ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #29 : เขียวหวานน่ารัก ~ 29 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.53K
      253
      24 ต.ค. 61


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 29

    Fiction by 2nd Admin


    .

    .

    . 

     

                นอกจากจะบังคับให้ลาหยุดงานในวันอาทิตย์แล้ว ในวันจันทร์ที่อี้ชิงมีเรียน คริสยังขับรถมาส่งถึงหน้าคณะแล้วเดินตามมาส่งจนถึงบันไดตึกเรียนอีก เท้าที่เคยบวมน่ะหายดีจนให้วิ่งก็วิ่งได้แล้ว แต่คนเรื่องมากก็ยังบ่นจุกจิกให้คอยระวังนั่นนี่ พออี้ชิงอิดออดเข้าหน่อยก็โดนบ่น แถมยังขู่ว่าถ้ายังดื้อจะจับขังไว้ที่ห้องไม่ให้มาเรียนอีก สุดท้ายคนที่แยกไม่ออกระหว่างความเป็นห่วงกับเอาแต่ใจก็ได้แต่เดินหน้ามุ่ยเข้าห้องเรียนไป หารู้ไม่ว่าสิ่งที่น่าขยาดยิ่งกว่ากำลังรออยู่ในนั้น

                เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กเงียบลงทันทีที่อี้ชิงก้าวเข้ามา สองเท้าเล็กหยุดกึกแล้วกวาดสายตามองรอบๆ ห้องเพื่อหาสิ่งผิดปกติ ก่อนจะพบว่าคือตัวเองที่เป็นสาเหตุของความเงียบนั้น เพื่อนบางคนหันมามองพร้อมส่งยิ้มให้ ในขณะที่บางคนกลับมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก ก่อนที่เสียงซุบซิบอย่างไม่ปิดบังจะค่อยๆ ดังขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเพื่อนๆ คงมีเรื่องให้คุยจากเหตุการณ์ในสนามบาสฯเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คนที่มองโลกในแง่ดีอย่างพวกรุ่นพี่สาวๆ ก็คงมี แต่คนที่หมั่นไส้เขาอยู่แล้วก็คงมีเรื่องให้ชังน้ำหน้ากันมากขึ้น คิดแล้วก็น่าเหนื่อยใจกับความไม่ยุติธรรมของโลกนี้นัก เขาก็แค่จางอี้ชิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีปัญญาจะไปทำร้ายใคร ทำไมถึงไม่ไปเขม่นใส่คนต้นเหตุกันบ้างก็ไม่รู้

                ความอึดอัดที่ก่อตัวอยู่ตลอดสองชั่วโมงหมดลงเมื่ออาจารย์บอกเลิกคลาส แต่กระนั้นอี้ชิงก็ยังไม่คลายใจ เพราะไม่อยากฟังเสียงนินทาหรือเป็นเป้าสายตาให้ใครอีก ถึงได้กวาดอุปกรณ์ทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้น รีบจ้ำออกจากห้องก่อนที่คนอื่นๆ จะไหวตัว เร่งฝีก้าวรัวเร็วแบบไม่คิดจะหันหลัง แต่ก็ต้องมาชะงักเอาตอนที่ถึงบันไดหน้าตึก ร่างสูงใหญ่กับท่ายืนกอดอกทิ้งสะโพกที่คุ้นตารออยู่ในตำแหน่งเดิมกับที่มาส่งเขาเมื่อเช้าเป๊ะๆ

                “ทำไมรีบ คิดถึงฉันมากหรือไง?” ยังมีหน้ามายิ้มแซว น่าหมั่นไส้จนอี้ชิงต้องย่นจมูกใส่ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ต้องซ้อมแข่งแล้ว คริสคงไม่ต้องไปสนามบาสฯก็เลยมารอรับที่นี่แทน

                “ฉันหิวต่างหาก”

                “อย่าเดินเร็วนัก เท้าเพิ่งจะหาย”

                “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ รีบๆ ไปเถอะ” ก้าวลงบันไดรัวๆ แล้วเลี้ยวไปอีกทางทั้งที่รู้ว่าอ้อมกว่า คริสก็รู้ถึงได้ดึงมือเขาไว้

                “เดี๋ยว แคนทีนไปทางนี้”

                “ไม่เอาอ่ะ วันนี้อยากออกไปกินข้างนอก”

                “รถก็จอดอยู่ทางนี้”

                “เดินอ้อมเอาก็ได้ รีบๆ ไปเถอะ” ช่วงพักกลางวันแบบนี้คนต้องเยอะแน่ๆ อี้ชิงยังเข็ดกับสายตาคนในห้องถึงไม่อยากไปนั่งให้ใครมองในแคนทีนอีก และไม่อยากเดินไปทางปกติที่ต้องผ่านคนเยอะแยะด้วย เขาแค่อยากหลบผู้คน แต่ดูเหมือนคริสจะเข้าใจไปอีกทาง

                มือที่อี้ชิงลืมปล่อยนั้นกระชับแน่นขึ้นแล้วยังดึงให้ร่างเล็กเซไปใกล้จนไหล่ชนอกกว้าง จังหวะที่หันไปขมวดคิ้วใส่นั้นพอดีกับที่คริสโน้มใบหน้าลงหา คนหล่อฉีกยิ้มกว้างยามพูดจาเข้าข้างตนจนคนฟังแก้มร้อนไปถึงไหน

                “ไกลหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ”

     

     

                บางทีการจูงมือก็อาจเป็นวิธีควบคุมความเร็วในการเดินของคนเป็นแฟนก็เป็นได้ อี้ชิงแสนจะขัดใจแต่ก็ไม่อาจแย่งมือคืน ลองดูหลายครั้งแล้วแต่คริสไม่ยอมปล่อยเลย ยิ่งจับให้แน่นขึ้นด้วยซ้ำ สุดท้ายก็ต้องเลิกขัดขืน ปล่อยให้คุณแฟนภาคบังคับเดินจูงมือไปทั้งอย่างนั้น

                ทางเดินอ้อมสนามฟุตบอลนี้เป็นทางที่อี้ชิงกับลู่หานใช้กันประจำ เพราะลู่หานมีกิจกรรมให้ต้องทำที่สนามฟุตบอลบ่อย จึงกลายเป็นจุดนัดพบที่รู้กัน ทั้งตอนพักกลางวันหรือก่อนจะกลับบ้าน อี้ชิงชอบทางนี้เพราะผู้คนไม่พลุกพล่านดี ยิ่งตอนนี้เพิ่งผ่านงานกีฬากระชับมิตรไป สนามก็ยิ่งว่างผู้คน ที่อี้ชิงเห็นก็แค่เด็กปีหนึ่งห้าถึงหกคนกำลังนั่งจับกลุ่มกันอยู่ริมสนาม น่าจะเตรียมทำกิจกรรมกันอยู่ และเขาคงจะเดินผ่านอย่างไม่สนใจ หากไม่ใช่เพราะหนึ่งในกลุ่มนั้นตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังเดินลัดสนามมา

                “เฮ้! เซฮุน ทางนี้”

                อี้ชิงชะงักจนคนที่จูงมือต้องชะงักตาม ชื่อที่ได้ยินนั้นทำเอาหันขวับ มองตามสายตาเจ้าของเสียงกระทั่งเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมา ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นไม่คุ้นตาเขาซักนิด แต่อี้ชิงกลับคลับคล้ายคลับคลาจนนึกอยากรู้จัก ไม่ทันได้คิดอะไรมากมายก็เอ่ยเรียกให้รุ่นน้องหันมา

                “นี่นาย เดี๋ยวก่อน” เด็กหนุ่มชะงักแล้วหันมองด้วยความสงสัย ครั้นพอจำได้ว่ารุ่นพี่ร่างเล็กคนนี้เป็นใคร โอเซฮุนก็ผงกหัวแล้วยิ้มให้อย่างยินดี

                “หวัดดีครับรุ่นพี่”

                “ชื่ออะไรนะ?”

                “โอเซฮุนครับ” จะเข้าใกล้ก็ไม่ได้เพราะเจ้าของอีกมือยังบังคับให้รักษาระยะห่างไว้แค่นั้น อี้ชิงจึงได้แต่ไล่สายตามองรุ่นน้องอย่างสนใจ รูปร่างสูงโปร่งกับผิวขาวแบบบาง ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายสุกใส ที่ดูดีกว่าใครๆ ก็คงเป็นรอยยิ้มสว่างไสวอย่างที่อาจทำให้ใครต่อใครหลงเพ้อได้นี่แหละ แม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมา แต่อี้ชิงก็มั่นใจ

     

                โอเซฮุนคนนี้ ไม่ผิดแน่!

     

                “รุ่นพี่มีอะไรกับผมหรือเปล่า?”

                “นาย มีแฟนรึยัง?”

                “อะไรนะ?!”

     

    .

    .

    .

     

                “โอ๊ย เดี๋ยวสิ หยุดก่อน ฉันยังคุยไม่จบเลยนะ”

                อี้ชิงไม่ขัดขืนตอนที่ถูกคริสดึงข้อมือให้เดินจากมาทั้งที่ยังไม่ได้คำตอบจากประโยคที่ถาม จู่ๆ ทั้งสองคนก็ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน ขณะที่รุ่นน้องยังหน้าเหวอ คริสก็ผลีผลามดึงตัวเขาออกมา แล้วก็รีบจ้ำจนวิ่งตามแทบไม่ทัน นี่ถ้าไม่บ่นว่าเจ็บข้อมือก็คงไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

                “อะไรของนายเนี่ย” อี้ชิงสลัดข้อมือเมื่อเป็นอิสระ มองค้อนคนที่หยุดเดินแล้วหันกลับมา กอดอกตีหน้ายักษ์ใส่

                “ไหนว่าหิวไง จะคุยอะไรกันนักหนา”

                “ก็ฉันอยากรู้จักเขานี่ ยังคุยไม่จบเลย กลับไปขอเบอร์ก็ได้”

                “นี่หยุดเลยนะ!” แค่หันหลังก็ถูกคว้าข้อมือรั้งไว้อีก คราวนี้เหมือนจะออกแรงกระชากจนตัวเขาปลิวไปเกือบจะชนอกอยู่แล้ว “ชอบแบบนั้นรึไง?”

                “อะไรนะ?”

                “ฉันถามว่านายชอบแบบนั้นรึไง ขาว ตี๋ ตัวบางอ้อนแอ้น”

                “ก็ ก็น่ารักดีนี่”

                “ฉันก็สูงนะ ผิวก็ดี ถึงจะไม่ขาวเท่าเด็กนั่นก็เถอะ หุ่นก็ล่ำกว่าตั้งเยอะ”

                “แล้วไง?”

                “นายนี่มัน...!” เสียงรอดไรฟันนั่นทำเอาอี้ชิงผงะ ยังไม่รู้ตัวว่าทำผิดอะไร คนดังถึงได้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเหมือนอยากจะขบหัวเขาให้ได้ขนาดนี้ “ทำไมถึงซื่อบื้อแบบนี้นะ!

                “เอ๊า” ยังถูกว่าเอาให้ก่อนที่คริสจะปล่อยมือเขาแล้วหันหลัง เดินเร็วๆ ออกไปจากตรงนั้นโดยไม่บังคับให้เขาต้องตามเหมือนที่ทำมาตลอดทาง อี้ชิงได้แต่ยืนงงเพราะไม่รู้ว่าคริสเคืองอะไร ก่อนหน้านี้ก็ยังเห็นอารมณ์ดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น “...เป็นอะไรของเขาเนี่ย”

     

                อาการมึนตึงของคริสยังคงมีต่อเนื่องไปตลอดทางกระทั่งถึงร้านอาหาร ระหว่างที่นั่งรออาหารที่สั่ง คริสก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น จงใจยกมือขึ้นสูงเหมือนอยากให้หน้าจอบดบังใบหน้าใครบางคนจากสายตา และใครบางคนที่เข้าใจว่าแบบนั้นก็ย่นจมูกใส่ ไม่อยากเห็นหน้ากันก็ช่างปะไร เขาไม่ง้อหรอก อี้ชิงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาจะกดเล่นบ้าง แต่ในทันทีที่สไลด์นิ้วบนหน้าจอ ข้อมือก็ถูกคว้าหมับ โทรศัพท์ถูกแย่งไปและมือใหญ่ก็จับมือเขากดลงกับพื้นโต๊ะ

                “เวลากิน ห้ามเล่นโทรศัพท์”

                “ทีตัวเองยังเล่นได้” อาหารที่สั่งก็ยังไม่มาเสียหน่อย จะให้นั่งเฉยๆ มองหน้าบูดบึ้งของใครบางคนไปทำไม คนอะไรอารมณ์ขึ้นลงยิ่งกว่าสาวๆ นี่ถ้าไม่นึกถึงความดีที่อุตส่าห์คอยประคบร้อนประคบเย็นให้จนเท้าหายบวมแล้วล่ะก็ อี้ชิงคงลุกหนีไม่ยอมร่วมโต๊ะด้วยไปแล้ว

                “ฉันเลิกแล้ว นายก็ห้ามเล่น”

                “ก็ไม่เล่นแล้วไง ปล่อยซักที” มือใหญ่ยังวางทับไม่ยอมปล่อย อี้ชิงดึงก็แล้ว ใช้อีกมือช่วยก็แล้ว ยังไม่อาจเป็นอิสระ ยิ่งเขายื้อแย่งเท่าไหร่ คริสก็ยิ่งออกแรงรั้งจนสุดท้ายคนตัวเล็กก็สู้แรงไม่ไหว ยืดตัวข้ามโต๊ะไปตามแรงดึงในจังหวะเดียวกับที่คริสก็ยื่นหน้าเข้ามาหาเช่นกัน

                “มองหน้าฉันนี่” ระยะห่างแค่นี้จะให้หนีไปไหนได้ แค่เอนหน้าหนีไม่ให้ปลายจมูกชนกันยังยากเลย อี้ชิงดึงสีหน้าด้วยแสนจะขัดใจ “ตกลงว่าใครหล่อกว่า?”

                “อะไรนะ?”

                “ฉันกับเด็กนั่น ใครหล่อกว่า” จู่ๆ ก็ถามด้วยใบหน้าจริงจัง อี้ชิงยังคิดว่าหูฝาด คนที่มั่นใจในตัวเองไปเสียทุกเรื่องอย่างคริสเนี่ยนะ จะมาถามอะไรแบบนี้

                “ด.. เดี๋ยวก่อนนะ”

                “ตอบมาก่อนว่าใครหล่อกว่า” ยังจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนอี้ชิงเริ่มจะแก้มร้อนเพราะถูกลมหายใจเป่า จะถอยหนีก็ไม่ได้เพราะมือยังถูกตรึงไว้ และอีกฝ่ายก็ดูจะไม่สนจมูกที่แทบจะชนกันอยู่นี่เลย “ตอบมาสิ”

                “ก็... ก็คนละแบบ”

                “แล้วแบบไหนหล่อกว่า?” โอ๊ยยย ส่องกระจกที่บ้านเอาก็ได้ไหม คำตอบก็หราอยู่บนหน้าตัวเองขนาดนี้ ยังจะมาคาดคั้นเอาอะไรอีก!

                “จะไปรู้ได้ไงเล่า!

                “ทำไมจะไม่รู้ ใครเขาเห็นคนอื่นหล่อกว่าแฟนตัวเองบ้าง!” พอคริสเริ่มเสียงดัง อี้ชิงก็หน้ามุ่ย มุ่ยมันทั้งๆ ที่สองแก้มทั้งร้อนทั้งแดงนี่แหละ เพิ่งรู้ว่านอกจากขี้เก๊กแล้วยังขี้ตู่ไม่มีใครเกิน เคยไปรับปากเป็นแฟนกันตอนไหน พูดเองเออเองทั้งนั้น อี้ชิงพ่นลมหายใจใส่หน้าคนที่ไม่ยอมลดละ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างค่อยๆ งัดนิ้วที่แสนจะแข็งแรงออกจากมือตัวเองทีละนิ้ว รู้ทั้งรู้ว่านั่นจะยิ่งทำให้คนดังขัดใจจนหัวเสีย “นายนี่มัน...!”

                คนหล่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนเหมือนว่าอี้ชิงอาจถูกตะปบเอาได้ แต่โชคดีที่พนักงานร้านเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน คริสจึงจำต้องรามือปล่อยให้เธอวางจานอาหารที่สั่งลงบนโต๊ะในขณะที่อี้ชิงก็ถอยหนีไปจนหลังชนพนักพิงหลัง แทนที่คริสจะสนใจจานผัดไทยใส่ไก่ชิ้นใหญ่ๆ ตรงหน้า เขากลับทำท่าฮึดฮัด ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอาแต่มองจ้องคนที่ทำเมิน ดึงจานขนมจีนราดแกงเขียวหวานของโปรดเข้าหาตัวแล้วเขี่ยช้อนส้อมไปมาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อี้ชิงแสร้งทำเป็นว่าสนใจของกินมากกว่า แต่สายตาที่จ้องมาไม่ยอมวางนั้นทำให้อดจะรู้สึกอัดอัดไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องตัดใจวางช้อนส้อมเพราะกินไม่ลง ตวัดสายตาขึ้นมองคนที่นั่งตรงข้ามแล้วยกมือขึ้นกอดอกบ้าง

                “โอเค นายหล่อกว่า หล่อที่สุด พอใจหรือยัง?”

                “ยัง”

                “อะไรอีก?” อี้ชิงขมวดคิ้วฉับ หน้าบึ้งๆ ยิ่งบึ้งตึงเพราะเริ่มจะหมดความอดทนกับคนเจ้าอารมณ์ แต่ก่อนที่เขาจะทนไม่ไหวจนเผลอยื่นมือไปดึงแก้มตึงๆ นั่นให้ยืดออกเสียก่อน คริสก็ยื่นหน้ามากลางโต๊ะแล้วบอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

                “ต่อไปนี้ห้ามถามชื่อหรือขอเบอร์ใครอีก”

                “อะไรนะ?”

                “ห้ามทัก ห้ามมอง ไม่ว่าใครทั้งนั้น” นี่มันเกินไป อี้ชิงจิ๊ปาก ยื่นหน้าไปที่กลางโต๊ะอย่างไม่ยอมกัน

                “กับเพื่อนล่ะ?”

                “นายไม่มีเพื่อน”

                “เสี่ยวลู่ไง”

                “นายรู้ชื่อ มีเบอร์แล้ว”

                “ก็แล้วคนอื่นล่ะ เพื่อนใหม่?”

                “อาจจะได้ แต่ต้องให้ฉันอนุญาตก่อน”

                “ทำไม?”

                “เพราะฉันจะหึงไง” คำที่ไม่คิดจะได้ฟังนั้นทำเอาอี้ชิงเถียงต่อไม่ถูก คนตัวเล็กงับปากจนสองแก้มทั้งแดงทั้งป่อง แต่คนที่พูดมันยังจ้องตาเขาไม่วางตาเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น คนอะไรหน้าไม่อาย รวบรัดเอาว่าเราเป็นแฟนกันแล้วยังชอบพูดจาชวนให้ใจเต้นแรงแบบนี้อีก

                สุดท้ายอี้ชิงก็เป็นฝ่ายล่าถอย ถอยไปตั้งหลักจนหลังพิงพนักก่อนจะค่อยๆ ลดสายตาลงมองจานอาหารตรงหน้าแล้วสลับสายตาขึ้นมองคนตรงข้ามอีกครั้ง เม้มริมฝีปากก่อนจะอ้อมแอ้มถามอย่างไม่จริงจัง

                “กินได้หรือยัง?” ก็แค่อยากเปลี่ยนเรื่อง แต่คริสยังจ้องเขานิ่งเหมือนจะไม่ยอมให้อี้ชิงกลบเกลื่อนได้ง่ายๆ

                “นายยังไม่รับปาก”

                “...ก็ได้”

                “อะไรก็ได้?”

                “ก็ไม่ถามชื่อ ไม่ขอเบอร์โทรใครแล้วไง”

                “ห้ามทักหรือแอบมองคนอื่นด้วย”

                “รู้แล้วล่ะน่า” อี้ชิงค้อนขวับ ในขณะที่คริสยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะยอมถอยกลับไปนั่งตัวตรง หยิบช้อนส้อมของตัวเองขึ้นมาก็เป็นอันว่าเริ่มมื้ออาหารได้ คริสดูอารมณ์ดีขึ้น แต่อี้ชิงนี่สิ แทบจะกินขนมจีนแกงเขียวหวานของโปรดไม่ลง ไหนจะซุ่มซ่ามทำส้อมหลุดมือ น้ำแกงกระเด็นใส่เสื้ออีก อาการที่หัวใจเต้นแรงจนทำตัวไม่ถูกนี่คงไม่ดีขึ้นแน่ๆ ถ้าคนตรงข้ามไม่ยอมละสายตาจากเขาซักทีแบบนี้น่ะ 

    .

    .

    .


     

                งอน!

                #เขียวหวานไม่น่ารัก

     

                แล้วนี่อะไรอีก? ที่ตะบึงตะบอนใส่กันนั่นยังไม่พออีกเหรอ ถึงขนาดแอบถ่ายรูปตอนที่เขานั่งหน้ามุ่ยอยู่ในร้านอาหารแล้วมาโพสต์แบบนี้ คิดจะฟ้องแฟนคลับตัวเองรึไง แค่นี้เขายังถูกพวกสาวๆ รุมเขม่นไม่มากพอสินะ โทษฐานทำให้รุ่นพี่คนดังขัดเคืองใจนี่คงมากกว่าขัดขากันตามทางเดินเป็นแน่ อี้ชิงพ่นลมอย่างเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตัวเอง ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะแลคเชอร์หมายจะพักสายตาสักครู่เพราะรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาชั่วโมงเรียนบ่าย แต่เพียงแค่อึดใจ เสียงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะก็เรียกให้เขาต้องเงยหน้าเพื่อพบกับสามสาวสวยที่ยืนล้อมกรอบอยู่

                “นายนี่ช่างไม่มีการพัฒนาเอาซะเลย” เมื่อคนหนึ่งพูดขึ้นอี้ชิงก็ถอนใจ ก่อนหน้าอะไรทั้งนั้นเขาคงต้องทนให้เพื่อนร่วมห้องเหน็บแหนบเอาเสียก่อน

                “เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามทำให้รุ่นพี่ไม่พอใจน่ะ”

                “ฉันยังไม่ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ หมอนั่นน่ะ...”

                “เรียกว่ารุ่นพี่สิยะ”

                “โอเค รุ่นพี่ของพวกเธอน่ะ เขา...” สามสาวหรี่ตาด้วยความอยากรู้ แต่อี้ชิงมองพวกเธอแล้วก็เผยอปากค้าง จะให้พูดยังไงดี คริสงอนที่เขาคุยกับรุ่นน้องแปลกหน้างี้น่ะเหรอ อย่าดีกว่า “ช่างเถอะ”

                อี้ชิงสั่นหน้าในที่สุด ถึงจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร แต่นี่แฟนคลับใครล่ะ เล่าไปก็คงเข้าข้างกันอยู่ดี สามสาวพอเห็นเขาปิดปากก็ถึงกับพ่นลมอย่างขัดใจ ตบมือลงกับโต๊ะทีละคนจนอี้ชิงผงะ

                “รุ่นพี่เขาดีกับนายขนาดนั้น”

                “คิดดูนะ พอแข่งชนะปุ๊บก็รีบเอาเหรียญทองไปให้แฟน บอกว่าฉันชนะให้นาย โรแมนติกขนาดไหน”

                “แล้วดูที่นายทำสิ ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ ไม่แสดงอาการอะไรเลยซักนิด”

                “แล้วจะให้ทำยังไง? กระโดดกอดแล้วบอกว่าขอบคุณนะที่รัก แบบนั้นเหรอ?”

                “ก็ใช่น่ะสิ!” ประสานเสียงตอบจนอี้ชิงสะดุ้งโหยง มองหน้าพวกเธอด้วยความขยาดก่อนจะสั่นหน้า

                “ไม่มีทางอ่ะ”

                “ก็เพราะแบบนี้ไง พี่เขาถึงได้งอน”

                “นายมันไร้ความรู้สึก”

                “ไร้หัวจิตหัวใจ!

                “อะไรนะ?”

                “ทำร้ายหัวใจที่แสนอ่อนโยนของพี่เขาได้ลงคอ”

                “เดี๋ยวนะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย

                “คนใจร้าย! เฮอะ!” อี้ชิงยังงงๆ ตอนที่ถูกพวกเธอสะบัดบ๊อบใส่ นี่มโนกันไปถึงไหนถึงได้โยงไปถึงเรื่องเมื่อวันศุกร์โน่นได้ คริสไม่ได้งอนเขาเรื่องนั้นเสียหน่อย

                มาคิดๆ ดู ตอนนั้นในโรงยิมฯคนเยอะแยะ เขามัวแต่อึ้งและเสียงกรีดร้องก็ดังกลับเสียงโครมครามในอกไปหมด แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาตื่นเต้นแค่ไหน มันมากกว่าความดีใจ อี้ชิงเหมือนจะลอยได้เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ต่อหน้าคนมากมายแบบนั้น คริสมองมาที่เขาแล้วก็ยิ้ม ขณะที่อี้ชิงได้แต่มองเหรียญทองที่อยู่ในมือ คริสบอกว่ามันเป็นของเขา แค่นั้นก็รู้สึกภูมิใจเหมือนเป็นชัยชนะของตัวเองจริงๆ ตอนนั้นอี้ชิงตื่นเต้นมาก มากพอที่จะลืมคิดไปว่าพวกเขาไม่ใช่แฟนกัน กระทั่งหลังจากนั้น คริสบอกว่าชอบเขา และอยากให้เราเป็นแฟนกันจริงๆ ตอนนั้นเองที่อี้ชิงเริ่มรู้สึกสับสน เขานอนไม่หลับอยู่เกือบทั้งคืน คิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย อดยอมรับไม่ได้เลยว่าที่ผ่านมา คนดังเอาแต่ใจตัวเองมากก็จริง แต่เขาเองก็ถูกตามใจอยู่บ่อยๆ มีหลายครั้งที่เขารู้สึกดี แต่ตอนนี้อี้ชิงเริ่มแยกแยะไม่ออกแล้วว่าคริสทำให้ด้วยความจริงใจ หรือแค่เล่นละครหรอกใครๆ กันแน่ อี้ชิงสับสน และตอนนี้เขาก็เริ่มกลัว

     

                กลัวว่าหากสถานะจอมปลอมนั้นเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นคนสำคัญนั้นก็จะหายไปเช่นกัน

     

                แล้วภาพที่เห็นหน้าตึกคณะหลังเลิกเรียนก็ทำให้อี้ชิงต้องถอนใจ เขานึกแปลกใจอยู่แล้วว่าทำไมสาวๆ ถึงพร้อมใจกันรีบร้อนออกจากห้องเรียนเร็วนัก ใครบางคนคงส่งข่าวให้รู้ต่อๆ กันว่าพ่อคนดังมายืนเรียกร้องความสนใจอยู่แถวนี้ ยิ่งเมื่อพวกเธอได้เห็นโพสต์ในอินสตาแกรมเมื่อตอนเที่ยง นี่คงจะรีบพากันมาแสดงความเห็นใจและปลอบใจคนหล่อกันยกใหญ่ สถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยเป็นผลดีกับเขานัก อี้ชิงยืนมองอยู่ครู่เดียวก็ชั่งใจ เดินเลี่ยงไปทางหลังตึกคณะอย่างเงียบๆ

                คนตัวเล็กถอนใจเมื่อเดินมาไกลจนพ้นจากกลุ่มคนที่เขาขยาด ขนาดแค่เป็นแฟนปลอมๆ เขายังต้องคอยหลบคอยหนี นี่ถ้าเป็นแฟนกันจริง อี้ชิงคงต้องมัวแต่ระแวงจนหาความสงบสุขไม่ได้แน่ อี้ชิงชะลอฝีเท้าเมื่อเดินมาไกลจนถึงสนามฟุตบอล กระทั่งมาชะงักเอาเมื่อได้เห็นว่าเด็กหนุ่มร่างสูงยืนขวางทางอยู่ตรงหน้า

                “หวัดดีฮะรุ่นพี่” โอเซฮุนผงกศีรษะเล็กน้อยพลางสิ่งยิ้มให้ อี้ชิงก็พยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะหันมองซ้ายขวาหากลุ่มรุ่นน้องที่อาจมารวมตัวกันทำกิจกรรมอยู่แถวนั้น แต่ก็ไม่มีใครอื่นอีก ถ้าอย่างนั้นแล้ว...

                “นายมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย”

                “ดูเหมือนเมื่อวานเรายังคุยกันไม่จบ ผมชื่อโอเซฮุน ปีหนึ่งคณะนิเทศศาสตร์ รุ่นพี่อยากรู้อะไรก็ถามผมมาได้เลย” พูดจาเปิดเผยพร้อมผายมืออย่างเต็มใจ อี้ชิงกระพริบตาด้วยความสงสัย แปลกใจที่จู่ๆ รุ่นน้องก็โผล่มาขวางทางเหมือนตั้งใจมาดักรอ แล้วยังมาเสนอตัวให้ถามเองแบบนี้อีก แต่ช่างเถอะ มีเรื่องอื่นที่เขาอยากรู้มากกว่า

                “แฟน ฉันอยากรู้เรื่องแฟนนาย” รุ่นน้องหัวเราะเบาๆ

                “ผมยังไม่มีแฟน”

                “จริงอ่ะ?”

                “ครับ”

                “แล้วคนที่จีบอยู่ล่ะ?”

                “ก็ พอมีนะครับ แต่อันที่จริงผมยังว่างอยู่”

                “แต่คนนี้ไม่ว่างแล้ว เสียใจด้วยนะ” เสียงทุ้มนั้นมาพร้อมกับมือที่ถือวิสาสะกุมไหล่ ร่างเล็กถูกรั้งให้เอนเข้าหาอกกว้างของคนที่เข้ามายืนเคียงข้างอย่างแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อี้ชิงหันขวับแล้วก็ต้องจิ๊ปากเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาขัดนั้นเป็นใคร

                “ใครไม่ว่าง?”

                “ก็นายไง” คริสยิ้มหวานให้กับคนที่ช้อนตาขึ้นมอง แต่อี้ชิงกลับร้องห๊ะ

                “ฉันว่างนะ เลิกเรียนแล้ว ไม่ได้ไปไหนด้วย”

                “นายต้องกลับบ้านพร้อมฉันไงที่รัก”

                “แต่ฉัน...”

                “เงียบไปเลย”

                “อื้อ” บีบไหล่ไม่พอ ยังเอามือมาปิดปากกันอีก อี้ชิงทั้งดิ้นทั้งพยายามจะแกะมือใหญ่ออกจากหน้าตัวเองให้ได้แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ต้องยอมให้คริสล็อคเอวบังคับพาออกไปทั้งอย่างนั้น

                “อ้อ แล้วก็นาย” คนตัวใหญ่ยังไม่วายหันมายิ้มให้รุ่นน้องที่ยืนเหวออยู่ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่อี้ชิงไม่ทันฟังว่ามันเยียบเย็บแค่ไหน “ฉันเข้าใจว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่หวังว่าคงไม่มีครั้งที่สาม”

     

     

                “อีกแล้วนะ ฉันยังคุยไม่จบเลย!” อี้ชิงโวยวายทันทีที่คริสปล่อยมือ เขามองตามร่างสูงซึ่งเดินนำไปเพียงไม่กี่ก้าวแล้วก็หันกลับมา ท่าทางเหมือนพยายามข่มอารมณ์โกรธ รู้ได้จากสีหน้าที่ยังดูเรียบตึงตอนที่กดเสียงเข้มใส่เขา

                “ฉันรออยู่หน้าตึก ทำไมถึงเดินหนีมา” คริสเห็น มิน่าล่ะ ที่โกรธก็คงเพราะเรื่องนี้

                “ก็ นายโดนล้อมขนาดนั้น

                “แต่ฉันมารับนาย นายก็ต้องฝ่าวงล้อมพวกนั้นมาหาฉันสิ”

                “วงล้อมแฟนคลับนายเนี่ยนะ? ไม่เอาด้วยหรอก หาเรื่องเจ็บตัวชัดๆ”

                “อ้อ ก็เลยเดินไปหาเรื่องคุยกับคนอื่นแทน?”

                “ฉันก็แค่อยากรู้เรื่องแฟนเขา” คริสหัวเราะหึ พ่นลมหายใจฮึดฮัดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ร่างเล็กทีละก้าวอย่างช้าๆ

                “สนใจแค่แฟนตัวเองก็พอมั้ง”

                “แต่แฟนเขาอาจจะเป็น...”

                “ถ้า ยัง ไม่ เลิก พูด เรื่อง แฟน คน อื่น อีก ฉันจะปิดปากนาย และคราวนี้ จะไม่ใช้มือ” กระทั่งเจ้าของเสียงที่ขู่ย้ำชัดๆ ทีละคำนั้นเข้ามาประชิดตัว อี้ชิงจะก้าวถอยก็ไม่ทัน ห่างกันแค่นี้ ถ้าเขาถอยหลังก็มีหวังโดนดึงให้เข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่ อี้ชิงมีบทเรียนมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่จำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ก็คือการปิดปากที่ไม่ใช้มือนี่แหละ ในสนามบาสฯที่มีสมาชิกครบทีมมองอยู่ขนาดนั้นคริสยังกล้า แล้วที่นี่ ลานจอดรถที่มองไปรอบๆ แล้วก็ไม่มีใคร อี้ชิงคงไม่หาเรื่องให้ตัวเองถูกบังคับจูบแบบคราวนั้นเป็นแน่

                “...ก็ได้” เขารับคำง่ายๆ แล้วปิดปากเงียบ ไม่แสดงอาการดื้อดึงอะไรทั้งนั้น แต่นั่นไม่ได้ทำให้คริสคลายสีหน้าบึ้งตึงได้เลย ร่างสูงจ้องตาเขาอยู่นานกว่าจะระบายลมหายใจเบาๆ แล้วหันหลัง เดินไปที่มอเตอร์ไซค์ เปิดกล่องท้ายรถเพื่อหยิบหมวกกันน็อคสองใบขึ้นมา อี้ชิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่วายย่นจมูกใส่คนที่ยังหันหลัง

                คิดๆ แล้วก็อดแคลงใจในคำตอบของรุ่นน้องไม่ได้ ไม่มีแฟนแต่มีคนมาจีบ หรือว่าเด็กคนนั้นจะยังไม่ถึงขั้นแฟนของเสี่ยวลู่จริงๆ เจ้าเพื่อนตัวดีถึงไม่ยอมบอกกัน นี่ถ้าได้ถามอีกซักคำสองคำคงรู้เรื่องแน่ มาเสียดายเอาตอนนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้วแหละ วันนี้เขาโดนคริสเกรี้ยวกราดใส่บ่อยเกินไปแล้ว ขืนหาเรื่องอีก มีหวังคริสได้ทำอย่างที่ขู่ไว้จริงๆ แน่

     

                ช่างเถอะ ไว้ไปถามจากเสี่ยวลู่เอาก็แล้วกัน

     

    .

    .

    .

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×