คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 : Love It Shu ♥
“ มามา ลูก กว่าจะลงมานะเรา พ่อแกกินข้าวจะอิ่มอยู่แล้วเนี่ย ”
“ คร้าบบ ”
ผมเอ่ยรับเสียงยานครางก่อนจะค่อย ๆ ก้าวลงมาจากบันไดอย่างเชื่องช้า ข่าวการเมือง ผมเหลือบไปมองหน้าจอโทรทัศน์อย่างหมดอาลัยตายอยากก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในที่ประจำของตัวเอง ปัญหาโลกแตกประจำครอบครัวของผม กำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกแล้วสินะ
“คุณ เปลื่ยนช่องบ้างก็ได้นะ ฉันหล่ะรำคาญจริง ๆ การมงการเมืองอะไรเนี่ย ดูไปก็ปวดสมองเปล่า ๆ ไม่เห็นจะได้สาระอะไรขึ้นมาเลย ”
แม่ผมพูดขึ้นพร้อมเดินถือต้มจืดเข้ามาวางไว้กลางโต๊ะ พ่อผมถอนหายใจขึ้นมาหนัก ๆ ก่อนวางรีโมทไว้ตรงหน้าแม่
“ อะ จะดูอะไรก็ดู แต่คุณห้ามดูข่าวบันเทิงนะ ผมไม่ชอบ ”
“ อะไร ? ทำไมฉันถึงดูไม่ได้หล่ะค่ะ ”
“ ก็ผมไม่ชอบ มันน่าเบื่อ ”
“ แต่ฉันว่า มันก็ไม่เท่าข่าวการเมืองของคุณนะคะ ”
“ ตรงไหน ? ข่าวการเมืองมันน่าเบื่อตรงไหนเหรอคุณ ”
“ก็มันน่าเบื่อตรงที่มันไม่มีสาระอะไรเลยนี่ค่ะ ”
“ แล้วข่าวบันเทิงของคุณมันมีสาระมากงั้นสิ ”
“ ใช่ค่ะ ”
“จุนมยอง !”
“ค่ะ ? คุณอี้ชิง ”
“ยะ หยุดก่อนครับ พ่อ หยุดก่อนนะครับแม่ คือถ้าพ่อกับแม่ตกลงกันไม่ได้ผมขอดูช่องที่ผมอยากดู .... ได้ไหมครับ”
ผมรีบร้องห้ามพ่อแม่ ก่อนจะเสนอความคิดที่แสนจะเป็นกลางที่สุดให้ท่านทั้งสอง พ่อกับแม่รีบหันมาจ้องหน้าผม ก่อนจะสะบัดออกจากกันทันทีที่ท่านทั้งสองเผลอสบตากัน
“แล้วแต่ !”
“ ขอบคุณครับ ”
ผมหันไปขอบคุณแม่ก่อนเลื่อนมือไปหยิบรีโมทมาถือไว้ แล้วนี่ผมจะเปิดดูอะไรดีหล่ะเนี่ย ผมยิ่งไม่ค่อยชอบดูทีวีเหมือนชาวบ้านเขาอยู่ด้วย
“ รีบเปลื่ยนช่องสิ ชานยอล แม่เบื่อจะตายอยู่แล้ว ”
“คะ ครับ ”
ผมรีบหันไปรับคำแม่ก่อนซุ่มกดเลขที่ผมชอบลงไป ช่อง 7 เอ่อ ? ข่าวสังคม คงไม่มีใครไม่ชอบข่าวแนวนี้อีกนะ ?
“ชานยอล เปิดเสียงหน่อยสิลูก พ่อไม่ค่อยได้ยินเลย ”
”ครับ ๆ”
เมื่อเรากินข้าวกันเงียบ ๆ ไปได้ซักพักพ่อก็เรียกผมให้เพิ่มเสียงก่อนหันไปจ้องหน้าจอทีวีแบบสนอกสนใจ เช่นเดียวกับแม่ผมซึ่งดูว่าท่านจะสนใจข่าวแนวนี้ไม่แพ้กัน
“ มีอะไรหรอครับ พ่อ”
ผมรีบเอ่ยถามพ่อทันทีที่พ่อหันกลับมาจดจ่ออยู่กับอาหารต่อ ณ.จุดนี้สีหน้าพ่อกับแม่ผมดูไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะ
“ก็ไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อแค่สงสารเด็กในข่าวหน่ะ ด้วยความขี้สงสารคน ไว้ใจคนง่ายก็เลยถูกหลอกจับตัวไป ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอเลย น่าสงสารพ่อแม่เด็กจริง ๆ ”
“นั่นสิคุณ ไอ้โจรพวกนั้นมันก็เลวจริง ๆ เลยนะ ทำเป็นเข้ามาตีสนิทอย่างโน้นอย่างนี้ สุดท้ายแล้ว ดูสิ พรากลูกพรากเต้าไปจากอกพ่ออกแม่อย่างนั้นมันทำได้อย่างไง เลวจริง ๆ ”
“เฮ้อออ นั่นสิ บางทีการเป็นคนดีเกินไปมันก็ไม่ใช่จะดีไปซะทุกอย่างหรอกเนาะ ”
“ใช่ค่ะ ชานยอล ! ลูกเองก็เหมือนกัน นิสัยใจอ่อน ไว้ใจคนง่าย ขี้สงสารคนแบบนี้ ลูกควรจะทำมันแบบพอดี ๆ นะ อย่าให้มันมากเกินไปอย่างที่ผ่านมา แม่บอกตรง ๆ ว่าถ้าลูกเป็นอะไรไป แม่ทำใจไม่ได้นะ ”
“ คะ ครับ แม่ ”
ผมเงยหน้าไปยิ้มเล็ก ๆ ให้แม่ก่อนจะก้มหน้าลงทานข้าวต่อทันที เหตุการณ์นี้มันคุ้น ๆ แหะ มันเห็นเหตุการณ์ที่ผมกำลังเผชิญอยู่เลย แต่ก็ชั่งเหอะ ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมเชฟตัวเองอยู่ แล้วผมก็ไม่ได้ไว้ใจหมอนั่นอะไรมากมายขนาดนั้นด้วย
“อ้าว ชานยอล อิ่มแล้วเหรอลูก ทำไมอิ่มเร็วจังเลยหล่ะ”
แม่ผมรีบเอ่ยท้วงขึ้นมาทันทีที่ผมยันตัวลุกขึ้นยืน ความจริงแล้วผมยังไม่อิ่มหรอก แต่แค่พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา มันก็อดนึกถึงคนที่อยู่ข้างบนไม่ได้หน่ะ ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ไม่รู้ป่านนี้จะหิว จนช๊อคตายไปแล้วหรือยัง
“เอ่อ คือ ผมยังไม่อิ่มหรอกครับ แต่ผมพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้คุยงานกับแบคฮยอนค้างไว้ ไม่รู้ป่านี้มันจะรอผมจนหลับคาคอมไปแล้วหรือยัง ผมขอตัวขึ้นไปคุยงานกับมันต่อก่อนนะครับ ”
แล้วผมก็พ่นคำโกหกออกไปอย่างสตรีม U..U ขอโทษจริง ๆ นะครับแม่ ครั้งนี้จะเป็นการโกหกครั้งแรก ครั้งเดียว และจะเป็นครั้งสุดท้ายของผมด้วย แม่อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะ
“อ่า ๆ จ้า ๆ เอ่อ ไหนบอกว่ายังไม่อิ่ม มา ๆ ตามแม่มา”
แม่รีบลุกขึ้นก่อนเรียกผมให้ตามขึ้นไปในครัว แม่ลงมือตักต้มจืดถ้วยใหญ่วางไว้ในถาด ก่อนจะตักข้าวใส่จานของผมพูน แล้วยื่นมาให้ผม
“อะ เอาขึ้นไปกิน กินให้หมดด้วยหล่ะ จะได้อ้วน ๆ กับเขาซักที ถ้าแม่รู้ว่าเหลือข้าวติดอยู่ในจานแม้แต่เม็ดเดียว แม่จะตีแกให้ก้นลายเลยคอยดู ”
“คร้าบบบ แม่ ขอบคุณนะครับ ”
ผมฉีกยิ้มกว้าง ๆ ให้แม่ก่อนจะเอี่ยวตัวไปหอมแก้มท่านเบา ๆ แม่ผมอมยิ้มเล็ก ๆ ก่อนยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบา ๆ อย่างที่เคยทำ ยิ่งผมรับรู้ว่าความรักที่แม่มีให้ผมมันมากมายเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปกว่าเดิมเท่านั้น
“ แกร๊ก !! ”
ผมเปิดประตูเข้าไปก่อนจะ เดินถือถาดไปวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ เตียงหมอนั่นมันเหลือบมองผมนิดหน่อยก่อนจะหันกลับไปสนใจกับผ้าม่านที่ปลิวโต้ลมอยู่ทางหน้าต่างต่อ
“ อะ ทานซะ ”
ผมพูดกับเขาแค่นั้น ก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างเตียง ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ
ถ้าตอนนี้เขายังไม่ยอมกินละก็ งานนี้มีจับยัดแน่ !
“ ฉันไม่หิว ”
“ ผมไม่ถามว่าคุณหิวหรือไม่หิว แต่ผมบอกให้คุณกิน”
“ ก็ฉันไม่หิว แล้วฉันจะกินมันลงได้อย่างไงหล่ะ !”
หมอนั่นมันหันดุผมด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ก่อนจะสะบัดหน้าหนีออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง ไปอารมณ์เสียอะไรมา ในห้องนี้มันมีอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจงั้นเหรอ ?
“ คุณ คิดถึงพ่อแม่เหรอ ”
คงนี่หล่ะมั้งที่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ชายคนนี้อารมณ์ปรวนแปรยิ่งกว่าคลื่นลมทะเล คิดถึงพ่อคิดถึงแม่อารมณ์เลยเศร้าหงอย ๆ แบบนี้ อาการอย่างนี้มันเหมือนอาการของหมาแมวจรจัดที่ผมเคยเก็บมาเลี้ยงเลยเหะ
“ ฉันไม่มีพวกเขาให้คิดถึงหรอก ”
ถึงเขาจะไม่ได้หันหน้ามาพูดกับผมตรง ๆ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความขมขื่นที่แฝงมากับน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน
“พ่อ กับ แม่ คุณ...”
“ ท่านเสียไปแล้ว ”
เขาหันหน้ามาพูดกบผม พร้อมด้วยหยดน้ำชื้น ๆ ที่คลอเหนี่ยวอยู่ตรงเบ้าตา เขากำลังจะร้องไห้งั้นเหรอ ? ผมจะทำอย่างไงดี ผมควรจะปลอบเขาอย่างไงดี
“คุณ ใจเย็น ๆ นะ ไม่ต้องร้องไห้หรอก ผมว่าถ้าพวกท่านรู้ว่าคุณมัวแต่มานั่งโศกเศร้าเสียใจกับเรื่องของท่าน จนไม่มีอันทำอะไรแบบนี้ ท่านคงไมความสุขแน่ ”
ผมพูดกับเขาก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือเขาเบา ๆ หมอนั่นมันเงยใบหน้าที่ตอนนี้ดูจะดีกว่าเดิมขึ้นมาหน่อย ก่อนที่สายตาที่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าเมื่อครู่ จะกลับกลายมาเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ในนั้น
“ นาย....เป็นใครกันแน่ ? ”
“ผมเหรอ ผมชื่อ ปาร์ค ชานยอล เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 2 อยู่ที่มหาลัยดงกุกครับ ”
ผมเอ่ยแนะนำตัวก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง ๆ ออกมา แหมม อยากรู้ชื่อผมก็ไม่บอก แต่ก็นะ ตั้งแต่อยู่กันมาเราสองคนก็ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย ถ้าอยู่ดี ๆ เขาเกิดจะอยากรู้ชื่อผมขึ้นมามันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยหนิ
“ ชานยอล ? นายต้องการอะไรจากฉัน ”
เขาเอ่ยถามผมขึ้นมาอีกที พร้อมกับดวงตาที่ฉายแววฉงนขึ้นไปกว่าเดิม อะไรกัน คำถามนี้ มันดูแปลก ๆ นะ
“ไม่อ่ะ ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณเลย ”
ผมตอบเขาด้วยความรุ้สึกงง มึน ๆ แล้วจะให้ผมตอบว่าอะไรดีหล่ะ ก็ความรู้สึกของผมมันเป็นแบบนี้จริง ๆ
“ ฉันไม่เชื่อ ”
เขาจ้องหน้าผมด้วยแววตาที่ต้องการจะขุดความนึกคิดทั้งหมดของผมออกมา ผมนิ่งอึ้งอยู่ซักครู่ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีทันทีที่รู้สึกได้ว่า ใบหน้าของคนที่กำลังจ้องมองผมอยู่มันกำลังจะทำให้หัวใจของผมมันหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“ละ แล้วแต่คุณ ”
“มีใครจ้างนายมางั้นเหรอ ?”
“คุณครับ ! ไม่มีใครจ้างผมมาทั้งนั้นแหละ แต่แค่คืนนั้น ! คืนนั้นที่ผมไม่สามารถปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มานอนตายอยู่บนห้องผม ผมก็เลยต้องช่วยชีวิตคุณไว้ไง คุณไม่ต้องห่วงหรอก ทนอึดอัดอีกซักพัก ถ้าคุณหายดีเมื่อไหร่ ผมนี่แหละจะเป็นคนเชิญคุณออกไปจากบ้านผมเอง ! ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปพูดกับเขาด้วยอารมณ์ฉุน ๆ ก่อนจะยกถาดข้าวไปวางไว้บนตักของหมอนั่น
“ฉันขอคำถามสุดท้าย... ”
หมอนั่นมันรีบเอ่ยท้วงผมทันทีที่ผมตั้งท่าจะยันลุกขึ้น แน่นอนผมต้องหย่นตัวนั่งลงเหมือนเดิมตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างช่วยไม่ได้
“ ครับ ”
“ฉันไว้ใจนายได้ใช่ไหม ?”
เขาพูดกับผม ทั้งที่สายตาก็คงไม่เลิกจ้องจับผิดผมซักที เป็นอะไรมากไหมเนี่ย ? หรือว่าถูกซ้อมจนสมองกระทบกระเทือนกันไปหมดแล้ว
“ ครับ ”
ผมพูดออกไปแค่นี้แหละ ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวจะโดนยิงคำถามอะไรแปลก ๆ ใส่อีก
“ นายรู้ไหมว่าเป็นใคร ”
จะมาอวดเบ่งอำนาจอะไรตอนนี้ครับพี่ ? ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหมอนั่นอย่างง ๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมาเบา ๆ
“ อืม ดีแล้วแหละ ”
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ถึงจะเบาแค่ไหนผมก็รับรู้อยู่ดีนั่นแหละ ตัวออกใหญ่ขนาดนั้น
“ทำเหมือนกำลังถูกใครตามล่า”
ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ แต่ก็อยากจะให้เขาได้ยินเหมือนกัน จะได้รู้ ๆ กันซักทีว่าสิ่งที่ผมกำลังสันนิฐานอยู่นี้มันจะจริงเท็จแค่ไหน ความจริงก็ไม่ได้อยากจะคิดอย่างนั้นหรอกนะ แต่ คำพูดรวมถึงการระทำแปลก ๆ ของเขามันทำให้ผมอดอยากรู้ไม่ได้จริง ๆ
“ ใช่ ฉันกำถูกตามล่า ”
“ห๊ะ !!”
ผมเผลออุทานออกมาเสียงดัง จนต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้แน่น ตายแล้ว ตายแน่ ๆ นี่ผมกำลังแอบเลี้ยงไอ้พวกมาเฟียป่าเถื่อนไว้ในบ้านงั้นเหรอ ให้ตายเหอะ ตำรวจ ตำรวจ ผมต้องโทรเรียกตำรวจตอนนี้เลยใช่ไหม ! ไม่ได้ ๆ ถ้าอยู่ดี ๆ มันเกิดชักปืนขึ้นมายิงผมขึ้นมาหล่ะ ผมก็ตายหน่ะสิ พุธโท นะโม สังโค ณ.ตอนนี้ผมอยากออกไปจากห้องห้องนี้มากที่สุด !
“นี่ ! นี่ ! นายเป็นอะไร ”
“อย่า อย่านะ อย่าแตะต้องตัวผม”
ผมรีบหลับตาปี๋ก่อนจะรีบเบี่ยงไหล่ออกจากมือใครบางคนที่เอื้อมมาสะกิดเบา ๆ ลุกไม่ได้ ผมขึ้นไม่ได้ ทำไมขาผมมันต้องเป็นตระคริวตอนนี้ด้วยนะ !
“ นี่ ! ไม่ต้องทำท่าทางกลัวฉันขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ก่อนจะขยับตัวไปนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม ผมค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมานิด ๆ ก่อนจะมองเห็นว่าหมอนั่นกำลังลงมือจัดการกับอาหารที่วางอยู่บนตักช้า ๆ ผมจะไว้ใจเขาได้ใช่ไหม ?
“คะ คุณ จะไม่ทำอะไรผมจริง ๆ นะ ”
ผมค่อย ๆ พูดออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พลางเหลือบมองใบหน้าคม ๆ นั่นไปด้วย หมอนั่นมันเงยหน้าขึ้นมามองผมนิดนึงก่อนก้มลงไปจัดการกับอาหารในถาดต่อ
“ไม่หรอก เพราะตั้งเเต่เกิดมาฉันก็ไม่เคยทำอะไรใครอยู่แล้ว ”
“ งั้นเหรอ แล้วทำไมคุณถึงถูก ......”
“พ่อกับแม่ฉันเสียไปแล้ว”
เขาท้วงขึ้นมาก่อนจะยกถาดอาหารที่ทั้งข้าวทั้งกับกร่อนลงไปไม่ถึงครึ่ง ขึ้นไปไว้บนโต๊ะข้าง ๆ เตียง
“พ่อแม่คุณเสีย ? ผมไม่ได้ถามคุณถึงเรื่องนั้นเลยนะ”
ผมเอียงคอนิด ๆ ก่อนจะเอ่ยถามเขาออกไป หมอนั่นเหลือบตามองผมเหมือนกับจะพยายามทำใจให้เชื่อใจผมให้มากที่สุด นี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะ แววตาคู่นั้นมันบอกผมอย่างนั้นจริง ๆ
“ฉันชื่อ คริส”
“ ครับ ! ”
ผมเผลอยืดตัวขึ้นมาทำตาโตเหมือนคนอยากรู้อยากรู้อยากเห็น แต่พอหมอนั่น เอ๊ย ! คริส หันมามองผมด้วยสายดุ ๆ เท่านั้นแหละ ผมก็ต้องกลับมานั่งนั่งห่อตัวพร้อมกับก้มหน้าลงงุดเหมือนเดิม
“ฉันพึ่งกลับมาจากอเมริกาเมื่อทราบข่าวว่าพ่อกับแม่ฉันเสียชีวิตกระทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หึ ! แต่ฉันไม่เชื่อหรอก ท่านสองคนไม่ได้ประสบอุบัติเหตุแต่ท่านถูกฆาตกรรมต่างหาก ”
ใบหน้าของเขาดูโกรธแค้นขึ้นมาทันทีที่พูดถึงเรื่อง ๆ นี้ ซึ่งผมก็สามารถทำได้เพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ แล้วก็พยายามจับใจความเรื่องที่เขากำลังเล่ามาให้ได้มากที่สุด
“ซึ่งคน ๆ นั้น มันก็คือพี่ชายแท้ ๆ ของพ่อฉันเอง มันต้องการจะครอบครองบริษัทของครอบครัวฉันโดยการฆ่าพ่อกับแม่ฉันทิ้ง แต่พอมันรู้ว่าพ่อเซนต์ยกบริษัทนี้ให้ฉันสืบทอดต่อแล้ว มันเลยจับจุดมาที่ฉันแทน มันจับตัวฉันไปและบังคับให้ฉันเซนต์โอนอำนาจให้มันทันทีที่ฉันเดินทางมาถึงเกาหลีไม่กี่วัน แต่ฉันไม่ยอม มันก็เลยสั่งให้ลูกน้องซ้อมฉันปางตาย หึ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ เหมือนพระเจ้ายังไม่ต้องการฉัน ฉันเลยหนีรอดมาได้ แล้วมาเจอนายนี่ไง ”
“...........................”
เอิ่ม ? ไม่มีอะไรจะพูดอ่ะ ผมเลยได้แต่นั่งตีหน้านิ่งมองหน้าเขาต่อไป
“นี่ ช่วยทำเหมือนเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดออกมาหน่อยได้ไหม ”
คริสหันมามองผมด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ก่อนยกมือขึ้นมากอดอกแล้วเอนหลังพิงกับหัวเตียงด้วยใบหน้าขรึม ๆ
“เรื่องมันเหลือเชื่อไปหน่อยนะ ”
“ แต่มันคือชีวิตของฉัน ”
“ ผมหล่ะไม่อยากจะเชื่อ เรื่องที่คุณเล่ามามันเหมือนหนังมาก ๆ เลย คุณเชื่อไหม”
“นี่ ชานยอล ! ฉันไม่จำเป็นต้องมาแต่งเรื่องโกหกให้เด็กอย่างนายฟังหรอกนะ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ แล้วแต่นายเลย”
เขาพูดออกมาอย่างรำคาญก่อนจะสะบัดหน้าหนี แหนะ ๆ มีงอลด้วย ว่าแต่...เขาเรียกชื่อผมด้วยอ่า >///< รู้สึกแปลก ๆ อย่างไงก็ไม่รู้
“ผมไม่ได้ไม่เชื่อคุณนะ แต่แค่เรื่องที่คุณเล่ามันเหลือเชื่อมากเกินไปเท่านั้นเอง”
“................”
.”โอเค ๆ ผมเชื่อ ๆ ว่าแต่....แล้วตอนนี้คุณจะทำอย่างไงต่อไปเหรอ ถ้าให้ผมเดา อยู่ดี ๆ คุณก็หายไปลึกลับแบบนี้ พวกอาคุณก็คงกำลังเร่งหาตัวคุณให้วุ่นไปหมด คุณจะทำอย่างไงที่บริษัทคุณนี้มันคงไม่มีพวกคุณพ่อคุณเหลืออีกแล้วใช่ไหม ”
“เหลือสิ แต่เหลือ...แค่คนเดียวเท่านั้น”
“เขาเป็นสายให้คุณเหรอ ?”
ผมตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินมียังมีคนเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องผู้ชายคนนี้อยู่ ให้ตายเหอะ นี่มัน 2013 นะครับ ไม่ใช่ยุคมาเฟียครองเมือง ถึงจะมีได้พวกการไล่ล่า สายลับ ฆาตกร อะไรเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดเนี่ย >.,<
“ใช่ …. ชานยอล นายไม่เชื่อฉันเหรอ ?”
คริส หันมามองหน้าผมก่อนจะเอียงหัวลงนิด ๆ ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะ แต่มันเหลือเชื่อเกินที่ผมจะเชื่อได้ต่างหาก
“99 เปอร์เซนต์”
“ นายหาว่าฉันโกหกนาย ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ 99 เปอร์เซ็นต์ผมเชื่อคุณ ส่วนอีก 1 เปอร์เซ็นต์...แม่เคยสอนผม...ไม่ให้เป็นคนเชื่อคนง่าย ”
“สรุปคือนายไม่เชื่อฉัน ”
“เปล่า ๆ แต่ผมยังเชื่อคุณสนิทใจตอนนี้ไม่ได้ คุณไม่มีหลักฐานอะไรที่จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดที่คุณเล่ามามันเป็นเรื่องจริง ”
“ แต่นายดูคนไม่ออกหรือไงว่าฉันกำลังโกหกหรือกำลังพูดความจริงอยู่ ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะโกหกนาย เรื่องทุกเรื่องที่ฉันพูดมันเป็นความจริง ! ”
ใบหน้าของเขาดูจริงจัง และเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่ผมทำตัวเป็นเด็กเข้าใจอะไรยาก ๆ
“โอเค ๆ ความจริงแล้ว เรื่องที่คุณพูดมาหน่ะ ต่อให้มันจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก ผมก็มีหน้าที่ได้แค่รับฟังมันเท่านั้น เพราะถึงอย่างไง ถ้าคุณหายดีเมื่อไหร่ คุณก็ต้องออกไปจากบ้านหลังนี้อยู่ดี ”
ผมพูดตัดบทอย่างหน่าย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถาดมาถือไว้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะยันตัวลุกขึ้น ผมก็รู้สึกว่ามีมือใครบางคนเอื้อมมากำข้อมือผมไว้แน่น
“ นายว่าไงนะ ”
เขาถามผมออกมาอย่างอึ้ง ๆ พร้อมกับแววตาที่ฉายแววตกใจอยู่ในนั้น ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหย่นตัวนั่งลงเหมือนเดิม
“คุณจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้ ในบ้านหลังนี้มันไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว วันนี้พวกท่านยังไม่รู้ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าพวกท่านจะไม่รู้ตลอดไป ผมขอโทษนะคริส หน้าที่ของผมมันมีแค่ช่วยชีวิตคุณ และดูแลกว่าคุณจะหายดีเท่านั้น ส่วนที่เหลือ คุณต้องช่วยเหลือตัวของคุณเอง คุณเข้าใจผมนะ ”
ผมพูดกับเขาพร้อมกับปลอบโยนเขาไปในตัว ผมยิ้มให้กำลังใจเขาอีกทีก่อนจะยันตัวลุกขึ้น
“ นายใจร้าย ”
ถึงเขาจะไม่ได้หันหน้ามาพูดกับผมตรง ๆ แต่ผมก็รับรู้ได้ทันที ว่าคนที่เขากำลังกล่าวถึงเป็นใคร
“ ผมไม่ได้ใจร้าย ”
ผมหันไปเถียงเขาทันควัน ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยได้ยินใครด่าผมว่า เป็นคนใจร้ายซักคน แต่นี่เขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่ผมช่วยชีวิตเอาไว้นะ แล้วเขาจะมาด่าผมว่าเป็นคนใจร้ายได้อย่างไงกัน !
“ แต่นายไม่เคยสงสารฉันเลยนายรู้ทั้งรู้ว่าฉันกำลังโดนตามล่า แต่นายกลับทำเหมือนฉันเป็นหมาแมวข้างถนนที่พอนายเห็นมันโดนทำร้าย นายก็เก็บมันมาดูแลรักษาจนมันหายดี แต่สุดท้ายนายก็ปล่อยให้มันเผชิญกับโลกที่โหดร้ายตามชะตากรรมของมันเพียงตัวเดียว ”
เขาหันมามองผมด้วยแววตาเจ็บปวด ก่อนจะเบือนหน้าหนีผมทันทีที่ผมก้มหน้าลงมองหน้าเขาตรง ๆ
“ ใครว่าผมไม่สงสารคุณ ผมพยายามช่วยคุณและดูแลคุณให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แต่หลังจากนั้น หลังจากที่คุณหายดี ผมก็ไม่สามารถทำอะไรให้คุณได้อีกต่อไป เพราะหน้าที่ทั้งหมดที่ผมควรจะทำ ผมได้ทำมันไปหมดแล้ว ”
ผมพูดกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวกลับหลังแล้วเดินออกไปจากประตูทันที คุณเสียใจ คุณเจ็บปวด ผมรับรู้มันได้ คริส เพราะความรู้สึกของผมตอนนี้ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคุณเลยซักนิด
ปึ๊ก ! ปั๊ก ! ปึ๊ก !
เสียงโยนกระเป๋าที่ดังอึกทึกครึกโครมอยู่กลางโต๊ะม้าหิน ทำผมอดที่จะทิ้งความเครียดทั้งหมดในหัวแล้วเงยหน้าไปมองไอ้พวกเพื่อน ๆ สุดที่รักที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่บนหัวผมไม่ได้ ไม่ต้องมายั่วกันเลยวันนี้ กูไม่มีอารมณ์โว๊ยยย
“เป็นไรอ่ะมึง ผัวทิ้งเหรอ ?”
คำทักทายยามเช้าของมึงเหรอ จงอิน >,.<
“ผัวทิ้ง ? ชานยอลมันไปมีผัวตอนไหนวะ ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย ”
คยองซูมันเกาหัวแกร๊ก ๆ ก่อนจะหย่นตัวลงบนม้าหินข้าง ๆ ไอ้จองอิน
ผมอยากบอกว่ามุมนี้เหมาะตรีนผมมากอ่ะ
“เออ นั่นดิ กูก็ลืมไป ถ้าหน้าอย่างมันยังมีคนเอา ป่านนี้หญิงทั้ง ร.ร แม่งก็เสร็จกูหมดแล้ววะ ฮ่า ๆ ”
ไอ้จงอินมันหัวเราะอยู่คนเดียวอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสายตาหน่าย ๆ ของเพื่อนพ้องที่ร่ายล้อมอยู่รอบโต๊ะ มีความสุขมากนะมึง
“ มึงกินข้าวมายัง ”
“ กูกินมาแล้ว แหนะ มีเป็นห่วงกูด้วย คิดอะไรกะกูปะเนี่ยชานยอล ”
ไอ้จองอินมันทำสายตาแวววับ ใส่ผมก่อนจะยื่นมือดำ ๆ ของมันมาเกาคางผมเล่น มากไป มากไปแล้วมึง
“ ไม่หรอก กูนึกว่ามึงยังไม่กินไง ”
“ หืม ถ้าพี่ยังไม่กินแล้วไงจ๊ะ”
“ กูจะได้เอาตรีนให้มึงกินไง เชรี่ย! ”
ผมลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับยกเท้าขึ้นมาเตรียมจะถีบหน้าไอ้เพื่อเวรนี่ซักที สองทีแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ประเคนตรีนให้มันกินเป็นอาหารเสริม คยองซูกับเซฮุนมันก็รีบลุกขึ้นมาคว้าแขนผมไปล็อคไว้คนละข้าง พวกเชรี่ยนี่มารั้งกูไว้ทำไมวะ ถ้าวันนี้กูไม่เอาเลือดหัวมันออก กูไม่ตายตาหลับแน่ พวกมึงเข้าใจกูม้ายยย ><
“ชานยอลมึงใจเย็นดิวะ มึงจะไปถือสาอะไรมันวะ มึงก็รู้ว่ามันบ้า”
“อ้าว เชรี่ยนี่ มาต่อยกับกูตัวต่อตัวเลยปะหล่ะ”
ไอ้จงอินมันโฟกัสเป้าหมายไปที่คยองซูทันทีที่มันพูดความจริงออกมา ทำเป็นเก่งนักนะมึง เมื่อกี้แค่กูลุกขึ้นเฉย ๆ แม่งก็วิ่งไปหน้ามหาลัยแล้ว
“ หรือมันไม่จริง ”
คยองซูมันพูดเบา ๆ ก่อนจะเปลื่ยนจากการล็อคมาเป็นกอดแขนผมแทน เชี่ยจองอินมึงดูเอาเองละกัน ว่าตอนนี้มีใครอยากคบกับมึงบ้าง
“ไม่จริง ! กูไม่ได้บ้า แต่กูหล่อ ”
“เชรี่ยยย กูทนกับมึงไม่ไหวแล้วนะโว๊ยยย !”
ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะหันไปคว้าแก้วชานมออกจากปากไอ้เซฮุน แล้วสาดใส่ไอ้เพื่อนบ้านี่อย่างจัง แต่เปล่า ด้วยความเร็วที่เกิน 100000 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงของมัน ทำให้ความซวยทั้งหมดตกหล่นไปยังใครบางคนที่วิ่งระริกระรี้มาทางโต๊ะของพวกผม บยอน แบคฮยอน มึงมาได้ถูกเวลาเกินไปแล้วนะ >.,<
“ อีห่านนน มึงมาสาดชานมใส่กูไมหนิ ”
สีหน้าที่เคยวิ้งวั้งถูกแปลเปลื่ยนเป็นเวิ้งว้างทันทีที่มันรู้สึกว่ามีน้ำชานมเกือบลิตร(?)ฉาบอยู่บนหน้าของมัน เอาแล้วมึง กูไม่เกี่ยวด้วยคน ! ผมคิดกับตัวเองด้วยความสยดสยองก่อนจะรีบทรุดตัวลงนั่งเป็นรายแรกของโต๊ะ
“เฮ้ย มึงอ่ะ ไปสาดชานมใส่มันทำไม เห็นไหมมันโกรธเลย ”
ไอ้จงอินมันพูดเสียงอู้อี้อยู่ในคอก่อนจะรีบบึ่งมานั่งกอดแขนผมไว้แน่นด้วยความกลัว
“เฮ้ย ! เซฮุน ชานมมึงอ่ะ เป็นตัวปัญหาเลย ถ้ามึงไม่ยืนดูดชานมอยู่ ไอ้ชานยอลมันก็สาดชานมใส่ไอ้แบคไม่ได้ใช่ปะ มึงอ่ะต้องรับผิดชอบ กูไม่เกี่ยว ”
แล้วมันก็เป็นรายที่รีบชิ้งเข้ามาเกาะขาผมไว้แน่ทันทีที่มันจัดการโยนความผิดให้ไอ้เซฮุน เสร็จสรรพ เอาแล้วไงมึง กูว่าความฝันที่มึงจะแห่ขันหมากไปขอพี่ลูหาน มันจะสลายก็วันนี้หล่ะวะ >.,<
“สรุปกูผิด ?”
“เออ !!!!!”
“กูผิดก็ด้ายยยย ” T..T
แล้วมันก็เป็นอีกคนที่กระเสือกกระสนเข้ามากอดเอวผมไว้แน่นทันทีจบทสนทนา เชรี่ยนี่ แยก ๆ กันไปหน่อยก็ได้ กองกันอยู่ที่เดียวกันหมดเลย พวกมึงไม่กลัวโดนสังหารหมู่ไง U..U
“ พวกมึงไม่ต้องกลัวกูหรอก “
O.o >> คยองซู
><’’ >> จองอิน
O.+ >> ผม
-..- >>เซฮุน
“ เพราะกูอยากให้พวกมึงเอาเวลาไปเตรียมตัวตายมากกว่า !!! ”
“เฮ้ย ! มึง เผ่นนน”
ผมให้สัญญาณสตาร์ทก่อนที่พวกเราจะแยกกันบึ่งไปคนละทางอย่างรวดเร็ว เอาเหอะมึงมหาลัยแม่งกว้างขนาดนี้ ถ้ามึงไล่จับกูได้ กูจะยอมนอนให้มึงกระทืบเลยเอา ผมเหลียวหลังไปมองข้างหลังนิดนึง ก่อนเรีบร่งเครื่องให้เร็วขึ้นอีกที ไอ้แบคไม่ตามมา รอดตายหล่ะกู
ปั๊ค !
โอ๊ยยยย ใครแม่งมาวางเสาเข็มไว้กลางมหาลัยวะเนี่ย เจ็บฉิบ U.U
“เอ่อ น้องครับ เป็นอะไรหรือเปล่า ”
ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกทันที เสาเข็มพูดได้ ! ไม่ใช่ละกู นี่มันคนต่างหาก ใส่สูทผูกไทแถมยังใส่แว่นดำอีกต่างหาก ว่าแต่ดูไปดูมาแม่งเหมือนมาเฟียมาเก็บค่าครองชีพอะไรงี้เลยอ่า
“ ปะ เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมขอตัวนะครับ ”
ผมรีบพูดกับเขาก่อนจะเผ่นต่อทันที แต่รอบนี้ผมไม่ได้เผ่นหนีไอ้หมาร็อคไวเรอร์นั่นนะ แต่ผมกำลังจะเผ่นหนีผู้ชายคนนี้อยู่ต่างหาก เพราะอะไรหน่ะ ก็เพราะว่าเห็นไง ผมเห็นปืน ปืนที่เหน็บอยู่ตรงใต้เข็มขัดของมันอ่า U..U
“ดะ เดี๋ยวก่อน ”
“ คะ ครับ ”
เอาแล้วไงกู แถวนี้ยิ่งไม่มีใครผ่านไปผ่านมาด้วย พ่อจ้าแม่จ๋า ซ่วยข่อยแหน๋ U..U
“คือน้อง ...”
“เฮ้ย ! ชานยอลมึงมัวมายืนทำซากอะไรอยู่เนี่ย เดี๋ยวถ้ามันตามมึงมาทัน มึงก็ตายหรอก”
ไอ้จงอินมันวิ่งเข้ามาเกาะบ่าผมไว้พร้อมกับหอบแหก ๆ จนตัวโยน แล้วเพียงไม่กี่อึดอัดไอ้เพื่อนร่วมชะตากรรมที่เหลือของผมอีก 2 คนก็วิ่งเข้ามาล้มระแนระนาดอยู่บนพื้นข้าง ๆ ตรีนทั้งสองข้างของผมอย่าเหมาะเจาะงดงาม มาได้เวลามากพวกมึง มามะ มาตายเป็นเพื่อนกูหน่อยเร็ว
“ ใครวะมึง ”
ไอ้จงอินมันถามผมขึ้นมาทันทีที่มันเริ่มตั้งสติได้ มึงถามกูเหรอ ? กูอยากจะบอกว่ากู ไม่รู้ แล้วก็ก็ไม่อยากรู้ด้วย U..U
“ กูไม่รู้ ”
ผมหันไปกระซิบมันเบา ๆ ไอ้จองอินยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างกวนทีน ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปหาพี่เขา ตายหล่ะมึง มึงอย่าไปกวนประสาทพี่เขานะเว๊ย ! พี่เขามีปืนนน
“พี่ พี่จะจีบเพื่อนผมเหรอ ?”
ไอ้ห่านนนนนนนนน จองอิน U..U
“ พี่อย่าไปจีบมันเลย มันเอ๋อ แถมยังไม่ค่อยเต็มอีกด้วย โน่น พี่เห็นปะ คนนั้นอ่ะ น่ารักนะพี่ ผมว่าพี่ไปจีบน้องเขาดีกว่า น่าจะโอกว่านะ ”
ไอ้จงอินมันเดินเข้าไปกอดคอพี่แกอย่างกับคนสนิทกับมาซัก 10 ชาติ ตายห่านหล่ะเพื่อนกู จะตายทั้งที่สภาพศพจะสวย ๆ หน่อยก็ไม่ได้ เวรกกรรมจริง ๆ มึงเอ๊ย ><
“ ปะ ปะพี่ น้องคนนั้นอ่ะจัดเลย แต่ เฮ้ย! อย่าพึ่งดิ๊ นี่ใบอะไรอ่ะ ผมขอดูหน่อยได้ปะ ”
ยังไม่ทันได้รับอนุญาตมันก็จัดการกระชากแผ่นกระดาษปึกใหญ่ออกมาจากมือของพี่แก เหมือนโบชัวเลยแหะ แต่ดูไปดูมามันเหมือนใบประกาศอะไรซักอย่างมากกว่า
“อ่อ ใบประกาศตามหาคน คนในรูปใช่ปะ เดี๋ยวถ้าผมเจอผมจะรีบโทรบอกพี่ละกันนะ ปะ พี่ไปได้แล้วปะ ”
ไอ้จองอินมันโบกมือไล่พี่แก แต่ประเด็นคือพี่แกเสือกเดินออกไปตามคำสั่งมันด้วยไง ให้ตายเหอะ ไอ้เพื่อนบ้า มึงทำกูเกือบหัวใจจะวาย มึงรู้ตัวไหม !
“เชรี่ย มึงทำอะไรลงไปมึงรู้ตัวไหม !”
ผมรีบกระชากแขนมันให้เดินไปหลบมุมอยู่ใต้ต้นไม้ โดยไม่ลืมลากซากไอ้ชานมกับไอ้โปโปโร่ติดมือมาด้วย
“ กูเห็นปืน ”
มันบอกผม
“มะ มึงเห็น !”
“ก็เอออะดิ มึงอ่ะเป็นเชรี่ยไร มัวไปยืนคุยกับมันอยู่ได้ ไม่กลัวมันชักปืนขึ้นมายิงมึงบ้างไง”
มันพูดกับผมอย่างหัวเสียก่อนถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างเบื่อหน่าย
“ หน้าตาแม่งก็โครตเถื่อนอ่ะ ไม่น่าไว้ใจเลยซักนิด มึงก็ยังไปยืนคุยกับเขาได้เนอะ”
“โหยย มึงทำเหมือนกูอยากคุยมากเลยนะ คนอย่างกูก็กลัวตายเป็นเหมือนกันนะครับ เอ่อ แล้วนี่ใบไรอ่ะ เอามาให้กูดูหน่อยดิ”
ผมเริ่มไต่หาประเด็นอื่นทันทีที่สายตาเหลือบไปเจอแผ่นใบปลิวที่มันถืออยู่ในมือของอีกคน ไคมันมองหน้าผมหน่าย ๆ ก่อนจะยื่นมาให้ผมก่อนจะก้มลงไปดูอาการของไอ้สองคนนั้นอย่างเป็นห่วง (มั้ง)
“ ประกาศตามหาคน ”
ผมอ่านหัวข้ออกมาดัง ๆ เผื่อว่าไอ้ไคมันอยากจะฟังด้วย
“ อืม ”
“รางวัลนำจับ 2000000 วอน”
“ อืม เยอะเนอะ ”
ไคมันพูดกับผมทั้งที่มือมันก็ยังคงพัดวีให้ไอ้สองคนนั้นเป็นพัลวัน ผมละสายตาออกจากแผ่นกระดาษแล้วพยักหน้าให้มันเป็นเชิงเห็นด้วย แต่ทันทีที่ผมใช้สายตาจดจ้องเข้าไปยังแผ่นกระดาษใบนั้นอีกครั้ง รูปของใครบางคนที่โชว์หราอยู่กลางแผ่นทำเอาหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มอย่างช่วยไม่ได้ ผมพยายามตั้งสติให้คงที่ ก่อนจะจ้องเข้าไปในรูปนั้นอีกครั้งด้วยความตั้งใจ
“ชานยอล ! ”
“ห๊ะ ๆ ”
ผมรีบหันไปพูดกับไคพร้อมกับยัดแผ่นกระดาษลงกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว
“เป็นไรวะ อยู่ดี ๆ ก็เงียบ ”
“อ่อ เปล่า ๆ เดี๋ยวกูไม่เข้าห้องน้ำแปบนะ มึงดูพวกมันไปก่อนละกัน ”
“เออ ๆ”
ทันที่ได้รีบคำอนุญาตจากมันผมก็รีบวิ่งไปออกไปทันที นี่มันเป็นเรื่องบ้าอะไรกัน คริสไม่ได้โกหกผมงั้นเหรอ ? เขากำลังถูกคนตามล่าจริง ๆ ผมอยากจะบ้าตาย ทำไมอยู่ดี ๆ ผมถึงรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างนี้นะ !
ความคิดเห็น