คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เขียวหวานน่ารัก ~ 07 ~
[Fic] เขียวหวานน่ารัก~♡
ตอนที่ 7
Fiction by 2nd Admin
.
.
.
“ไม่เอาน่าอี้ชิง คุยกันก่อนสิ”
“ไม่”
“ฉันพยายามช่วยนายอยู่นะ”
“เรอะ? ฉันนึกว่านายกำลังสนุกอยู่ซะอีก”
“นายเห็นฉันหัวเราะรึไง?” คนที่เดินนำหน้าหันมาทำปากยื่นใส่อย่างงอนๆ แล้วก็หันหลังกลับ ลู่หานก็ได้แต่ถอนใจแล้วก็เดินตามอย่างไม่ลดละ เขาเดินตามอี้ชิงที่ตะบึงตะบอนออกมาจากห้องชมรมจนถึงตึกเรียนคณะบริหารฯ ถึงจะไม่ได้เรียนที่นี่ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียนชั่วโมงเช้า ยังพอจะง้ออี้ชิงต่อได้อีกพักใหญ่ แต่พอถึงห้องแล็คเชอร์แล้วเลือกที่นั่งได้ อี้ชิงก็เหวี่ยงกระเป๋าเป้ไว้บนเก้าอี้อีกตัวข้างๆ อย่างจงใจไม่ให้ลู่หานตามมานั่งใกล้ เจ้าของดวงตาซุกซนถึงกับถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่เอาน่า ที่ฉันเห็นด้วยกับความคิดของจงแดก็เพราะไม่อยากให้นายถูกไล่ออกจากชมรมนะ”
คนดื้อยังเล่นแง่ทำเป็นไม่ได้ยิน หยิบกล้องออกมาจากเป้แล้วเปิดดูรูปในนั้นไปเรื่อยเปื่อย ดูก็รู้ว่าจงใจเมินใส่ลู่หานเอาดื้อๆ ปกติแล้วคนตัวเล็กไม่เคยโกรธเพื่อนสนิทจริงจังก็จริง แต่อาการน้อยใจหรืองอนเล็กๆ แบบนี้ก็มีบ้าง และลู่หานก็รู้ดีว่าควรต้องง้อด้วยวิธีไหน
“เอาอย่างนี้มั้ย เย็นนี้ฉันเลี้ยงไอติมเอง” ของกินนี่แหละ อี้ชิงชอบนัก แต่คนตัวเล็กยอมละสายตาจากกล้องตัวโปรดเพื่อปรายมองเพียงแว่บเดียวแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่”
“งั้นราเมง”
“ไม่” ลู่หานยกมือขึ้นกอดอกแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างครุ่นคิด คราวนี้คงต้องยอมลงทุนมากหน่อย
“งั้นพิซซ่ามื้อกลางวัน แล้วมื้อเย็นก็เนื้อย่าง แต่ต้องเป็นวันเสาร์นะ โอเคมั้ย?”
“ไม่” พ่นลมหายใจแล้วบุ้ยปากเมื่อคำตอบยังไม่เปลี่ยน แต่เขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ คิดหาเมนูของโปรดมาง้อต่ออย่างไม่ลดละ
“งั้น...”
“ต้องต่อด้วยเค้กวานิลลาอีกปอนด์นึงด้วย” แล้วเสียงงอนๆ นั่นก็ทำให้ยิ้มออก ไม่ต้องคิดให้นานลู่หานก็รีบพยักหน้า
“ได้เลย ถ้านายกินไหวอ่ะนะ” กุลีกุจอหย่อนก้นลงนั่งเมื่ออี้ชิงยอมย้ายเป้ไปไว้ที่เก้าอี้อีกตัว
“แต่ฉันยังไม่หายโกรธนายง่ายๆ หรอกนะ จงแดคิดจะลงโทษฉันถึงให้ไปเป็นแฟนกับหมอนั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่นายเป็นเพื่อนฉันแท้ๆ แทนที่จะเข้าข้างกัน กลับไปเห็นดีเห็นงามช่วยเสนอความคิดจนฉันต้องกลายเป็นฝ่ายเข้าไปจีบหมอนั่นก่อนแบบนี้น่ะ”
“ฉันช่วยนายต่างหาก นายก็รู้ว่าจงแดน่ะจริงจังแค่ไหน ลองคิดจะทำอะไรแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่ ถ้านายไม่อยากถูกไล่ออกก็ต้องให้ความร่วมมือ ฉันรู้ว่านายไม่ค่อยถูกชะตากับรุ่นพี่เค้าเท่าไหร่ แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ถ้าอยากให้เรื่องมันจบเร็วๆ เราก็ต้องทำให้แนบเนียนที่สุด จริงมั้ย?”
อี้ชิงได้แต่ถอนหายใจแล้วตั้งศอกขึ้นเอามือท้าวคางอย่างสุดเซ็ง ลู่หานพูดถูกที่ว่าเขาไม่มีทางเลือก เขาหงุดหงิดที่ถูกกดดันให้ต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจก็จริง แต่เขาไม่ได้โกรธจงแด งอนเพื่อนสนิทก็แค่นิดหน่อย แต่โมโหตัวเองมากกว่า ก่อนหน้านี้ที่คิดแผนโกหกเรื่องคริสเป็นเกย์ นอกจากจะเพื่อให้ได้สัมภาษณ์แล้ว เขายังคิดว่ามันคงจะสนุกถ้าพ่อคนดังจะมีแอนตี้แฟนบ้าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างมันผิดแผนไปหมด ซ้ำเขาเองยังต้องกลายมาเป็นตัวหลอกเพื่อคอยกันสาวๆ พวกนั้นเสียเองแทน หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ จะไม่ให้หงุดหงิดยังไงไหว แต่ถึงตอนนี้จะทำยังไงได้ล่ะ หัวเสียไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาผิดเองที่เริ่มเรื่องโกหกขึ้นมาก่อน ยังไงก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี
“ยังไงฉันก็นึกภาพตัวเองที่ต้องเข้าไปจีบคนแบบนั้นไม่ออกอยู่ดี”
“กลัวจีบไม่ติดรึไง?” แค่หางตาที่ปรายมาก็รู้ว่าแหย่ผิดเวลาไปหน่อย ลู่หานรีบยกสองมือขึ้นเชิงว่ายอมแพ้ “ขอโทษๆ คือ ฉันไม่เห็นว่าการจีบรุ่นพี่จะน่าหัวเสียที่ตรงไหนนี่นา เค้าทั้งหล่อ ทั้งรวย เล่นกีฬาก็เก่ง เพอร์เฟ็คไปซะทุกอย่าง”
“เพอร์เฟ็คเกินไปน่ะสิ หนึ่งเลยนะ ฉันไม่ชอบคนดัง และสอง ฉันไม่ชอบเอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดคนดัง แบบนี้แล้วจะทำใจให้เดินดุ่มๆ เข้าไปจีบหมอนั่นได้ยังไง?”
“อืม... ความจริงก็ไม่ยาก นายก็คิดว่ารุ่นพี่เค้าเป็นผู้หญิงสวยๆ ซักคนสิ”
“ห๊ะ? ผู้หญิงเนี่ยนะ?”
“ใช่ นายก็บิ๊วท์ตัวเองสิ ว่ารุ่นพี่เค้าเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ แบบสเปคนายเลยอ่ะ แล้วนายก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อแย่งเธอมาจากคู่แข่งคนอื่นๆ ให้ได้”
“แต่ฉันไม่ชอบผู้หญิงสวย ฉันชอบผู้หญิงน่ารักแล้วก็จิตใจดีมากกว่า”
“นั่นแหละ ก็สมมุติว่ารุ่นพี่เป็นสาวน้อยคนนั้น”
“แต่เค้าไม่น่ารักนี่ แล้วก็นิสัยไม่ดีด้วย” อี้ชิงทำหน้าแหยงเมื่อคิดตาม ทำเอาลู่หานจิ๊ปาก
“เออน่า สมมุติไง แค่จินตนาการเอาก็ได้ มโนน่ะ เรื่องมันจะได้ง่ายขึ้น”
“นี่ฉันต้องหลอกตัวเองว่าชอบหมอนั่นสินะ” อี้ชิงกรอกตาเมื่อลู่หานพยักหน้าอย่างหนักแน่น ให้ตายเหอะ เขาจะมโนว่าผู้ชายตัวโตๆ แบบนั้นเป็นสาวน้อยน่ารักไปได้ยังไงกัน
“เอาน่า ฉันจะช่วยนายเอง” ความซาบซึ้งในน้ำใจเพื่อนที่กำลังตบไหล่เขาปุๆ ทำให้อี้ชิงถึงกับต้องหัวเราะปนเสียงสะอื้น
“ถ้านายช่วยไปเป็นแฟนกับหมอนั่นแทนฉันได้ก็ดีน่ะสิ”
หลังหมดเวลาเรียนช่วงเช้า ลู่หานก็รีบมาหาอี้ชิงที่ข้างสนามฟุตบอลตามที่นัดกันไว้โดยไม่ต้องรอให้โทรตาม หลังจากที่ไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยกันมาเกือบอาทิตย์ วันนี้เขารับปากมั่นเหมาะว่าจะไม่เบี้ยวแน่ๆ และนั่นก็ทำให้อี้ชิงอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
แต่เมื่อมาถึงแคนทีน บรรยากาศแปลกๆ ในนั้นก็ทำให้ลู่หานต้องสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาต้นตอ ทีแรกเขานึกว่าอาจจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นที่พอจะเก็บไปให้จงแดเขียนข่าวได้บ้าง แต่กลายเป็นว่าได้ยินเพียงเสียงซุบซิบในวงกว้างซึ่งฟังไม่ได้ศัพท์ กับสาวๆ กลุ่มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังรุมล้อมโต๊ะตัวหนึ่งจนมองแทบไม่เห็นว่าตรงกลางวงนั้นมีอะไร คนอื่นๆ ที่อยู่รอบนอกก็ได้แต่คอยชำเลืองมองด้วยความสนใจเช่นเดียวกับที่เขาทำในตอนนี้
“ดูนั่นสิ” เอาศอกสะกิดแล้วเพยิดหน้าให้เพื่อนมองตาม โชคดีที่คนที่นั่งตรงกลางโต๊ะตัวนั้นสูงและเด่นพอจะเห็นได้ชัดแม้มองจากตรงนี้ “รุ่นพี่เค้าก็ดูไม่เรื่องมากดีเนอะ กินข้าวในแคนทีนก็ได้ ฉันนึกว่าเค้าจะเหมือนพวกคนดังคนอื่นที่ทำเป็นหัวสูง ชอบออกไปกินข้าวนอกมหา’ลัยซะอีก”
“มานั่งอ่อยล่ะสิไม่ว่า คนมุงเยอะขนาดนั้นจะกินข้าวลงได้ยังไงกัน”
“นั่นน่ะสิ น่าสงสารออกเนอะ ไปไหนทีก็มีแต่คนคอยตาม มิน่าล่ะ รุ่นพี่เค้าถึงอยากให้นายช่วย” อี้ชิงย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะหันหลังกลับไปทางเดิมที่เดินมา
“ออกไปกินนอกมหา’ลัยกันดีกว่า”
“เฮ้ยเดี๋ยว” แต่ลู่หานรีบคว้าข้อแขนเล็กไว้ได้ทัน “จะไม่เข้าไปทักสาวน้อยของนายหน่อยเหรอ?”
“ว่าไงนะ?”
“นั่นสาวน้อยน่ารักของนายไง นายต้องเข้าไปจีบเค้า ลืมไปแล้วเหรอ?” อี้ชิงมองหน้าเพื่อนแล้วก็มองไปที่โต๊ะตัวนั้น ก็จะส่ายหน้าขยาดๆ
“ไม่ใช่ตอนนี้นะ สาวๆ กำลังรุมล้อมเค้า ฉันไม่เข้าไปแน่”
“จงแดบอกให้นายจีบรุ่นพี่ต่อหน้าคนอื่นๆ ลืมไปแล้วรึไง ถึงยังไงก็ต้องเข้าไปอยู่ดี เข้าไปตอนนี้แหละ เหมาะแล้ว” เกลี้ยกล่อมไม่พอ ยังจะดันหลังให้อีก อี้ชิงส่ายหน้าเท่าไหร่ลู่หานก็ไม่ฟังกันเลย ผลักไสกันจนเข้าไปใกล้โต๊ะคนดังได้ก็ทำท่าจะทิ้งเขาเอาไว้ตรงนั้น “ฉันไปซื้อข้าวให้เอง ส่วนนายก็ฝ่าวงล้อมเข้าไปให้ได้ สู้ๆ นะ”
“เดี๋ยวก่อนสิเสี่ยวลู่!” ให้กำลังใจเสร็จแล้วก็รีบชิ่งหนี นี่น่ะหรือที่ว่าจะช่วยกัน อี้ชิงจิ๊ปากพลางกระทืบเท้าอย่างขัดใจก่อนจะหันหลังกลับ เขาไม่มีทางเข้าไปจีบหมอนั่นต่อหน้าสาวๆ พวกนั้นแน่!
แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว สองท้าวเล็กก็กลับชะงัก อี้ชิงค่อยหันหลังกลับไปมองความวุ่นวายที่โต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง ท่ามกลางสายตากว่าสิบคู่ที่เอาแต่จับจ้อง บางคนก็โปรยยิ้มให้อย่างพร่ำเพรื่อ แต่บางคนก็กล้าพอที่จะชวนคุย ทว่าใบหน้าหล่อเหลาที่มองเห็นเด่นชัดอยู่ตรงกลางนั้นกลับดูเรียบเฉย แววตาคมดุนั้นก็แสนเย็นชายามที่มองตรงไปเบื้องหน้า คริสไม่ได้วางสายตาไว้ที่ใครเป็นพิเศษ คนตัวสูงตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างไม่รีบร้อนทั้งที่ถูกรบกวนขนาดนั้น คริสที่เขาเห็นในตอนนี้ดูเย็นชาเหลือเกินเมื่อเทียบกับคนเจ้าเล่ห์ที่ชอบหาเรื่องแกล้งกันทุกครั้งที่เจอ มองผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบกายคนดังแล้วอี้ชิงก็ต้องถอนหายใจเบาๆ ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่ามีสาวๆ เพียงกลุ่มเล็กๆ ที่คอยตามติด และมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่พยายามเข้าไปชวนคุย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า คนกว่าครึ่งแคนทีนกำลังมองมา และสาวๆ พวกนั้นก็ดูจะกรูกันเข้ามากวนใจพ่อคนดังมากขึ้น ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่อี้ชิงก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะบทสัมภาษณ์และเรื่องโกหกที่เขาสร้างไว้
นี่เขาคงทำให้ชีวิตของคริสวุ่นวายขึ้นจริงๆ สินะ
คนตัวเล็กสะบัดหัวตัวเองแล้วร้องฮึ่ยฮ่ายด้วยความหงุดหงิด ยืนคิดอยู่เพียงครู่ก็สูดหายใจเข้าจนลึก ยืดแผ่นหลังขึ้นตรงแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวนั้น
“รุ่นพี่” ไม่ใช่แค่คนหล่อที่หันมา แต่สาวๆ เกือบทั้งสิบชีวิตที่รายล้อมนั้นก็หันมามองตามด้วยความกังขา แน่นอนว่าพวกเธอคงไม่พร้อมที่จะมีชายหนุ่มเข้ามาช่วยมุงเพิ่มอีกคน ยิ่งนึกถึงเรื่องรสนิยมของคนตัวสูงด้วยแล้ว อี้ชิงจึงกลายเป็นศัตรูของพวกเธอแทบจะในทันทีก็ว่าได้ แต่เขาต้องไม่ว่อกแว่กให้ใจเสีย พยายามจับสายตาเพียงใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเลิกคิ้วให้เท่านั้น อี้ชิงส่งยิ้มหวานอย่างเป็นมิตรพลางเอ่ยถามเสียงอ่อน “ขอนั่งด้วยได้มั้ย?”
“ที่นั่งเต็มหมดแล้ว ไม่เห็นรึไง” เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นในทันที
“ก็ไม่นี่” แต่อี้ชิงไม่สน ที่ว่างข้างกายของคนดังนั้นยังพอมีเหลือ พวกสาวๆ คงจะแสร้งรักษาระยะห่างพอให้เป็นมารยาทไว้ (ถ้ามีมารยาทกันจริงคงไม่มานั่งรบกวนคนที่กำลังกินข้าวแบบนี้หรอกนะ) เขากลั้นใจแทรกกายผ่านกลุ่มหญิงสาวแล้วเบียดก้นลงนั่งประชิดตัวคนหล่อได้ในที่สุดท่ามกลางเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจของอีกหลายคนที่ได้แค่มอง “ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนนะ”
คริสมองหน้าเขาที่ยังยิ้มค้างแล้วกดยิ้มมุมปาก
“ดูเหมือนจะมีเยอะแล้วนะ” ไม่ต้องบอกก็รู้ และอี้ชิงก็แทบจะไม่ปรายตาไปมองพวกเธอเลย เขาตั้งศอกแล้ววางคางลงบนมือ เอียงคอน้อยๆ หมายว่าน่ารัก มองแค่หน้าคนหล่อแล้วฉีกยิ้มให้ยิ่งหวานจนตายิบหยี
“เพื่อนเยอะแล้ว ถ้าอย่างนั้น ให้ผมนั่งเป็นแฟนก็ได้”
เสียงหวีดร้องด้วยความหมั่นไส้จากรอบข้างทำเอาความกล้าที่อุตส่าห์บิ๊วท์มานั้นลดหายไปกว่าครึ่ง หน้างี้ชาไปหมด แขนขาก็เริ่มจะสั่น ปากที่กำลังฉีกยิ้มนี่ก็ด้วย แต่แบบนี้แล้วยิ่งละสายตาจากหน้าหล่อๆ ของคนตรงหน้าไม่ได้เข้าไปใหญ่ รอยยิ้มยียวนและดวงตาแพรวพราวที่เขาเคยเกลียดนักหนานั้นทำอะไรอี้ชิงไม่ได้เลยในตอนนี้ เมื่อเขากำลังสะกดจิตตัวเองซ้ำๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ
‘...สาวน้อยน่ารัก ...สาวน้อยน่ารัก’
คริสไม่พูดอะไรอีกเลย เอาแต่จ้องตาตอบแล้วยิ้มสนุกเหมือนกำลังเล่นเกมส์ ประมาณว่าใครหลบตาก่อนคนนั้นแพ้ ไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาจากสาวๆ รอบข้างเลยซักนิด ทั้งที่อี้ชิงนี่ออกจะใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกใครเข้ามากระชากแล้วเตะโด่งออกไปจากวงล้อมตอนไหน แต่หมอนี่กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้ น่าเจ็บใจนัก!
แต่เพียงครู่ถัดมาก็รู้สึกว่าเสียงจากรอบข้างนั้นเริ่มเงียบหาย อี้ชิงแอบชำเลืองตามองแล้วก็ต้องพรูลมหายใจเมื่อพบว่าพวกสาวๆ ทยอยกันลุกหนีไปทีละคนสองคนจนกระทั่งทั้งโต๊ะเหลือเพียงเขากับคริสคนดัง นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีมั้ย ปล่อยมุกทีเดียวพวกเธอก็กระเจิงกันไปหมดแบบนี้น่ะ อี้ชิงนึกเร่งในใจให้ลู่หานโผล่มาเร็วๆ เสียที เขาเบื่อจะเล่นจ้องตากับหมอนี่เต็มทีแล้ว แค่ยิ้มกวนก็ยังพอทน แต่จู่ๆ คนตรงหน้าก็หลุดขำพรืดจนอี้ชิงต้องแยกเขี้ยวใส่
“ขำอะไรมิทราบ?”
“ไม่มีมุกจีบที่เสี่ยวน้อยกว่านี้แล้วรึไง?” คริสตั้งศอกแล้ววางคางลงบนฝ่ามือในท่าเดียวกันกับเขาแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ นัยน์ตาเจ้าเล่ห์เป็นประกายจนน่าหมั่นไส้ และอี้ชิงก็ร้อนผ่าวไปทั้งหน้าทั้งตัวจนรู้สึกหงุดหงิด แต่ถึงนึกอยากจะตะโกนใส่ให้หน้าหล่อๆ หงายเงิบแค่ไหนก็ทำได้แค่เค้นเสียงรอดไรฟันทั้งที่ยังแกล้งยิ้ม
“นึกว่าฉันไม่อายรึไงที่ต้องมาอ่อยนายต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้น่ะ”
“มาแล้วๆ” เสียงของลู่หานดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยห้ามยกไว้ได้ทัน “ขออนุญาตนั่งด้วยคนนะครับรุ่นพี่”
ไม่ต้องรอให้ใครพยักหน้า ร่างสมส่วนก็จัดการสอดตัวเองเข้านั่งที่ฝั่งตรงกันข้าม วางถาดอาหารที่ยกมาด้วยลงบนโต๊ะก่อนจะจัดเรียงกับข้าวสามอย่างและข้าวเปล่าสองถ้วยของเขากับอี้ชิงอย่างที่เคยทำเสมอ
“มาช้าจัง ฉันเกือบจะแย่แล้วรู้มั้ย ดูสายตาสาวๆ พวกนั้นสิ” ลู่หานมองไปรอบๆ แล้วก็ยิ้มสนุก
“กลัวอะไรกัน นายเก่งออก เคลียร์พื้นที่ซะเรียบร้อยเลย จริงมั้ยครับรุ่นพี่?” ลู่หานเองยังไม่อยากจะเชื่อ เขาทิ้งเพื่อนไว้ตรงนี้แล้วชิ่งหนีไปก็จริง แต่ก็คอยหันมามองอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง ตอนแรกนึกว่าจะเดินหนีไปซะแล้ว สุดท้ายก็ตีมึนเข้ามาประชิดวงในคนหล่อสำเร็จจนได้
คริสพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก มองสำรับอาหารตรงหน้าอย่างสนใจ
“น่าอร่อยดีนะ” ดวงตาคมนั้นหยุดอยู่ที่ถ้วยแกงซึ่งมีน้ำซุปข้นสีเขียวอ่อนกับเนื้อไก่ชิ้นโตลอยตุ้บป่อง ลู่หานเห็นอย่างนั้นก็รีบเลื่อนถ้วยไปตรงหน้ารุ่นพี่อย่างนำเสนอ
“อร่อยครับ ของโปรดอี้ชิงเค้า รุ่นพี่ลองชิมก็ได้”
“ไม่ต้องเลย” แต่อี้ชิงก็รีบแย่งคืนมาไว้ตรงหน้าตัวเองแล้วเอามือป้องไว้ “คราวก่อนนายชนฉันจนแกงหกหมด ฉันอดกิน นายก็อย่าหวังจะได้ชิมเลย”
ย่นจมูกแถมให้อีก ท่าทางเหมือนเด็กหวงของกินนั้นทำให้คนหล่อหัวเราะหึ
“ฉันไม่แย่งหรอก ให้นายป้อนดีกว่า”
“ว่าไงนะ?!”
“แฟนคลับฉันยังมองอยู่นะ”
“ไม่จริงอ่ะ พวกนั้นเค้า...” อี้ชิงมั่นใจว่าพวกสาวๆ สลายตัวไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็เถอะ แต่พอหันไปมองรอบๆ แล้วก็ถึงกับต้องรีบหันกลับ คริสไม่ได้ขู่เล่นๆ แต่คนกว่าครึ่งแคนทีนกำลังมองมาที่พวกเขา ไม่ใช่แค่สาวๆ เด็กผู้ชายบางคนที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ กันนั้นก็ด้วย “ทำไมยังอยู่ล่ะ?”
ลู่หานได้แต่ยักไหล่ยิ้มๆ เขาเห็นแต่แรกแล้วว่าพวกแฟนคลับไม่ได้ไปไหนไกล แค่ลุกจากโต๊ะนี้แล้วกระจายตัวกันไปนั่งสังเกตุการณ์อยู่รอบๆ พร้อมกับเสียงซุบซิบอย่างอื้ออึง อยู่ตรงนี้อี้ชิงคงไม่ได้ยิน
“ไม่กล้ารึไง? จะยอมแพ้ก็ได้นะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นทำให้คนตัวเล็กต้องกัดปาก ยิ่งถูกท้าก็ยิ่งรู้สึกว่าหมอนี่จงใจแกล้งกัน ถ้าเขาลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปตอนนี้ ไม่ใช่แค่อาจถูกไล่ออกจากชมรม แต่คงถูกหัวเราะเยาะซ้ำอย่างสะใจด้วยแน่ๆ
สุดท้ายอี้ชิงก็พ่นลมหายใจออกมา ใช้ช้อนกลางบรรจงตักน้ำแกงสีเขียวอ่อนมาใส่ชามข้าวตัวเอง คลุกๆ นิดหน่อยแล้วตักข้าวชุ่มน้ำแกงนั้นแต่พอดีคำ ยื่นช้อนไปตรงหน้าคนที่วาดยิ้มรออยู่
“ชิมสิ” ไม่ลืมแสร้งปั้นยิ้มเอาใจด้วย และคริสก็อ้าปากให้เขาป้อนอย่างเต็มใจ “อร่อยมั้ย?”
“ก็ดีนะ” คนตัวเล็กเอียงคอน้อยๆ อย่างที่เรียกได้ว่าเกือบจะน่ารัก หากว่าคริสจะไม่ได้ยินประโยคที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มนั้น
“งั้นทีหลังก็ซื้อเองนะ จะได้ไม่ต้องมาแย่งคนอื่นกิน”
ลู่หานถึงกับหลุดขำพรืดจนต้องรีบเอามือตะปบปาก หันไปมองรอบๆ ตัว เหล่าแฟนคลับทั้งชายหญิงพากันส่งเสียงหวีดร้องด้วยความหมั่นไส้ปนอิจฉา แต่ก็ทำได้แค่มอง ไม่มีใครกล้าเข้ามาขัดทั้งนั้น อี้ชิงคงไม่รู้ตัวหรอก ตอนที่ตัวเองเข้าหาคนหล่อแบบจู่โจมซะขนาดนั้น แต่กลับไม่ถูกรำคาญใส่หรือขับไล่ เพียงแค่รุ่นพี่หันมามองอย่างสนอกสนใจก็ทำเอาพวกสาวๆ แพ้ราบคาบ และยอมถอยออกไปเอง แล้วยังตอนนี้ ภาพที่เห็นคือรุ่นพี่สุดหล่อกับรุ่นน้องแปลกหน้ากำลังส่งยิ้มหวานและป้อนอาหารให้กันอย่างน่ารักก็จริง หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังฉากกุ๊กกิ๊กนั้น ทั้งสองกำลังเขม่นใส่กันอย่างน่าสนุกแค่ไหน อย่างน้อยก็ลู่หานคนนึงล่ะที่สนุก เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของคริสคนดังมามาก แต่เพิ่งจะมีโอกาสได้พูดคุยกันก็เมื่อเช้านี้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่ารุ่นพี่นักศึกษาแลกเปลี่ยนดูเป็นคนนิ่งๆ และเย็นชาอย่างที่เค้าว่ากัน แต่ไม่ใช่เวลาที่อยู่ต่อหน้าจางอี้ชิง เขาเห็นกับตาว่ารุ่นพี่มักจะมีรอยยิ้มติดที่มุมปาก อาจจะดูยียวนในบางครั้ง แต่ลู่หานมองออกว่ามันแฝงไว้ด้วยความเอ็นดูเสมอ และสายตาที่มองเพื่อนตัวเล็กของเขานั้น สายตาที่บ่งบอกว่าไม่ว่าอี้ชิงจะทำอะไร ก็จะอยู่ในสายตาของเค้าเสมอ อี้ชิงชอบบอกว่าตัวเองไม่ถูกชะตากับรุ่นพี่เลย ก็อาจจะจริง เพราะไม่เคยมีใครที่ทำให้อี้ชิงของเขาแสดงอารมณ์ออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้ อี้ชิงที่ใจเย็นและไม่เคยเก็บเอาเรื่องใดมาใส่ใจ กลับกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายเพียงแค่เห็นหน้าหล่อๆ ของรุ่นพี่ ถึงขนาดแค่เอ่ยชื่อก็ยังทำให้อารมณ์เสียได้
น่าแปลกมั้ยล่ะ คนสองคนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันซักอย่าง กลับถูกบางอย่างดึงดูดให้ต้องมาใกล้ชิดกัน แค่วันแรกยังสนุกขนาดนี้ ลู่หานล่ะอยากจะเห็นตอนที่ทั้งคู่เป็นแฟนกันซะจริงๆ
แบบนี้แหละ เค้าถึงเรียกว่าเหมาะสมคู่ควรกันที่สุด!
.
.
.
เกือบหกโมงเย็นแล้ว ตอนที่อี้ชิงมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกดปุ่มสีเขียวบนโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรออกไปหาเบอร์ที่ค้างอยู่บนหน้าจอ คราวนี้ไม่เหมือนอีกห้าหกสายที่โทรไปก่อนหน้า รออยู่เพียงครู่ก็ได้ยินเสียงตอบรับ
[ว่าไงอี้ชิง?]
“ฉันโทรหานายตั้งหลายรอบ ทำไมไม่รับโทรศัพท์?”
[ขอโทษที อาจารย์ปล่อยช้าน่ะ]
“แล้วนี่จะออกมาหรือยัง?” อี้ชิงปรายสายตาไปยังสนามบาสเก็ตบอลเบื้องล่าง ผู้เล่นหลายคนกำลังวิ่งพล่านกันในสนามเพื่อไล่ตามลูกบอลสีส้มลูกเดียวกัน ที่รอบนอกของสนามก็มีกองเชียร์ที่คอยส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดทุกครั้งที่รุ่นพี่สุดหล่อแย่งลูกมาไว้ได้ในครอบครอง ขนาดอยู่บนอัฒจันทร์สูงขนาดนี้ยังแสบแก้วหูเลย ไม่รู้คนในสนามทนเล่นกันเข้าไปได้ยังไง ลู่หานคิดยังไงนะถึงได้นัดให้มาเจอที่นี่ “นายไม่ลืมใช่มั้ยว่ามีนัดกับฉันเย็นนี้น่ะ”
[ไม่ลืมๆ แต่ว่า... อาจารย์เพิ่งจะให้โปรเจคมาทำน่ะ ฉันต้องประชุมกับเพื่อนต่อ]
“จะเบี้ยวอีกแล้วสินะ”
[ง่า ขอโทษจริงๆ น้า]
“ช่างเถอะ ฉันกลับก่อนก็ได้”
[เฮ้ย ไม่ได้สิ เอ่อ ฉันหมายถึง ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ ไหนๆ นายก็อยู่ในโรงยิมแล้ว นั่งดูรุ่นพี่ซ้อมเพลินๆ ไปก่อนก็ได้]
“ไม่เอาอ่ะ น่าเบื่อจะตาย ฉันติดแหงกอยู่ที่นี่มาสองอาทิตย์แล้วนะ นายลืมไปแล้วรึไง”
[เอาน่า จะได้เห็นกับตาด้วยไง ว่ามีใครในทีมมาตามตื๊อขอออกเดทกับรุ่นพี่จริงหรือเปล่าน่ะ]
“แล้วทำไมนายไม่...”
[แค่นี้ก่อนนะอี้ชิง เพื่อนเรียกแล้วอ่ะ แล้วเจอกันที่หอนะ บาย]
อี้ชิงกดตัดสายโทรศัพท์ทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยคำลาด้วยซ้ำ พ่นลมหายใจอีกครั้งอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ไหนว่าจะช่วยกัน นัดมาที่นี่แล้วทิ้งกันไว้แบบนี้เหมือนแกล้งกันมากกว่า
ได้ยินเสียงเป่านกหวีดยาวๆ เป็นสัญญาณหมดเวลา ในสนามคงเลิกซ้อมกันพอดี อี้ชิงหันไปมองอีกครั้งก็เห็นว่าสมาชิกกำลังแยกย้ายและทยอยกันเดินไปเก็บของบ้าง ไปทางห้องน้ำบ้าง จนเหลือเพียงคนตัวสูงสองคนที่ยังอยู่ในสนาม แน่นอนล่ะว่าหนึ่งในนั้นคือคริสคนดัง อี้ชิงเห็นเขาเดินไปตรงที่นั่งข้างสนามแล้วก้มๆ เงยๆ อยู่กับกระเป๋าและเสื้อผ้า ก่อนที่อีกคนจะตามเข้ามาชวนคุย แต่ไม่ใช่ธุระอะไรที่เขาต้องสนใจเสียหน่อย อี้ชิงยักไหล่แล้วหันไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย ในเมื่อลู่หานไม่มาตามนัดก็กลับเลยดีกว่า
แต่ระหว่างที่เดินลงจากอัฒจันทร์ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองในสนามอีกครั้ง แล้วก็บังเอิญสบเข้ากับดวงตาคู่คมที่ปรายมาพอดีเช่นกัน เมื่ออี้ชิงไม่หลบตา อีกฝ่ายก็ยังมองมาอยู่อย่างนั้นจนดูเหมือนจงใจจะจ้องกันมากกว่าแค่มองผ่าน คิ้วบางขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย คุยกับคนอื่นอยู่แล้วหันมามองเขาทำไมกัน หรือว่าใครคนนั้นกวนใจมากถึงต้องการตัวช่วย?
“หึ ฝันไปเถอะ”
ย่นจมูกเข้าให้ ต่อให้มีคนมาตามตื๊อจริงก็ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องเข้าไปขวางให้ทุกครั้งเสียหน่อย นี่ก็แค่คนเดียวเอง คงเอาตัวรอดได้อยู่หรอกมั้ง อี้ชิงออกเดินต่ออย่างใจเย็น แต่ถึงจะไม่อยากสนใจแค่ไหน สายตาก็ยังไม่วายแว่บไปมองด้วยความอยากรู้ คริสที่ยังคอยแต่จะมองมาทางเขานั่นทำให้ความสงสัยยิ่งมากขึ้น แต่พอเห็นว่าเขาหยุดเดินก็กลับหันไปสนใจคู่สนทนาต่อ อี้ชิงยกมือขึ้นกอดอกแล้วขมวดคิ้วฉับ ตกลงว่าจะเรียกร้องความสนใจหรือคิดจะกวนประสาทเขากันแน่ อารมณ์พาลทำให้สองขาก้าวเร็วขึ้นจนลงมาถึงพื้นโรงยิมฯในที่สุด เปลี่ยนใจไม่กลับบ้านแล้ว ไปหาเรื่องคนดังน่าจะดีกว่า
แต่แฟนคลับกลุ่มใหญ่ที่ยืนรอกันอยู่แค่เพียงรอบนอกของสนามทำให้สองเท้าต้องชะงัก ให้ฝ่ากลุ่มคนพวกนั้นเข้าไปยังไม่เท่าไหร่ แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ชมรมบาสเก็ตบอลออกกฏห้ามไม่ให้คนนอกข้ามเส้นเขตแดนเข้าไปในพื้นที่สนามในเวลาซ้อมอย่างเด็ดขาด แล้วเขาจะเข้าไปได้ยังไงกัน กอดอกแล้วบุ้ยปากอย่างใช้ความคิดอยู่เพียงครู่ก็ยิ้มออก ถึงเวลาที่ต้องใช้สิทธิพิเศษที่จงแดเคยให้ไว้แล้วล่ะ
อี้ชิงเปิดประเป๋าเป้แล้วค่อยๆ หยิบกล้องตัวโปรดขึ้นมาสะพายติดคอไว้ ก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้าไปขอแหวกทางบรรดาแฟนคลับ แล้วก้าวข้ามเส้นเข้าไปในเขตสนามในทันที
“นี่นาย เค้าห้ามเข้าไปในเขตสนามนะ” มีเสียงทักท้วงดังขึ้นอย่างที่คิด และอี้ชิงก็หันกลับไปมองพร้อมรอยยิ้ม ยกกล้องที่คล้องคอขึ้นให้เห็นชัดๆ
“เค้าห้ามคนนอก แต่ฉันเข้าได้ ฉันมาทำข่าว”
แล้วก็เดินจากมาโดยไม่สนเสียงประท้วงขอความยุติธรรมจากบรรดาแฟนคลับขี้อิจฉา ช่วยไม่ได้นะ ที่ผ่านมาเขาก็ตามถ่ายรูปพ่อคนดังมาลงในเวบเพจให้ได้เสพย์กันมาตลอด ตอนนี้ก็ขอใช้สิทธิพิเศษบ้างแล้วกัน
คริสหันมาเห็นตอนที่เขากำลังยิ้มสนุกจนหุบไม่ทันเลยทีเดียว ใครอีกคนนั้นก็ด้วย คนตัวเล็กก็เลยโบกมือน้อยๆ เพื่อทักทายแก้เก้อ พอเห็นกล้องที่คล้องอยู่บนคอของเขา คนแปลกหน้าเลยรีบขอตัว
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
“โอเค ไว้เจอกัน” คริสพยักหน้าแล้วมองจนเพื่อนร่วมทีมซ้อมเดินห่างออกไปแล้วถึงได้หันมาหาคนตัวเล็กที่ยืนยิ้มอยู่ไม่ไกล ท้าวสะเอวแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ
“เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
“มีนี่อยู่ก็ไปได้ทุกที่นั่นแหละ” อี้ชิงยกกล้องที่คล้องคอขึ้นอวด เอียงคอน้อยๆ เพื่อมองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่เพิ่งเดินไป ปลอกที่สวมบนแขนนั้นบ่งบอกถึงสถานะในทีมบาสฯได้ดี “กัปตันทีมเลยเหรอเนี่ย...”
“อะไร?”
“ก็นายบอกว่าคนที่เล่นบาสด้วยกันทุกวันมาชวนออกเดท ใช่คนนี้หรือเปล่า?”
“ใช่ที่ไหนกัน กัปตันเค้ามาชวนฉันให้ลงแข่งบาสระดับมหา’ลัยเดือนหน้าต่างหาก”
“อ้าว แล้วเมื่อกี้ที่นายมองมาทางฉัน ไม่ใช่ว่าจะส่งซิกให้มาช่วยกันท่าให้หรอกเหรอ?”
“ฉันก็แค่มองเฉยๆ ไม่ได้ส่งซิกอะไรทั้งนั้นแหละ” พูดแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ ตีสีหน้าว่าระอา “เพ้อเจ้อจริงๆ เลยนายเนี่ย”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เห็นมีแฟนคลับอยู่ซะทุกที่” บ่นอุบอิบพลางย่นจมูกใส่หลังเมื่อคนตัวสูงหันไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ไม่เห็นต้องว่ากันเลย ไอ้เรารึก็นึกว่าต้องการความช่วยเหลือ รู้งี้กลับไปซะตั้งแต่ตอนแรกก็ดี
“แล้วนั่นจะไปไหน?” อี้ชิงที่กำลังจะเดินออกจากสนามหันมาตอบเสียงห้วน
“กลับบ้านน่ะสิ ไม่มีธุระแล้วจะอยู่ต่อทำไม”
“ออกไปแบบนั้นไม่กลัวคนข้างนอกนั่นรุมทึ้งเอารึไง” สองเท้าเล็กชะงักเมื่อมองไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า กลืนน้ำลายอย่างนึกขนาดเมื่อเห็นด้วยว่าคริสคงไม่ได้ขู่เล่นๆ เมื่อกี้เขาเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับกล้องที่คล้องบนคอแล้วบอกว่าจะมาทำข่าว ยังไม่ทันได้ลั่นชัตเตอร์ซักรูป ขืนกลับออกไปมือเปล่าแบบนี้ เกิดพวกแฟนคลับนึกหมั่นไส้ขึ้นมาได้รุมกันฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ แน่ “รออยู่นี่แหละ ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“ให้รอทำไมล่ะ?”
คริสหันมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย บอกเสียงเรียบเหมือนเป็นคำสั่งมากกว่าคำชวน
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
.
.
.
ทู บี คอนตินิว...
คนรอง: ขออภัยที่เอามาลงช้านะคะ แต่คือเขียนแล้วแก้อยู่หลายรอบเพราะเขียนออกมาไม่ได้ดั่งใจ ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ยังรออ่านนะคะ
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^
ความคิดเห็น