ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #16 : [SF] Time...

    • อัปเดตล่าสุด 12 ส.ค. 57



    [SF] Time…

    Fiction by 2nd Admin

     

     

     

     

     

    ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน

    บางสิ่งบางอย่างยังคงเดิม

    ใครบางคนยังเหมือนเดิม

    และความรู้สึกที่มีให้ใครอีกคน... ยังคงเป็นเช่นเดิม

     

     

     

     

    “ได้แล้วเกอ เจอแล้วล่ะ ตกอยู่ข้างเบาะรถเอง กำลังจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แล้ว”

    [งั้นรออยู่หน้าลิฟท์เลยนะ]

    “อื้อ รอแป๊บนึง”

    ประตูกระจกที่กั้นทางออกสู่ลานจอดรถเลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติเพื่อเปิดทางให้เด็กหนุ่มร่างเล็กหนึ่งในสมาชิกกลุ่มไอด้อลชื่อดังก้าวเข้ามาสู่โถงหน้าล็อบบี้ของโรงแรมหรู ขาคู่เล็กสลับก้าวอย่างรีบร้อนผ่านผู้คนที่พลุกพล่านเพื่อจะไปให้ถึงหน้าลิฟท์โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลืมที่จะผงกศีรษะน้อยๆ ขอบคุณพนักงานต้อนรับที่ยืนเรียงรายคอยช่วยนำทางให้ ป่านนี้พี่ยองมินเมเนเจอร์คงบ่นแย่ เผลอๆ พี่ชายคนสนิทก็จะโดนดุไปด้วยที่ปล่อยให้เขากลับลงมาที่ลานจอดรถตามลำพัง จางอี้ชิงมัวแต่ร้อนใจจนไม่ทันได้มองดูรอบข้าง ทันทีที่ถึงหน้าลิฟท์และเอื้อมมือออกไปหมายจะกดปุ่มเรียก ก็กลับชนเข้ากับมือใหญ่ของใครอีกคนที่เอื้อมมาถึงก่อน

    “อ๊ะ ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มผงกศีรษะน้อยๆ อย่างสุภาพ อาจจะเป็นพนักงานของโรงแรมที่ช่วยกดให้ รีบร้อนจนไม่ทันระวังอีกแล้ว ถ้าลู่เกออยู่ด้วยก็คงถูกดุอีก นึกถึงหน้าบ้องแบ๊วที่พยายามจะเก๊กให้ดูน่าเกรงขามของกวางหนุ่มแล้วเมนเต้นคนเก่งก็แอบอมยิ้มเงียบๆ คนเดียว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ลู่หานคอยตามติดแล้วก็ดูแลเอาใจใส่ในทุกเรื่องของอี้ชิง แม้บางทีเขาจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจให้ฝ่ายนั้นหงุดหงิดเล่น แต่ในใจก็นึกขอบคุณเหลือเกินที่มีพี่ชายอย่างลู่หานคอยอยู่เคียงข้าง คนรองของวงเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อสองปีก่อน คนนอกอาจจะมองไม่ออก แต่อี้ชิงนี่แหละที่รู้ดีที่สุด แม้จะรู้ดีว่าทุกอย่างจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่เขายังยิ้มได้ ความห่วงใยจากพี่ชายคนสำคัญทำให้เขาเกือบจะลืมช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดไปได้หมดแล้ว ...เกือบแล้วจริงๆ

     

    “อี้ชิง”

    น้ำเสียงทุ้มนั้นยังคงคุ้นหูแม้ไม่ได้ยินมานานมาก หัวใจเต้นแรงเพียงแค่ความคิดหนึ่งที่อี้ชิงขอให้มันไม่เป็นจริงแว่บเข้ามา ดวงหน้าหวานที่เจื่อนยิ้มค่อยเงยขึ้นช้าๆ กระทั่งประสานสายตากับดวงตาคมดุใต้เรียวคิ้วหนา ทว่าแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่อี้ชิงไม่มีวันลืม

    “อู๋ฟาน...” เจ้าของชื่อนั้นยิ้มรับ เรือนร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการก้าวมายืนตรงหน้าในขณะที่อี้ชิงยืนนิ่ง เพียงแค่คิดว่าสัมผัสจากมือใหญ่เมื่อครู่เป็นของคนตรงหน้า มือเล็กก็สั่นน้อยๆ จนต้องงอนิ้วกำเอาไว้

    “ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีหรือเปล่า?” คำทักทายแสนธรรมดา ทว่าอี้ชิงต้องกลั้นใจอยู่นานกว่าจะพยักหน้าตอบ

    “...อื้ม” นาน... นานมาก ...นานเสียจนคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

    “นายมางานประกาศรางวัลหรือ?”

    “ใช่...”

    “งั้นก็คงได้รางวัลใหญ่สินะ” บนชั้นยี่สิบห้าของโรงแรมกำลังมีงานใหญ่ เป็นงานประกาศรางวัลของวงการบันเทิงในระดับเอเซีย เป็นธรรมเนียมของค่ายเพลงใหญ่ๆ ที่จะส่งศิลปินอันดับต้นๆ ของตนมาร่วมในงานประกาศรางวัลก็ต่อเมื่อศิลปินกลุ่มนั้นได้รับรางวัลด้วย แม้จะผ่านไปกี่ปี แต่ธรรมเนียมนี้ก็ยังเป็นที่รู้กันดีในวงการบันเทิง ไม่น่าแปลกใจที่อดีตคนที่เคยยืนรับรางวัลอยู่บนเวทีเดียวกันจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย “ดีใจด้วย พวกนายคงทำงานหนักกันน่าดู”

    “ขอบใจ” คริสเองก็คงเช่นกัน ...ในฐานะนักแสดงดาวรุ่งที่มีชื่อเสียงมากในตอนนี้ สองปีที่ผ่านมา คริสมีข่าวว่าได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงหลายๆ คน แต่อี้ชิงไม่มีโอกาสได้ติดตามผลงานเหล่านั้น ทั้งรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นและความมุ่งมั่นตั้งใจคงทำให้คริสรับรางวัลใหญ่ๆ ได้ไม่ยาก แต่อี้ชิงไม่ได้ถามกลับ ตาคู่สวยเลี่ยงมองตัวเลขสีแดงเหนือประตูลิฟท์และภาวนาขอให้ลิฟท์ลงมารับเขาเร็วๆ

    “แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกันหมดล่ะ?”

    “อยู่ที่งานแล้วล่ะ ฉันลืมของไว้ที่รถ ก็เลยกลับไปเอา”

    “ขี้ลืมไม่เปลี่ยนเลยนะ” ทำไมถึงรู้สึกเจ็บเพียงแค่ได้ยินอย่างนั้น กลีบปากอิ่มที่ฝืนยิ้มนี้สั่นระริกจนอี้ชิงต้องกัดเอาไว้ หากพลังของจงอินมีจริงก็คงดี เขาอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้เลย

     

    ประตูลิฟท์เปิดออกในที่สุด และคนตัวสูงก็ผายมือให้เขาเดินนำเข้าไปก่อน ไม่มีใครคนอื่นอีก พนักงานหน้าลิฟท์คอยดูแลไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่มย่ามกับแขกที่มาร่วมงานใหญ่อยู่แล้ว หากจะเลี่ยงโดยบอกว่าลืมของอย่างอื่นแล้วรอลิฟท์ตัวถัดไปก็คงได้ แต่เขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม เขาจะต้อง... กลัวคนๆ คนนี้ไปทำไมกัน

     

    อี้ชิงรู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่ประตูลิฟท์ปิดลงและเหลือเพียงพวกเขาสองคนกับความเงียบ ...เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดขัด เงียบ... จนแทบได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งของตัวเอง รู้สึกอึดอัดเสียจนนึกอยากจะทำลายความเงียบนั้น แต่ใครอีกคนคงรู้สึกเช่นเดียวกัน ถึงได้ชวนคุยเสียก่อน

    “พักนี้นายคงยุ่งๆ ฉันตามข่าวเห็นว่านายได้เป็นเอ็มซีรับเชิญในหลายๆ รายการเลย” อี้ชิงหลับตาแน่นก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้าๆ พยายามกดเสียงตัวเองไม่ให้สั่นยามที่เอ่ยตอบ

    “นาย... ตามข่าวฉันด้วยเหรอ?”

    “ถึงจะไม่ได้เจอกัน แต่ฉันก็ยังอยากรู้ข่าวคราวของนายนะ หรือว่านายไม่อยากรู้เรื่องของฉันบ้าง?”

    มือเล็กบางนั้นสั่นน้อยๆ จนอี้ชิงต้องกำมันไว้ ลมหายใจติดขัดเพราะหัวใจที่กระหน่ำเต้นอย่างรุนแรงจนเจ็บแน่นไปทั้งอก ในลิฟท์มันแคบเกินไป ทั้งแคบและเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย เหมือนเช่นเมื่อครั้งที่เสียงทุ้มยังคอยกระซิบอยู่ข้างหู กลิ่นโคโลญจ์และอาฟเตอร์เชฟ... อี้ชิงไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมเพราะมันฉุนจมูก เขาเคยบอกกับใครคนหนึ่ง และใครคนนั้นก็ไม่เคยใช้น้ำหอมอีกเลย ทุกครั้งที่อยู่ใกล้จะได้เพียงกลิ่นโคโลญจ์และอาฟเตอร์เชฟจางๆ ...เหมือนในตอนนี้ กลิ่นที่อี้ชิงเคยชอบมัน แต่ตอนนี้กลับทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก ...อึดอัดจนแทบจะทนไม่ไหว

     

    สุดท้ายแล้วจางอี้ชิงก็ทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็คิดว่ามันบ้ามาก

     

    “กดเร่งแบบนั้นลิฟท์มันก็ไม่เร็วขึ้นหรอก”

    แต่นิ้วเล็กยังกดเลขชั้นยี่สิบห้าซ้ำๆ และยิ่งรัวเร็วขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยห้าม เขาเกลียดน้ำเสียงที่ทอดนิ่งอย่างใจเย็น คริสเป็นแบบนี้เสมอ เย็นชา... ไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกของคนรอบข้างบ้างเลย

    “พอเถอะอี้ชิง”

    มือบางกำขืนเมื่อถูกกุมไว้ เพียงขยับข้อมืออีกข้างก็ถูกจับไว้อีก

    “ปล่อยฉัน” ไม่ใช่คนคุ้นเคยกันแล้ว อี้ชิงไม่ชอบใจเลยที่อีกฝ่ายยังถือสิทธิ์แบบนี้

    “......”

    “ปล่อยฉันสิอู๋ฟาน”

    “ไม่อยากอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้เชียวหรือ?” เพราะการกระทำนั้นบอกชัด ถึงตอนนี้อี้ชิงก็ยังไม่ยอมสู้สายตาคนตรงหน้า ...ไม่อยากเห็น ไม่อยากอยู่ใกล้ บางสิ่งบางอย่างกำลังจะพังทลายลง บางสิ่ง... ที่คิดว่าเวลาจะช่วยทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นได้ อี้ชิงไม่อยากยอมรับว่าเขากำลังพ่ายแพ้ ทั้งที่แรงน้อยกว่าแต่กลับยื้อยุดหมายให้สองมือเป็นอิสระ

    แต่จู่ๆ ลิฟท์ก็เกิดอาการกระตุกอย่างแรงจนร่างเล็กเซถลา แต่เพราะสองมือยังถูกจับไว้มั่น แรงดึงจึงพาให้ทั้งร่างปลิวเข้าหาอกกว้าง แก้มนิ่มชนเข้ากับแผ่นอกของคนตรงหน้าอย่างจัง

    “อ๊ะ!

     

    ปึ้ก!

     

    ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงด้วยอาการชาที่ข้างแก้ม ได้ยินเสียงรัวกลองยังนึกตำหนิหัวใจตัวเอง หารู้ไม่ว่าเป็นของหัวใจอีกดวงที่เต้นในจังหวะเดียวกัน กระทั่งเจ้าของแผ่นอกที่ให้พักพิงนั้นถามขึ้นเบาๆ

    “เป็นอะไรมั้ย?” ถึงได้รู้ตัวว่าอยู่ใกล้ชิดจนเกินไป อี้ชิงรีบดันตัวเองออกห่าง มองข้อมือทั้งสองที่ยังรู้สึกชาๆ แก้เก้อก็เห็นรอยแดงที่ค่อนข้างชัด คนที่ออกแรงกับมันก็คงเห็นเช่นกัน “ขอโทษนะ เจ็บหรือเปล่า”

    ครั้นพอมือใหญ่ยื่นออกมาหากลับรีบดึงมือหลบแล้วเบี่ยงกายหันข้างให้

    “ฉันโอเค”

     

    ดูเหมือนลิฟท์จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ตัวเลขที่บอกชั้นก็ค้างแค่เลขสิบสอง ผิดปกติแล้วล่ะ ขณะที่อี้ชิงกำลังคิดว่าลิฟท์คงจะเสีย คริสก็เอื้อมมือมากดปุ่มให้ประตูเปิด แต่ย้ำอยู่สองสามครั้งก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สุดท้ายก็ลองกดปุ่มสีแดงที่อยู่ล่างสุดแล้วกรอกเสียงลงไป

    “มีใครอยู่มั้ยครับ ลิฟท์ตัวนี้ติดอยู่ที่ชั้นสิบสอง” ครู่หนึ่งก็มีเสียงตอบกลับมาทางลำโพง

    “รับทราบครับ เราเห็นจากกล้องวงจรปิดแล้ว รอซักครู่นะครับ จะรีบให้ทีมช่างแก้ไขให้”

    อี้ชิงนึกเป็นกังวลเพราะไม่รู้ว่าช่างจะซ่อมเสร็จตอนไหน ต่างฝ่ายต่างก็มีงานรออยู่ แต่ทำไมเหมือนจะมีแค่อี้ชิงที่ร้อนใจอยู่คนเดียว พ่อดาราดังเค้ายืนเอามือล้วงกระเป๋า ทางทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวออกอย่างนั้น

    “ดีมั้ยล่ะ ทีนี้ก็เลยได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น” ประชดกันชัดๆ! จะโทษว่าเป็นเพราะเขาไปกดปุ่มเร่งเมื่อกี้นี้สินะ อี้ชิงมุ่ยหน้าแล้วหยิบมือถือขึ้นมา ตั้งใจจะโทรไปฟ้องลู่หาน แต่พอเห็นสัญญาณที่หน้าจอแล้วก็ต้องร้องครางอย่างสิ้นหวัง

    “ไม่มีสัญญาณเหรอเนี่ย...”  มองหน้าคนที่ติดแหงกอยู่ด้วยกัน เผื่อว่าโทรศัพท์ราคาแพงของฝ่ายนั้นจะจับสัญญาณได้ดีกว่า แต่คนตัวสูงกลับยักไหล่

    “ฉันไม่ได้พกมือถือ อยู่ที่ผู้จัดการ”

    ให้ตายเถอะ โชคไม่เข้าข้างเลย คนตัวขาวถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง เอนแผ่นหลังพิงลงกับผนังลิฟท์แล้วก็เอาแต่มองหน้าจอมือถืออยู่แบบนั้น นึกโทษตัวเองในใจว่าไม่ควรดื้อเลย ถ้าไม่หนีลงมาเอามือถือคนเดียว ก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่ต้องติดอยู่ในลิฟท์ แล้วก็... ไม่ต้องเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดด้วย

    “ฉันน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”

    “....?”

    “ที่ถามเมื่อครู่น่ะ ฉันน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่านายคิดยังไง”

     

    คำถามเมื่อครู่...?

     

    “ไม่อยากอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้เชียวหรือ?”

     

    แต่ทำไมต้องใจสั่นเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มหมอง ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือ แม้จะผ่านมาแล้วสองปี แต่ต้องมาเจอกันอีกครั้งโดยบังเอิญแบบนี้ จะให้เขายิ้มรับแล้วทักทายเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หากคนตัวสูงตรงหน้านี้ไม่ใช่อู๋ฟาน อี้ชิงคงฝืนตัวเองได้มากกว่า แต่เพราะเป็นนาย... อี้ชิงกลืนริมฝีปากแล้วเบือนหน้าเพราะไม่อยากสบสายตา บอกตัวเองให้อดทนอีกนิด เดี๋ยวลิฟท์ก็คงใช้การได้แล้ว

     

    “ขอโทษด้วยนะครับ เราต้องขออนุญาตตัดไฟในลิฟท์ชั่วคราว เพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ไม่ต้องกังวลนะครับ เรากำลังทำการซ่อมแซมลิฟท์อยู่ เดี๋ยวจะรีบเปิดประตูให้พวกคุณออกมา” เสียงจากลำโพงนั้นทำลายความหวังของอี้ชิงไปจนหมดสิ้น แค่ลิฟท์ค้างก็กลัวจะแย่แล้วยังจะมาตัดไฟกันอีก เขาจะทนอยู่ในที่ๆ ทั้งมืดและแคบแบบนี้ได้ยังไงกัน ร่างเล็กปรี่เข้าหาแป้นที่ข้างประตูแล้วกดปุ่มบอกกับพนักงานอย่างร้อนรน

    “เร็วหน่อยนะครับ ผมต้องรีบไปทำงาน”

    “ครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะครับ”

    ปล่อยมือจากปุ่มแล้วอี้ชิงก็ก้าวถอยหลังออกมาช้าๆ เพียงอึดใจไฟในลิฟท์ก็ดับพรึ่บ

    “ฮึก!” ร่างเล็กสะดุ้งน้อยๆ และราวกับว่าใครบางคนจะรู้อยู่ก่อนแล้วจึงได้ก้าวมายืนซ้อนหลัง อี้ชิงยืนนิ่งเมื่อแผ่นหลังบางแนบชิดอยู่กับอกกว้าง สองไหล่รับรู้ถึงสัมผัสจากมืออุ่นที่วางลง

    “ยังกลัวความมืดอยู่อีกหรือ?” เสียงทุ้มที่กระซิบถามนั้นอี้ชิงได้ยินอย่างชัดเจน ลมหายใจอุ่นที่รินรดต้นคอคงเพราะคนข้างหลังโน้มใบหน้าลงมาหา กลิ่นกายที่คุ้นเคยยิ่งทำให้หัวใจเจ็บแปลบ อี้ชิงหลับตาแน่นยามเมื่อข้อนิ้วอุ่นแตะไล้ที่ข้างแก้มแผ่วเบา

    “นายผอมไปเยอะเลยนะ แก้มกลมๆ หายไปหมดเลย ลู่หานดูแลไม่ดีหรือไง?”

    “ฉัน... ซ้อมหนักน่ะ แล้วก็ต้องควบคุมอาหารด้วย”

    “จริงจังเหมือนเคยเลย อย่าหักโหมจนไม่สบายไปเหมือนเมื่อก่อนล่ะ ฉันไม่ได้อยู่ใกล้ๆ คอยเตือนนายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะ” แม้ยามหลับตา ภาพของช่วงเวลาเหล่านั้นก็ยังวนเวียนมาให้เห็น อี้ชิงพยายามแล้ว แต่ไม่อาจบังคับร่างกายให้หยุดสั่นได้ สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้เจ็บไปทั้งอก ความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาบอกให้รู้ว่าเขากำลังจะแพ้ แต่อี้ชิงยังคิดจะฝืนตัวเองด้วยเรี่ยวแรงสุดท้ายที่มี

    “เรื่องพวกนั้นน่ะ ...ฉันลืมไปหมดแล้วล่ะ”

    “...งั้นหรือ ขอโทษนะ ฉันลืมตัวจุกจิกใส่นาย ไม่ทันคิดว่าทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว แต่ยังไง... ฉันก็เป็นห่วงนายเสมอนะ”

    อี้ชิงกลั้นใจดึงมือที่เกาะกุมไหล่ทั้งสองข้างออกแล้วหันมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูงตรงๆ ภายใต้แสงสลัวของไฟฉุกเฉินนั้น กลีบปากอิ่มเหยียดเป็นรอยยิ้มทั้งที่สั่นระริก

    “นายไม่จำเป็นต้องมาห่วงฉันหรอกนะ ฉันมีเพื่อนพี่น้องเยอะแยะ ฉันสบายดี มีความสุขมากเสียจนแทบจะลืมเรื่องของนายไปหมดแล้ว ฉันเกือบจะ... ลืม...” ทั้งที่ฝืนบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แต่ความกดดันที่ตีตื้นขึ้นมาก็ทำลายความพยายามของอี้ชิงไปจนหมดสิ้น “นาย... เราไม่น่ามาเจอกันอีกเลยจริงๆ!

    “อี้ชิง...”

    กำแพงที่เพียรสร้างและหวังให้แข็งแรงพอจะปกป้องหัวใจตัวเองได้มาตลอดสองปี กลับพังทลายลงง่ายๆ และกลายเป็นน้ำตาในที่สุด อี้ชิงกำลังร้องไห้ เป็นเพราะคนตรงหน้าที่กลับมาและทำให้หัวใจเขาต้องเจ็บอีกครั้ง ...เป็นเพราะอู๋อี้ฟาน เมื่อมือใหญ่ยื่นมาหมายจะซับน้ำตาให้ เขาจึงปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี

    “ทำไมไม่ลืมเรื่องของพวกเราไปให้หมด! ...ลืมฉัน นายควรจะลืมให้หมดตั้งแต่วันที่นายหันหลังไปจากพวกเรา ทำไมต้องบอกว่าเป็นห่วง ทำไมต้องคิดถึง สองปีที่แล้วนายหายไป ไม่มีคำบอกลา ไม่มีคำอธิบาย ฉันต้องรู้เรื่องของนายผ่านตัวหนังสือพวกนั้น ทั้งที่พยายามอยู่หลายครั้งแต่นายก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหา ตอนที่พวกเราร้องไห้ ตอนที่พวกเราเรียกชื่อนาย แต่นาย... นายกลับ... ฮึก! นายผิดคำสัญญา ฉันอยากลืม ลืมให้หมด เราไม่น่ามาเจอกันอีกเลยจริงๆ!

    “อี้ชิง...”

    “ฉันเจ็บ เข้าใจหรือเปล่าอู๋ฟาน ทั้งที่ฉันพยายามจะลืม แต่วันนี้นายกลับมายืนอยู่ตรงหน้า จะให้ฉันทำยังไง! ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้ว ฉันเกลียด เกลียด...!” เจ็บ... ทั้งที่เป็นฝ่ายเอ่ยออกไป ในหัวใจกลับยิ่งเจ็บ มือเล็กตะปบอกเสื้อตัวเองแล้วจิกลงจนแน่น อี้ชิงสะอื้นจนตัวโยน หอบหนักเหมือนคนหายใจไม่ทัน ในวินาทีที่รู้สึกเหมือนว่าใจกำลังจะขาด ทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปกอดไว้ 

     

    “...พี่ขอโทษ”

     

    น้ำตายิ่งไหลไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นไห้ด้วยหมดแรงจะขืนและฝืนออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่น ทั้งที่อยากผลักไส แต่เรี่ยวแรงกลับหายไปสิ้น อี้ชิงเจ็บใจตัวเองเหลือเกิน เจ็บที่หัวใจมันทรยศ ทั้งที่เขาฝืนตัวเองให้ทนอยู่โดยไม่มีความอบอุ่นนี้คอยโอบกอดมาตลอดสองปี แต่วันนี้ ความอ่อนแอในใจกลับทลายกำแพงแข็งแกร่งที่เขาเพียรสร้าง อี้ชิงเจ็บใจเหลือเกินที่ต้องยอมรับ ว่าเขาโหยหาอ้อมกอดนี้มากแค่ไหน

     

    “อี้ชิง พี่ขอโทษ พี่ขอโทษนะ พี่ขอโทษ...”

     

    คิดถึง... ฉันคิดถึงนายเหลือเกิน ...อู๋ฟาน

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “ทำไมยังไม่มาอีกนะ”

    ลู่หานกอดอกแล้วถอนหายใจแรงๆ อย่างกระวนกระวาย ประตูลิฟท์ซักตัวเปิดออกมาทีก็คอยมองหาร่างเล็กของน้องชายคนโปรดที่น่าจะออกมาพร้อมกับกลุ่มคนเหล่านั้น แต่รอมามานานกว่าสิบห้านาทีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววก็ยิ่งร้อนใจ จนกระทั่งหันไปเห็นพี่ผู้จัดการยองมินกำลังคุยกับพนักงานของโรงแรมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะพากันเดินตรงมาที่หน้าลิฟท์ เห็นผิดสังเกตุลู่หานก็เลยถาม

    “มีอะไรหรือเปล่าฮะฮยอง?”

    “พนักงานเค้ามาบอกว่ามีลิฟท์ค้าง แล้วอี้ชิงติดอยู่ในนั้นน่ะสิ นี่ฉันกำลังจะลงไปดู”

    “ลิฟท์ค้าง!? ตายล่ะ!

    “อย่าโวยวายไป โรงแรมเค้ากำลังหาทางแก้ไขอยู่ ตอนนี้ตัดไฟในลิฟท์แล้ว”

    “แล้วอี้ชิงอยู่ในนั้นคนเดียวหรือเปล่าฮะ เด็กนั่นยิ่งกลัวความมืดอยู่ด้วย”

    “เห็นว่ามีอีกคนอยู่ด้วยนะ ลงไปทำอะไรข้างล่างก็ไม่รู้” ยองมินกอดอกแล้วยกมือขึ้นลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันมาหรี่ตามองแล้วชี้นิ้วใส่หน้าเด็กหนุ่ม “นายรู้เรื่องด้วยใช่มั้ยลู่หาน?”

    พอถูกจับได้ คนรองของวงก็ทำหน้าแหย รับสารภาพเสียงอ่อย

    “ก็... คือ... อี้ชิงเค้าลืมมือถือไว้ที่รถน่ะฮะ ก็เลย...” ยังพูดไม่จบ ลิฟท์ก็ขึ้นมารับเสียก่อน เพราะต้องรีบลงไปดูแลเด็กอีกคน ยองมินก็เลยต้องคาดโทษกวางแสบเอาไว้ก่อน

    “กลับขึ้นมาฉันจะจัดการนาย”

    “ให้ผมไปด้วยนะฮะ!

     

    .

     

    .

     

    .

     

    คิดถึงเหลือเกิน ...ไออุ่น ...ความหอมหวาน

     

    สองมืออุ่นกอบประคองแก้มนุ่มอย่างทะนุถนอม

     

    สองมือเล็กยึดชายเสื้อร่างสูงไว้มั่นราวกับจะเหนี่ยวรั้ง

     

    หากหยุดเวลาไว้เพียงวินาทีนี้ได้... ก็คงดี

     

    ทว่าเพียงพริบตา แสงสว่างก็สาดส่องเข้ามาอีกครั้งเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ความมืดมิดที่บดบังค่อยเคลื่อนออกช้าๆ พร้อมกับไออุ่นที่โอบกอด อี้ชิงค่อยปรือตาสู้แสงสว่างและเห็นเพียงภาพที่พร่าเลือน เสียงที่ได้ยินนั้นอื้ออึงจนแทบไม่ได้ศัพท์ กระทั่งเสียงหนึ่งที่มักจะเรียกหาอย่างร้อนรนเสมอดังขึ้น 

    “อี้ชิง!

    เงาร่างสมส่วนนั้นค่อยชัดเจนขึ้นเมื่อเจ้าตัวก้าวเข้ามาหา แต่อี้ชิงเห็นว่าลู่หานชะงักเมื่อดวงตากลมโตนั้นมองไปยังใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเขา ไม่มีรอยยิ้มตอบแม้ว่าใครคนนั้นจะยิ้มทัก หลังจากสองปีที่ผ่านไป ต้องมาเจอกันโดยไม่คาดคิดอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็คงตีสีหน้าไม่ถูก

    มีคนแปลกหน้าอีกสองสามคนยืนอยู่หน้าลิฟท์ด้วย คริสพยักหน้าให้คนเหล่านั้นและอี้ชิงก็รู้ว่าคำอธิษฐานของเขาไม่มีวันเป็นจริง เพียงสัมผัสแผ่วเบาที่หลังมือก็ทำให้รู้สึกใจหาย เขากำลังจะสูญเสียอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนที่ผ่านมา ร่างสูงก้าวนำไปเพียงก้าวเดียวก็หันหลังกลับ อี้ชิงมองสบดวงตาคู่คมที่ฉายแววอ่อนโยนอย่างไม่หลบเลี่ยงไปไหน กระทั่งดวงหน้าหล่อเหลาค่อยโน้มลงมาหา กระซิบถ้อยคำที่ทำให้ขอบตาของอี้ชิงร้อนผ่าวอีกครั้ง

     

     

    “นายโอเคมั้ย?” ลู่หานเข้ามาถามในทันทีที่อี้ชิงก้าวออกมาจากลิฟท์ ดวงตากลมโตยังมองตามแผ่นหลังกว้างที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ความสนิทสนมทำให้เมนเต้นร่างขาวรู้ดีว่าพี่ชายหมายถึงอะไร ดวงตาคู่สวยวาวน้ำยามยิ้มตอบพี่ชายที่อยู่เคียงข้างกันมาเสมอ

     

    “ฉันโอเค”

     

    เวลาไม่อาจรักษาหัวใจที่เจ็บปวดได้ก็จริง แต่ก็ไม่อาจทำให้ความรู้สึกต่อใครคนนึงลบเลือนไปได้ ในความทุกข์ ยังมีความสุข ในความขุ่นเคือง ยังมีความคิดถึงอยู่เสมอ อี้ชิงไม่รู้สึกติดค้างใดๆ อีก เขาไม่อยากรู้เหตุผล และไม่อาจอ้อนวอนให้เวลาย้อนกลับไปสู่ห้วงแห่งความสุขเหล่านั้นอีกครั้ง แต่เขาจะอยู่ตรงนี้ และเดินไปข้างหน้าพร้อมๆ กับคนที่คอยอยู่เคียงข้างกันเสมอ

     

    “ขอบใจนะ”

     

    ยิ้มและบอกกับคนตรงหน้าด้วยน้ำตาที่ไหลรินออกมาอีกครั้ง และฝากสายลมไปบอกเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ราวกับเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ อี้ชิงได้ฟังคำบอกลาที่กระซิบข้างหู คำขอโทษที่กระซิบซ้ำๆ ผ่านริมฝีปากอุ่นที่จูบปลอบ อ้อมกอดที่แนบแน่นราวกับจะซึมซับและจดจำความอบอุ่นของกันและกันไปอีกนานเท่านาน

     

     

    ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกนานแค่ไหน

    บางสิ่งบางอย่างอาจจะยังคงเดิม

    ใครบางคนก็คงจะเหมือนเดิม

    และความรู้สึกที่มีให้ใครอีกคนนั้น... ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

     

     

    “ลาก่อน”

     

    ลาก่อน... โชคดีนะ ฉันจะคิดถึงนาย

     

    จนกว่าเราจะพบกันใหม่ ...อีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

    END.

     

     

     

     

      

    คนรอง: กลั่นออกมาจากความรู้สึกที่ค้างๆ คาๆ ภาษาไม่ได้ชวนดราม่าเท่าไหร่ อ่านแล้วอินหรือไม่อินยังไงบอกกันได้นะคะ ^^

     

    ความจริงมีเรื่องที่อยากจะเขียนตั้งแต่ตอนแรกที่คริสไม่อยู่ แต่ไม่อยากบิวท์ตัวเองให้ยิ่งดราม่าก็เลยพับพล็อตไป แต่หลังจากที่ได้ฟังเพลงนี้ แล้วก็รูปในไอจีที่พ่อพระเอกเค้าอัพ ก็เลยอยากเขียนอะไรสั้นๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง คนเราอยู่ได้ด้วยความหวังเนาะ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ขอแค่มี ’ความหวัง เราก็พร้อมที่จะรอ ^^

     

     ถึงจะเป็นฟิคสั้น แต่ถ้าอยากเวิ่นก็ติด #timeKL ละกันเนาะ จะตามไปรีทวิตทุกอันที่เจอ มาแสดงพลังแห่งความหวังกัน ^^ 

     

     

     


     
    (BG song: Time boils the Rail by Wu Yi Fan)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×