เรื่องสั้น  “ แม่ ”
                                                                        เรื่อง  ความทรงจำ
    ในเช้าที่อากาศสดใสวันหนึ่ง  เด็กทารกตัวน้อยๆได้ลืมตามาดูโลกเป็นครั้งแรก  ดวงตากลมโตที่ไร้เดียงสามองไปรอบๆตัวราวกับกำลังพยายามจดจำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
    “เด็กไม่ยอมร้องค่ะคุณหมอ”  พยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้น 
                คุณหมอรีบรับเด็กมา  แล้วจับก้นเจ้าตัวน้อยตีเบาๆแต่ความรู้สึกของเด็กน้อยกลับเหมือนโดนตีอย่างแรง
                “อุแว้~ ~ อุแว้~”
                เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนภายในห้องก็ต่างรู้สึกโล่งใจที่เจ้าตัวน้อยเกิดมาอย่างปลอดภัย  แต่ใครกันเล่าที่จะโล่งใจ ดีใจ สุขใจยิ่งกว่าใคร  คนๆนั้นก็คือ หญิงสาวผู้ที่กำลังนอนบนเตียงพร้อมกับความเหนื่อยล้า
                เจ้าตัวน้อยถูกพากลับมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าที่พันไว้รอบตัว  เธอเอื้อมมือมารับเจ้าตัวน้อยอย่างทะนุถนอมมาไว้แนบอก  ริมฝีปากน้อยๆค่อยๆยิ้มอย่างมีความสุข  หญิงสาวผู้ที่กำลังจะเป็นแม่คนถึงกลับน้ำตาคลอ  หยาดน้ำตาแห่งความปิติยินดีค่อยๆไหลอาบหน้าของเธอช้าๆ
                                                          -------------------------------------------------
10 ปีต่อมา
                กลางมหานครที่แสนวุ่นวาย  แสงของดวงดาวถูกบดบังด้วยแสงแห่งอารยธรรม  ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ  บ้างก็มาเพื่อความอยู่รอดของตนเอง  บ้างก็มาเพื่อสัมผัสกับแสงสีของมหานครแห่งนี้  ยามดึกที่ควรจะไร้ซึ่งผู้คน  กลับแออัดไปด้วยย่านการค้า  และเสียงจากการสนทนาของผู้คน  กลางคืนสำหรับเมืองนี้จึงไม่แตกต่างจากตอนกลางวันเสียเท่าไรนัก
                เด็กหญิงตัวน้อยกำลังตั้งใจฟังนิทานก่อนนอนอยู่บนเตียงที่แสนอบอุ่น  แขนอันบอกบางกอดตุ๊กตาหมีขนฟูไว้แนบอกราวกับจะไม่ยอมห่างจากมัน
                ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟที่หัวนอนเท่านั้น จึงทำให้บรรยากาศส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด  ข้างเตียงของเด็กหญิง  หญิงสาวผู้มีดวงตาแบบเดียวกับเจ้าตัวน้อย กำลังอ่านนิทานให้กับเด็กน้อยผู้เป็นเจ้าของห้องฟัง
              “
และแล้วเจ้าชายฟิลิปกับเจ้าหญิงมิไลกาก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” หญิงสาวหันไปหาเด็กน้อยและยิ้มให้กับเธออย่างโยน  ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า  “นิทานจบแล้วนะ  แต่ลูกของแม่ยังไม่ยอมนอนเลย”
              “แม่ค่ะ  เล่าอีกเรื่องนะคะ”  เด็กหญิงโอดครวญ
              “น้ำรินจ๊ะ  พรุ่งนี้ลูกต้องไปโรงเรียนนะ  เพราะงั้นนอนได้แล้วรู้มัย  แล้วพรุ่งนี้แม่จะเอาเรื่องสนุกๆมาเล่าให้หนูฟังอีกนะ”
              “ก็ได้ค่ะ”  น้ำรินตอบตกลงไป  แม้ว่าตอนแรกเธอจะไม่ยอมแต่เมื่อมองใบหน้าของผู้เป็นแม่ก็ทำให้เธอยอมทุกอย่าง
                ไม่นานแสงจากโคมไฟก็ถูกปิดลง  ภายในห้องจึงเหลือเพียงความมืด  ตุ๊กตาหมี  และเจ้าของห้องตัวน้อย - - -น้ำริน
                                                              -------------------------------------------------
                เช้าวันหนึ่ง  ขณะทีท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝน  น้ำรินลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆห้อง  มือน้อยๆค่อยๆพยุงร่างของตนขึ้นจากเตียงช้าๆ  น้ำรินเดินออกจากห้องด้วยท่าทีที่งัวเงีย
              ซ่าาาาาาาา-----------
                เสียงของฝนตกในเช้าวันนี้ช่างไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลยสำหรับน้ำรินในตอนนี้  เพราะทุกครั้งที่ฝนตกเธอมักจะอยู่ในอ้อมกอดของพ่อและแม่เสมอ
                น้ำรินเดินมาจนถึงห้องของพ่อและแม่  น้ำรินเอื้อมมือน้อยๆของเธอเปิดประตู  เผยให้เห็นร่างของผู้เป็นที่รักทั้งสอง  คุณพ่อที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานจนดึกดื่นยังคงนอนอยู่บนเตียง  ส่วนคุณแม่นั้นกำลังแต่งตัวอยู่ แต่ก็ต้องหยุดเพราะเห็นสีหน้าที่กำลังตื่นกลัวของน้ำริน
              “เข้ามาซิจะ  แม่กำลังห่วงหนูอยู่เลยว่า น้ำรินคนเก่งของแม่จะทนเสียงฝนตกได้มัย  แต่ดูสิไม่ทันไรเจ้าตัวเล็กก็รีบมาหาพ่อกับแม่อีกแล้ว”
                น้ำรินรีบวิ่งไปหาแม่  พร้อมๆกับที่ผู้เป็นแม่ก้มลงกางแขนรอบรับลูกน้อยสู่อ้อมอก
              “แม่ค่ะ  หนูกลัว”
              “โอ๋!  อย่ากลัวนะจ๊ะคนดี  น้ำรินหนูต้องเข้มแข็งนะ  ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่จะทำยังไงละ”
              “พ่อกับแม่จะไปไหนหรอค่ะ”
              ผู้เป็นแม่ยิ้มให้กับน้ำรินผู้เป็นเจ้าของความไร้เดียงสาก่อนจะกล่าวต่อไปว่า  “สักวันหนึ่งพ่อกับแม่ก็จะต้องจากหนูไปแบบที่ไม่มีวันกลับ  หนูยังจำเจ้าฮันนี่ได้มัย”
              ใบหน้าน้องๆถึงกลับเศร้าหมองไปทันที  น้ำรินยังจำได้ดีถึงเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เป็นเสมือนเพื่อนรักของเธอ  คอยเล่นกับเธอ  ทานข้าวกับเธอ  อาบน้ำกับเธอ  คอยอยู่เคียงข้างเธอ  แต่แล้ววันหนึ่งหลังจากที่เธอกลับจากโรงเรียน  ฮันนี่ก็ไม่ยอมมองตาเธออีก  มันเอาแต่นอน  ซ้ำตัวยังเย็นขึ้นเรื่อยๆ  แม้ว่าเธอจะพยายามเรียกมันซักกี่ครั้ง  เจ้าฮันนี่ก็ไม่รีบวิ่งมาหาเธออีกเหมือนทุกครั้ง  นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้จักกับการจากไปแบบไม่มีวันกลับชั่วนิรันดร์  แต่นี่แม่กำลังจะบอกเธอว่าแม่จะจากเธอไป  ไม่ใช่จากกันแบบธรรมดา  แต่จะจากกันแบบที่เธอจะไม่ได้เจอกับแม่อีก  แน่นอนว่าความรู้สึกรัก ห่วงใยที่เธอมีกับแม่นั้นย่อมมากกว่าฮันนี่ไม่รู้กี่เท่า  เพียงแค่ฮันนี่จากไปเธอก็เศร้าถึงเพียงนี้  แต่หากว่าผู้ที่จากไปคือ แม่  เธอจะอยู่ได้หรือ  เธอจะทนได้หรือ
              “แม่จะทิ้งหนูไว้หรอค่ะ  ไม่เอานะ  ไม่เอา”  น้ำตามากมายค่อยเอ่อล้นจากดวงตาคู่น้อยๆราวกับสายน้ำ
              “แม่อย่าไปไหนนะคะ  อย่าทิ้งหนูไว้  หนูสัญญาว่าหนูจะเป็นเด็กดี  จะไม่ดื้ออีก  แม่อย่าไปไหนนะคะ”
                เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของผู้ที่เป็นแม่ก็ทำให้เด็กตัวน้อยที่ไร้เดียงสาเศร้าใจได้ถึงเพียงนี้  แต่ใจของผู้เป็นแม่ที่เห็นดวงตาคู่น้อยที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตากลับเศร้าใจยิ่งกว่า
              “น้ำรินตัวน้อยของแม่  อย่าร้องนะจ๊ะ  คนเราไม่สามารถ เลือกกันได้หรอกรู้มัยเรื่องแบบนี้”  เธอพูดพร้อมกับลูบหัวน้อยๆเบาๆ  “แต่เมื่อวันนั้นมาถึงลูกจะต้องเข้มแข็งรู้มัย  ต้องเป็นเด็กดี  อย่าดื้อกับคุณพ่อ”
              “ถ้าโลกนี้ไม่มีแม่  หนูก็ไม่อยากอยู่หรอกค่ะ  แม่ค่ะ  ให้หนูไปกับแม่นะค่ะ”  ดวงตาที่เต็มไปด้วยหยดน้ำใสๆมองใบหน้าของผู้เป็นแม่อย่างอ้อนวอน
              “ไม่ได้หรอกนะจ๊ะ”  ผู้เป็นแม่เอื้อมมือมาโอบกอดลูกน้อยไว้แนบอก  “วันแรกที่ลูกลืมตามาดูโลกอย่างปลอดภัย  แม่ยังจำได้ดีว่าแม่ดีใจแค่ไหน  ลูกเปรียบเสมือนชีวิตของแม่  ถ้าลูกทุกข์แม่ก็ทุกข์  ถ้าลูกสุขแม่ก็สุข  ฉะนั้นอย่าคิดอย่างนี้อีกนะรู้มัย”
              “แต่หนูต้องทนไม่ได้แน่ๆเลย  ถ้าหนูจะไม่ได้เจอแม่อีก”
              “ไม่หรอกจะ”  ผู้เป็นแม่จับมือน้อยๆของน้ำรินมาไว้ที่อกของเธอ  “รู้สึกใช่มัยจ๊ะว่าใจของแม่ยังเต้นอยู่”  แล้วเธอก็จับมือน้อยๆของน้ำรินมาไว้ที่อกของเด็กหญิง  “ใจของลูกก็ยังคงเต้นอยู่เช่นกัน    น้ำรินจ๊ะลองมองดูท้องฟ้าในเวลานี้สิ”
              น้ำรินตัวน้อยมองดูท้องฟ้าที่สดใส  หลังจากฝนตก  นกหลายตัวที่หลบฝนอยู่เมื่อครู่ต่างก็ออกมาส่งเสียงอีกครั้ง  ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝนที่ตกหนักปานฟ้าจะถล่ม  บัดนี้กลับกลายเป็นท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งถึงเพียงนี้
              “น้ำรินรู้มัย  ว่าฝนที่ลูกเคยกลัวอยู่ตลอด  มักจะนำพาเอาความสดใสของท้องฟ้าสำหรับวันใหม่มาด้วยเสมอ  ลูกกับพ่อจะอยู่ในใจของแม่เสมอ  แม่สัญญาว่าแม่จะอยู่เคียงข้างลูกตลอดเวลา”
              “จริงๆนะค่ะ”  เด็กน้อยรีบปาดน้ำตาที่แก้มออก  “สัญญานะคะ”  มือน้อยๆค่อยเอื้อมไปหาผู้เป็นแม่  นิ้วก้อยของทั้งสองประสานกันราวกับเป็นตัวแทนสายสัมพันธ์ของสองแม่ ลูก  รอยยิ้มที่ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ก็ค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของเด็กน้อย
              “งั้นหนูไปแต่งตัวบ้างนะคะ”  แล้วน้ำรินก็รีบวิ่งออกจากห้องไป
              ผู้เป็นพ่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน  เขาเป็นผู้เดียวที่รู้อาการเจ็บป่วยของหญิงสาวผู้เป็นแม่อย่างดี  เมื่อน้ำรินออกจากห้องไป  เขาก็รีบลุกจากเตียงมาหาหญิงอันเป็นที่รัก  พร้อมกลับกอดเธอไว้แน่นราวกลับกลัวว่าเธอจะจางหายไปต่อหน้า
              “คุณจะต้องหาย  หมอบอกว่ายังมีทางรักษา  แม้จะเป็นเพียงความหวังที่เล็กน้อยก็เถอะ”
              “คุณค่ะ  ฉันรู้ดีว่าโรคนี้มันร้ายแรงแค่ไหน  ฉันของฝากน้ำริน”  แต่ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ  ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน
              “ผมรู้  ผมรู้”  น้ำตาของลูกผู้ชายไหลอาบหน้าชายหนุ่มผู้เป็นพ่อ  “ผมจะดูแลน้ำรินอย่างดี  จะรักเธอยิ่งกว่าสิ่งใด”
              “ขอบคุณค่ะ”  ผู้เป็นแม่ไม่สามารถอดกลั่นน้ำตาของเธอได้อีกแล้ว  “ขอบคุณค่ะ  ขอบคุณ”  แต่ถึงกระนั้นใบหน้านั้นก็ยังคงยิ้มอยู่เช่นนั้น
                                                  -------------------------------------------------
   
ตี๊ด----- --- - ตี๊ด---- -- -- -
    เสียงของนาฬิกาปลุกบอกให้รู้ว่าขณะนี้เวลา 6 โมงเช้าแล้ว  เจ้าของห้องเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุก  และลุกขึ้นจากเตียงอย่างงัวเงีย
    นานแล้วที่เธอไม่ได้ฝันแบบนี้  ช่างเป็นฝันที่มีทั้งสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกัน  นับจากวันนั้นมาก็ผ่านมาแล้ว 5 ปี  ทุกอย่างในเมืองแห่งนี้ได้ถูกกาลเวลาเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน  แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยนนับตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ หรือต่อๆไป สิ่งนั้นก็คือ
.
    ภายในห้องครัว  ชายคนหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร  เด็กหญิงในชุดนักเรียนเดินเข้ามาในห้อง
    “อรุณสวัสดิ์ พ่อ”
    “อรุณสวัสดิ์  น้ำริน  พ่อทำอาหารให้ลูกอยู่บนโต๊ะแล้วนะ  รีบๆทานล่ะ  เดี๋ยวรถประจำจะมาแล้ว”
    “ค่ะ” น้ำรินตอบรับ 
    จากนั้นก็เริ่มทานอาหารของเธอ  ไม่ถึง 10 นาทีจานที่อยู่ตรงหน้าก็ว่างเปล่า  พร้อมๆกับเสียงแตรของรถประจำทางที่จอดรออยู่หน้าบ้าน
    “งั้นหนูไปโรงเรียนนะคะพ่อ” น้ำรินคว้ากระเป๋าของเธอมาสะพายไว้บนบ่า
    “อืม ตั้งใจเรียนนะ”
    “ค่ะพ่อ”
    และก่อนที่น้ำรินจะออกจากบ้าน  เธอก็หันไปหารูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ  พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส
    “หนูไปแล้วนะคะ  แม่”
                                    จบบริบูรณ์
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น