดเรื่องพ่อแม่ เรื่องคิมแทวู คิมจงอินอะไรนั่นแล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมดีมั้ยนะ...เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองทำให้เซฮุนไม่ทันสังเกตุความผิดปกติรอบด้าน

     

    รถยนต์สีดำพุ่งมาด้วยความเร็วสูง ผู้คนต่างกรีดร้องอย่างตกใจบางคนยกมื่อขึ้นปิดตาเพราะเกรงว่าจะทนเห็นภาพที่จะเกิดในอีกเสี้ยววินาทีไม่ได้ หางตาเรียวรีเหลือบมองเห็นอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้แต่มันก็ช้าเกินกว่าที่เขาจะป้องกันตัวเองได้เซฮุนปิดเปลือกตาลงเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะพุ่งเข้าใส่ในไม่ช้า

     

    บรื้นนนน

     

    พลั่ก!

     

    “อั่ก”

     

    เขารู้สึกว่าร่างกายถูกเหวี่ยงจนลอยประสาทไม่รับรู้เสียงรอบด้าน เซฮุนตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่จนกระทั่งร่างกายกระแทกอย่างแรงแต่กลับไม่เจ็บอย่างที่คิดไว้จึงลืมตาขึ้นมองอย่างงุนงง

     

    สายตาห่วงใยที่เจือแววกังวลถูกส่งมาให้ เซฮุนกระพริบตาอีกสองสามครั้งกว่าจะเชื่อว่าเจ้าของสายตาห่วงใยนี่เป็นของคิมจงอินจริงๆ

     

    “เป็นอะไรรึเปล่า”คำถามที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักลึกเรียกความงุนงงให้คนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ 

     

    เซฮุนหันมองรอบตัวตอนนี้เขานอนอยู่บนพื้นถนนโดยมีจงอินกอดรัดเอาไว้ รถยนต์สีดำที่เกือบจะพุ่งชนเขาขับหนีไปไกลแล้วผู้คนที่อยู่บริเวณนี้ต่างส่งเสียงกรีดร้องกับเหตุการณ์ระทึกเมื่อสักครู่ เซฮุนหันกลับมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้งเมื่อถูกพยุงให้ลุกขึ้นยืนเขาถึงเพิ่งสังเกตุว่าหน้าผากและแขนของจงอินมีเลือดออก

     

    คิมจงอินช่วยเขาไว้งั้นหรือ?

     

    “ฉันไม่เป็นไร แต่คุณเลือดออกนิรีบไปโรงพยาบาลเถอะ”เซฮุนฉุดข้อมืออีกฝ่ายหวังจะพาไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ แต่จงอินกลับฝืนตัวไว้ไม่ยอมเดินตาม

     

    “ฉันไม่เป็นอะไร เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”

     

    ไม่รอให้เซฮุนได้ประท้วงอะไรทั้งสิ้น ร่างผอมสูงก็ถูกฉุดให้เดินตามไปทางรถยนต์ของจงอินที่จอดไว้ในเขตโรงพยาบาล เซฮุนอาสาที่จะขับรถให้แทนเพราะดูจากสภาพของจงอินแล้วคงขับไม่ไหวแน่

     

    “เราควรไปหาหมอและแจ้งความนะ”เซฮุนเหลือบตามองคนด้านข้างที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดตรงหน้าผาก

     

    “เธอคิดว่าเรื่องเมื่อกี้มันเป็นอุบัติเหตุหรือไง”บังเอิญที่หลายวันก่อนจงอินได้ยินเรื่องที่คุณนายคิมคิดจะกำจัดเซฮุนกับชานยอล เขาถึงได้ลอบสะกดรอยตามเพื่อคุ้มครองเซฮุนอยู่ห่างๆ แต่ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงไม่เลือกตามชานยอล...เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

    .
    .
    .
    .

     

    เซฮุนขับรถพาจงอินมาถึงบ้านพักที่ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกกักขังไว้ เขาพยุงร่างเจ้าของบ้านลงจากรถพอดีกับที่โดคยองซูเปิดประตูบ้านออกมาด้วยสีหน้าตกใจเมื่อเห็นจงอินในสภาพนี้ ร่างเล็กรีบเข้ามาช่วยพยุงเจ้านายเข้าตัวบ้านและไปหาอุปกรณ์ทำแผลออกมา

     

    “เกิดอะไรขึ้น”คยองซูถามพร้อมกับนั่งลงข้างคนเจ็บเพื่อจะช่วยทำแผลให้

     

    “คุณป้าลงมือแล้ว วันนี้มีคนจงใจจะขับรถชนเซฮุน”จงอินตอบกลับพลางเหลือบมองใครอีกคนที่ยืนอยู่มุมห้อง

     

    คยองซูพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิตเมื่อเห็นเจ้านายตัวเองกำลังส่งสายตาเป็นนัยให้เขาวางกล่องปฐมพยาบาลไว้แล้วออกจากห้องไป เขาที่รู้ใจจงอินดีจึงหันไปหาหนุ่มน้อยที่ยืนทำหน้างงกับบทสนทนาของพวกเขา

     

    “คุณเซฮุนครับ ฝากทำแผลให้เจ้านายผมหน่อยนะ พอดีผมทำอาหารค้างไว้”ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธคยองซูก็รีบออกจากห้องไป

     

    คนถูกไว้วานค่อยๆ เดินเข้าไปหาคนเจ็บช้าๆ แต่ด้วยเพราะเหตุการณ์เก่าๆทำให้เซฮุนเว้นระยะห่างจากจงอินไว้ ไอ้บ้านี่มันไม่น่าไว้ใจในสายตาเขา

     

    “ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วจะทำแผลยังไง รีบๆทำเร็วเข้าเดี๋ยวเลือดฉันก็ไหลหมดตัวพอดี”คนเจ็บโวยวาย แต่มันดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของเซฮุนเอามากๆ

     

    “สำออย”ถึงปากจะว่าแบบนั้นแต่จำใจกระแทกตัวลงนั่งข้างๆ หยิบสำลีออกมาจุ่มแอลกอฮอร์และกดลงไปบนหน้าผากที่มีเลือดไหลเป็นทาง ช่วยไม่ได้นี่น่ายังไงคิมจงอินก็เป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้

     

    “โอ๊ยยย มือหนักชะมัด นุ่มนวลหน่อยสิคนสวย”

     

    “ถ้าไม่หุบปากจะเอาแอลกอฮอ์ราดใส่ทั้งขวดเลย”เซฮุนตีหน้านิ่ง เกิดมายี่สิบปีไม่เคยมีใครกล้าเรียกเขาว่าคนสวยคนอย่างโอเซฮุนต้องหล่อเท่านั้น เจ้าของสายตากรุ่มกริ่มนี่อย่าได้แม้แต่จะมาคิดอะไรพิเรนทร์กับเขาเชียว

     

    แต่จะว่าไป..มันไม่ได้แค่คิดแต่เคยทำเรื่องลามกกับเขาไว้ด้วยนี่น่า พอคิดใบหน้าขาวก็พลันร้อนขึ้นจึงแก้เก้อด้วยการกดย้ำสำลีที่จุ่มน้ำยาสมานแผลลงไปแรงๆเป็นการแก้แค้น

     

    “โอ๊ยๆๆ โหดจริง ฉันไม่ตายเพราะรถชนแต่จะตายด้วยมือเธอเนี่ยละ...แต่ถ้าได้ตายคาอกนะยอมเลย โอ๊ยย”คำพูดแทะโลมถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือขาวที่จงใจแปะผ้าพันแผลแรงๆ

     

    “ไอ้หื่นเอ้ย ไม่ต้องทงต้องทำมันแล้วแผลน่ะ ปล่อยให้เลือดกามๆไหลให้หมดตัวไปเลย”เซฮุนว่าก่อนจะลุกขึ้นไปยืนกอดอกหน้าบึ้งมุมห้อง ทำไมชีวิตของเขาต้องข้องเกี่ยวกับไอ้คนแบบนี้ด้วย แล้วที่มันน่าหงุดหงิดมากคือทำไมเขาถึงต้องรู้สึกอายจนไม่กล้ามองหน้าจงอิน เขาไม่ชอบความรู้สึกที่เหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยกำลังโดนชายเจ้าชู้เกี้ยวพาเลย

     

    เสียงร้องด้วยความเจ็บของจงอินเมื่อครู่เรียกให้คยองซูวิ่งมาดูแล้วก็พอจะเข้าใจสถานการณ์จึงต้องยอมทำแผลตามร่างกายให้เจ้านายด้วยตัวเอง โดยมีคนที่ยืนไม่สบอารมณ์ปลายตามองเป็นระยะๆ

     

    “สมน้ำน่านักอย่างไปกวนโมโหเขาทำไมละ”โดคยองซูตำหนิอย่างไม่จริงจังนักเหมือนทุกครั้ง เขารู้นิสัยของจงอินดีและก็รู้ด้วยว่าที่เจ้านายตัวเองชอบแหย่ให้เซฮุนโกรธเพราะอะไร

     

    เคยได้ยินมั้ยว่าเด็กผู้ชายเวลาสนใจใครก็มักจะชอบไปแกล้งให้เขาโมโห...นั่นแหละ คิมจงอินกำลังสนใจโอเซฮุนอยู่

     

    พอเห็นว่าจงอินทำแผลเสร็จแล้วเซฮุนถึงยอมเดินเข้ามาใกล้อีกครั้งเพื่อถามสิ่งที่เขาสงสัยตั้งแต่เมื่อครู่ ร่างผอมนั่งลงฝั่งตรงข้ามใบหน้าขาวยังคงบึ้งตึงขณะที่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีเดือดร้อน

     

    “ตกลงนี่มันเรื่องอะไร ใครต้องการจะทำร้ายฉัน”เซฮุนถามอย่างจริงจัง

     

    “คุณป้าของฉัน ภรรยาของประธานคิมแทวูต้องการกำจัดเหยียนเหอเพื่อที่ตำแหน่งผู้นำตระกูลจะได้ตกเป็นของคิมจุนมยอนลูกชายของเธอ”จงอินตัดใจพูดความจริงออกไปเพราะมันถึงเวลาที่เขาต้องคุยกับเซฮุนอย่างจริงจังแล้วเหมือนกัน

     

    “พวกคุณคิดจริงๆหรือว่าผมเป็นเหยียนเหอ”นี่เป็นคำตอบได้แล้วว่าทำไมคิมจงอินถึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขา ไม่สิ คนที่จงอินต้องการช่วยคือเหยียนเหอต่างหาก

     

    “อืม พวกเขาคิดว่าเธอนั่นแหละคือเหยียนเหอแต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนมายืนยัน หลังจากที่พวกเขากำจัดเธอได้แล้ว ปาร์คชานยอลบุคคลที่น่าสงสัยอีกหนึ่งก็จะถูกฆ่าไปด้วย”

     

    “ชานยอลเกี่ยวอะไรด้วย”เซฮุนไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ในเมื่อตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบมันมีแต่เรื่องเขาแล้วทำไมถึงมีชื่อชานยอลเข้ามาเกี่ยวข้อง

     

    “คุณป้าของฉันส่งคนไปสืบในตระกูลอู๋ เด็กที่มีอายุไล่เลี่ยกับเหยียนเหอมีแค่เธอกับปาร์คชานยอล และข่าวลือที่ว่าปาร์คชานยอลเป็นลูกนอกสมรสของประธานอู๋หลงก็ทำให้พวกเขาระแวงไม่แน่ใจว่าจะโดนตระกูลอู๋สับขาหลอกหรือเปล่า”จงอินเว้นเรื่องของแพคฮยอนไว้เขาคิดว่าเจ้านั่นคงอยากเป็นคนสารภาพเรื่องทั้งหมดให้ปาร์คชานยอลฟังด้วยตัวเอง

     

    “แค่เพราะสงสัยพวกคุณถึงกับจะต้องฆ่าเลยเหรอ”เซฮุนพูดเสียงไม่เบานัก มีไม่กี่เรื่องหรอกที่จะทำให้เขาเกิดโทสะได้และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องความปลอดภัยของชานยอล

     

    “ไม่ใช่พวกฉันที่ต้องการชีวิตเธอกับปาร์คชานยอลฉันกับคุณป้าอยู่คนละฝ่ายกัน ฉันต้องการตัวเหยียนเหอเพื่อไปแสดงตัวรับมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลคิมตามที่คุณลุงแทวูระบุไว้ในจดหมาย ส่วนคุณป้าต้องการกำจัด...”จงอินแก้ไขความเข้าใจของเซฮุนเสียใหม่ ที่เขายอมเป็นคู่หมั้นของเหยียนเหอและทำตามความประสงค์ของคิมแทวูก็เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านเมตตาเขามาตั้งแต่เด็กถ้าไม่ติดเรื่องนี้เขาก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวหรือขัดแย้งกับป้าแท้ๆ ของตัวเองนักหรอก

     

    เซฮุนนิ่งไปทบทวนเรื่องต่างๆ ในสมอง คนตระกูลคิมโหดร้ายปานนั้นเชียวหรือเพียงเพราะความไม่แน่ใจถึงกับคิดจะลงมือฆ่าถึงสองคนส่วนคิมจงอินเองก็คงทำเพื่อทรัพสมบัติของคู่หมั้นสินะ

     

    “เพื่อความปลอดภัยของพวกเธอทั้งคู่ ฉันต้องพาเหยียนเหอตัวจริงไปเปิดตัวกับคนในตระกูลเมื่อนั้นคุณป้าก็จะไม่มีโอกาสทำร้ายเหยียนเหอได้อีกและอีกคนก็จะไม่ต้องโดนหางเลขไปด้วย”หากเหยียนเหอถูกเปิดตัวในฐานะประธานคนใหม่เมื่อไหร่คุณนายคิมก็จะไม่กล้าลงมือทำอะไรเพราะเธอจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งทันที

     

    “แล้วคุณรู้แล้วเหรอว่าใครเป็นเหยียนเหอ”เซฮุนพูดเสียงแผ่วนึกสมเพชตัวเองที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่แท้ๆเป็นใครกันแน่

     

    จงอินมองหน้าคนอ่อนวัยกว่าอย่างรู้สึกผิด อยู่ๆ เขาก็เอาเรื่องราวมากมายมายัดเยียดให้เซฮุนเด็กคนนี้คงจะสับสนไม่น้อยแต่เรื่องมันเดินทางมาถึงขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องไปต่อให้ถึงที่สุด ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะมั่นใจแล้วว่าเซฮุนเป็นเหยียนเหอแต่หลังจากพบแพคฮยอนในวันนั้นเขากลับติดใจสงสัย ในเมื่อเจ้านั่นเป็นห่วงปาร์คชานยอลขนาดนั้นและมั่นใจแล้วว่าเซฮุนเป็นเหยียนเหอทำไมไม่ลงมือกำจัดเซฮุนซะเพื่อความปลอดภัยของชานยอลละ?

     

    “ตอนแรกฉันก็เกือบหลงกลคิดว่าเป็นเธอแล้วแต่พอดีไปเจอเรื่องน่าสงสัยบางเรื่องมา ปาร์คชานยอลป่วยเป็นโรค Amnesia เรื่องนี้เธอรู้รึเปล่า”จงอินหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่ได้จากโรงพยาบาลมาส่งให้เซฮุนดู เขาไปสืบประวัติของปาร์คชานยอลมาทำให้รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นโรค Amnesia หรือเรียกว่า ภาวะสูญเสียความทรงจำ แต่ในประวัติก็ไม่ได้บอกถึงสาเหตุ

     

    “โรคอะไรนะ”เซฮุนถามอย่างงุนงงกับศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ที่เขาไม่เข้าใจ

     

    “ภาวะสูญเสียความทรงจำในบางเรื่องไปน่ะ ส่วนมากจะเกิดกับคนที่ถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงหรือไม่ก็ได้รับอุบัติเหตุมาจนช็อค”จงอินอธิบายตามที่ไปศึกษาข้อมูลมา

     

    “ชานยอลน่ะเหรอความจำเสื่อม ฉันอยู่กับเขามาเป็นสิบปีไม่เห็นรู้เรื่อง รู้แค่ว่าเจ้านั่นร่างกายอ่อนแอมีโรคประจำตัวที่เวลาอาการกำเริบจะปวดหัวมากๆ”เซฮุนที่มั่นใจว่ารู้จักชานยอลดีถึงกับอึ้งไปกับเรื่องนี้และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกให้เขารู้ว่าข้อมูลของคิมจงอินน่าเชื่อถือเพียงใด

     

    “ตามประวัติการรักษาดูเหมือนปาร์คชานยอลจะป่วยเป็นโรคนี้ตั้งแต่ตอนอายุสิบขวบ มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหยียนเหอหายสาบสูญไป เป็นไปได้มากว่าเด็กคนนั้นอาจจะเสียความทรงจำจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและครอบครัวอู๋ที่อยากปกปิดเรื่องเสื่อมเสียของเมิ่งเจียอยู่แล้วจึงถือโอกาสนี้ปิดบังชาติกำเนิดของชานยอลโดยอุปโลกว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายคนเล็กของอู๋หลงและอู๋หลินหลัน”จงอินแค้นยิ้มอย่างขยะแขยงในความน่ารังเกียจของตระกูลนั้น เพียงเพราะกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลถึงกับทำเรื่องเลือดเย็นพรากพ่อแม่ลูกเขาออกจากกันได้

     

    “ไม่จริง ชานยอลเป็นลูกของท่านอู๋หลงกับคุณนายพวกท่านรักชานยอลมาก พวกท่านไม่มีทางที่จะทำเรื่องแบบนั้นหรอก”เซฮุนไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ชานยอลเป็นดั่งดวงใจของตระกูลอู๋เรื่องนี้เขาที่ใกล้ชิดกับครอบครัวนั้นรู้ดี ร่างสูงผอมลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะคำพูดของจงอินที่ตามหลังมา

     

    “เธอเห็นแต่ด้านดีๆ ของคนพวกนั้น คงไม่เคยรู้เลยสินะว่าตัวเองก็ถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยมเหมือนกัน”ตอนแรกจงอินคิดว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับเซฮุน แต่พอมาคิดอีกทีเขาก็ไม่อยากปล่อยให้เด็กคนนี้จงรักภักดีรับใช้ครอบครัวที่ทำร้ายตัวเอง

     

    “คุณหมายถึงอะไร”เซฮุนตวัดสายตามองคนที่นั่งอยู่บนโซฟา

     

    “สร้อยข้อมือที่เธอใส่อยู่น่ะความจริงแล้วเป็นสมบัติของตระกูลอู๋ พ่อของอู๋หลงทำขึ้นมาสองเส้นไว้เป็นเครื่องรางให้คุ้มครองลูกชายหญิงของตัวเอง...เส้นหนึ่งให้เมิ่งเจียซึ่งฉันเดาว่าเธอคงยกให้คุณลุงแทวูต่อเพื่อเป็นเครื่องหมายแทนใจส่วนอีกเส้นหนึ่งให้อู๋หลงแล้วเธอคิดว่ายังไง ทำไมอู๋หลงถึงยกสร้อยข้อมือเส้นสำคัญแบบนี้ให้เธอ”อาจจะดูใจร้ายไปหน่อยที่จงอินบอกเรื่องนี้กับเซฮุน แต่เขาเชื่อว่าเด็กที่เข้มแข็งอย่างเซฮุนจะต้องรับความจริงและผ่านพ้นมันไปให้ได้

     

    “.....”เซฮุนนิ่งอึ้งหาคำพูดไม่ได้ ตั้งแต่เด็กเขารู้สึกว่าอู๋หลงเอ็นดูตัวเองมากเทียบเท่ากับชานยอลเลยก็ว่าได้ไม่ว่าชานยอลจะได้อะไรเซฮุนก็จะได้รับเช่นกัน แม้เขาจะมีหน้าที่ดูแลชานยอลแต่ก็ได้รับการปฎิบัติอย่างดีเสมอมา เซฮุนทั้งเคารพรักและเทิดทูนอู๋หลงจนเคยคิดบ่อยๆ ว่าอยากมีพ่อแบบนี้ แต่พอวันนี้ได้ฟังที่จงอินบอกพอสิ่งที่เขาคิดเล่นๆ มันอาจเป็นจริงขึ้นมาทำไมเขาถึงได้รู้สึกกลัว ภาวนาให้มันไม่เป็นความจริง

     

    “ฉันตั้งใจจะสืบเรื่องของเมิ่งเจียที่บ้านตระกูลปาร์คซึ่งเป็นตระกูลเก่าของแม่อู๋หลง เดิมเมิ่งเจียชื่อปาร์คมินยองเป็นลูกแม่นมของอู๋หลงแต่แม่ของเธอตายไปตั้งแต่เล็ก พ่อแม่ของอู๋หลงเอ็นดูจึงรับเป็นลูกสาวบุญธรรมและเปลี่ยนชื่อเป็นอู๋เมิ่งเจีย ด้วยความบังเอิญฉันถึงได้ไปรู้เรื่องของโอเซนาเข้าเธอเป็นเด็กรับใช้ในครอบครัวปาร์คและเคยชอบพออยู่กับอู๋หลงแต่ก็รู้ใช่มั้ยว่าตระกูลอู๋เป็นยังไง โอเซนาฐานะชาติกำเนิดต่ำต้อยความรักของพวกเขาจึงถูกกีดกันอู๋หลงถูกบังคับให้แต่งงานกับคุณหนูตระกูลผู้ดี เรื่องมันน่าจะจบลงแค่นั้นเพราะหลังจากแต่งงานอู๋หลงและภรรยาก็มีลูกชายด้วยกันคืออู๋อี้ฝานแต่ห้าปีให้หลังอยู่ๆ โอเซนาก็หายตัวไปจากตระกูลปาร์คและไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องของเธออีกเลย”

     

    รู้เพียงเท่านี้จงอินก็พอจะประติดประต่อเรื่องราวได้แล้วและยิ่งเซฮุนสวมสร้อยข้อมือของอู๋หลงด้วยแล้วยิ่งเป็นหลักฐานชิ้นเยี่ยมที่จะบ่งบอกว่าพ่อของเซฮุนเป็นใคร ดวงตาดำสนิทมองแววตาสับสนของเด็กร่างผอมถึงแม้จะลังเลแค่ไหนแต่เขารู้ว่าเซฮุนเข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เขาพูดไป

     

    “คุณโกหก..”เซฮุนพึมพำออกมา เขายืนนิ่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นานก่อนที่จะระเบิดทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ภายในออกมา “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตอนแรกคุณก็มาพูดให้ฉันคิดว่าตัวเองเป็นลูกของคิมแทวูกับเมิ่งเจียแค่นั้นฉันก็สับสนจะแย่แล้ว พอมาวันนี้กลับบอกว่าฉันเป็นลูกของท่านอู๋หลง แล้วพรุ่งนี้จะเปลี่ยนอีกมั้ย จะบอกว่าฉันเป็นลูกของคนอื่นอีกรึเปล่า!

     

    เซฮุนพรั่งพรูคำพูดออกมาพร้อมหยดน้ำตา ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะร้องไห้กับเรื่องอะไรง่ายๆแต่ครั้งนี้มันมากไป คิมจงอินใจร้ายเกินไปหรือเปล่าถึงเอาเรื่องพ่อแม่ของเขามาพูดกลับไปกลับมาแบบนี้ มีใครเข้าใจความรู้สึกของเด็กที่เกิดมาโดยไม่เคยเห็นหน้าพ่อบ้างมั้ยต้องทนเห็นแม่ลำบากเพื่อหาเงินทำให้เขาอิ่มท้อง เซฮุนภาวนาให้เขาได้พบพ่อในสักวันเขาอยากจะถามเหตุผลว่าทำไมถึงทิ้งเขากับแม่ไปพอจงอินบอกเรื่องคิมแทวูเหมือนมาจุดประกายความหวังในหัวใจเขา แต่ก็มากลับคำไปมาจนเขาไม่กล้าจะเชื่อถือในคำพูดแล้ว

     

    หยาดน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้ของเซฮุนทำให้จงอินเจ็บปวดหัวใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึก เขาชอบที่จะเห็นเซฮุนพยศมากกว่าที่จะร้องไห้แบบนี้ ร่างสูงเดินเข้าไปคว้าร่างผอมนั้นเขามากอดหวังจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของอีกฝ่าย ถึงแม้เซฮุนจะพยายามขัดขือและทุบตีเขามากแค่ไหนแต่จงอินไม่ยอมคลายอ้อมกอดออก จนเหมือนเด็กตัวขาวนี่จะเหนื่อยไปเองจึงยืนสะอื้นเงียบๆให้เขาได้ปลอบประโลม

     

    “ฉันขอโทษ"


    จงอินเองก็เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวเหมือนกันเขาจึงเข้าใจความรู้สึกของเซฮุนในตอนนี้ ความรู้สึกอยากปกป้องอยากดูแลก่อตัวขึ้นเงียบๆ ภายในหัวใจเขาไม่เคยต้องดูแลใส่ใจใคร แต่ตอนนี้กลับอยากเป็นคนเช็ดน้ำตาและมอบความสุขให้โอเซฮุน ถึงเด็กคนนี้จะไม่ต้องการแต่เขาก็จะดึงดันที่จะเป็นคนมอบรอยยิ้มให้เซฮุนให้ได้


     

     



                                                •*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•
     


     

    ใบหน้ายามหลับของชานยอลทำไมให้คนมองอดจะสงสารไม่ได้ เพราะถึงแม้จะหลับไปด้วยฤทธิ์ยาแต่คิ้วเรียวก็ยังขมวดเข้าหากันบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวต้องทนทรมานกับอาการปวดศีรษะมากเพียงใดก่อนจะหลับไป นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปนวดระหว่างคิ้วให้ผ่อนคลายลงอย่างเบามือ

     

    “ทำไมอยู่ๆ อาการถึงกำเริบขึ้นมาอีก”อู๋อี้ฝานหันไปถามผู้เป็นแม่ที่นั่งข้างเตียงอีกฝั่งหนึ่งสลับกับซิ่วหมินคุณหมอประจำตระกูลที่ยืนพิงขอบหน้าต่างอยู่เงียบๆ

     

    “คุยกันอยู่ดีๆก็ล้มลงไป น้องเป็นแบบนี้บ่อยทำไมแม่ไม่รู้เรื่อง”คุณนายอู๋ส่งสายตาคาดโทษกลับไปให้ลูกชายคนโต เมื่อเช้าหลังจากนั่งเล่นในสวนกันสักพักเธอก็เห็นชานยอลมีอาการผิดปกติแต่เจ้าตัวก็ไม่แสดงออกมามากนักจนช่วงสายที่คงจะทนฝืนไม่ไหวถึงขนาดทรุดลงไปกองกับพื้น เธอจึงเรียกซิ่วหมินมาตรวจถึงเพิ่งรู้ว่าช่วงหลังมานี้ชานยอลอาการกำเริบบ่อย

     

    “อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วคุณหนูอยู่ในภาวะความจำเสื่อมชั่วคราวนั่นหมายความว่ามีโอกาสที่ความทรงจำเก่าๆ จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ การได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม ตกอยู่ในเหตุการณ์ที่เคยผ่านมา หรือความเครียดก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาพความทรงจำไหลย้อนกลับมาได้ แต่ในเมื่อคุณหนูไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ความทรงจำเหล่านั้นก็จะขาดๆ หายๆ พอเธอพยายามนึกมากเท่าไหร่ผลที่ได้กลับมาคืออาการปวดหัว เพราะสมองทำงานหนักเกินไป และที่ช่วงหลังมานี้ที่อาการกำเริบบ่อยมันเป็นสัญญานเตือนว่าความทรงจำที่ขาดหายไปกำลังจะหวนคืนมา”

     

    คุณหมอหนุ่มร่ายยาวถึงอาการปัจจุบันของชานยอล เขาเป็นหมอจึงรู้สึกผิดที่ไม่อาจรักษาคนไข้ได้ยิ่งเห็นชานยอลอาการหนักขนาดนี้แล้วก็สงสารเพราะเขาเองก็เอ็นดูคุณหนูคนนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว หวังว่าคำบอกเล่าของเขาจะทำให้อี้ฝานตัดสินใจเรื่องการรักษาของชานยอลใหม่

     

    “ไม่มีวิธีที่จะทำให้ความทรงจำเก่าๆ ของชานยอลหายไปตลอดกาลเลยเหรอ”อู๋อี้ฝานถามทั้งที่รู้คำตอบดีแววตาที่เคยหนักแน่นกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากปากของซิ่วหมินคุณหมอหนุ่มทำเพียงแค่ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะขอตัวกลับออกไป

     

    ห้องนอนของนายน้อยตระกูลอู๋ตกอยู่ในความเงียบสองแม่ลูกต่างก็รู้ว่ากำลังกังวลในเรื่องเดียวกันอยู่ หลินหลันมองใบหน้าของลูกชายคนเล็กแล้วก็ต้องพยายามกลั้นสะอื้นไว้ด้วยความสงสาร

     

    “เราทำถูกหรือเปล่าอี้ฝาน แม่สงสารน้อง”และเมื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เธอจึงเดินออกจากห้องไปอีกคน

     

    อู๋อี้ฝานไม่สามารถตอบคำถามของแม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่ทำมันถูกหรือเปล่าการที่เขาตัดสินใจกำหนดชีวิตของชานยอล ปล่อยให้เด็กคนนี้ลืมอดีตแล้วสร้างโลกใบใหม่ให้ จับชานยอลใส่โหลแก้วเอาไว้เหมือนดอกไม้ประดับที่แสนบอบบาง ปกป้องไม่ให้มีสิ่งใดเข้ามากระทบกระเทือนให้กลีบต้องบอบช้ำ แต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วดอกไม้ต้องการอะไร

     

    ดอกไม้อาจแค่ต้องการผลิดอกแผ่กิ่งก้านออกมาต้อนรับสายลมแสงแดดเพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้นก็ได้

     

    ถ้าเขาปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปตามวิถีของมัน ปล่อยชานยอลให้เผชิญความเป็นจริงเด็กคนนี้จะผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายแล้วยืนหยัดอยู่ได้มั้ยนะ...

     

    มือหนาไล้ไปตามโครงหน้าสวยหวานนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน ในคืนนั้นที่ฝนตกอย่างรุนแรงถ้าเขาไม่ใจอ่อนกับดวงตาบวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนักจนยอมขับรถพาชานยอลออกไปหาคุณอาเมิ่งเจียตามที่เด็กคนนี้ร้องขอ ชานยอลก็คงไม่ต้องเห็นภาพอุบัติเหตุที่น่าสะเทือนใจนั่นจนช็อคไป

     

    อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตอู๋เมิ่งเจียและพรากความทรงจำในวัยเด็กของปาร์คชานยอลไป

     

    .

    .

    .

     

    เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้วกว่าที่เปลือกตาบางจะปรือขึ้น มือเล็กทาบทับที่อกด้านซ้ายยังรู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่รัวเพราะความฝันเมื่อครู่ ภาพรถยนต์ที่ระเบิดเป็นจุณกับใบหน้าแสนเศร้าของผู้หญิงคนนั้นยังชัดเจน ชานยอลกระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่เปียกซึมเขามองเพดานห้องสีขาวคุ้นตาอย่างงงๆ พยายามนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมานอนอยู่บนเตียงนี่ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา จำได้ว่าคุยกับแม่อยู่ดีๆก็รู้สึกปวดหัว ปวดมากจนวูบไป ชานยอลพลิกตัวเล็กน้อยแต่แล้วก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งพิงหัวเตียงหลับอยู่

     

    อี้ฝานนั่งเฝ้าเขาไว้จนหลับสินะมือใหญ่ยังกุมมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนอีกฝ่ายคงจะแค่นั่งมองเขาอยู่ห่างๆ ส่งผ่านความห่วงใยออกมาทางสายตาเท่านั้นแต่ตอนนี้อี้ฝานเป็นคนที่ชานยอลสามารถจับต้องได้จริงไม่ใช่ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น ชานยอลพยายามขยับตัวให้เบาที่สุดลุกขึ้นนั่งมองหน้ายามหลับของพี่ชาย มันจะรู้สึกดีขนาดไหนถ้าตื่นมาแล้วได้เห็นใบหน้านี้เป็นคนแรกทุกวัน

     

    คนตัวบางสะบัดหัวไล่ความคิดเหลวไหลออกไปและก้มลงมองมือที่ยังกุมกันไว้ แค่มีมือนี้ที่จะไม่มีวันปล่อยมือจากเขาไปไหนก็ดีแล้ว

     

    “คิดอะไรทำหน้ายุ่งเชียว”เสียงทุ้มห้าวของคนที่หลับอยู่ในตอนแรกเรียกให้ชานยอลสะดุ้งจนตัวโยน ก่อนจะรีบส่ายหัวปฏิเสธเป็นพัลวัล

     

    “เปล่าสักหน่อย แล้วนี่ทำไมกลับบ้านไวจัง”ชานยอลมองนาฬิกาที่ผนังห้อง เวลานี้อี้ฝานควรจะอยู่ที่บริษัทนี่น่า

     

    “เป็นห่วงเด็กดื้อบางคน เลยรีบกลับมาหา”ความห่วงใยจากน้ำเสียงและแววตาเรียกรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเนียนใสของเด็กดื้อได้เป็นอย่างดี

     

    “ไม่ดื้อสักหน่อย”คนถูกกล่าวหายู่ปากใส่อย่างน่ารัก จนคนมองอดที่จะบีบจมูกรั้นอย่างหมั้นเขี้ยวไม่ได้ ชานยอลถูกโยกไปตามแรงจนล้มลงไปจมแผ่นอกกว้าง ร่างโปร่งรีบผละตัวออกแต่กลับถูกวงแขนแข็งแรงโอบรัดไว้แน่น

     

    “ห้ามฝืนอีกรู้มั้ยถ้าปวดหัวก็รีบบอก...หัวใจฉันแทบหยุดเต้นตอนรู้ว่าเธอหมดสติไป”ใบหน้าหล่อจัดซุกอยู่บนไหล่บาง ยังจำอาการวูบโหวงในหัวใจได้ดีตอนที่รู้อาการของชานยอล

     

    “ฉันไม่ยอมเป็นอะไรหรอก จะอยู่กับอี้ฝานไปนานๆ”ชานยอลกอดตอบอีกฝ่ายแน่นพอกัน ถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร แต่ชานยอลรู้สภาพร่างกายของตนเองดีว่าอาการของเขามันไม่ร้ายแรงขนาดพรากลมหายใจไปได้

     

    “สัญญานะ ว่าอยู่ด้วยกันตลอดไป”อี้ฝานคลายอ้อมกอดออกเพื่อมองใบหน้าหวานของอีกคน

     

    ชานยอลฉีกยิ้มกว้างกับคนที่นานทีจะพูดหรือทำอะไรแบบเด็กน้อย นิ้วก้อยถูกยื่นออกไปเกี่ยวกับนิ้วของอีกฝ่ายเพื่อย้ำคำสัญญา

     

    “แล้วทำไมอยู่ๆถึงอาการกำเริบขึ้นมาได้ละ เครียดอะไร”

     

    “ไม่ได้เครียด แต่...ไม่รู้สิอยู่ๆ ในหัวมันก็มีภาพอะไรแวบไปแวบมาเต็มไปหมด มันเหมือนเป็นบางเรื่องที่ฉันลืมไป พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”ชานยอลเอียงคอทำหน้าคิดแต่แล้วก็ถูกคนเป็นพี่รวบเข้าไปกอดไว้แนบอกอีกครั้งหนึ่ง

     

    “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด คนเราไม่ต้องจำทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตก็ได้ เลือกจำแต่เรื่องดีๆ ก็พอ”มือใหญ่ลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือรู้สึกกังวลกับสิ่งที่ได้ฟัง ความทรงจำของชานยอลจะกลับมาแล้วเขาคงยื้อเวลาได้อีกไม่นาน

     

    “อื้ม ฉันจะจำแต่เรื่องดีๆ เรื่องของเราจะไม่มีวันลืมเลย”หัวทุยซุกเบียดกับแผ่นอกกว้างแน่นขึ้นลำแขนเรียวก็โอบเอวหนาไว้ รับความอบอุ่นจากผู้ชายที่เป็นเจ้าของหัวใจตัวเอง พระเจ้าได้โปรดให้อภัยที่ปาร์คชานยอลไม่สามารถทำจิตใจให้บริสุทธิ์ได้จริงๆ เขายังอยากได้รับอ้อมกอดอยากได้รับสัมผัสอ่อนโยนจากอู๋อี้ฝาน

     

    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่อี้ฝานจะหักห้ามใจตัวเองได้ในเมื่อกำลังนอนกอดกับชานยอลอยู่บนเตียงแบบนี้ ชานยอลเป็นเหมือนขนมหวานรสเลิศเมื่อเขาได้เคยลิ้มลองครั้งหนึ่งแล้วมันก็ยากเหลือเกินที่จะห้ามตัวและหัวใจไม่ให้อยากจะละเลียดชิมอีก เขากำลังข่มกลั้นอารมณ์ดิบตามสัญชาตญานอย่างยากลำบาก ใบหน้าหล่อจัดก้มลงมองคนในอ้อมอกซึ่งคนตัวเล็กเองก็กำลังเงยหน้ามองเขาอยู่เช่นกัน ความใกล้ชิดขนาดที่สามารถรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดกำลังทำให้ความอดทนของเขาพังทลายลง

     

    มือบางยกขึ้นแนบข้างแก้มคนพี่ ชานยอลอ่านแววตานั้นออกมันแสดงความรู้สึกไม่ต่างจากเขาเลย ใบหน้าหวานเป็นฝ่ายยื่นไปหาเพื่อสัมผัสกลีบปากหยักก่อน เพียงแผ่วเบาราวเสี้ยววินาทีเท่านั้นเขาก็ถูกจูบที่หนักหน่วงกว่าตอบรับกลับมา มันไม่ใช่สัมผัสที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายในกามอารมณ์ แต่จูบของอี้ฝานมันเต็มไปด้วยความคิดถึงโหยหาซึ่งกันและกัน

     

    เมื่อเริ่มต้นแล้วมันก็ยากเหลือเกินที่จะหยุดยั้งอี้ฝานป้อนความหวานให้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกลืนกินอากาศหายใจของชานยอลจนแทบหมดจึงยอมผละออกมา ดวงตาหวานปรือปรอยมองพี่ชายถ่ายทอดความรักทั้งหมดในหัวใจผ่านทางสายตา กลีบปากบวมเบ่งเชิญชวนให้อีกฝ่ายก้มลงมาครอบครองซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า

     

    อู๋อี้ฝานหลงรักชานยอลอย่างหมดหัวใจและหลงใหลอยากครอบครองเรือนร่างนี้เพียงผู้เดียวแต่ด้วยในสถานะตอนนี้เขายังไม่มีสิทธิ์...ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ร่างสูงใหญ่จำต้องยอมตัดใจถอนริมฝีปากออกมาฝังจมูกลงบนแก้มเนียนที่แดงเรื่อก่อนจะจับร่างนั้นซุกแนบอกตัวเองให้ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวเพียงใด

     

    ปาร์คชานยอลสามาถทำให้หัวใจเขาเต้นแรงได้และเป็นคนเดียวที่สามารถหยุดหัวใจของอู๋อี้ฝานได้เช่นกัน

     

    “ไปอยู่ที่อื่นกันสักพักมั้ย ไปอยู่ในที่ที่มีแต่เรา”

     

    อี้ฝานคิดทบทวนเรื่องนี้มาหลายครั้ง และยิ่งคำพูดของซิ่วหมินด้วยแล้วยิ่งเหมือนบีบบังคับให้เขาส่งตัวชานยอลไปรักษาแต่ก่อนที่จะให้ชานยอลได้รับการรักษาเขาอยากจะค่อยๆ บอกความจริงให้เด็กคนนี้รับรู้ เขาจะพร่ำบอกให้ชานยอลมั่นใจว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังจะใช้สองมือโอบกอดให้รู้ว่ายังมีเขาที่พร้อมจะปกป้องคุ้มครองและจะใช้หัวใจดวงนี้รักชานยอลตลอดไป

     

    ชานยอลนิ่งเงียบอยู่ในอ้อมอกของพี่ชายปฏิเสธไม่ได้ว่าใจหนึ่งเขาก็อยากจะไปตามที่อี้ฝานเอ่ยชวน เขารักผู้ชายคนนี้มากจริงๆ รักมากจนไม่เกรงกลัวต่อบาปบุญอะไรทั้งนั้นเขาพร้อมจะที่ก้าวลงสู่ขุมนรกหากที่นั่นมีอี้ฝานอยู่ แต่เมื่อนึกถึงครอบครัวเขาก็ไม่สามารถจะเห็นแก่ตัวคิดแต่ความสุขของตัวเองได้ อี้ฝานเป็นลูกชายคนโตเป็นผู้สืบทอดของตระกูลจะมาทิ้งภาระหน้าที่ต่างๆ ไปง่ายๆ ได้ยังไง

     

    “ถ้าทำแบบนั้นใครจะดูแลธุรกิจของครอบครัวเราละ แล้วพี่จะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง”

     

    “เรื่องนั้นฉันจัดการเอง เชื่อใจฉันมั้ยชานยอล”มือใหญ่ดันร่างเล็กออกจากอกเพื่อที่จะได้สบตากัน

     

    บนโลกนี้อู๋อี้ฝานเป็นบุคคลที่ชานยอลเชื่อใจมากที่สุด เขาเชื่อในความรักที่พี่ชายมีให้และมั่นใจว่าเมื่ออยู่กับคนๆ นี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอู๋อี้ฝานจะนำพาปาร์คชานยอลให้ผ่านพ้นไปได้ ชานยอลไม่รู้ว่าอี้ฝานจะจะบอกพ่อกับแม่ยังไงแต่เขาก็เชื่อว่าพี่ชายจะจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้

     

    “ฉันเชื่อพี่”

     

    ใบหน้าหล่อจัดคลี่ยิ้มบาง เขาคิดไม่ผิดที่มอบหัวใจให้ปาร์คชานยอลรู้สึกขอบคุณความรักที่ไม่มีข้อแม้ของชานยอลที่มีต่อเขา ถึงปลายทางข้างหน้ามันจะมืดมนไร้หนทางแต่เด็กคนนี้ก็ยังพร้อมที่จะเดินเคียงข้างไปด้วยกัน

     

    “งั้นเตรียมตัวนะ พวกเราจะไปหลังจากงานวันเกิดคุณปู่ เราจะไปอยู่ที่อื่นสักพักให้เธอหายจากอาการป่วยแล้วค่อยกลับมา”

     

    อี้ฝานเชื่อว่าพ่อกับแม่จะต้องเข้าใจเหตุผลที่เขาทำและยอมปล่อยพวกเขาไป เขารู้ว่าพวกท่านเองก็รักชานยอลมากและไม่อยากจะเสียชานยอลไปตลอดกาลเหมือนกัน คนตัวบางพยักหน้ารับคำสายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

     

    “ขอบใจนะชานยอล ขอบใจที่เชื่อในตัวฉัน”

     

    “ฉันเชื่อใจอี้ฝานเสมอ”




    TBC



    TALK
    ขอบคุณคนที่คอมเม้นให้นะคะ คือบางทีเราก็ท้อแหละว่ามียอดวิวขึ้นแต่ไม่มีเม้นเลยคิดหลายครั้งว่าฟิคเราอาจจะไม่สนุกพอ แต่ในเมื่อเปิดเรื่องแล้วต่อให้เหลือคนคอมเม้นแค่คนเดียว คนอ่านแค่คนเดียวเราก็จะรับผิดชอบแต่งต่อจนจบ ^^ เรื่องมันเดินทางมาใกล้ถึงจุดเปลี่ยนละ..



     

     

     

    Matesoulmy
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×