ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #15 : MKML ตอน 15 ::: How to...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 944
      6
      14 เม.ย. 57


    [Fic] My Kris, My Lay

    Fiction by 2nd Admin

     


    ตอนที่ 15

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เมื่อหกสมาชิกฝั่งเอ็มเสร็จสิ้นตารางงานในต่างประเทศและกลับมาพักที่เกาหลี อีกหกสมาชิกฝั่งเคกลับมีคิวงานที่แน่นเอี้ยดแทบจะทุกวันในตลอดหนึ่งสัปดาห์ หนุ่มๆ จึงแทบไม่มีเวลาได้เจอกัน ระหว่างนั้นเมเนเจอร์ฮยองก็บอกให้หนุ่มๆ พักผ่อนเตรียมตัวไว้สำหรับตารางงานแบบยาวเหยียดของพวกเขาในอาทิตย์หน้าเช่นกัน คนที่ต้องดูแลกันเป็นพิเศษก็คือจื่อเทา เพราะไฟล์ทล่าสุดที่กลับจากอเมริกานั้น เด็กหนุ่มเกิดอาการเมาเครื่องบินจนน็อคไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เลยทีเดียว

     

    “เราตกใจหมดเลยนะตอนนั้น จื่อเทาหน้าซีดมาก” คนรองของวงทำตาโต เล่านาทีระทึกใจตอนที่จื่อเทาซึ่งบ่นตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเครื่องแล้วว่าไม่ไหว หลังจากเท้าแตะพื้นและอาเจียนไปแล้วสองรอบก็มาคอพับซบอยู่กับไหล่ของเขาต่อหน้ากล้องของแฟนคลับนับสิบตัว “ทำอะไรไม่ถูกเลย สองมือก็ไม่ว่างเพราะต้องถือของ ได้แต่ถามแล้วก็ปลอบนั่นแหละ น้องมันคงไม่ไหวจริงๆ ได้ยินแต่เสียงครางเหมือนจะร้องไห้ให้ได้”

    “แต่ตอนนั้นนายแมนมากๆ เลยนะ ต่อหน้าแฟนคลับตั้งแยะ นายยังตั้งสติได้”

    “ก็เราเป็นพี่นี่นา ก็ต้องดูแลน้อง” ยืดตัวขึ้นรับคำชมของเปาน้อยหน้าใสอย่างภาคภูมิ ในขณะที่เฉินน้อยนั่งปรบมือแปะๆ ทำหน้าตาเชื่อถืออยู่กับพื้น ไม่ใช่แค่โอกาสที่ลู่หานจะได้โชว์แมนออกสื่อนะ แต่ยังรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่น้องชายตัวแสบซึ่งคอยแต่จะหาเรื่องแหย่กัน กลับหันมาหาเขาในเวลาที่กำลังแย่ “จะว่าไปเวลาเจ้าเด็กนั่นไม่สบายก็ขี้อ้อนดี ค่อยดูเหมือนน้องชายคนเล็กหน่อย”

    ซิ่วหมินพยักหน้าเห็นด้วย อยู่ที่จีนเขาเป็นรูมเมทกับเทา น้องเล็กดูเอาแต่ใจก็จริงแต่ก็ไม่เคยเล่นกับเขาแรงๆ อย่างที่เล่นกับลู่หาน จื่อเทาที่เปาน้อยรู้จักก็เลยเป็นแค่เด็กน้อยขี้อ้อนที่ชอบขอมานอนกอดเขาบนเตียงเดียวกันเพราะกลัวผีแค่นั้น

     

    “ว๊ากกกก! อย่าเข้ามานะแบคฮยอน ฉันสู้นะ!

    “ลองสู้สิไอ้โย่งหูกาง ฉันเอานายตายแน่ ย๊ากกก!

    เสียงผลักประตูเข้ามาโครมใหญ่เรียกความสนใจจากวงสนทนาเล็กๆ ในห้องนั่งเล่นได้ ซิ่วหมินกำลังจะอ้าปากถามน้องชายร่างสูงโย่งจากฝั่งเคที่วิ่งพรวดพราดเข้ามาแต่ก็ต้องรีบกระโดดหลบเมื่อเจ้าตัวเล็กอีกคนปีนขึ้นมาบนโซฟาที่เขานั่งอยู่

    “แน่จริงอย่าหลบ!”

    “ไม่หลบก็โดนนายซ้อมสิ”

    “ปาร์คชานยอล!”

    “อะไรเล่า! พยอนแบคฮยอน!

    “ไอ้...! ตายซะเถอะ!”

    “ว๊ากกกกก!

    หลังจากนั้นทั้งหอพักก็กลายเป็นสนามรบย่อมๆ ให้สองคู่กัดวิ่งไล่จับกันไปรอบๆ ทั้งลู่หาน ซิ่วหมินและเฉินต้องคอยหลบกันชุลมุน พอจะเข้าไปช่วยห้ามก็ไม่รู้จะห้ามใครก่อน ชานยอลที่ถือหมวกในมือซึ่งกำลังวิ่งหน้าตั้ง หรือหมาน้อยแบคฮยอนที่กำลังแยกเขี้ยวอยากจะงับหูคนตัวโตกว่านั่นดี

     

    “เอะอะเสียงดังอะไรกันน่ะ” กระทั่งเสียงทุ้มดุนั้นหยุดทุกการเคลื่อนไหวในหอพัก คริสที่เพิ่งออกมาจากห้องนอนกวาดตามองไปรอบหอพักแล้วขมวดคิ้วใส่สองสมาชิกที่ไม่ต้องมีใครบอกก็มั่นใจว่าเป็นต้นเหตุของเสียงรบกวนเวลาพักผ่อนยามบ่ายของเขา ท้าวสะเอวแล้วดุเสียงเข้ม “มันใช่ที่วิ่งเล่นมั้ย?”

    ปาร์คชานยอลทำตาเลิกลั่ก ชั่งน้ำหนักดูแล้วไอ้หมาเล็กที่กำลังจิกหลังเสื้อเขาอยู่นี่น่ากลัวกว่า เด็กหนุ่มร่างโย่งเลยอาศัยจังหวะที่แบคฮยอนเผลอรีบแกะมือเล็กที่เหนียวยิ่งกว่ากาวออกแล้ววิ่งไปหลบข้างหลังลีดเดอร์ฝั่งจีนในทันที

    “ฮยองช่วงด้วย! ไอ้ตัวเล็กมันจะฆ่าผม!

    “หลบข้างหลังฮยองแล้วนึกว่าจะรอดรึไง!” แบคฮยอนทำท่าจะกระโจนเข้าใส่แต่ก็ต้องชะงักเมือคริสยกมือขึ้นห้าม

    “ไปเล่นที่อื่นไป คนอื่นเค้าพักผ่อนกันอยู่”

    “ฮยองก็บอกไอ้หูกางนั่นสิ มันวิ่งเข้ามาในห้องนี้ก่อนนะ ถ้ายอมให้ผมเตะตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องก็ไม่ต้องมาวุ่นวายคนอื่นแบบนี้หรอก”

    “นายจะไม่ทำแค่เตะน่ะสิ คราวก่อนก็ไม่ยั้งมือเลย ถ้าคยองซูไม่มาช่วยฉันคงถูกนายบีบคอตายไปแล้ว!

    “ก็ใครใช้ให้นายมายุ่งกับของๆ ฉันเล่า!

    “แต่เราเป็นรูมเมทกันนะ ของแค่นี้ขอยืมหน่อยไม่ได้รึไง!

    “ไม่ได้ว้อย!

    “ว๊ากกก! อย่าเข้ามานะเฮ้ย!

    “หยุดดดด!! ทั้งคู่เลย” คริสต้องร้องห้ามอีกครั้งเมื่อเขากลายเป็นเสาหรือต้นไม้อะไรซักอย่างให้ทั้งสองคนวิ่งไล่วนไปวนมามาปวดหัว คว้าต้นแขนทั้งคู่ได้ก็จับให้หันมามองหน้า ทำตาดุใส่ “ไปเล่นข้างนอก หรือไม่ก็กลับไปที่ห้อง โอเคนะ”

    พูดเสร็จก็ปล่อยมือแล้วหันหลังจะเดินกลับเข้าห้อง แต่ปาร์คชานยอลปรายตามองคนตัวเล็กข้างๆ ที่ทำตาวาวแยกเขี้ยวใส่แล้วก็ขนลุกซู่ รีบก้าวขาตามในทันที

    “แว๊กกกก! ฮยอง อย่าทิ้งโผ้มมมม!

     

    “ใครมาเหรอ?” เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามเปิดประตูออกมา คนตัวขาวเดินขยี้ตางัวเงียออกมาโดยไม่รับรู้ถึงสถานการณ์วุ่นวายด้านนอก และไม่รู้ว่ากำลังยืนขวางทางน้องชายตัวโตๆ ที่กำลังพุ่งเข้าใส่ใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน

     

    “ว๊ากกกก!

     

    “อี้ชิงระวัง!

     

    ผลั่ก!

     

    “โอ๊ะ”

     

    ตุ้บ!

     

    “อี้ชิง!

     

    เกิดความเงียบเพียงชั่วอึดใจก่อนที่ทุกชีวิตในห้องจะรีบกรูกันเข้ามา แต่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดขยับขาเพียงก้าวเดียวก็ถึงตัวคนที่ตอนนี้ลงไปนั่งอยู่กับพื้นก่อน คริสจับไหล่บางไว้แล้วถามอย่างร้อนรน

    “เป็นอะไรมั้ย?” คนถูกชนจนล้มก้นจ้ำเบ้านั่งมึนอยู่ครู่หนึ่ง กลอกตามองสมาชิกร่วมวงที่รายล้อมอยู่รอบๆ แล้วก็ส่ายหน้า

    “ม.. ไม่เป็นไร”

    “แต่ตัวล้มก้นกระแทกเลยนะ ลองขยับตัวดูซิ เจ็บหลังรึเปล่า?” นั่นคือสิ่งที่ทุกคนเป็นห่วง เมนเต้นคนเก่งสภาพร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์นัก โดยเฉพาะช่วงเอวและหลัง ล้มก้นกระแทกแบบไม่ทันได้เซฟตัวเองแบบนี้อาจเป็นอันตรายได้ ลู่หานจับต้นแขนเล็กช่วยพยุงจนคนตัวขาวลุกขึ้นยืนได้ก็จับหมุนไปมาจนแน่ใจว่าไม่มีอาการผิดปกติที่ตรงไหนถึงได้พรูลมหายใจโล่งอก แต่แล้วทั้งหมดก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าของร่างสูงใหญ่ตวาดเสียงลั่น

     

    “เล่นบ้าอะไรของพวกนาย!

    ชานยอลถึงกับลนลานเมื่อจู่ๆ พี่ชายที่ได้ชื่อว่าเย็นชาและนิ่งเฉยเป็นที่สุดกลับเอ็ดเสียงดังแล้วยังมองหน้าเขาแบบโกรธๆ อีกด้วย ถึงตอนนี้ก็เลยเลือกที่จะวิ่งกลับไปหลบอยู่ข้างหลังคู่กัดตัวเล็กที่ยืนอึ้งด้วยความตกใจเช่นกัน

    “ข.. ขอโทษครับ พวกเราไม่ได้ตั้งใจ”

    “ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามวิ่งในห้องนี้!”

    “ต.. แต่พวกเราแค่...”

    “ถ้าอี้ชิงเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง!”

    “ตุ้ยจาง ฉันไม่เป็นไร” เสียงนุ่มบอกพร้อมมือเล็กที่วางบนท่อนแขนหมายให้เขาใจเย็นลง คริสหันมาเห็นสีหน้าเป็นกังวลของคนที่ตัวเองเป็นห่วงนักหนาแล้วถึงได้รู้ว่ากำลังสติหลุด ลืมตัวตวาดเสียงดังจนทุกคนในห้องตกใจกันไปหมด กวาดสายตามองสมาชิกทุกคนที่อยู่ในห้องแล้วลีดเดอร์ฝั่งจีนก็ถอนหายใจหนัก พลาดไปแล้วจริงๆ เขาขาดสติอย่างไม่น่าให้อภัย ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วค่อยผ่อนออกก่อนจะหันไปบอกกับคู่แสบด้วยเสียงที่กราดเกรี้ยวน้อยลง

    “...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พวกนายไม่น่าจะวิ่งซนกันแบบนี้”

    ชานยอลมองหน้ากันกับแบคฮยอนก่อนจะปล่อยมือที่เกาะไหล่เล็กแล้วก้าวออกมายืนข้างๆ ทั้งคู่ค้อมศีรษะลงพร้อมกันอย่างสำนึกผิด

    “ขอโทษครับอี้ชิงฮยอง ขอโทษครับคริสฮยอง”

     

    “เอะอะอะไรกัน เสียงดังไปถึงหน้าลิฟท์โน่น”

     

     

     

     

    เพราะมัวแต่เสียงดังเอ็ดอึงกันก็เลยไม่ทันรู้ว่าพี่ผู้จัดการกลับเข้ามาตอนไหน คู่ปรับชานแบคถูกดุเล็กน้อยแล้วก็บอกให้กลับไปพักที่หอตัวเอง คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไป ซิ่วหมินกับเฉินเข้าไปดูแลเทาในห้อง ส่วนลู่หานก็พาอี้ชิงไปพักในห้องเช่นกัน มีเพียงคริสที่ถูกเรียกตัวเอาไว้ที่ห้องนั่งเล่น

    “ฉันรู้ว่านายทำตามหน้าที่ ถ้าสมาชิกเล่นซนกันเกินไปจนอาจเป็นอันตราย นายก็มีหน้าที่ตักเตือนในฐานะลีดเดอร์คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้นายก็ใจเย็นมาตลอด แทบจะไม่เคยดุน้องๆ ด้วยซ้ำ แต่เมื่อครู่ที่ฉันเห็น นายดูโกรธมากกว่าที่ควรเป็นนะ” ปาร์คยองจุนผู้มีหน้าที่ดูแลไอด้อลหนุ่มทั้งสิบสองคนยืนกอดอกว่าเสียงเรียบอยู่ตรงหน้า ในขณะที่คริสนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาระดับภาพลักษณ์ของวงนั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาถอนหายใจเบาๆ เลี่ยงที่จะสบตาผู้ดูแลขณะที่ตอบ

    “ผมตกใจน่ะครับ อี้ชิงเค้าหลังไม่ค่อยดี กลัวว่าจะเจ็บหนัก”

    “แต่เจ้าตัวเค้าก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่นะ” คริสยังคงนิ่ง นั่นหมายถึงไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ยองจุนฮยองก็เลยได้แต่ถอนใจ “เอาเถอะ นายมีสิทธิ์เป็นห่วงสมาชิกในฐานะลีดเดอร์ แต่แค่นั้นพอ ฉันรู้ว่านายกับอี้ชิงสนิทกัน แต่ก็อย่างที่เคยบอก ความสนิทสนมต้องมีขอบเขต อย่าให้อารมณ์ส่วนตัวทำให้เสียเรื่องงาน”

    “...ผมเข้าใจครับ”

    “อ้อ แล้วเวลาอยู่ที่สนามบินหรือออกไปข้างนอกน่ะ ให้ลู่หานคอยดูแลอี้ชิงดีกว่านะ นายเป็นจุดเด่นเกินไป เข้าใกล้เค้าแฟนคลับก็จะยิ่งหันมารุม ถ้านายเป็นห่วงเค้าก็พยายามอยู่ห่างๆ ไว้จะดีกว่า”

    คราวนี้คริสไม่ได้รับปากหรือพยักหน้า พี่ยองจุนก็ไม่ได้อยู่รอฟัง ฝ่ายนั้นพูดเสร็จก็เดินไป เหมือนเช่นทุกครั้งที่คำแนะนำจากพี่ๆ ผู้จัดการกลายเป็นกฏหรือข้อห้าม พวกเขาไม่อาจปฏิเสธหรือโต้เถียงได้ คริสเคยชินกับการจดจำและอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์มากมายมาตั้งแต่ก่อนจะเดบิวต์ ในฐานะลีดเดอร์ เขาต้องปฏิบัติต่อสมาชิกอย่างเท่าเทียม และคริสก็ทำได้ดีมาตลอดจนกระทั่งในวันนี้ เขายอมรับว่าตัวเองทำเกินไป โมโหจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เหตุผลก็จริงอย่างที่พี่ยองจุนว่า และเพราะเหตุผลเดียวกันนี้ที่ทำให้เขาต้องดึงตัวเองออกมาให้ห่างจากเลย์ตั้งแต่ตอนแรก คริสรู้ดีว่าซักวันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ ต้องมีวันที่เขาพลาดเพราะถูกความรู้สึกส่วนตัวครอบงำ แม้ว่าการเสียงดังใส่น้องๆ จะดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่มันอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนี้คริสอาจจะทำอะไรที่เอาแต่ใจตัวเองไปมากกว่านี้ก็ได้ ร่างสูงคิดแล้วก็ถอนหายใจหนัก เอนหลังลงผิงพนักโซฟาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน

     

    ...จะทำยังไง ...เขาควรต้องทำยังไงดี

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “ไม่เป็นไรแน่ๆ นะ?”

    “อื้อ ให้กระโดดให้ดูมั้ย”

    “ตีลังกาเลยมั้ยล่ะ” คนรองว่าประชด แต่น้องชายกลับหัวเราะร่า พวกเขาสองคนอยู่ในห้องของอี้ชิง หลังจากถูกลู่หานจับตรวจร่างกายแบบละเอียดแล้วก็มานั่งคุยกันบนเตียง คุยโน่นคุยนี่กันอยู่ซักพัก ยิ้มหวานก็จางลงเมื่อคนตัวขาวมองไปที่ประตูห้อง คริสยังถูกเรียกตัวไว้ที่ห้องนั่งเล่น ยองจุนฮยองไม่ดุเท่าฮยองคนอื่นๆ ก็จริง แต่ที่คริสเผลอเสียงดังใส่น้องๆ ไปนั้นคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่ความผิดของคริสเลย อี้ชิงเองเสียอีกที่ซุ่มซ่ามจนเป็นเหตุให้คริสต้องโมโหขนาดนั้น

    “อู๋ฟานจะโดนดุรึเปล่าก็ไม่รู้”

    ลู่หานเองก็เป็นกังวลอยู่ ไม่เคยเห็นคริสสติหลุดขนาดนี้มานานมาก พอเลย์พูดเขาก็เลยลุกขึ้น

    “เค้าออกไปดูหน่อยดีกว่า” แต่พอเปิดประตูออกแล้วก็ต้องตกใจ ร่างสูงใหญ่ของลีดเดอร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไร้ซึ่งสุ้มเสียง แล้วมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    “อ้าวตุ้ยจาง ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ คุยกับยองจุนฮยองเสร็จแล้วเหรอ?”

    “อืม” คริสพยักหน้าตอบเรียบๆ ส่งเพียงสายตาลอบมองเข้ามาในห้อง “อี้ชิงเป็นยังไงบ้าง”

    “ไม่เป็นไรเลย สบายมาก”

    “งั้นก็ดี”

    “จะเข้ามามั้ย?” ลู่หานเบี่ยงตัวหลีกทางให้ เพราะคิดว่ายังไงคริสก็คงต้องอยากเข้าไปเห็นด้วยตาตัวเองว่าเลย์ไม่เป็นอะไรแน่ๆ แต่ก็ผิดคาด นิ่งไปครู่เดียวคริสก็ส่ายหน้า

    “ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอก”

     

    ชะโงกทั้งตัวมองตามจนแน่ใจแล้วว่าคริสเดินพ้นประตูหน้าออกไป ลู่หานถึงได้ปิดประตูแล้วกลับเข้ามาในห้อง เห็นสีหน้าน้องชายตัวขาวแล้วก็ถอนใจเบาๆ ก่อนจะฉีกยิ้มทำเป็นร่าเริงแล้วปรี่เข้าไปกอดคอน้องรัก

    “ตุ้ยจางคงรีบ ไม่มีอะไรหรอกเนอะ”

    ดูก็รู้ว่าคนตัวเล็กกว่าพยายามจะฝืนยิ้มตอบ ในใจคงจะคิดกังวลไปมากมาย เรื่องนี้ลู่หานโทษว่าเป็นความผิดของคริสคนเดียวนะ ตัวเองสติแตกแต่มาทำให้น้องชายเขาต้องโทษตัวเอง แบบนี้ใช้ไม่ได้ ทำตีมึนมาง้อเมื่อไหร่ จะกีดกันซะให้เข็ดเลยคอยดู!

     

     

     

    คริสออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่าย กลับเข้ามาอีกทีก็ช่วงหัวค่ำแล้ว พอเปิดประตูเข้ามาก็กวาดตามองไปรอบๆ หอพัก ไม่เห็นใครก็คิดเอาเองว่าป่านนี้ลู่หานคงเป็นหัวโจกพาน้องๆ เข้าไปจับกลุ่มนั่งเล่นนั่งคุยในห้องของใครซักคน แต่พอเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็ต้องแปลกใจที่ได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิดอยู่ ร่างโปร่งบางของใครบางคนนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟาตามลำพัง พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็ยืดตัวขึ้นแล้วยิ้มรับ

    “ยังไม่นอนอีกหรือ?”

    “ฉันรอตุ้ยจาง” อี้ชิงบอกแล้วขยับนั่งตัวตรง เว้นที่ให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ กัน ก่อนจะบอกอย่างร่าเริง “คือ... จงอินโทรมา ชวนไปกินราเมงรอบดึกที่ร้านประจำน่ะ”

    “ชวนนายน่ะเหรอ?”

    “ชวนเราทั้งคู่ แล้วก็เห็นว่าจะชวนเซฮุนนี่ไปด้วย” ตั้งแต่แยกย้ายกันไปทำงานที่จีน ก็เพิ่งจะมีเวลาได้ออกไปเที่ยวเล่นดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ ดวงตาเป็นเป็นประกายที่คริสเห็นบอกให้รู้ว่าเลย์คงตื่นเต้นที่จะได้ออกไปกับน้องๆ เหมือนสมัยก่อนที่ยังไม่ได้เดบิวต์ คริสเองก็คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดมาก แต่ในตอนนี้เขากลับต้องนึกถึงเรื่องที่ ควร หรือ ไม่ควรมากกว่า

    “...ฉันขอผ่านดีกว่า รู้สึกเพลียๆ อยากพักผ่อน”

    “ต.. แต่ว่า... ฉันอยากให้นายไปด้วยกัน”

    เราไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลาก็ได้ คริสยิ้มบาง ตาคู่คมยังจ้องมองดวงหน้าหวานไม่ละไปไหน นั่นทำให้เขาใจหายเมื่อเห็นว่ารอยยิ้มของคนตรงหน้าค่อยจางลง คริสเอื้อมมือออกไปหมายจะลูบผมปลอบอย่างที่เคยทำ แต่กลับต้องชะงักเพียงปลายนิ้วแตะเส้นผมนุ่ม พริบตาเดียวก็ลดมือลงจับแค่เพียงไหล่บาง “...แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?”

     

    ดีสำหรับใครล่ะ ...สำหรับเลย์?

     

    ...หรือสำหรับคริสแค่คนเดียว

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ไคเข้ามารับรุ่นพี่เมนเต้นด้วยกันแล้วก็ออกไปซื้อของกันก่อน ตั้งแต่กลับมาเกาหลี เลย์เพิ่งได้ออกมาซื้อของเองก็วันนี้ เมื่ออาทิตย์ก่อนจะออกเดินทางไปอเมริกา คริสเพิ่งซื้อหมอนรองคอมาให้ใหม่ เลย์ถึงเพิ่งสังเกตว่าของเก่ามันเยินมากแล้ว ทั้งที่ปกติลีดเดอร์ตัวสูงเป็นคนรักษาของมาก ให้เก่าแค่ไหนก็ยังดันทุรังใช้จนแทบจะย่อยสลายกันไปข้าง แต่เขากลับซื้อหมอนรองคอมาให้...

     

    อันเก่ามันนิ่มเกินไป นายนอนบนเครื่องแล้วหัวเอียงไปเอียงมา เดี๋ยวจะปวดคอ

     

    เมนเต้นตัวขาวยิ้มบาง ...คริสเป็นตุ้ยจางนี่นะ กับคนอื่นๆ ก็คงจะดูแลแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เหมือนกัน

     

    วันนี้อี้ชิงเลยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปซักอย่าง มีแต่ไคที่ขนซื้ออะไรไปไม่รู้เยอะแยะ เดินรอบตลาดเสียจนเกือบเมื่อย กว่าจะมาถึงร้านราเมงก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว

    กินเต็มที่เลยนะ วันนี้ผมเลี้ยงเองรุ่นน้องเมนเต้นจากอีกฝั่งเอ่ยชวนแล้วยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสา ไคโตขึ้นมากนับจากวันที่เจอกันครั้งแรก แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นเด็กเล็กๆ ในสายตาเลย์อยู่ดี

    กระเป๋าฉีกไม่รู้นะ ฉันกินจุ

    โหยยยย ฮยองตัวแค่นี้จะกินได้ซักแค่ไหน

    ดูถูก!เลย์เลยหันไปสั่งราเมงแบบที่ชอบมาสองชามเป็นการขู่ ร้านนี้เป็นร้านโปรดของไค ก่อนหน้าที่จะได้เดบิวต์ ตอนที่ต้องอยู่ซ้อมกันดึกๆ ก็มักจะมาจบที่นี่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ยังมีเซฮุนกับลู่หานอีก แต่วันนี้น่าเสียดายที่สละสิทธิ์กันทั้งคู่ นึกถึงสมัยนั้นคริสยังไว้ผมยาวแล้วมัดเป็นหางม้า ผมสีดำทำให้ใบหน้าหล่อยิ่งดูเข้ม เวลาที่เดินกลับหอด้วยกันดึกๆ พวกวัยรุ่นอันธพาลชอบจ้องจะเข้ามาหาเรื่อง แต่เห็นตัวโตๆ อย่างนั้นเถอะ คริสเนี่ยแหละที่จับมือพาเขาวิ่งหนีพวกวัยรุ่นขี้เมาห้าหกคนนั้นอย่างไม่คิดชีวิต

    ยิ้มอะไรของฮยองน่ะ?” ไคถามซะเลย์เกือบสะดุ้ง คิดอะไรเพลินๆ เผลอยิ้มออกไปได้ยังไงนะ

    อ.. อ๋อ ไม่มีอะไร

    ราเมงที่สั่งถูกยกมาเสริฟหลังจากนั้นไม่นาน หน้าตายังน่ากินไม่มีเปลี่ยน อี้ชิงหยิบตะเกียบได้ก็เตรียมจะตวัดเส้นเข้าปาก

    คริสฮยองน่าจะมาด้วยกันเนอะ

    แต่ชื่อของลีดเดอร์ฝั่งจีนทำให้มือบางที่ถือตะเกียบชะงัก

    ...เห็นว่าเพลียๆ อยากพัก

    เสียดายจัง... นึกถึงสมัยก่อนที่ผมกับคริสฮยองแข่งกัน ซัดเข้าไปคนละสี่ห้าชาม จุกจนแทบลุกไปไหนไม่ได้ไคเล่าไปหัวเราะไป เลย์ก็ได้แต่ยิ้มตาม ลอบถอนหายใจแบบไม่ให้น้องเห็นแล้วค่อยส่งตะเกียบเข้าปาก ...แทบไม่รับรู้รสอะไรของมันเลย

     

    สุดท้ายก็ฝืนกินไปได้แค่หมดชามแรก ไคเลยต้องรับผิดชอบชามที่สองแทนไปแบบเต็มใจอย่างที่สุด หลังจากนั้นก็ยังนั่งแช่ คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยไปอีกพักใหญ่ๆออกจากร้านมาก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว

    ผมไปส่งฮยองที่หอนะรุ่นน้องเสนอระหว่างที่รวบถุงสมบัติทั้งหมดมาถือไว้ด้วยมือข้างเดียวอย่างทุลักทุเล

    อ้าว แล้วนายไม่นอนที่หอเหรอ?”

    ไม่ล่ะ ผมว่าจะกลับไปนอนบ้าน ไม่ได้กลับนานละ คิดถึง

    งั้นไม่ต้องไปส่งฉันหรอก จงอินกลับบ้านเถอะ ข้าวของก็ตั้งเยอะแยะเลย์เพิ่งรู้ว่าเขาซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านทั้งนั้น แต่น้องชายกลับส่ายหน้ารัวเร็ว

    ไม่ได้หรอก ยังไงผมก็ต้องไปส่งฮยองก่อน ดึกดื่นป่านนี้แล้ว แถมทางมันก็เปลี่ยว

    พูดยังกับฮยองเป็นสาวน้อยดูแลตัวเองไม่ได้ หอก็อยู่แค่นี้ ฉันกลับเองได้หรอกน่า

    แต่ว่า...

    ฉันเป็นพี่นะ

    ข้อดีที่น่ารักของไคคือถึงจะดูเจ้าเล่ห์ไปบ้างบางครั้ง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเด็กใสซื่อ รักพี่รักน้อง แต่ข้อที่ดียิ่งกว่า คือการที่เขาเคารพเชื่อฟังรุ่นพี่อย่างที่สุด ดังนั้นแค่เลย์ทำหน้าจริงจังเข้าหน่อย เขาก็ต้องยอมตามนั้น

    ก็ได้ แต่ฮยองต้องโทรหาผมทันทีที่ถึงหอนะ ถ้าจำทางไม่ได้ก็ต้องโทรมา รู้รึเปล่า

    ฉันอยู่เกาหลีตั้งหลายปี ทางกลับหอแค่นี้ทำไมจะจำไม่ได้ นายนั่นแหละกลับดีๆคงไม่ต้องย้ำให้ใส่หมวกใส่แว่นปิดหน้า ศิลปินหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ไม่ถึงปีอย่างพวกเรา คงไม่ค่อยมีใครจำได้นัก

    งั้นผมไปนะ

    อี้ชิงพยักหน้าแล้วยืนส่งร่างสูงโปร่งที่หอบหิ้วข้าวของเยอะแยะจนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปอีกทาง ทางกลับหอมันค่อนข้างมืดจริงๆ อย่างที่ไคบอกนั่นแหละ ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยรู้สึก เพราะเวลามีคนเดินกลับด้วยแล้วก็จะคุยกันไป หัวเราะกันไปตลอดทาง แต่พอเดินคนเดียวแล้วก็เลยต้องเอาแต่ก้มหน้า ไคก็พูดเกินไป กลับหอแค่นี้จะมาหลง ทางมันคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ถ้าจำไม่ผิดเลี้ยวตรงนี้ไปก็จะเป็น...

     

    เห...?

     

    มินิมาร์ทหายไปไหนล่ะ?

     

    เลย์หันซ้ายหันขวา แล้วก็ยืนงงอยู่ตรงสี่แยกเพราะหาร้านสะดวกซื้อที่มักจะแอบหนีจากหอลงมาซื้อของกินตอนดึกๆ ไม่เจอ จำได้ว่าเดินมาจากถนนใหญ่แค่ไม่กี่บล็อกก็ถึง แต่นี่ก็เดินมาได้จนไกลมากแล้วนะ

     

    หรือว่าจะหลงจริงๆ?

     

    ไม่มั้ง...ยกมือขึ้นเกาหัวท่าทางงงๆ เมื่อกี้มัวแต่เดินก้มหน้า เลยบล็อกมาแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้ ...สงสัยต้องโทรหาไคจริงๆ แล้วล่ะ แต่พอมือที่ไวกว่าความคิดล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง หน้าตาที่ขมวดมุ่นก็ยิ่งซีดสนิทด้วยความใจหาย

    โอ๊ะ! เอ๋? ล้วงกระเป๋าซ้ายขวาแล้วก็ตบอีกหลายๆ ทีให้แน่ใจ ...ไม่เจอ ไม่จริงอ่ะ! ไม่เจอได้ยังไง โทรศัพท์มือถือหายไปไหน? จำได้ว่าพอวางสายจากเสี่ยวลู่ก็เก็บลงกระเป๋าไปแล้วนี่นา!

     

    เพล้ง!!

     

    เสียงของแตกทำเอาร่างโปร่งบางสะดุ้ง หันไปทางต้นเสียงก็เห็นกลุ่มคนประมาณสี่ถึงห้าคนนั่งล้อมวงกันอยู่ที่อีกมุมตึกซึ่งเขาเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่ จำได้ว่าเมื่อกี้คุยกันเสียงดังมาก แต่ตอนนี้คนพวกนั้นหยุดคุยแล้วก็กำลังหันมามองเขาแทน

    เฮ้ย! กูว่ากูเจอคนดังว่ะ

    มองที่พื้นเลย์ก็เห็นว่าของที่แตกเมื่อครู่มันคือขวดเบียร์ แล้วที่ข้างๆ คนกลุ่มนั้นก็ยังมีขวดเบียร์ที่ว่านี้อยู่อีก รวมๆ แล้วน่าจะเกินครึ่งลัง ...ท่าทางไม่น่าปลอดภัยเอาซะเลย ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก หันหลังแล้วรีบเดินหนีไปเลยดีกว่า

    เดี๋ยวก่อนสิน้องชาย! มาดื่มด้วยกันก่อนมั้ย

    น้ำเสียงเมามายนั้นฟังดูคุกคามอย่างจงใจ และเลย์ก็ไม่คิดจะเสี่ยงหันไปตอบปฏิเสธด้วยซ้ำ เขารีบก้าวเท้าออกจากตรงนั้นไปให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งเดินออกมาก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะถึงไม่หันกลับไปมอง เสียงฝีเท้าที่ดังตามมาข้างหลังก็บอกให้รู้ว่ามีคนอีกสามสี่คนกำลังตามมา เลย์คิดว่าเขาอาจจะคิดมากไปเอง ก็เลยชะลอฝีเท้าแล้วหันกลับไป

     

    แต่พอเห็นท่าทางน่ากลัวของอันธพาลขี้เมาพวกนั้น กับสายตาที่อยากจะเข้ามากระชากตัวเขาออกเป็นชิ้นๆ เด็กหนุ่มก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตทันที!

     

    หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เรียกดีๆ ทำเป็นเล่นตัวรึไง!

     

    หยุดก็บ้าล่ะ! แต่วิ่งหนีแบบนี้ก็บ้ามากเหมือนกัน เพราะอี้ชิงไม่รู้เลยว่าไอ้ทางที่วิ่งไปน่ะ มันจะพาไปที่ไหน! แต่เสียงฝีเท้ากับเสียงตะโกนที่ไล่หลังมาก็ทำให้เขาต้องยิ่งรีบวิ่ง ...คนพวกนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว

     

    ทำยังไงดี! เขาจะทำยังไงดี!

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    หายไปไหนวะ!

    ช่างมัน! กลับไปกินเหล้าต่อเหอะ!

     

    ร่างโปร่งบางนั่งขดตัวอยู่ในซอกตึกจนกระทั่งเสียงฝีเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ เขานั่งตัวสั่นอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แข้งขามันอ่อนแรงจนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นไม่ไหว สองมือยังปิดปากตัวเองแน่นด้วยกลัวว่าถ้ามีเสียงหลุดรอดออกมา คนพวกนั้นจะได้ยินแล้ววิ่งมาลากตัวเขาออกไปจนได้

     

    ...เขาอยู่ที่ไหน?

     

    ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่วิ่งมาด้วยความตกใจ พอเห็นซอกตึกแคบๆ ที่พอจะซ่อนตัวได้ เขาก็รีบเข้ามาหลบ ...ถึงออกไปตอนนี้ก็คงหาทางกลับหอไม่ถูกอยู่ดี ไม่เคยคิดเลยว่าการเดินกลับหอพักคนเดียวจะน่ากลัวขนาดนี้

     

    ใครคนนั้นคงไม่รับรู้ว่าเขากำลังหวาดกลัวมากแค่ไหน ...ใครคนนั้น ...ที่เขาอยากให้อยู่ด้วยมากที่สุดในตอนนี้

     

    อู๋ฟาน...

     

    น้ำตาคลอแต่เลย์พยายามกลั้นเพราะไม่อยากให้มันไหล พอถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองอ่อนแอแค่ไหน พอไม่มีมือที่อบอุ่นคู่นั้นคอยจับจูง เลย์ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนแอเหลือเกิน

     

    อู๋ฟาน... นายอยู่ไหน...

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “อี้ชิง! นายอยู่ไหนน่ะ!
     

    คริสวิ่งไปตามทางที่ไม่คุ้นเคยพลางตะโกนเรียกชื่อสมาชิกคนสำคัญไปตลอดทาง สองตาคอยสอดส่องตามซอกซอยต่างๆ แม้ว่าค่อนข้างจะมืดมาก ในใจภาวนาขอให้ได้เห็นร่างโปร่งบางกำลังเดินอยู่ที่ไหนซักแห่ง ตั้งแต่วิ่งออกมาจากซอยหอพัก คริสก็ยังไม่เจอแม้แต่เงาของคนที่กำลังตามหาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่วิ่งมานี้ถูกทางหรือเปล่า แต่เขานึกอะไรไม่ออก ติดต่อเลย์ก็ไม่ได้ ที่ทำได้ก็คือออกตามหาแบบสุ่มๆ อย่างนี้เท่านั้น

     

    “อี้ชิง! ...ขอร้องล่ะ” ท้ายเสียงเบาลงเมื่อร่างสูงหยุดยืนหอบ วิ่งตรงไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร ข้างหน้าก็เป็นทางตันแล้ว คริสกำลังตัดสินใจว่าเขาควรจะหันหลังกลับ ถ้าเขามาผิดทางจริง ป่านนี้เลย์จะเตลิดไปถึงไหน เขาควรจะบอกให้พวกลู่หานออกมาช่วยกันตามหา จะได้แยกย้ายกันไปดักไว้คนละทาง แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วพวกพี่ผู้จัดการรู้เรื่องเข้า ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ แล้วเลย์ก็จะโดนดุ เผลอๆ อาจจะโดนทำโทษด้วย

     

    “อี้ชิง!” คริสลองตะโกนเรียกอีกครั้ง และคิดว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะหันหลัง แต่ในตอนที่สองขากำลังจะก้าวถอยนั้นเอง หางตาก็แว่บเห็นเงาร่างโปร่งบางที่ค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืดของตึก หัวใจของคริสเต้นกระหน่ำด้วยเสียงภาวนาขอให้เจ้าของเงานั้นคือคนที่เขาตามหา

     

    อู๋ฟาน... เสียงเรียกที่ทั้งสั่นและเบามากนั้นทำให้คริสใจหาย เมื่อได้เห็นดวงหน้าของคนที่อยู่ตรงนั้นชัดๆ หัวใจของคริสก็ยิ่งกระหน่ำจนเจ็บไปทั้งอก ใบหน้าที่ทั้งประหม่าและหวาดกลัว ในตาคู่สวยมีน้ำใสเอ่อคลอพาให้ขาแข้งอ่อนราวกับโลกทั้งใบกำลังจะพังทลายลงตรงหน้า

    อี้ชิง...! คริสก้าวเข้าไปหาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อร่างเล็กยืนนิ่ง เลย์ก้มหน้าลงต่ำ มือบางขยำชายเสื้อตัวเองแน่น

    ขอโทษ... ฉัน.. หลงทางอีกแล้ว

    โธ่... อี้ชิง... ไม่รีรออะไรอีก คริสก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็ดึงร่างโปร่งบางเข้ามากอดเอาไว้กับอก เลย์เจออะไรมาบ้างถึงได้ตัวสั่นหน้าซีดแบบนี้ ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว

    แต่หัวใจของคริสกลับยิ่งสั่นเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นฮั่กอยู่กับอก คริสกระซิบเสียงปลอบอย่างร้อนรน สองมือช่วยกันลูบผมลูบหลังจนเสียงสะอื้นจางลง ถึงได้จับไหล่บางดันร่างในอ้อมแขนออกเบาๆ

    เจ็บตรงไหนรึเปล่า? แล้วเข้าไปทำอะไรในนั้น?”

    คนพวกนั้น... ฮึก ไล่ตามฉันมา

    แล้วมันทำอะไรนายรึเปล่า!คริสถามอย่างร้อนใจ เหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่า คนพวกนั้นคือพวกไหน แต่อี้ชิงก็ได้แต่สั่นหน้า

    ให้ตายเหอะ... คราวหน้าฉันจะไม่ปล่อยให้นายไปไหนคนเดียวอีก!” น้ำเสียงของคริสทั้งจริงจังและเกรี้ยวกราด ที่จริงแล้วเขากำลังโทษตัวเอง แต่เลย์คงไม่รู้ คนตัวเล็กถึงได้หน้าเสีย ก้าวถอยหลังออกไปจนยิ่งห่าง ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนสองแก้ม มองหน้าเขาแล้วก็ยิ้มบาง

    “...ฉันมันไม่ได้เรื่องเอง เแค่นี้ก็ดูแลตัวเองไม่ได้ ทำให้นายต้องลำบากอยู่เรื่อย ...ขอโทษนะตุ้ยจางเลย์ก้มหน้าจนเกือบจะค้อมศีรษะ และนั่นก็ทำให้คริสควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตรงเข้าจับต้นแขนเล็กไว้จนแน่น

    ทำไมเรียกแบบนี้ ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้เรียกชื่อ

    ไม่ได้หรอก ...เพราะนายคือตุ้ยจาง คนอื่นก็เรียกแบบนี้

    แต่คนอื่นกับนายไม่เหมือนกัน! ร่างโปร่งบางสะดุ้งน้อยๆ ตอนที่ถูกคนเป็นหัวหน้าขึ้นเสียง เลย์เงยหน้าขึ้นมอง ตาคู่หวานที่ฉ่ำน้ำนั้นสบประสานกับดวงตาอีกคู่ที่กำลังฉายแววเจ็บปวดไม่น้อย รู้รึเปล่า ตอนที่จงอินโทรมาบอกว่านายเดินกลับหอพักคนเดียว แถมยังลืมโทรศัพท์ไว้ที่เค้า ฉันตกใจแทบแย่ วิ่งออกมาตามหานายจนทั่ว พอไม่เจอก็แทบบ้า ฉันโทษตัวเองแทบตายที่ปล่อยให้นายคลาดสายตา ทำอะไรไม่ถูกจนเกือบจะร้องไห้แล้วด้วยซ้ำ!

    “ฉัน.. ขอโทษ...” ขอโทษทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร คริสควรจะรู้ว่าถ้าเขายิ่งโมโห เลย์ก็จะยิ่งโทษตัวเอง ทั้งที่เรื่องทุกอย่างมันเกิดจากตัวเขาเองทั้งนั้น เลย์ไม่ได้รู้เรื่องด้วย คริสเองที่เป็นต้นเหตุของความรู้สึกทุกอย่าง เขาเป็นคนก่อมันขึ้น และคิดโง่ๆ ว่าระยะห่างจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นได้ เขาแค่พยายามที่จะกลับไปเป็นคริสคนที่ใจเย็นคนเดิม ไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นการทำร้ายเลย์ทางอ้อม คริสกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง และเขาไม่อยากให้เลย์ต้องสับสนแบบนี้

    “...อย่าขอโทษ ไม่ต้องแล้ว” ดึงร่างโปร่งบางกลับมาแล้วกอดเอาไว้ กระซิบบอกที่ข้างขมับขาว “ฉันต่างหากที่ผิด ถ้าฉันไม่ปล่อยให้นายออกมาข้างนอกคนเดียว คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ขอโทษนะ ...พี่ขอโทษนะ”

    คนในอกสั่นหน้าไปมา เลย์ขืนตัวออกคงเพราะอยากจะพูดอะไร แต่คราวนี้คริสไม่ยอมปล่อยมือแล้ว

     

    คริสกำลังทำให้ตัวเองลำบากอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าควรจะถอยห่าง ...แม้แต่แค่ก้าวเดียวก็ยังทำไม่ได้ เขาปล่อยมือเล็กคู่นี้ไปไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกหวงห่วงคนๆ นี้ได้เช่นกัน คริสแค่อยากอยู่ข้างๆ อยากดูแล อยากปกป้อง แต่ความรู้สึกที่รุนแรงขึ้นทุกวันนั้นทำให้เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ถ้าเป็นอย่างนี้... ซักวัน... เขาคงเป็นคนที่ทำลายทุกอย่างให้พังลงด้วยมือ คริสไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่เขาควรจะต้องทำยังไง...

     

    เขาควรต้องทำยังไงกับความรู้สึกเหล่านี้กัน?

     

     

     

     


     

     

     




     


    TBC.

     

     

     

     

     


    คนรอง: จบแล้วววววววววว หนึ่งตอน ฮะๆๆๆ

    สองสามวันมานี้นั่งดูแฟนแคมเยอะไปหน่อย เลยได้ฟีลกลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อ แต่ก็ช้าไปมาก โมเม้นท์จริงเค้าไปถึงไหนกันละ ในฟิคนี่ยังไม่ถึงอัลบั้มที่สองด้วยซ้ำ = =

    หลังจากนี้จะดราม่าขึ้นเรื่อยๆ จนจบภาคสอง เดี๋ยวจะทยอยจิ้มๆ กันไป เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ^^

     

    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×