ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #8 : เขียวหวานน่ารัก ~ 08 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.86K
      48
      21 ก.พ. 59


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 8

    Fiction by 2nd Admin

     

    .

    .

                “นั่งเฉยๆ ไม่เป็นรึไง”

                คนตัวเล็กที่กำลังตีมือแปะๆ ทดสอบความนิ่มของเบาะหนังสีดำมันปลาบรีบหุบมือมาซุกไว้ข้างตัว ห่อไหล่หนีบขาเข้าหากันอย่างเอี้ยมเฟี้ยมที่สุด คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังทำเป็นส่ายหน้าระอา ถอนหายใจแล้วเมินมองไปเสียทางอื่น อี้ชิงแอบชำเลืองมองสีหน้ารุ่นพี่คนดังแล้วก็ทำปากยื่น

    “ก็ฉันไม่เคยนั่งรถหรูๆ แบบนี้มาก่อนเลยนี่นา” รู้อยู่หรอกว่าตระกูลอู๋ของคุณชายอี้ฟานน่ะมีฐานะ เคยเห็นแก๊งค์คุณพ่อบ้านและผู้ติดตามแล้วก็พอจะเดาได้ แต่ใครจะคิดว่าแม้แต่การเดินทางไปกลับมหาวิทยาลัยแค่นี้ ยังต้องมีลีมูซีนคันงามตามรับตามส่ง รถหรูคันยาวสีดำคลาสสิคแบบหกประตู ที่ภายในมีที่นั่งสามตอน ส่วนของคนขับถูกกั้นไว้ด้วยผนังปิดทึบแต่ยังมีหน้าต่างบานเล็กๆ ให้ติดต่อกันได้ ดูจะให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณชายอี้ฟานมาก แต่อี้ชิงไม่ชอบใจเลยที่เบาะนั่งตอนหลังเป็นแบบหันหน้าเข้าหากันอย่างนี้ เขาขยับตัวที คนตรงข้ามก็คอยแต่จะปรายตามามอง พื้นที่กว้างขวางก็จริงแต่ก็น่าอึดอัดจะตาย อยากสำรวจความโอ่อ่าของรถก็ทำได้ไม่ถนัด ตอนที่บอกว่าจะไปส่งเขา อี้ชิงยังไม่คิดว่าจะได้นั่งรถที่ทั้งหรูและแพงขนาดนี้เลย นี่ถ้าเสี่ยวลู่มาเห็นก็จะต้องตื่นเต้นเหมือนกันแน่ๆ

    เขยิบตัวไปจนชิดประตูเพื่อเกาะกระจกแล้วชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่างรถบ้าง ตอนที่รถแล่นอย่างเชื่องช้าไปตามเส้นถนนในมหาวิทยาลัย ตลอดสองข้างทางนั้นมีแต่คนหันมามองด้วยความสนใจ สายตาที่ทั้งตื่นเต้นและชื่นชมเหล่านั้นทำให้อี้ชิงอดคิดไม่ได้ว่าพวกเค้าอาจจะเห็นว่ามีใครอยู่ในรถก็ได้

    “แน่ใจนะว่าข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็นเรา?”

    “ติดฟิล์มมืดขนาดนี้ เห็นก็เก่งล่ะ”

    “แล้วทำไมถึงมองกันจัง” คริสถอนหายใจอีกครั้งก่อนตอบเสียงเนือย

    “เค้าก็มองกันทุกวันนั่นแหละ”

    คนตัวสูงท้าวคางยามมองออกไปนอกหน้าต่างรถ น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายกับสีหน้าไม่ใยดีนั้นน่าหมั่นไส้จนอี้ชิงต้องเบะปาก คนอื่นๆ คงพากันมองเพราะเห็นว่าเป็นรถหรู หรืออาจจะรู้ว่าพ่อคนดังนั่งอยู่ในนี้ แต่ที่แน่ๆ คือมองมาก็เห็นแต่ฟิล์มมืดๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ความสนใจราวกับราชรถของเจ้าชายเคลื่อนผ่าน คนในนี้เสียอีกที่ทำเต๊ะท่าไม่รู้สึกรู้สากับสายตาชื่นชมเหล่านั้น เย็นชาชะมัด ชักเริ่มจะเห็นใจบรรดาแฟนคลับของหมอนี่ซะแล้วสิ

    “เออนี่ แล้วตกลงนายจะลงแข่งมั้ย?” คนดังปรายตามามองแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ กิริยาโต้ตอบเชื่องช้าจนอี้ชิงคิดว่าคริสคงอยากนั่งเงียบๆ มากกว่าให้เขาชวนคุย แต่ช่วยไม่ได้นี่นา อยู่กันสองคนแบบนี้ นั่งฟังแต่เสียงลมหายใจกันเอง มันน่าอึดอัดจะตาย

    “แข่งอะไร?”

    “ก็แข่งบาสมหาลัยที่กัปตันอุตส่าห์มาชวนไง”

    “ไม่ล่ะ”

    “ทำไมล่ะ?”

    “ฉันเล่นเพื่อออกกำลังกาย ไม่ได้อยากแข่งกับใคร อีกอย่าง ฉันอยู่ที่นี่แค่สองเดือน ให้เป็นตัวแทนของมหาลัยคงไม่เหมาะ”

    “ทำไมจะไม่เหมาะ ถึงจะแค่แลกเปลี่ยนแต่ตอนนี้นายก็เป็นนักศึกษาของที่นี่ เผลอๆ นะ ถ้านายลงแข่งในนามของมหาลัย นอกจากพวกแฟนคลับจะกรี๊ดกันจนลืมโลกแล้ว นายอาจจะได้สาวๆ กองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวกอีกต่างหาก”

    “ดูเหมือนนายจะถนัดวางแผนเพิ่มเรทติ้งให้ฉันดีจังนะ” คำค่อนขอดนั้นยังไม่เท่ารอยยิ้มเยาะที่มุมปาก จงใจแหย่แผลเก่ากันแบบนี้ ถึงอยากจะกระโจนข้ามฝั่งไปบีบคอแค่ไหน แต่อี้ชิงก็ทำได้แค่ย่นจมูกกลับ กอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีไปมองวิวนอกรถอย่างเคืองๆ ยังได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ “อยากให้ฉันลงแข่งจริงหรือเปล่า?”

    “แล้วแต่นายสิ เดี๋ยวก็จะมาโทษว่าฉันทำชีวิตนายวุ่นวายอีก”

    “ถึงฉันจะไม่อยากได้แฟนคลับเพิ่ม แต่ถ้าเป็นนาย ก็ไม่เป็นไรนะ” เหล่ตามองเห็นแววตาที่มองมาก็ยิ่งชวนให้หงุดหงิดนัก ให้ตายเถอะ อี้ชิงเกลียดเวลาที่หมอนี่ยิ้มแบบนี้จริงๆ!

    “ส่งฉันแค่หน้ามหาลัยก็พอ”

    “ทำไม?”

    “ฉันกลับเองได้”

    “รู้ว่ากลับเองได้ แต่ถามว่า ทำไม?” จู่ๆ คริสก็ยืดตัวมาข้างหน้าแล้วจ้องตา และนั่นก็ทำให้อี้ชิงต้องเอนตัวหนีจนหลังชิดเบาะ “ไม่อยากนั่งรถไปกับฉันรึไง?”

    “ก็... ก็ฉันมากับนายเพราะไม่อยากมีเรื่องกับพวกแฟนคลับนายนี่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นแล้ว เราไม่ต้องไปด้วยกันก็ได้” ขัดใจเสียงตะกุกตะกักของตัวเองเหลือเกิน แล้วทำไมต้องหลบตาด้วยเนี่ย นี่เขากลัวหมอนี่หรือไงนะ

    “แต่ฉันบอกแล้วว่าจะไปส่ง จบนะ?” ยังมาทำเสียงเข้มข่มกันอีก นี่ถ้าเขาไม่ยอมแล้วจะทำยังไงได้ คิดว่าเขาจะกล้าเปิดประตูรถแล้วกระโดดหนีออกไปเองแบบในหนังหรือยังไงกัน

    “ก็... ตามใจสิ”

    อ้อมแอ้มตอบแล้วกระเถิบตัวถอยให้ยิ่งชิดเบาะ รถก็ออกจะหรูแต่ทำไมถึงแล่นช้านักนะ หอพักเขาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยแค่นี้เอง ทำไมยังไม่ถึงซักที คนตรงข้ามก็เอาแต่จ้องจนอี้ชิงแทบไม่กล้าขยับ ทนอึดอัดอยู่ตั้งนานกว่าคริสจะยอมถอย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โล่งใจขึ้นเลย คริสยังมองมาที่เขาโดยไม่พูดอะไร และอี้ชิงก็ไม่อยากนั่งนิ่งๆ เป็นเป้าสายตาอยู่แบบนี้ ถึงได้เปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบกล้องตัวเก่งขึ้นมา เปิดโหมดพรีวิวไล่ดูรูปในนั้นไปเรื่อยเปื่อย

    “วันนี้ถ่ายรูปอะไรมาบ้าง” เสียงที่ถามนั้นอ่อนลงและทำให้นิ้วเล็กที่กำลังกดปุ่มชะงัก อี้ชิงตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองคนถาม

    “ไม่ได้ถ่าย”

    “แต่ฉันเห็นนายเอากล้องขึ้นมาตอนอยู่ในสนาม”

    “เอามาเปิดดูรูปแก้เซ็ง”

    “ขอดูบ้างสิ”

    “ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

    “นายถ่ายรูปฉันไปตั้งเยอะ ฉันยังไม่เคยเห็นซักรูป” พอถูกกวนมากๆ เข้าอี้ชิงก็เริ่มจิ๊ปาก การแสดงอารมณ์เพียงเล็กน้อยยังทำให้อีกฝ่ายหัวเราะหึ

    “ก็ไปดูในเวบเพจของมหาลัยสิ”

    “แต่ฉันอยากดูในกล้องนี่”

    “ฉันไม่ให้คนอื่นจับกล้องหรอกนะ”

    น่าเสียดายที่อี้ชิงไม่เห็นว่ายิ้มร้ายที่มุมปากได้รูปนั้นดูเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าครั้งไหน เขายังแสร้งก้มหน้าตอนที่คริสย้ายที่นั่งมายังฝั่งตรงกันข้าม

    “งั้นนายก็เปิดให้ฉันดูสิ”

    “ก็บอกว่า...!” เพียงเงยหน้าก็พบว่าหน้าหล่อๆ มาลอยอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกแล้ว คนตัวสูงโน้มใบหน้าลงมาหาเสียจนใกล้ และอี้ชิงก็ทำได้เพียงมองนิ่ง ทั้งที่เกลียดแสนเกลียดประกายวาววับในดวงตาคมนักหนา แต่ยามที่ต้องมองสบในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ อี้ชิงกลับไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ริมฝีปากยังอ้าค้างทว่าไม่มีคำพูดใดที่เล็ดรอด ได้ยินเพียงเสียงประหลาดที่ดังเป็นจังหวะ

     

    ...ตึกตัก ...ตึกตัก ...ตึกตัก

     

    เสียงจากที่ไหนกันนะ? น่ารำคาญจริง

     

    “ว่าไงล่ะ?” คนตัวเล็กสะดุ้งน้อยๆ เมื่อถูกถามย้ำ มองรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วกระพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะรู้ตัวว่าต้องขยับหนี

    “ม.. ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้”

    “ไม่ใกล้ก็มองไม่เห็นน่ะสิ” อี้ชิงขยับถอยออกมาอีก แต่คนตัวโตก็ขยับตามแบบไม่ให้เหลือระยะห่าง “จะติดประตูอยู่แล้วนะ”

    ยังมีหน้ามาเตือนกัน อี้ชิงหันไปค้อนเข้าให้

    “นายก็อย่าเบียดฉันสิ”

    “ทำไม?”

    “ก็... ก็มันน่ารำคาญนี่!” แทนที่จะสะทกสะท้าน คนตัวสูงกลับเอาแต่ยิ้ม ซ้ำยังไม่คิดจะถอยให้ พออี้ชิงหน้าบึ้งใส่ คริสก็เพยิดหน้าไปที่กล้อง

    “เร็วสิ เปิดรูปให้ดูหน่อย” คนตัวเล็กจิ๊ปากกับความหน้าด้านของพ่อคนดัง อยากจะข่วนหน้าหล่อๆ ให้เสียโฉมนักแต่ก็ต้องเก็บคมเล็มไว้ เอาเถอะ ความดีที่ให้อาศัยติดรถกลับบ้านยังพอมี คราวนี้เขาจะละเว้นให้ก็แล้วกัน

    หยิบกล้องซึ่งยังเปิดโหมดพรีวิวค้างไว้ขึ้นมา พอเหล่ตามองเห็นคริสที่ยิ่งโน้มใบหน้าลงมาใกล้ก็เอนตัวหนีออกไปอีก เมื่อกี้เพิ่งเปิดดูไปได้แค่สี่ห้ารูปก็เลยกดปุ่มเดินหน้าต่อจากนั้น รูปแรกๆ มีแค่วิวทิวทัศน์ในมหาวิทยาลัยที่เขายกกล้องขึ้นมากดถ่ายเพื่อซ้อมมือเล่น แต่หลังจากนั้นส่วนใหญ่แล้วก็เป็นรูปของพ่อคนดังเค้านั่นล่ะ ก็จงแดบอกให้ถ่ายเก็บไว้เผื่อเลือกเยอะๆ อี้ชิงเลยรัวชัตเตอร์เสียจนเมมโมรี่แทบเต็ม นี่ขนาดให้ลู่หานลบออกไปบ้างแล้วนะ

    “รูปนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” คริสจิ้มนิ้วที่รูปบนหน้าจอ ซึ่งเป็นรูปที่ตัวเองกำลังมองมาที่กล้องตรงๆ แล้วถาม

    “อาทิตย์ก่อน ตอนที่ฉันยังไม่ได้สัมภาษณ์นาย” คนหล่อพยักหน้าช้าๆ ปล่อยให้อี้ชิงกดปุ่มเดินหน้าไปเรื่อยๆ

    “ถ่ายไว้ตั้งเยอะเลยนี่ อัพลงเวบเพจหมดเลยหรือเปล่า?”

    “ใครจะบ้าลงหมดล่ะ จงแดเค้าเลือกลงแต่รูปที่ดูดีเท่านั้นแหละ”

    “หล่อทุกรูป เลือกยากแย่”

    “หลงตัวเองไปป่ะ?”

    “หรือไม่จริง?” คริสเลิกคิ้วตอนที่อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมอง รูปหน้าที่ใครต่อใครพากันชมนักหนาว่าหล่อเหลาราวกับรูปสลักนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงมือกั้น ไม่ว่าจะเรียวคิ้ว ดวงตา สันจมูก หรือริมฝีปาก ไม่มีส่วนใดเลยที่อาจจะติได้ อี้ชิงไม่เข้าใจเลย ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงลำเอียงให้ความเอ็นดูกับมนุษย์อวดดีผู้นี้มากนัก ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ

    “เอาไปดูเองเลย” เขายัดกล้องใส่มือใหญ่ด้วยความหงุดหงิด แล้วชี้นิ้วไปที่เบาะนั่งฝั่งตรงข้าม “กลับไปนั่งที่เดิมด้วย”

    หันหน้าหนีเสียงหัวเราะหึด้วยความรู้สึกที่ร้อนผ่าวราวกับจะเป็นไข้ เผลอยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเองโดยไม่รู้ตัว ในรถนี่อากาศไม่ถ่ายเทหรือไงนะ ถึงจะเป็นลมเอาเสียให้ได้

    “ไม่ดูแล้วก็ได้” คริสคืนกล้องให้เขาแล้วย้ายตัวเองกลับไปนั่งที่เดิม ยังไม่วายมองมาแล้วก็เอาแต่ยิ้มจนอี้ชิงยิ่งหงุดหงิด

    “มองอะไรนักหนา?”

    “ไม่สบายหรือเปล่า หน้านายแดงนะ” สองมือเล็กตะปบแก้มตัวเองในทันที ร้อนรุมๆ น่ะก็ใช่ แต่ไม่ใช่เพราะไข้ขึ้นแน่

    “ก็... ในรถมันร้อนนี่” เรียวคิ้วที่เลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มขันนั้นบอกชัดว่าไม่เชื่อ อี้ชิงก็ได้แต่งับปากไม่อยากต่อคำ ทำเป็นโบกมือเรียกลมไปเรื่อย ให้ตายเถอะ เมื่อไหร่จะถึงหอพักซักทีนะ!

    “ฉันเพิ่งนึกอะไรได้ ที่จริงนายน่าจะถ่ายรูปฉันเอาไว้อีกซักรูปนะ เอาไว้ใช้ประกอบสกู๊ปพิเศษที่จะลงพรุ่งนี้”

    “สกู๊ปพิเศษอะไรกัน?” เขาเหล่ตามองอย่างไม่ไว้ใจนัก นี่คิดจะแกล้งอะไรกันอีกหรือเปล่า แต่คริสก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา สไลด์หน้าจอด้วยปลายนิ้วอยู่เพียงครู่ก็ยกขึ้นแนบหู

    “คิมจงแด เรื่องที่นายเสนอมาน่ะ ฉันตกลงนะ”

    ชื่อที่ได้ยินนั้นทำเอาแปลกใจไม่น้อย อี้ชิงใช้สายตาแทนคำถาม และคริสก็ส่งโทรศัพท์ให้ ยื่นหน้าไปมองก็เห็นว่าที่หน้าจอนั้นโชว์ชื่อประธานชมรมของเขาจริงๆ แต่จะเป็นไปได้ยังไงกัน? เลื่อนสายตาขึ้นมองสบกับเจ้าของมือถืออีกครั้ง คริสพยักหน้าแล้วถึงค่อยประคองโทรศัพท์ราคาแพงนั้นไว้ด้วยสองมือแล้วยกขึ้นแนบหู

    “จงแด? นี่จงแดตัวจริงรึเปล่า?” กรอกเสียงลงไปอย่างไม่มั่นใจนัก และเสียงที่ตอบกลับมานั้นก็ฟังคุ้นหูใช่เล่น

    [ก็ใช่น่ะสิ นี่ฉันเอง นายอยู่กับรุ่นพี่เหรอเนี่ย]

    “เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ แต่นี่มันอะไรกัน ทำไมหมอนี่มีเบอร์มือถือนายได้ล่ะ?”

    [ฉันให้ไว้เมื่อเช้า ให้รุ่นพี่เค้าติดต่อกลับถ้าตกลงเรื่องสกู๊ปพิเศษไง]

    “สกู๊ปพิเศษอะไรกัน?”

    [ฉันขออนุญาตรุ่นพี่ทำสกู๊ปพิเศษแบบสัมภาษณ์รายวันเอามาลงในเวบเพจของชมรมไง ตั้งกระทู้ให้แฟนคลับเข้ามาโพสต์คำถามที่อยากรู้ คำถามไหนมีคนกดไลค์เยอะที่สุดในแต่ละวัน รุ่นพี่ก็จะตอบคำถามนั้น แบบนี้จะได้เบี่ยงเบนความสนใจของพวกแฟนคลับไม่ให้ไปยุ่มย่ามกับรุ่นพี่เค้ามากนัก แล้วยังหาข้ออ้างให้นายเข้าถึงตัวรุ่นพี่ได้ทุกวันตามแผนด้วยไง]

    “ฉันเนี่ยนะ? นี่หมายความว่านายจะให้ฉัน...?”

    [ฉันจะให้นายรับหน้าที่เอาคำถามไปสัมภาษณ์รุ่นพี่เค้าทุกวันไง]

    “อะไรกัน? ทำไมนายไม่บอกฉันก่อน?”

    [ฉันก็เพิ่งคิดได้เมื่อเช้านี้แหละ แต่ตอนนั้นนายตะบึงตะบอนออกไปก่อน ก็ว่าจะโทรไปบอกอยู่เหมือนกัน รอให้รุ่นพี่เค้าตอบตกลงนี่แหละ นายอยู่กับเค้าตอนนี้ก็ดีเลย ที่จริงฉันก็แอบตั้งกระทู้รอไว้แล้ว มีคนเข้ามาโพสต์คำถามเยอะแยะเลย ฉันเลือกได้อันนึงแล้วด้วยนะ นายเริ่มงานวันนี้เลยแล้วกัน]

    “ว.. ว่าไงนะ?!” อยู่ดีๆ ก็ยัดเยียดงานมาให้ ตอนที่คุยกันเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยเสียหน่อย นี่ไม่คิดจะถามความเห็นกันเลยหรือไง “แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยเล่า?”

    [จะไม่ทำก็ได้นะ]

    “ได้เหรอ?”

    [ได้สิ ไม่อยากสัมภาษณ์รุ่นพี่เค้าก็ไม่ต้องทำ แต่นายหาวิธีฝ่าวงล้อมแฟนคลับเข้าไปจีบเค้าให้ติดเองก็แล้วกัน] ฟังจงแดพูดเข้า อี้ชิงล่ะอยากจะร้องไห้นัก ใครกันที่ลงโทษให้เขาต้องบากหน้าเข้าไปจีบคนดัง เอาชีวิตไปเสี่ยงกับบรรดาแฟนคลับผู้บ้าคลั่ง แล้วนี่ยังมาขู่ให้ต้องรับงานเพิ่มอีก จะไม่รับก็กลัวว่าถ้ายังขืนเดินดุ่มๆ เข้าไปเสนอหน้าอย่างวันนี้ อาจถูกสาวๆ รุมทึ้งเนื้อฉีกหนังออกเป็นชิ้นๆ ขึ้นมาซักวัน แล้วยังไง? คิดว่าอี้ชิงจะมีทางเลือกมั้ย? ไม่เลย ให้ตายเถอะ ประธานชมรมเขานี่น่ากลัวชะมัด

     

    โอเค ฉันยอมแพ้นายก็ได้ คิมจงแด!

     

    อี้ชิงสูดลมหายใจเข้าจนลึก ดึงสมาร์ทโฟนออกจากหูแล้วกดปุ่มลำโพงบนหน้าจอหมายให้คนที่นั่งอยู่ด้วยกันในรถได้ยินบทสนทนาต่อจากนี้

    “แล้วคำถามของวันนี้คืออะไร?”

    [ถ้ารุ่นพี่แอบชอบคนๆ นึงอยู่ จะเริ่มจีบเค้ายังไง]

    อี้ชิงไม่ถามซ้ำเพราะอยากให้จงแดได้ฟังคำตอบจากเจ้าตัวเอง ตวัดสายตามองแล้วถือโทรศัพท์รออยู่อย่างนั้นกระทั่งคริสยืดตัวมาข้างหน้าอย่างใจเย็น มุมปากได้รูปปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกให้ทั้งคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าและคนที่อยู่ในสายได้ยิน

     

    “ก็คงเริ่มจาก... ชวนกลับบ้านด้วยกันล่ะมั้ง”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “หนึ่งสอง! หนึ่งสองสาม! หนึ่งสอง! หนึ่งสองหนึ่ง! หรีดพัก! เก็บมือ!

    เรียวแขนทุกคู่วาดผ่านลมอย่างแข็งแรงจนเกิดเป็นเสียงดับพึ่บพั่บ รุ่นน้องชายหญิงกว่าสิบชีวิตยืนตัวตรงเชิดหน้านิ่งในท่ามือไพล่หลัง รอกระทั่งรุ่นพี่กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่บนสแตนด์เชียร์สั่งพักพร้อมเสียงปรบมืออย่างชื่นชมแล้วถึงได้เปลี่ยนอิริยาบถให้ผ่อนคลาย

    เจ้าของผิวกายขาวสว่างหนึ่งในกลุ่มรุ่นน้องนั้นเหวี่ยงแขนไปรอบๆ เพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะลดมือลงวางเหนือเข่า พรูลมหายใจไล่ความเหนื่อยล้า ครั้นพอเงยหน้าขึ้นแล้วประสานสายตาเข้ากับรุ่นพี่ซึ่งกำลังท้าวคางส่งยิ้มหวานมาให้ โอเซฮุนก็ส่งยิ้มตอบพลางเดินเข้าไปหา

    “นั่งดูอย่างเดียว ไม่เบื่อแย่หรือครับ?”

    “ไอ้นี่มันไม่เบื่อง่ายๆ หรอก อาหารตาเยอะแยะ โอ๊ย! เจ็บนะเว้ยไอ้ลู่!” มือกลองของทีมเชียร์เอามือลูบขาตัวเองที่เพิ่งถูกเพื่อนฝีเท้าหนักเตะเอาป้อยๆ พลางขยับปากด่าแบบไม่มีเสียง นี่ถ้าไม่เกรงใจเห็นว่าอยู่ต่อหน้ารุ่นน้องเยอะแยะ จะจับล็อคคอแล้วเขกกะโหลกเสียให้เข็ด อยู่ทีมเชียร์ก็ไม่ใช่ มานั่งเสนอหน้าดูเค้าคัดตัวเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยอยู่ได้ ทำมาเป็นอ้างว่าต้องทำสกู๊ปข่าวกิจกรรม ถ้าไม่ใช่เพราะมีรุ่นน้องหวานใจมาสมัครด้วย ไอ้จอมซนคงไม่มาทนนั่งเฝ้าเป็นชั่วโมงให้เมื่อยก้นอย่างนี้แน่

    “ไม่เบื่อหรอกครับ ดูน้องๆ เต้นก็เพลินดี” ดูมันยิ้มหวานอ่อยเด็ก น่าหมั่นไส้ชะมัด “ว่าแต่ น้องฮุนเต้นเก่งจัง เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์มาก่อนหรือเปล่า?”

    “เคยเต้นแทนเพื่อนตอนเรียนไฮสคูลน่ะครับ ไม่ได้จริงจังอะไร แต่ตอนเด็กๆ เคยเรียนแจ๊สแดนซ์ เพราะเพื่อนของคุณแม่ส่งลูกไปเรียนบัลเล่ต์ ท่านเลยอยากให้ผมเรียนบ้าง แต่ผมคิดว่าคงยืนด้วยปลายเท้าไม่ไหวแน่ เลยขอเรียนแค่แจ๊สแดนซ์ดีกว่า” เซฮุนเล่าพร้อมรอยยิ้มสว่างไหว ลู่หานก็เอียงคอฟังจนเพลิน ไม่ได้เพลินเพราะเรื่องที่น้องเล่านะ เพลินเพราะยิ้มหวานๆ กับตาหยีๆ นี่แหละ “ท่าทางพี่ลู่ดูเป็นคนสนุกๆ ทำไมไม่มาอยู่ทีมเชียร์ด้วยกันล่ะครับ ครึกครื้นดีออก”

    “ก็อยากอยู่นะ แต่ลงชื่อกับทีมฟุตบอลไปแล้วน่ะสิ”

    “หมอนี่น่ะหลงฟุตบอลยิ่งกว่าสาวๆ เสียอีก คงถอนตัวยากแล้วล่ะ” เพื่อนตัวดียังไม่วายหาเรื่องโดนเตะซ้ำ ลู่หานเลยหันไปแยกฟันเกใส่พร้อมยกกำปั้นขู่ ถึงได้ยอมแพ้แล้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้

    “พี่ลู่ชอบเล่นฟุตบอลหรือครับ?”

    “ไม่ใช่แค่ชอบนะ เล่นเก่งด้วย วันที่แข่งกีฬาของมหาวิทยาลัย น้องฮุนต้องเต้นเชียร์อยู่ข้างสนามด้วยนะ”

    “ผมเชียร์แน่ๆ แต่ไม่รู้จะคัดตัวผ่านหรือเปล่า”

    “ต้องผ่านสิ น้องฮุนเต้นเก่งออก น่ารักขนาดนี้ด้วย” หลุดปากชมไปแล้วก็เขินเอง ยิ่งอีกฝ่ายฉีกยิ้มหวาน ลู่หานก็ยิ่งตื่นเต้นจนใจสั่น ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก “เอ่อ เอาอย่างนี้มั้ย ถ้าคัดตัวผ่าน เย็นนี้เราไปเลี้ยงฉลองกัน”

    “ฉันไปด้วยนะ” จะหมดฟีลก็เพราะไอ้ตัวยุ่งข้างๆ นี่แหละ ลู่หานจิ๊ปากแล้วเอาศอกกระทุ้งเข้าให้

    “สองคนเว้ย”

    “เออๆๆ ก็ได้วะ” ยังมีหน้ามาศอกกลับ ทำเป็นงอนอุ้มกลองลุกขึ้นจะเดินหนี แต่ไม่วายหันมากระซิบเสียงรอดไรฟันให้ได้ยินกันสองคน “ถ้าจีบไม่ติด กูจะขำให้กลิ้ง”

    แต่ก่อนหน้านั้นลู่หานคงอยากเตะเพื่อนจนกลิ้งก่อน ขวางคอไม่ได้ก็มาแช่งกัน มันน่าอัดให้เละนัก แต่แค่เขาขยับเท้า เพื่อนตัวแสบก็วิ่งหนีไปพร้อมกลองคู่ใจแล้ว

    “ตกลงครับ”                                    

    “ค.. ครับ?”

    “ไปฉลองกันสองคน ผมตกลงครับ” รุ่นน้องบอกพร้อมรอยยิ้มสว่างไสวและดวงตาพราวระยับ ยิ้มที่ทำให้ลู่หานต้องยิ้มตามด้วยหัวใจที่พองโต โอเซฮุนช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ แบบนี้จะเรียกว่าเดทแรกได้หรือเปล่านะ แค่คิดก็มีความสุขจนนึกอิจฉาตัวเองแล้ว

     

    ชีวิตลู่หานที่มีโอเซฮุนนี่มันช่างดีจริงๆ

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “กลับมาแล้วน้า~

    พอเปิดประตูห้องได้ ลู่หานก็ส่งเสียงเข้าไปรายงานตัวก่อนจะถอดรองเท้าผ้าใบเสียอีก นึกว่าจะมีคนรอบ่นอยู่ในห้องกลาง แต่พอไม่ได้ยินเสียงง้องแง้งอย่างที่คิดก็อดแปลกใจไม่ได้ กวาดตามองไปทั่วจนแน่ใจว่าไม่เห็นร่างขาวๆ อยู่แถวนั้น พอเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ ลู่หานก็ตรงรี่ไปยังประตูห้องนอนซึ่งอยู่ทางซ้ายมือในทันที

    “จางอี้ชิง~” เพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทไม่เคยล็อคห้อง คนร้อนตัวก็เลยหมุนลูกบิดแล้วเยี่ยมหน้าเข้าไปเองอย่างถือวิสาสะ เห็นร่างเล็กที่นอนหนุนแขนตัวเองอยู่บนเตียงทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนชุดนักศึกษาผงกหัวขึ้นมามอง ลู่หานก็ยิ้มแผล่ “กลับมาแล้ว~

    “อ้อ มาแล้วเหรอ” เพื่อนสนิทค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างไม่รีบร้อน ถามกลับเสียงเรียบ “โปรเจคเป็นไงบ้าง?”

    “ก็ราบรื่นดี แบ่งงานกันเสร็จแล้วเราก็ไปดูเค้าคัดตัวเชียร์ลีดเดอร์ของมหาลัยต่อ”

    “อ้อ” อี้ชิงพยักหน้าเรื่อยๆ ดูเหมือนไม่ค่อยตื่นเต้นกับกิจกรรมประจำปีของมหาวิทยาลัยซักเท่าไหร่ ถึงจะไม่ผิดวิสัยคนรักสงบนัก แต่คนที่มีความผิดติดตัวอย่างลู่หานก็ยังอดระแวงไม่ได้ บุ้ยปากซ้ายขวาแล้วค่อยปีนขึ้นไปนั่งข้างเพื่อนตัวขาวบนเตียงของเจ้าตัว เอาไหล่กระแซะไหล่เพื่อนเบาๆ

    “เป็นอะไรน่ะ งอนเหรอ? ขอโทษนะ มันมีงานด่วนแทรกมาจริงๆ”

    “ไม่เป็นไรหรอก” อี้ชิงส่ายหน้าแล้วยิ้มเนือย แค่นั้นลู่หานก็ยิ้มตามอย่างโล่งอก แต่ยังไม่เลิกเอาไหล่ชนไหล่เพื่อนไปเรื่อย

    “เออนี่ ว่าแต่ เมื่อเย็นนี้น่ะ ตัวกลับพร้อมรุ่นพี่เค้าใช่ป่ะ?”

    “อื้อ”

    “จริงดิ? ว้าววว~

    “ว้าวอะไรของนาย?”

    “ก็บทสัมภาษณ์ในสกู๊ปพิเศษของวันนี้ไง” ที่รีบกลับมาก็เพราะเรื่องนี้แหละ คิมจงแดนี่ทำงานเร็วชะมัด วางแผนตอนเช้า สัมภาษณ์ตอนเย็นแล้วลงข่าวเดี๋ยวนั้นเลย นี่ถ้าไม่ไลน์คุยกันก่อนเขาคงนึกว่าหมอนั่นนั่งเทียนเขียนเอาเองแน่ๆ แต่ประเด็นมันอยู่ที่บทสัมภาษณ์เนี่ยแหละ แค่คำตอบเดียวสั้นๆ แต่ปังมาก อย่าว่าแต่สาวๆ ต้องกรี๊ดเลย เขาเองยังขอเลื่อนนัดฉลองกับน้องฮุนเพื่อจะกลับมาแซวเพื่อนให้ได้ “เค้าชวนตัวกลับบ้านแบบนี้ หรือว่ารุ่นพี่เค้าจะ...”

    “หยุดเลย” อี้ชิงจับนิ้วป้อมๆ ที่แกว่งไปมาอยู่ตรงหน้า ตีหน้ายุ่งเหมือนว่ารำคาญ “หมอนั่นไม่ได้พิศวาสอะไรฉันขนาดนั้นหรอก ที่ต้องกลับมาด้วยกันก็เพราะตกกระไดพลอยโจนเท่านั้นแหละ”

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ รุ่นพี่เค้าถือตัวออกขนาดนั้น ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้กลับบ้านพร้อมเค้าเสียหน่อย นายต้องเป็นคนพิเศษสำหรับเค้าแน่ๆ”

    “หยุดเพ้อเจ้อได้แล้วน่า” อี้ชิงคืนนิ้วให้เพื่อนแล้วขยับตัวหันหลัง ดึงหมอนที่หนุนหัวอยู่เมื่อครู่ขึ้นมากอดไว้ นึกถึงสายตายียวนกับรอยยิ้มกวนๆ ของหมอนั่นแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ตอบจงแดไปแบบนั้นมันจงใจแกล้งกันชัดๆ ได้เห็นสีหน้าเขาตอนหงุดหงิด คงสนุกมากเลยสินะ อี้ชิงครั่นเนื้อครั่นตัวอยากกระโดดลงจากรถจนแทบบ้า หมอนั่นยังเอาแต่จ้องแล้วยิ้มอยู่ได้ เกลียดนักคนนิสัยไม่ดี! แค่นึกถึงก็อยากจะข่วนหน้าหล่อๆ เสียให้เป็นรอย อุตส่าห์นอนสงบสติอารมณ์อยู่ตั้งนานกว่าความคิดฟุ้งซ่านจะสงบลงได้ ลู่หานก็ดันมากวนให้มันขุ่นขึ้นมาอีก ตอนนี้อี้ชิงรู้สึกตัวร้อนจนเหมือนจะเป็นไข้ขึ้นมาอีกแล้ว

    ลู่หานจอมซนชะเง้อคอมองข้ามไหล่บางเห็นเพื่อนรักกำลังจิกทึ้งหมอนตัวเองด้วยเรียวนิ้วทั้งสิบก็รีบขยับตัวอ้อมมาตรงหน้า อี้ชิงหันหน้าหนีก็ขยับตาม ก่อนจะยิ้มร่า

    “ตัวเขินเหรอเนี่ย?”

    “เปล่าซักหน่อย” ยิ่งเจ้าตัวนิ่มตอบอุบอิบแล้วก้มหน้า ลู่หานก็ยังมุดตามไปแซวจนได้

    “เขินแน่ๆ หน้าแดงใหญ่เลย”

    “เราไม่สบายต่างหาก!” คราวนี้อี้ชิงเลยทิ้งตัวนอนตุ้บแล้วเอาหมอนปิดหน้าไว้

    “ไม่เชื่อหรอก ตัวเขินอ่ะ ฮะๆๆ น่ารักชะมัดเลย”

    “ก็บอกว่าเปล่าไงเล่า!” เสียงโวยวายอู้อี้อยู่ใต้นั้น ตัวแสบพยายามแย่งหมอนออกจากมือเท่าไหร่ อี้ชิงก็ยิ่งกอดเอาไว้แน่น โดนแกล้งมากๆ เข้าจนต้องขู่ว่าจะโกรธ นั่นล่ะ ลู่หานถึงได้ยอมหยุด หยุดแหย่แต่ไม่หยุดหัวเราะ

     

    ผลที่ได้จากการทดลองในวันนี้มันเกินคาดจริงๆ หลังจากนี้ต้องมีอะไรน่าสนุกตามมาอีกเยอะแน่ๆ ลู่หานแทบจะรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วสิ!

     

     

     


     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

    คนรอง: งานนี้ไม่รู้ใครจีบใครกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือลู่หานฟินมว้ากกก ฮะๆๆๆ

    แอบเปลี่ยนบทไปเล็กน้อย ไม่รู้มีใครสังเกตุมั้ย ^^”

    ปล. โหมดหลงน้องฮุน~~ ><


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×