ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #9 : เขียวหวานน่ารัก ~ 09 ~

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 59



    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 9

    Fiction by 2nd Admin

     

    .

    .

    .

     

    ใครจะคิดว่าชีวิตที่เรียบง่ายของจางอี้ชิงจะถูกทำลายลงในเวลาข้ามคืน

     

    เช้าวันนี้บรรยากาศแปลกไปกว่าทุกวัน อี้ชิงเพิ่งรู้สึกตัวก็ตอนที่แยกกับลู่หานที่หน้าคณะแล้ว สายตาหลายคู่มองมาที่เขาตลอดทางที่เดินผ่าน ได้ยินเสียงซุบซิบแว่วๆ อยู่รอบตัวด้วยซ้ำ แต่เขาไม่อยากหันไปมอง ก้มหน้าก้มตาแล้วเดินจ้ำเพื่อให้ถึงห้องเรียนโดยเร็วที่สุด

    วางกระเป๋าลงบนโต๊ะแลคเชอร์ได้คนตัวเล็กก็พรูลมหายใจยาวเพื่อไล่ความรู้สึกอึดอัด นึกสังสัยถึงสาเหตุอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดจะถามใคร เขาไม่ใช่คนดัง ไม่เด่นพอจะเป็นเป้าสายตาใครต่อใครด้วยซ้ำ บางทีคนพวกนั้นอาจจะแค่หาเรื่องนินทาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย อี้ชิงเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ วันนี้อาจจะเป็นตาของเขา แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะเป็นคราวของคนอื่น ทนอึดอัดอยู่เงียบๆ แค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว

    แต่จู่ๆ ก็มีคนมายืนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย อี้ชิงเงยหน้าขึ้นช้าๆ ก็เห็นว่าสามสาวเพื่อนร่วมห้องซึ่งเป็นแฟนคลับของคริสคนดังมายืนล้อมโต๊ะแลคเชอร์ของเขาไว้ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกัน พวกเธอส่งเสียงดังกรี๊ดกร๊าดใส่หน้าจนเขานึกขยาด และไม่อยากยุ่งด้วยซักเท่าไหร่ คว้ากระเป๋าเป้มากอดไว้แล้วลุกขึ้นหมายจะย้ายที่นั่งหนี เพราะนึกว่าพวกเธอคงมาทวงที่นั่งที่จองไว้ แต่หนึ่งในนั้นก็ก้าวมาขวางทางจนอี้ชิงต้องหย่อนก้นลงนั่งตามเดิม มองท่าทีที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรของสามสาวแล้วเขาก็ต้องถามด้วยความระแวง

    “อ.. อะไรของพวกเธอ?”

    “นายใช่มั้ยที่ไปทำกร่างแถวสนามบาสเมื่อวานนี้” หนึ่งในนั้นถามขึ้น และอี้ชิงก็สั่นหัวดิก

    “ฉันไปทำข่าว ไม่ได้กร่างซักหน่อย”

    “แล้วที่แคนทีนล่ะ ฉันเห็นนะว่านายเข้าไปนั่งเบียดรุ่นพี่จนแทบจะเกยตัก”

    “ก็ฉัน...”

    “นายแอบชอบรุ่นพี่เค้าใช่มั้ย?”

    “เฮ้ย เปล่าาา!” คราวนี้ถึงกับต้องสะบัดมือประกอบด้วย ทั้งสามคนจ้องหน้าเขาแล้วยิงคำถามแบบไม่ให้ทันตั้งตัวเลย พออี้ชิงปฏิเสธ มือหนึ่งก็ตบป้าบลงบนโต๊ะจนเขาสะดุ้ง

    “ถ้าอย่างนั้นไปยุ่งกับรุ่นพี่เค้าทำไม?”

    “ถ้าไม่ชอบก็อยู่ห่างๆ ซะสิ”

    “อย่ามาอ้างว่าทำข่าวแล้วหาโอกาสเข้าใกล้เค้าหน่อยเลย”

    “น.. นึกว่าฉันอยากยุ่งนักรึไง?!” พอถูกรุมมากๆ เข้าอี้ชิงก็เหลืออด เขาตวาดเสียงดังแล้วลุกพรวดขึ้นจนสามสาวผงะถอยไปคนละก้าวสองก้าว ไม่ได้คิดจะทำอะไรน่ากลัวหรอก มีช่องว่างให้หนีเขาก็หนี แต่ไม่ได้วิ่งหนีแบบคนจนมุมนะ แสร้งทำท่าฮึดฮัดแล้วเดินปึงปังย้ายที่นั่งไปสุดมุมห้องโน่น เหวี่ยงกระเป๋าไว้ข้างตัวก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งเหมือนคนหัวเสีย ก้มหน้ากลั้นใจอยู่ชั่วครู่ก็แอบชำเลืองตามองนิดนึงว่าพวกเธอยังตามมาราวีต่อหรือเปล่า พอเห็นสามสาวหันหลังกลับไปนั่งที่ตัวเองเป็นอันว่าเลิกราแล้วถึงได้พรูลมหายใจอย่างโล่งอก นี่ถ้าพวกเธอยังตามมาอีก อี้ชิงก็คงต้องวิ่งหนีแล้วล่ะ

    กวาดตามองไปรอบๆ ห้องแล้วเห็นสายตาคู่อื่นๆ ที่มองมาก็ต้องรีบก้มหลบไปอีก รู้ถึงสาเหตุที่จู่ๆ เขาก็กลายเป็นที่สนใจขึ้นมาแล้ว นี่คงไม่ใช่แค่พวกเธอสามคนที่นึกหมั่นไส้เขาด้วยเรื่องเมื่อวาน ป่านนี้คนทั้งคณะหรืออาจจะทั้งมหาวิทยาลัยก็ด้วย ให้ตายเถอะ นี่ถ้าคนพวกนี้ได้รู้ว่าเขาอยู่ในรถลีมูซีนสองต่อสองกับหมอนั่นตอนกลับบ้านด้วยกัน เขาคงต้องให้จงแดหาบอดี้การ์ดไว้คุ้มครองชีวิตแล้วล่ะ

     

    อี้ชิงยังอยู่รอดปลอดภัยดีจนกระทั่งหมดเวลาเรียนชั่วโมงเช้า กวาดข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าได้ก็รีบจ้ำออกมาจากห้องเรียนโดยไม่รอฟังเสียงเผื่อว่าใครจะร้องทัก จนพ้นตึกคณะออกมาตามทางเดินริมสนามฟุตบอลแล้วถึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิท

    “เสี่ยวลู่ เลิกยัง?  ...อะไรนะ? อีกแล้วเหรอ...  ...โอเค เราไปคนเดียวก็ได้” กดปุ่มวางสายโทรศัพท์แล้วอี้ชิงก็ร้องคราง ลู่หานติดคุยโปรเจคกับเพื่อนในกลุ่มอีกเช่นเคย ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะงี่เง่า ถ้าไม่ใช่เพราะนึกหวั่นใจที่จะอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้ อย่างน้อยๆ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็น่าจะมีพยานรู้เห็นไปเล่าให้จงแดฟังได้บ้าง

    จริงสิ! โทรไปหาจงแดเลยดีกว่า เผื่อหมอนั่นจะเปลี่ยนใจ ยกเลิกแผนที่จะเอาชีวิตเขามาเสี่ยงแบบนี้

     

    ปึก!

     

    “โอ๊ะ!” เพราะมัวแต่ก้มหาเบอร์ในมือถือจนไม่ได้มองทาง รู้ตัวอีกทีก็ชนเข้ากับอะไรซักอย่างจนตัวแทบกระเด็น โชคดีที่ต้นแขนถูกรั้งไว้ได้ทัน

    “เดินมองทางหน่อย” เสียงทุ้มที่ตำหนินั้นฟังคุ้นหูไม่น้อยเลย อี้ชิงมองมือใหญ่ที่กำรวบต้นแขนแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมัน เบิ่งตาใส่อย่างไม่ใยดีสีหน้าเอือมระอานั้น

    “อ้าว นาย...?”

    “ตาโตอีกแล้ว ดีนะว่าไม่ได้ดื่มน้ำอยู่ ไม่งั้นคงพ่นใส่หน้าฉันอีก” หน้าตาก็ดีแต่ปากเสียไม่เปลี่ยน อี้ชิงเบะปากใส่คนตัวโตกว่าแล้วแงะนิ้วใหญ่ๆ ออกจากแขน ก่อนจะดันตัวเองออกมา แขวะกันขนาดนี้คงไม่ต้องขอบคุณก็ได้มั้ง

    “ก็ใครจะคิดว่าคนดังอย่างนายจะมาเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้”

    “คนดังหิวข้าวไม่เป็นรึไง?”

    อี้ชิงชะเง้อคอมองข้ามไหล่หนาแล้วชี้นิ้วไปในทิศทางที่คริสหันหลังให้

    “แต่แคนทีนอยู่ทางนั้น” คนดังส่ายหน้าช้าๆ

    “ไม่ล่ะ คนเยอะ ว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก”

    จางอี้ชิงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ บุ้ยปากอย่างใช้ความคิดอยู่เพียงครู่ก็ยิ้มออก หันไปมองตามแผ่นหลังคนที่เดินเลยไปแล้วก่อนจะวิ่งตามไปดักหน้า

    “ไปด้วยดิ” ยิ้มแฮ่ๆ อย่างเป็นมิตร แต่คนตรงหน้ายังเอาแต่เลิกคิ้วแล้วมองนิ่ง จนอี้ชิงต้องลดสองแขนที่กางอยู่ลง เผื่อจะดูไร้พิษภัยขึ้นอีกหน่อย “คือ... ฉันก็อยากออกไปหาอะไรกินข้างนอกอยู่พอดี”

    “แน่ใจ? เดี๋ยวก็หาว่าฉันทำให้นายเดือดร้อนอีก”

    “ฉันเดือดร้อนไปแล้วเหอะ ขืนไปแคนทีนคนเดียวตอนนี้มีหวังโดนรุมทึ้งแล้วฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ เหมือนในหนังซอมบี้แน่” รอยยิ้มน้อยๆ บนมุมปากได้รูปนั่นทำให้อี้ชิงนิ่วหน้าด้วยนึกเจ็บใจตัวเองที่ดันเผลอเล่าเรื่องนี้ออกไป หมอนี่ต้องอยากหัวเราะเยาะเขาแน่ๆ “จะ... จะยังไงก็เถอะ นายต้องรับผิดชอบชีวิตฉัน”

    คราวนี้คริสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะออกเดินต่อ

    “งั้นก็ตามใจ”

     

    ลานจอดรถของคณะเศรษฐศาสตร์อยู่ไม่ไกลนัก อี้ชิงเดินตามหลังคนตัวสูงมาจนที่นี่ จากที่ผิดคาดอยู่แล้วเพราะนึกว่าออกไปกินข้าวแค่นี้ คริสคงเดินไปเองได้ แต่พอเห็นพ่อคนดังเดินตรงไปหารถมอเตอร์ไซค์สีดำแดงคันใหญ่ซึ่งจอดเด่นอยู่ในลานนั้นก็ยิ่งแปลกใจใหญ่

    “รถใครอ่ะ?”

    “รถฉันสิ”

    “มอเตอร์ไซค์เนี่ยนะ?”

    “ก็ใช่” คริสยกมือขึ้นให้เขาเห็นกุญแจรถชัดๆ แล้วเลิกคิ้วถามกลับ “แล้วไง?”

    อี้ชิงหันซ้ายหันขวา กวาดตามองจนทั่วทั้งลานจอดแล้วก็ยังไม่เห็นรถคันใหญ่สีดำประจำตำแหน่งของคุณชายเลย

    “แล้วลีมูซีนหายไปไหน? นายไม่นั่งลีมูซีนไปเหรอ?”

    “เอารถใหญ่ไปทำไมให้เอิกเกริก หรือนายติดใจอยากนั่งอีก?” คนตัวเล็กรีบสั่นหัวดิก ยังจำความรู้สึกอึดอัดในตอนนั้นได้อยู่เลย ถ้าเลือกได้ก็ไม่เอาอีกแล้วล่ะ “ใส่ซะ”

    คริสส่งหมวกกันน็อคให้เขาใบหนึ่ง อี้ชิงรับมันมาแล้วก็พลิกซ้ายขวาอย่างสำรวจ ใบเล็กสีฟ้า มีสายรัดใต้คาง

    “แล้วนายล่ะ?” ในมือคริสก็มีอีกใบ เป็นแบบสวมสีดำใบใหญ่ ต่างจากของเขาลิบลับ กะแล้วเชียวว่าอย่างคริสคนดังคงไม่ใช้หมวกสีฟ้ามุ้งมิ้งแบบนี้แน่ “ทำไมมีสองใบ?”

    ถอนหายใจหน่ายๆ แล้วคริสก็หันมาหาเขาทั้งตัว ดวงตาใคร่รู้เหล่มองตามนิ้วใหญ่ที่ยื่นออกมา กระทั่งหนีบลงที่ปลายจมูกเขา

    “ทำไมขี้สงสัยนักนะ”

    “โอ๊ยย เจ็บนะ!” ก้าวเท้าจะถอยหนีแต่หัวไหล่กลับถูกรั้ง อี้ชิงมัวแต่สนใจกับจมูกตัวเองตอนที่คริสแย่งหมวกกันน็อคไปจากมือแล้วสวมลงบนหัวเขา ปรับสายคาดและลงล็อคให้จนเรียบร้อย

    “ขึ้นรถสิ” คนตัวเล็กยังมุ่ยหน้าตอนที่คริสวาดขาขึ้นคร่อมรถอย่างเท่ๆ มองท่าทางตอนที่สวมหมวกใบใหญ่ปิดหน้าหล่อๆ แล้วก็ต้องเบะปากด้วยความหมั่นไส้

    “ขี่เป็นแน่ๆ ใช่มั้ยเนี่ย?”

    “จะไปไม่ไป?” แอบย่นจมูกใส่ไม่ให้เห็นก่อนจะก้าวขาปีนขึ้นรถอย่างทุลักทะเล ท่าคงไม่เท่เหมือนเจ้าของรถแน่ นี่ไม่นับรวมองศาเอียงของตัวรถแล้วยังเสียงถอนหายใจตอนที่อี้ชิงขอยืมบ่าหนาๆ เป็นที่ยึดด้วยนะ ขยับตัวเองจนนั่งถนัดดีแล้วถึงได้ถามคนขับ

    “แล้วจะไปไหน ไกลหรือเปล่า?” ได้ยินเสียงคริสหัวเราะหึ

    “คิดจะโดดเรียนทั้งที ก็ต้องไปไกลๆ สิ”

    “อะไรนะ? ใครจะโดดเรียน? นายเหรอ? แล้วฉัน... แว๊กกก!” แรงกระชากตอนที่รถออกตัวทำให้อี้ชิงตกใจจนร้องลั่น มือเล็กคว้าชายเสื้อคนข้างหน้าไว้ได้ก็ยึดไว้แน่น พอรู้สึกว่าไม่มั่นคงพอก็เปลี่ยนไปเกาะเอวหนาไว้แทน

    นึกขึ้นได้ตอนนี้จะทันมั้ย ว่าไม่ควรออกมาด้วยกัน ตอนที่รถวิ่งออกจากมหาวิทยาลัย มอเตอร์ไซค์เท่ๆ กับคนขับตัวโตๆ แบบนี้เป็นเป้าสายตาแน่ คนคงมองตามจนเหลียวหลัง และต่อให้ไม่ใช่แฟนคลับก็คงรู้ว่าเป็นใคร แล้วเขาที่นั่งห้อยท้ายติดมาด้วยนี่ล่ะ? คิดแล้วก็ได้แต่เอาหน้าซุกกับแผ่นหลังกว้าง ภาวนาขออย่าให้มีใครจำเขาได้เลย ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ต้องโทษว่าใครที่หาเรื่องมาให้เลยนะ เขานี่แหละ หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ เลย!

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “ถึงแล้ว”

    อี้ชิงยังหลับตาแน่นตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มบอก มอเตอร์ไซค์คันใหญ่หยุดวิ่งเสียที นั่งเกร็งตัวอยู่ตั้งนานจนแขนขาชาไปหมด วิวทิวทัศน์สองข้างทางเป็นอะไรยังไงก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลย รู้สึกได้เพียงแรงลมอู้ที่ปะทะผิวเนื้อกับเสียงอื้ออึงของเครื่องยนต์ แล้วก็แผ่นหลังกว้างๆ ที่ตัวเองเอาหน้าซุกซบอยู่นี่เท่านั้น อี้ชิงลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ทรรศนียภาพที่ไม่คุ้นตาทำให้นึกสงสัย

    “ที่ไหนเนี่ย?”

    “ยออึยโด” ย่นหัวคิ้วด้วยรู้สึกคุ้นหูกับชื่อสถานที่นัก พอคริสขยับตัวเพื่อถอดหมวกกันน็อค คนที่ซ้อนท้ายถึงเพิ่งรู้ตัวว่าสองแขนยังกอดเอวหนาไว้แน่น ต้องรีบคลายแรงก่อนที่เจ้าตัวจะแขวะเอาได้

    อี้ชิงอาศัยจังหวะที่คริสเอียงตัวรถปีนลงมายืนรอบนพื้น ก่อนจะค่อยหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อมองทิวทัศน์ให้ถนัด เขาเคยเห็นที่นี่มาก่อนแน่ๆ แต่ไม่ใช่ด้วยตาตัวเอง พอนึกออกว่าเป็นสถานที่ขึ้นชื่อและเขาคงจะได้เห็นรูปจากในนิตยสารหรือตามเวบไซต์อยู่บ่อยๆ อี้ชิงก็ตาโตใหญ่

    “ยออึยโด? สวนสาธารณะที่อยู่ริมแม่น้ำฮันน่ะนะ?”

    “อาฮะ”

    “จะบ้ารึไง! แค่กินข้าวทำไมต้องมาไกลขนาดนี้ด้วย แล้วฉันจะกลับไปเรียนชั่วโมงบ่ายทันได้ยังไงกัน?!

    คริสวาดขาลงจากรถแล้วสะบัดหัวเบาๆ สองสามที ก่อนจะใช้มือเสยผมเพื่อแต่งทรงอย่างลวกๆ เหล่ตามองคนตัวเล็กที่กำลังหน้าตาตื่นแล้วจุดยิ้มที่มุมปาก

    “ก็บอกแล้วไงว่าจะโดด”

    “อยากโดดก็โดดไปคนเดียวสิ ลากฉันมาด้วยทำไมเนี่ย!

    “นายขอตามมาเองนะ” วางหมวกกันน็อคของตัวเองไว้บนเบาะหนังของมอเตอร์ไซค์คันงามแล้วก็หันมาแบมือให้อี้ชิง คนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะลืมไปแล้วถึงนึกขึ้นได้ สองมือช่วยกันปลดล็อคสายที่รัดใต้คางอย่างเงอะงะ

    “ก.. ก็ใช่ แต่ว่า นายน่าจะบอกฉันก่อนว่าจะมาไกลขนาดนี้ ฉันจะได้ไม่ตามมาด้วย” คริสหัวเราะหึ วางหมวกกันน็อคสีฟ้าลงบนเบาะหนังคู่กันกับของตัวเองแล้วเริ่มออกเดิน สองมือล้วงลงกระเป๋า ก้าวย่างอย่างสบายๆ ไม่ใส่ใจเสียงบ่นของคนที่เดินตามหลังเลยซักนิด “ตัวเองแค่แลกเปลี่ยน จะเรียนบ้างโดดบ้างยังไงก็ได้ แต่ฉันขาดเรียนบ่อยๆ ไม่ได้นะ ชั่วโมงเรียนไม่พอก็เข้าสอบไม่ได้น่ะสิ ...โอ๊ย!

    แล้วจู่ๆ ก็หยุดก้าวให้คนข้างหลังเข้ามาชนเสียอย่างนั้น อี้ชิงร้องโอดโอย ยกมือขึ้นลูบจมูกป้อยๆ ตอนที่คริสเอี้ยวตัวมาบอก

    “จะกลับก็ได้นะ แต่หาทางกลับเอาเองแล้วกัน”

    “ว่าไงนะ?!

     

    นิสัย!

     

    ลากเขามาถึงนี่แล้วคิดจะทิ้งกันง่ายๆ เลยรึไง?!

     

    ร่างสูงยักไหล่แล้วเดินต่อ ตรงไปยังร้านคอฟฟี่ช้อปที่อยู่ใกล้กันนั้นโดยมีอี้ชิงตามไปติดๆ ทันทีที่ดึงบานประตูกระจกให้เปิดออก พนักงานต้อนรับซึ่งดูเหมือนจะยืนรออยู่ก่อนแล้วก็ค้อมกายให้อย่างสุภาพ

    “ยินดีต้อนรับครับ คุณคริสที่จองไว้ใช่มั้ยครับ?” ชายหนุ่มเพียงพยักหน้า และเมื่อพนักงานหันมาเห็นอี้ชิงก็ถามต่อ “จะให้จัดโต๊ะสำหรับกี่ที่ดีครับ?”

    “ที่เดียว...”

    “สองสิ!” เสียงห้วนๆ นั้นเรียกรอยยิ้มให้คนขี้แกล้งอีกจนได้ อี้ชิงย่นจมูกใส่แล้วตะบึงตะบอนเดินตามพนักงานเข้าไปในร้านก่อนคนที่จองไว้เสียอีก

    “เชิญทางนี้เลยครับ”

    ยังมีพนักงานคนอื่นๆ รออยู่ด้านในอีก สองคนที่เคาท์เตอร์ค้อมศีรษะและส่งยิ้มต้อนรับตอนที่อี้ชิงเดินผ่าน ที่บันไดก็มีอีกสอง เขาต้องผงกหัวปะหลกๆ ไปตลอดทางเพื่อตอบรับการทักทายแสนสุภาพนั้น ระหว่างทางที่เดินตามพนักงานต้อนรับมาจนถึงชั้นสามของร้าน อี้ชิงยังแอบสอดส่ายสายตามองไปจนทั่ว นอกจากเขากับคริสแล้วก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นอีก ขาเล็กก้าวรัวเร็วขึ้นมาเดินคู่กับคนตัวโตกว่าแล้วกระตุกแขนเสื้อเบาๆ ก่อนจะยืดตัวขึ้น เอามือป้องปากกระซิบ

    “ร้านนี้ไม่อร่อยแหงเลย ไม่เห็นมีลูกค้า”

    “คุณคริสจองทั้งร้านไว้แบบส่วนตัวสำหรับสองชั่วโมงน่ะครับ” แต่ให้เสียงเบาแค่ไหน คุณพนักงานต้อนรับก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน หันมายิ้มแล้วอธิบายให้ฟังอย่างสุภาพ ทำเอาอี้ชิงยิ้มเจื่อน คริสปรายตามองแล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ

    “ซื่อบื้อชะมัด”

    คนถูกแขวะได้แต่แยกเขี้ยวตามหลัง เขาผิดเองสินะ ลืมคิดไปว่าพ่อคนดังเค้ารวยมาก จะจ่ายเงินปิดร้านซักครึ่งวันก็ยังไหว!

     

    ประตูกระจกอีกบานถูกเลื่อนเปิดออกและพนักงานต้อนรับคนเดิมก็ผายมือให้พวกเขาเดินเข้าไปก่อน คริสเดินนำไปที่โต๊ะซึ่งถูกจัดไว้ให้แล้วขณะที่อี้ชิงก้าวเท้าไม่ออกเพราะมัวแต่อึ้ง ทั้งที่เป็นเวลาบ่ายแท้ๆ แต่ลมเย็นที่พัดมาปะทะผิวหน้านั้นกลับให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด ยิ่งได้เห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า อี้ชิงก็แทบไม่เชื่อตาตัวเอง

    เมื่อครู่นี้ตอนที่มาถึง เขามองไปรอบๆ ก็เห็นเพียงสวนสาธารณะ เกือบลืมไปแล้วว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเพราะอะไร บนชั้นสามของร้านนี้เป็นเหมือนระเบียงดาดฟ้า มองเห็นวิวได้ไกลกว่าชั้นล่างมากนัก และที่อี้ชิงกำลังมองอยู่นี้ก็คือทิวทัศน์มุมสูงเหนือแม่น้ำฮันที่ทอดตัวยาวแบ่งเมืองหลวงออกเป็นตอนเหนือและตอนใต้ ขนาบสองข้างของริมน้ำด้วยสวนสาธารณะที่ร่มรื่น แม้จะมองเห็นตึกสูงในเขตเศรษฐกิจได้ชัดเจนจากฝั่งตรงกันข้ามแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกขัดตาเลยซักนิด อี้ชิงเคยเห็นแต่ในรูปว่ามันสวยมากๆ ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้ แล้วยังจากมุมที่ดีมากๆ อย่างบนนี้ด้วยแล้ว มันสวยกว่ากันเยอะเลยจริงๆ

    “จะยืนอยู่ตรงนั้นรึไง?”

    แต่จะสวยกว่านี้มากถ้าไม่ได้มากับเจ้าของน้ำเสียงยียวนที่ขัดขึ้น อี้ชิงตวัดสายตามองตอบอย่างนึกเคืองก่อนจะเดินตามไปที่โต๊ะ จะเสียอรรถรสในการชมวิวก็เพราะคนที่พามานี่แหละ แต่โต๊ะที่ทางร้านจัดให้นั้นก็ดูมุมดีมากๆ ชิดขอบระเบียงกระจกเลยทีเดียว มองเห็นวิวสวยๆ ได้ชัดกว่าที่ยืนอยู่เมื่อกี้นี้อีก ถ้าเขามาเองคงไม่ได้ที่ดีๆ แบบนี้แน่ อภัยให้คนรวยซักครั้งก็ได้

     พนักงานต้อนรับยังทำหน้าที่ได้ดีตอนที่ดึงเก้าอี้ให้เขาสอดตัวเข้าไปนั่งจนเรียบร้อย ก่อนจะค้อมศีรษะให้อีกครั้ง

    “รอซักครู่ครับ” อี้ชิงผงกศีรษะรับแทบไม่ทัน รู้สึกประดักประเดิดอยู่ไม่น้อย ไม่เคยต้องให้ใครมาคอยดูแลแม้แต่ตอนจะนั่งหรือจะยืนแบบนี้เลย เขาเองก็ทำงานพิเศษอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ดแท้ๆ ยังไม่เคยดูแลลูกค้าดีขนาดนี้ แต่คนตัวสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันนั้นคงเคยชิน หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมแล้วนั่งไขว้ขาท่าทางสบายๆ เสียขนาดนั้น ท่าทางจะถูกสปอยล์จนเคยตัว ตั้งใจจะมาคนเดียวแท้ๆ จองแค่โต๊ะเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องเหมาทั้งร้านแบบนี้เลย คนอื่นๆ ก็เลยอดเห็นวิวสวยๆ ไปด้วย เอาแต่ใจตัวเองชะมัด น่าหมั่นไส้จริงๆ

    “รู้ว่าหล่อ แต่มองวิวบ้างก็ได้ อย่าเอาแต่มองหน้าฉัน”

    “อ.. อะไรนะ?” คนที่สวมแว่นกันแดดหันมายิ้ม เป็นยิ้มที่เห็นแล้วอยากจะเอาเล็บข่วนหน้ามาก คนอะไรหลงตัวเองได้โล่ อี้ชิงย่นจมูกใส่ “มองวิวยังดีกว่ามองหน้านายตั้งเยอะ”

    เสียงคริสหัวเราะหึก่อนจะเบนสายตากลับไปมองที่นอกระเบียง อี้ชิงเองก็เช่นกัน วางสองแขนซ้อนกันบนขอบระเบียงแล้วเอาคางเกย ตั้งอกตั้งใจชื่นชมวิวแม่น้ำอย่างจริงจัง

    “ไม่เคยมาที่นี่สินะ”

    “แหงสิ ตั้งแต่มาอยู่เกาหลีก็เพิ่งเคยเห็นแม่น้ำฮันด้วยตาตัวเองครั้งแรกเนี่ยแหละ” ทั้งที่เคยเห็นในรูปอยู่ออกบ่อย บรรยากาศสองข้างทางของแม่น้ำนั้นร่มรื่นเสียจนน่าชวนเสี่ยวลู่มาขี่จักรยานข้ามเมืองเล่น แต่ก็นั่นแหละ แค่เรียนกับทำงานพิเศษก็ไม่มีเวลาเหลือไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้ว เขาพักอยู่ในย่านท่องเที่ยวแท้ๆ แต่กลับไม่มีโอกาสได้ออกมาสูดอากาศนอกหอพักกับมหาวิทยาลัยบ้างเลย

    “เอากล้องมาหรือเปล่า”

    “เออ จริงด้วยสิ” เกือบลืมไปแล้วเชียว มัวแต่ชื่นชมความร่มรื่นจนลืมไปว่าควรต้องเก็บรูปสวยๆ เอาไว้เป็นที่ระลึก แล้วก็เอาไว้อวดเสี่ยวลู่ด้วย อี้ชิงหันไปเปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบกล้องตัวเก่งขึ้นมา ปรับเลนส์และตั้งค่านิดหน่อยให้เข้ากับแสงสว่างจ้ายามบ่าย ก่อนจะยกขึ้นเล็งหามุมสวยๆ

    “เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนถ่ายรูปกันทั้งนั้น ทำไมนายยังพกกล้องตัวใหญ่เทอะทะไปไหนมาไหนด้วยให้ลำบาก”

    “ไม่ลำบากเสียหน่อย ฉันก็แค่เอาใส่เป้ไว้ อีกอย่างนะ รูปที่ถ่ายจากมือถือมันก็แค่ฉาบฉวย พอแต่งด้วยแอปพลิเคชั่นแล้วก็จะบิดเบือนความเป็นจริงไปเสียหมดจนไม่รู้ว่าต้นฉบับของรูปนั้นน่ะสวยงามแค่ไหน แต่เจ้ากล้องเนี่ย มันจริงใจ ภาพตรงหน้าเป็นยังไง มันก็ถ่ายทอดออกมาแบบนั้น เวลาที่เปิดขึ้นมาดูอีกครั้งก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปยืนที่ตรงนั้น แต่คนจิตใจหยาบกระด้างอย่างนายคงไม่เข้าใจหรอก”

    แอบเบะปากใส่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วก็หันกลับไปรัวชัตเตอร์ต่อ ใช่ว่าคริสไม่เห็น เสียงหัวเราะหึนั้นยืนยันได้ดี

    “เคยถ่ายรูปตัวเองบ้างมั้ย?”

    “ไม่ค่อยอ่ะ ฉันไม่ชอบถ่ายรูปตัวเอง”

    “แล้วตอนนี้ล่ะ?” นิ้วเล็กค้างอยู่ที่ปุ่มชัตเตอร์แต่ไม่ได้กดลงไป อี้ชิงละสายตาจากกล้องแล้วหันมามองหน้าคนถาม “ไหนว่าไม่เคยมาที่นี่ ไม่อยากถ่ายรูปกับวิวสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยรึไง?”

    “.....” หันกลับมามองกล้องในมืออีกครั้ง บุ้ยปากน้อยๆ อย่างครุ่นคิด

    “ส่งมาสิ ฉันไม่ทำกล้องนายพังหรอก” มือใหญ่แบมารออยู่ตรงหน้าแล้ว แต่อี้ชิงยังหรี่ตาเพราะไม่ไว้ใจผู้หวังดีเท่าไหร่

    “ห้ามทำหลุดมือนะ”

    “เชื่อใจกันบ้างสิ”

    เพราะความอยากได้รูปมีมากกว่าจึงตัดสินใจส่งกล้องให้คริสในที่สุด อธิบายวิธีซูมภาพและกดปุ่มถ่ายรูปเสร็จแล้วอี้ชิงก็ลุกขึ้น ยืนเกาะขอบระเบียงกระจกแล้วมองซ้ายทีขวาทีหมายหาที่โพสท่าเหมาะๆ จะได้มองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำฮันชัดๆ ด้วย แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นรัวๆ สามครั้ง

    “เฮ้ย เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้โพสท่าเลยนะ”

    “สเน่ห์อย่างหนึ่งของกล้องดีเอสแอลอาร์ ก็คือถ่ายรูปแคนดิทออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ใช่หรือ?”

    “มันก็ไม่ใช่กับทุกคนนี่ ฉันไม่ได้หล่อทุกมุมเหมือนนายนะ”

    “ขอบใจที่ชม” เห็นคนหล่อยกยิ้มอย่างได้ใจอี้ชิงก็ต้องกัดปาก ไม่น่าเผลอพูดออกไปเลยจริงๆ

    เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอีกสองครั้ง และคราวนี้คนขี้แกล้งคงได้รูปตอนที่เขากำลังทำหน้าเหวี่ยงใส่กล้องอยู่แน่ นึกแล้วเชียวว่าไว้ใจไม่ได้ อี้ชิงยืดตัวข้ามโต๊ะไปแย่งกล้องคืนมาจากมือใหญ่อย่างเคืองๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่ตัวเอง ตั้งใจจะลบรูปที่พ่อคนดังแกล้งกดถ่ายมั่วๆ แต่พอเปิดโหมดพรีวิวเพื่อเช็ครูปแล้วก็ต้องแปลกใจ

    สองรูปแรกคือเขาที่กำลังเกาะขอบระเบียง สายตามองไปเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งอี้ชิงไม่รู้ตัวเลย ลมเย็นที่พัดมาปะทะใบหน้าจนเส้นผมปลิวนั้นทำให้อารมณ์ของรูปดูสบายๆ จนอี้ชิงเกือบลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเขากำลังมองหามุมถ่ายรูปอยู่ รูปถัดมาคือเขาที่ทำหน้าเหวอใส่กล้อง อี้ชิงย่นหัวคิ้วน้อยๆ ไม่เคยเห็นหน้าตัวเองเป็นแบบนี้เลย เก็บไว้ก่อนก็ได้ อีกสองรูปก็อย่างที่คิด เขายืนท้าวสะเอวแล้วกัดปาก ทั้งที่กำลังอารมณ์เสียแต่ทำไมดูไม่น่ากลัวซักนิดเลยล่ะ แอบชำเลืองตาขึ้นมองคนตรงข้ามและฝ่ายนั้นก็กำลังท้าวคางส่งยิ้มให้เขา มิน่าล่ะ หมอนี่ถึงชอบยั่วให้เขาหงุดหงิดแล้วก็มาหัวเราะเยาะกัน ตลกมากสินะ อี้ชิงย่นจมูกกลับแล้วปิดโหมดพรีวิวกล้องก่อนจะเก็บลงเป้ไว้ตามเดิม

     

    รูปไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ อภัยให้ก็ได้

     

    น้ำย่อยในท้องเริ่มส่งเสียงประท้วงซะแล้วสิ ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือถึงได้รู้ว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมาชั่วโมงกว่าๆ แล้ว คนที่บ่นว่าหิวก่อนหน้านี้ยังนั่งนิ่งอยู่เลย ไม่เห็นสั่งอะไรมารองท้องซักอย่าง นี่คงไม่ได้คิดจะเหมาร้านนี้เอาไว้ดูวิวสวยๆ เล่นอย่างเดียวสองชั่วโมงหรอกนะ

    “ไหนว่าหิวข้าวไง ที่นี่มีแต่เครื่องดื่ม” ตอนที่เห็นป้ายหน้าร้านก็นึกเอะใจอยู่แล้ว เมื่อกี้ตอนที่เดินผ่านเห็นเมนูที่เคาท์เตอร์ นอกจากชา กาแฟ และน้ำหวานแล้วก็ไม่เห็นมีของว่างอย่างอื่นเลย ดื่มแต่น้ำจะไปอิ่มได้ยังไงกัน “คงไม่ได้จองร้านไว้แต่ลืมสั่งอาหารหรอกนะ”

    “นายหิวแล้วรึ?”

    “ก็มันเลยเวลาอาหารกลางวันแล้วนี่นา” พูดแล้วก็เอามือลูบท้องป้อยๆ คริสมองเขาแล้วยิ้ม ก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา จิ้มหน้าจออยู่ครู่หนึ่งก็วางลง เพียงอึดใจประตูกระจกก็เปิดออก พนักงานต้อนรับคนเดิมเดินตรงมาหาพวกเขาแล้วบอกอย่างสุภาพ

    “อาหารพร้อมเสริฟแล้วครับ” ก่อนจะผายมือไปทางประตูซึ่งมีพนักงานในชุดขาวสะอาดกับหมวกทรงสูงสามถึงสี่คนกำลังเดินเรียงกันเข้ามาพร้อมประคองถาดสีเงินไว้ในมือ ก่อนจะจัดเรียงไว้บนโต๊ะตัวยาวซึ่งถูกจัดไว้ที่มุมหนึ่งของระเบียงนั้น อี้ชิงยังมองตามกระทั่งคุณกุ๊กคนหนึ่งเดินมาวางจานใบใหญ่ลงตรงหน้าเขาและเปิดฝาครอบออก อาหารหน้าตาหรูหราราวกับมาจากร้านอาหารของโรงแรมทำให้คนตัวเล็กถึงกับตาโต

    “ที่นี่มีของกินแพงๆ แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย?”

    “หามิได้ครับ คุณชายสั่งมาจากโรงแรมใกล้กันนี้ มีแค่เครื่องดื่มแล้วก็ของหวานปิดท้ายที่เป็นของร้านเรา” คุณพนักงานร้านอธิบายให้ฟังอย่างสุภาพก่อนจะถอยออกไปยืนรออยู่ห่างๆ เช่นเดียวกับคุณพนักงานจากครัวของโรงแรมทั้งสี่ อี้ชิงยิ้มแห้งๆ ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มอีกแล้ว แล้วคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็หัวเราะเยาะเขาตามเคย        “ก็นายบอกเองว่าที่นี่มีแต่เครื่องดื่ม”

    “ขอโทษเถอะนะ ฉันลืมคิดไปว่านายน่ะรวยมาก! จะเสกอาหารแพงๆ พวกนี้มาเมื่อไหร่ก็ได้” แซะจบก็ย่นจมูกใส่ แต่คนตัวสูงหาได้ยี่หร่ะ เพยิดหน้าไปที่จานอาหารบนโต๊ะ

                “กินสิ หิวไม่ใช่รึไง”

                “นายสั่งมาก็กินเองสิ” ยกมือขึ้นกอดอกฉับแล้วเมินหน้าไปเสียทางอื่น ยังรู้สึกเสียหน้าอยู่นิดๆ ก็เลยพาล ตอนที่เดินไปลานจอดรถด้วยกันก็เห็นอยู่ว่าคริสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครซักคน คงจะเรื่องจองร้านหรือไม่ก็สั่งอาหารนี่แหละ เขาก็อยู่ตรงนั้นด้วยแท้ๆ น่าจะหันมาถามซักคำว่าอยากกินอะไร สั่งของแพงมาแบบนี้คิดว่าเขาจะมีปัญญาจ่ายมั้ย เอาแต่ใจตัวเองชัดๆ

                “ของตั้งเยอะ คิดว่าฉันจะกินคนเดียวหมดรึไง ฉันไม่ได้สั่งแบบฟูลคอร์สเพราะขี้เกียจเลือก แต่สั่งจานเดี่ยวมาหลายอย่าง ถ้านายไม่อิ่มจะให้เสริฟเพิ่มก็ได้นะ” เพยิดหน้าไปทางทีมคุณกุ๊กซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ที่โต๊ะตัวยาว บนนั้นยังมีจานอาหารที่ถูกฝาครอบไว้อีกหลายจาน หมอนี่สั่งของกินมาเยอะแยะ ปล่อยให้เหลือทิ้งคงเสียดายแย่ อี้ชิงหันกลับมามองจานที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง อาหารของโรงแรมไม่ใช่แค่ดูหรูและแพง แต่ยังถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามและน่ากิน ยิ่งในเวลาที่น้ำย่อยในท้องเริ่มทำงานแบบนี้ด้วยแล้ว แค่มองก็ทำเอาต้องกลืนน้ำลายแล้ว

    “เห็นว่านายคงกินไม่หมดหรอกนะ จะช่วยกินก็ได้” คริสเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะหึ เขาถอดแวนกันแต่ก็ต้องหยุดมือที่กำลังจะหยิบช้อนส้อมเมื่อคนตัวเล็กพูดขึ้น “เดี๋ยวก่อนนะ ค่าอาหารเนี่ย ถ้านายจะหารกันจ่ายก็หารเฉพาะส่วนที่ฉันกินนะ ห้ามหารทั้งหมดนี่เด็ดขาด”

    ดูก็รู้ว่าแพงทุกจาน และอี้ชิงก็ไม่คิดจะเอาเปรียบด้วยการกินฟรีอยู่แล้ว แต่คริสกลับหัวเราะเบาๆ

    “กินไปเถอะ มื้อนี้ฉันเลี้ยง”

    “จริงนะ?” ไม่เอาเปรียบ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอมาแบบนี้... “งั้นไม่ขัดศรัทธาล่ะ”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    โชคดีที่วันนี้แสงแดดไม่แรงนัก หลังมื้อกลางวันแบบอิ่มแต้เพราะคนขี้เสียดายไม่อยากให้อาหารเหลือเยอะนัก ก็เลยจัดการอย่างสุดความสามารถจนต้องนั่งพักพุงอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะลุกขึ้นเดินได้ ทั้งคู่ถึงได้ออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะกัน คนยังไม่เยอะนักคงเพราะไม่ใช่เวลาเย็นซึ่งแดดจะร่มมากกว่า แต่ก็ยังมีคู่รักสองสามคู่มาปูเสื่อปิคนิคกันใต้ร่มไม้ อันที่จริงแล้วแม่น้ำฮันก็ไม่ได้มีอะไรที่สวยเด่นหรือสะดุดตามากไปกว่าแม่น้ำสายอื่นๆ เพียงแต่ทิวทัศน์ของสวนรอบๆ ทำให้ดูร่มรื่น น่าพักผ่อน ตึกสูงใหญ่ในเขตเมืองที่มองเห็นได้นั้นแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีก็จริง แต่เมื่อมองผ่านแม่น้ำที่คั่นกลางจากมุมนี้แล้ว กลับให้ความรู้สึกสงบและเรียบง่ายอย่างน่าประหลาด บางทีการที่มีแม่น้ำสายยาวคั่นกลางเมืองหลวงแบบนี้ อาจจะเพื่อให้ผู้คนที่อ่อนล้าจากความวุ่นวายได้พักผ่อนและใช้ชีวิตให้ช้าลงก็เป็นได้

    อี้ชิงยกกล้องขึ้นถ่ายจักรยานสองสามคันที่มีคนถีบผ่านหน้าไป ก่อนจะปีนขึ้นไปบนขอบทางเท้าแล้วหันซ้ายหันขวาเพื่อหามุมถ่ายวิวรอบๆ ยกกล้องขึ้นเล็งไปเรื่อยกระทั่งเลนส์โฟกัสภาพคนที่เดินอยู่ไม่ไกลได้ก็หยุด เพราะยืนอยู่สูงกว่า ตอนนี้คริสกับเขาเลยตัวเท่ากัน อี้ชิงนึกสนุกก็เลยกดชัตเตอร์เก็บภาพด้านข้างของใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดนั้นเอาไว้

    “ที่เลือกเข้าชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์ เพราะว่าอยากเป็นนักข่าวอย่างนั้นหรือ?” อี้ชิงบุ้ยปากแล้วยักไหล่ เบนกล้องไปที่คู่รักใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำซึ่งกำลังนอนหนุนตักกันอยู่แทน

    “เปล่าหรอก ฉันแค่ชอบถ่ายรูป แล้วก็อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นรูปที่ฉันถ่าย อยู่ชมรมนี้ก็จะมีคนได้เห็นรูปของฉันเยอะแยะ แต่น่าเสียดายที่โพสต์รูปตามใจตัวเองไม่ได้”

    “เพราะอย่างนั้นถึงไม่อยากออกจากชมรมสินะ”

    “หือ?”

    “นายยอมทำตามข้อเสนอของจงแดทั้งที่ไม่เต็มใจ เพราะไม่อยากถูกไล่ออกจากชมรม” คริสหมายถึงเรื่องที่ต้องมาเป็นแฟนหลอกๆ ให้เขา อี้ชิงพยักหน้าช้าๆ

    “ก็ใช่”

    “อยากเป็นช่างภาพหรือ?”

    “ก็ไม่เชิง”

    “เหตุผลอื่น? เพราะอะไร?”

    “แล้วทำไมฉันต้องบอกนายด้วยล่ะ” เสียงคริสหัวเราะเบาๆ

    “แย่จัง นึกว่าเราสนิทกันแล้วซะอีก”

    อี้ชิงหันมาหรี่ตาใส่ กินข้าวด้วยกันแค่มื้อเดียวจะมาเหมา คิดว่าเขาใจง่ายขนาดนั้นเลยรึไง

    “ฉันมีเพื่อนสนิทคนเดียวก็พอ”

    “ก็ไม่ต้องนับฉันเป็นเพื่อนสิ เป็นอย่างอื่นก็ได้” ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว อี้ชิงเกลียดนักเพราะมันทำให้เขาหงุดหงิด พอหงุดหงิดแล้วก็จะตัวร้อน พอตัวร้อนแล้วก็จะ... เดินหนี คราวนี้อี้ชิงเดินหนีไปหาที่นั่งใกล้ริมแม่น้ำ พอลับสายตาอีกคนก็แอบตบแก้มตัวเองเบาๆ ได้ยินแต่เสียงตึ้กๆ ตั้กๆ จนหูอื้อไปหมด น่ารำคาญจริงๆ

    แต่ไม่นานคนต้นเหตุก็ตามมานั่งข้างกันบนขั้นบันไดริมแม่น้ำ พออี้ชิงไม่พูดคริสก็ไม่พูด ต่างคนต่างทอดสายตามองสายน้ำที่ไหลเอื่อย เงียบกันไปนานแค่ไหนไม่รู้กระทั่งเป็นอี้ชิงที่แอบชำเลืองตามองอีกฝ่ายก่อน  

    “โอ๊ะ” ที่ตกใจจนสะดุ้งนั้นไม่ใช่เพียงเพราะคนที่ถูกมองนั้นก็หันมา แต่เพราะเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น อี้ชิงรีบล้วงกระเป๋าหยิบมันขึ้นมาแล้วกดปุ่มรับ “มีอะไรเหรอจงแด?”

    [คำถามของวันนี้ไง] ไม่น่าถาม ช่วงนี้คงไม่มีธุระอะไรให้จงแดโทรหาเขาบ่อยนักหรอก อี้ชิงถามกลับเสียงเนือย

    “ว่าไงอ่ะ?” พอได้ฟังคำถามก็นิ่วหน้าน้อยๆ ปรายตามองคนที่นั่งข้างกัน “โอเค เดี๋ยวโทรกลับนะ”

    [เฮ้ยเดี๋ยว]

    “อะไรอีก?”

    [อย่าลืมถ่ายรูปรุ่นพี่มาด้วยล่ะ ขอแบบช็อตใกล้ๆ หน้าชัดๆ เลยนะ คนอื่นๆ จะได้รู้สึกถึงพัฒนาการความใกล้ชิดของพวกนายไง] เข้าเรื่องนี้อีกแล้ว นี่ไม่อยากจะบอกนะว่านั่งอยู่ด้วยกัน ไม่งั้นพ่อประธานชมรมคนฉลาดคงคิดอะไรพิเรนทร์ๆ ขึ้นมาให้เขาทำอีก อี้ชิงกรอกตาหน่ายๆ บอกเสียงห้วนก่อนจะกดปุ่มตัดสาย

    “แค่นี้นะ”

     

    “ของฉันหรือเปล่า?” ดูเหมือนคริสจะรู้ตัวอยู่แล้ว พออี้ชิงเก็บมือถือลงกระเป๋าก็ถามขึ้น คนตัวเล็กพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะส่งต่อคำถามนั้นให้ฟัง

    “พัฟพี่เลิฟครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่ กับใคร?” เป็นคำถามที่ไม่น่าอยากรู้เลยซักนิด ใครจะไปจำรักกุ๊กกิ๊กครั้งแรกของตัวเองได้ล่ะ บางทีอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเรียนอนุบาล ยังพูดไม่ชัดเลยด้วยซ้ำมั้ง ยิ่งคนหล่อๆ อย่างคริสด้วยแล้ว คงมีเยอะจนจำไม่ได้แน่ พวกแฟนคลับนี่ก็แปลก อยากรู้เรื่องในอดีตไปทำไมกัน

    “มัธยมต้นปีที่สอง กับเพื่อนต่างโรงเรียนที่แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จัก”

    “ไม่รู้ชื่อ? แบบนั้นจะเรียกพัฟพี่เลิฟได้ยังไง?”

    “ไม่ใช่พัฟพี่เลิฟหรอก นั่นน่ะ รักครั้งแรกเลยล่ะ” ไม่รู้เพราะคำตอบหรือเพราะสายตาที่มองมา คนถามไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งไหนกันแน่ที่ทำให้ตัวเองใจสั่น  

    “แล้วตอนนี้เค้าอยู่ไหน?”

    “อยู่ในคำถามด้วยเหรอ?”

    “เปล่าหรอก ฉันก็แค่... ไม่ได้อยากรู้นะ แค่คิดว่าเรา... น่าจะสนิทกันได้” นิ้วเล็กชี้ไปมาระหว่าง เรา แล้วยิ้มแหะๆ แต่อีกฝ่ายไม่ยิ้มด้วย มองหน้าเขาแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้นจนอี้ชิงต้องส่ายหน้ายอมแพ้ “ช่างเถอะ ไม่ต้องตอบก็ได้”

    ทีก่อนหน้านี้ยังเล่นมุกว่าสนิทกันแล้วได้เลย ทีอย่างนี้มาทำเย็นชาใส่ อันที่จริงอี้ชิงก็ไม่ได้อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเสียหน่อย แค่ถามไปตามหน้าที่เท่านั้น ไม่อยากตอบก็บอกกันดีๆ ก็ได้

    “ถ้าฉันหาเค้าเจอ นายจะเป็นคนแรกที่รู้”

    แต่คริสเอ่ยขึ้นในที่สุด น้ำเสียงทุ้มราบเรียบนั้นฟังดูจริงจัง ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มสนุก อี้ชิงอยากจะเห็นสีหน้าของคนข้างกายให้ชัด ทว่าน่าเสียดายที่ถูกแว่นกันแดดบดบังไว้ หากเขาไม่คิดไปเอง คริสคงไม่ได้ล้อเล่น มัธยมต้นปีที่สองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว หากเป็นรักครั้งแรกจริง... ยังคงคิดถึงใครคนนั้นอยู่สินะ

     

    เด็กผู้หญิงคนนั้น... คนที่ทำให้คริสฝังใจมากขนาดนี้

     

    ...เป็นใครกันนะ?

     

     

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     


     

     

    คนรอง: ตอนนี้ย้าวววววยาว ><

    มีคนถามว่าเมื่อไหร่จะเป็นแฟนกัน รออีกนิดนะ ไม่นานหรอก มีเวลาแค่สองเดือน ต้องรีบจีบรีบเป็นแฟน ฮะๆๆๆ

    แปะรูปปลากรอบซักนิด  





    คาเฟ่ในเนื้อเรื่องตอนนี้นั้นมีอยู่จริงในสวนสาธารณะยออึยโดค่ะ บนดาดฟ้าชั้นสามเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรี่ส์ดังเรื่องหนึ่งด้วย เราเลยขอใช้สถานที่สุดโรแมนติกนี้ให้คริสคนดังกับเขียวหวานน้อยได้เดทกัน ><

    เครดิตภาพและข้อมูลจาก http://seoulcafe2013.blogspot.com


    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×